ลงใต้คราวนี้ขอปักหมุดไปที่ สงขลา จังหวัดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มากมายด้วยความหลากหลายและกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ เราจะพาทุกคนโร้ดทริปกันแบบเท่ ๆ กับแพลนคูล ๆ 2 วัน 1 คืน เที่ยวมันส์ ถ่ายรูปเพลิน ใน 6 โลเคชั่น ไม่ว่าจะเป็นฮอปปิ้งคาเฟ่เปิดใหม่สุดฮอต กอดธรรมชาติสุดป๊อบแบบชิล ๆ ขึ้นเขาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น ก่อนจะไปโลดแล่นในย่านเมืองเก่า บอกเลยว่าแม้เวลาสั้นแต่ความประทับใจเต็มร้อย เพราะเราเดินทางกับ Lambretta V200 Special สกูตเตอร์คลาสสิคสัญชาติอิตาลีคู่ใจ สไตล์เรโทร ที่เอาความเก๋าระดับตำนานมาผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ จนใครเห็นก็ต้องเหลียว มาออกเที่ยวเพิ่มความทรงจำ
และทริปสั้น ๆ ที่ใจความสำคัญคือความเท่ แน่นอนว่าเลือกออกเดินทางกับ Lambretta V200 Special สกูตเตอร์ระดับตำนานรูปทรงวินเทจคลาสสิคสี Milano Black สีดำคมเข้ม โฉบเฉี่ยว เปรี้ยวโก้ เหมือนหลุดมาจากเมืองมิลานโน่แสนแฟชั่น ผู้ครบครันพร้อมพรั่งทั้งหน้าตาหล่อเหลา และระบบภายในอันทันสมัย เพราะโครงเหล็กของตัวรถใช้เทคโนโลยีวิศวกรรมเดียวกับการออกแบบเครื่องบิน นอกจากทำให้มีน้ำหนักเบา ดูแลรักษาง่าย ยังช่วยเสริมความมั่นใจทุกการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นขับชิล ๆ ฟีลชมวิวเมือง หรือออกนอกทางลาดยางกับเส้นทางสายธรรมชาติก็ไม่มีปัญหา
DAY 1
01 : Mali homemade
สตาร์ทโลเคชั่นแรกวันนี้ เราขอเริ่มต้นที่คาเฟ่เปิดใหม่เล็ก ๆ และไม่ลับอย่าง Mali homemade ร้านสองชั้นโทนอบอุ่น เน้นบรรยากาศแบบโฮมมี่มินิมอลมูจิ ที่พอเราได้กวาดสายตาสำรวจทั่วร้านแล้วก็ต้องยอมรับว่าดีต่อใจไปซะทุกตรง โดยเฉพาะการคุมโทนสีขาวตัดกับประตู ขอบหน้าต่าง และเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดูสบายตา ผลักประตูไม้สุดคลาสสิคเข้ามาก็จะเจอกับเคาเตอร์บาร์แบบเปิดโล่ง มีชั้นวางถ้วยชามเซรามิกกระจุกกระจิกที่เป็นของสะสมของเจ้าของร้าน และตู้ขนมกระจกใสให้เราเลือกสั่งเมนูที่อยากทาน ส่วนชั้นสองคือพื้นที่โล่งไว้จัดแสดงศิลปะแบบหมุนเวียน
เมนูไฮไลท์ก็สมกับชื่อร้านสไตล์โฮมเมด เราขอแนะนำโชกุปังอบใหม่ มีให้เลือกหลายไส้ในแต่ละวัน แต่ถ้าใครชอบสไตล์ครีม ๆ มัน ๆ โชกุปังเนยถั่วและเนยงาดำ คือคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับเครื่องดื่มก็มีให้เลือกเยอะไม่แพ้กัน แต่นี่คือสวรรค์ของคนรักชาเขียว เพราะมีมัชชะหอมกรุ่นเป็นเมนูซิกเนเจอร์หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น Kyoto หอมนุ่มละมุนลิ้น Uji หอมแน่นรสเข้ม ไปจนถึงหอมชาคั่วแบบ Hojiicha
เติมคาเฟอีนเพิ่มความหวานเป็นที่เรียบร้อย ก่อนมูฟออนสู่โลเคชั่นถัดไป ก็ขอแอ็คติ้งทำเท่นั่งเก๋ ๆ บนสกูตเตอร์คลาสสิคสไตล์ ที่หน้าตาหล่อเหลา เอามาเป็นพร็อพเข้าเฟรมลงไอจีได้แบบสุดเก๋า แล้วยังเอาการเอางานดีเป็นที่หนึ่ง เพราะมีระบบระบายความร้อนด้วยอากาศที่ผ่านการรับรองมาตรฐานไอเสีย EURO4 และ เกียร์ออโต้เมติค CVT ขับเคลื่อนด้วยสายพาน ทำให้ขับง่ายขับสนุก เป็นมิตรกับผู้ขับขี่และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
02 : ถนนนางงาม เมืองเก่าสงขลา
จากตัวเมืองหาดใหญ่มาเช็คอินกันต่อในอำเภอเมืองสงขลา บนถนนสายเล็กที่มีเส้นทางความเป็นมายาวนานนับ 100 ปี ในสมัยก่อนเคยถูกเรียกว่า ถนนเก้าห้อง เพราะบ้านเรือนแถบนี้มีเพียงเก้าห้อง แต่หลังจากนางงามสงขลาคนแรกที่อาศัยอยู่ย่านนี้ได้รับมงกุฎ ถนนก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ถนนนางงาม ให้สมมงสมใจนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยปัจจุบันบ้านเรือนส่วนใหญ่ของที่นี่จะยังคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่เป็นการผสมผสานระหว่างสไตล์จีน แท้และสไตล์ชิโนโปรตุกีส ทำให้เราเหมือนเดินหลุดเข้ามาอยู่ในยุควันวานยังหวานอยู่
นอกจากมีตึกรามบ้านช่องร่วมสมัยให้เรากดชัตเตอร์เพลิน ๆ แล้ว ทุกหัวมุมถนนยังเต็มไปด้วยการบอกเล่าเรื่องราวของเมืองสงขลาผ่านสตรีทอาร์ตเท่ ๆ โดยเฉพาะมุมภาพวาดสีน้ำมันร้านน้ำชาฟุเจาสุดฮิต บริเวณสี่แยกนางงามตัดถนนรามัญ แลนด์มาร์คสำคัญที่ควรได้รูปกลับไปอย่างน้อยหนึ่งช็อต รวมถึงมุมแมวน้อยสามตัวใต้แสงไฟสีส้มตัดกับตัวตึกสีขาว ทั้งน่ารักและดูเก๋ และอีกหลากหลายรูปที่รับรองว่าถูกใจสายอาร์ตอย่างแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างบนถนนสายนี้ มีความคลาสสิควินเทจเหนือกาลเวลา เหมือนกับสกูตเตอร์คู่ใจ Lambretta V200 Special คันนี้ของเรามากจริง ๆ
นอกจากสตรีทอาร์ตแล้วยังมีแกลอรี่แสดงงานศิลปะ สอดแทรกอยู่ตามถนนหนทางในบ้านเรือนบนถนนนางงาม ให้เราได้เดินลัดเลาะเยี่ยมชมปล่อยเวลาปล่อยหัวใจไปตามอารมณ์อันสุนทรีหลายแห่ง แต่อารมณ์แห่งความหิวนั้นไม่อาจปล่อยผ่าน บนถนนสายนี้ยังพอมีร้านรวงให้เลือกทาน เช่น ขนมไข่ป้ามล ร้านรถเข็นขนมไข่อบเตาถ่านในตำนาน ที่เคียงคู่ถนนสายนี้มากว่า 30 ปี โดยขนมไข่ทุกชิ้นจะทำแบบสดใหม่และอบร้อนด้วยเตาถ่าน ทำให้ขนมไข่ป้ามลมีเอกลักษณ์ กรอบนอกนุ่มใน ชุ่มเนย และอีกหนึ่งกิมมิกที่เราชอบมาก ๆ ก็คือ ขนมไข่ของเค้าจะถูกใส่อยู่ในถุงกระดาษสกรีนลายป้ามลที่น่ารัก น่าหยิบมาถ่ายรูปลงสตอรี่ไอจี
แวะชิม แวะชม แวะทาน ทั้งศิลปะของอาหาร และศิลปะของวิถีชุมชนบนถนนสายเล็ก ๆ แห่งนี้ได้แบบเพลิดเพลินเป็นที่สุด เพราะเบาะนั่งสบายตลอดการขับขี่ แถมเครื่องยนต์ของเจ้าสกูตเตอร์คู่ใจคันนี้ของเรา ยังจัดเต็มทั้งระบบกันสะเทือนหน้า Telescopic ระบบกันสะเทือนหลังแบบคู่ ระบบเบรกแบบ CBS ช่วยกระจายแรงเบรก และเสริมความปลอดภัยด้วยดิกส์เบรคหน้า-หลัง จึงทำให้การขับขี่ของเราในครั้งนี้ทั้งสบายและปลอดภัย แถมหาที่จอดง่ายเพราะขนาดกำลังดี เหมาะกับการขับขี่เที่ยวเล่นชมเมืองแบบนี้เป็นที่สุด
03 : อ่างเก็บน้ำลิวงศ์
โลเคชั่นสุดท้ายของวันนี้เราขอหยิบแจ๊คเกตตัวโปรดขึ้นมาสวม ก่อนขี่ Lambretta V200 Special คันเท่ลัดเลาะออกจากย่านเมืองเก่า ไปลุยต่อ ณ อ่างเก็บน้ำลิวงศ์ อดีตเหมืองแร่ร้างที่ปัจจุบันกลายร่างเป็นแลนด์มาร์คสุดเก๋ จนได้รับการขนานนามว่าสวิตเซอร์แลนด์แห่งเมืองจะนะ ท่ามกลางบรรยากาศดี ๆ เทือกเขาลูกเล็ก ๆ น้ำสีเขียวมรกต และทิวสนที่กำลังสะบัดคลอตามจังหวะของสายลม เราเลยขอนั่งตากลมชิล ๆ จิบกาแฟหอม ๆ พร้อมอ่านหนังสือเล่มโปรด ซึ่งหาก ใครอยากมาเราแนะนำช่วงเวลายามเช้าและก่อนพระอาทิตย์ตกจะได้แสงสวยที่สุด
จากตัวเมืองมาที่นี่จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง มีค่าเข้าคนละ 50 บาท ซึ่งจะได้รับน้ำหนึ่งขวดและเวลาไม่จำกัดในการเยี่ยมชมอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ ดังนั้นอยากจะถ่ายมุมไหน ก็สามารถเลือกถ่ายได้จนหนำใจ แต่มุมแนะนำคือมุมต้นไม้เดียวดายกลางอ่างเก็บน้ำ ที่แผ่กิ่งก้านเหมาะแก่ขึ้นไปนั่งแอ็คท่าถ่ายรูปไว้ติดแฮชแท็กเท่ ๆ ลงโซเชียล
นอกจากสถานที่จะ made my day แล้ว Lambretta V200 Special ก็ยัง made my life better ด้วย เพราะนอกจากความสวยงามโฉบเฉี่ยวสไตล์เรโทรที่ใครเห็นก็ต้องเหลียวแล้ว ฟังก์ชันการทำงานต่าง ๆ ก็ยังตอบโจทย์ผู้ใช้งานเป็นอย่างยิ่ง ใต้เบาะเราสามารถเปิดออกมาเพื่อเก็บของ ไม่ว่าจะเป็นเจ้ากาแฟ หนังสือเล่มโปรด กล้องฟิล์ม หรือพร็อพอีกนิดหน่อยก็ยังได้ ส่วนช่องด้านหน้าก็ยังเพียงพอให้เราใส่เจลแอลกอฮอล์ ไอเท็มที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้ แบบหยิบจับได้สะดวก เป็นฟังก์ชันที่คิดมาเป็นอย่างดีแล้วจริง ๆ
DAY 2
04 : เขาคูหา
ตื่นเช้ากันสักนิดเช็คความฟิตกันสักหน่อย เช้านี้เราขอพาทุกคนเริ่มต้นกันแบบสุดอันซีน บนจุดชมวิว เขาคูหา ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองสงขลาเพียง 30 นาที ภูเขาธรรมชาติที่เคยเป็นพื้นที่สัมปทานทำเหมืองแร่ ทำให้หลังผ่านการระเบิดภูเขาเผากระท่อม ภูเขาธรรมชาติแห่งนี้จึงมีรูปร่างหน้าตาสวยงามแปลกตาเป็นเอกลักษณ์ เหมาะแก่การขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หรือใครจะขึ้นมาออกกำลังกายให้เลือดสูบฉีด ได้เหงื่อแบบเบา ๆ ก็ไม่ติด แถมถ้าวันไหนมีโชคอาจจะได้เจอกับทะเลหมอกมาทักทายตั้งแต่กลางทางอีกด้วย
สำหรับจุดชมวิวเขาคูหานั้นเราต้องเดินเท้าขึ้นไปประมาณ 10-15 นาที ซึ่งก็มีชันบ้างเป็นบางจุด ต้องไต่เชือกบ้างเบา ๆ เป็นบางช่วง แต่ไม่ถือว่าลำบากมากเกินไป ระหว่างทางยังมีธรรมชาติสวย ๆ ให้ดูเพลิน ๆ พอถึงด้านบนก็ยิ่งนับว่าคุ้มค่า กับวิวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และมุมถ่ายรูปว้าว ๆ อีกกลายจุด แนะนำพกหนังสือมาสักเล่ม กาแฟกรุ่น ๆ สักแก้วมาเพิ่มอนเนอร์จีดี ๆ ในช่วงเช้า
หลังจิบกาแฟชมวิว หามุมแปลก ๆ ถ่ายรูปจนเต็มอิ่ม พอหายเหนื่อยก็ได้เวลาเดินลง โดยก่อนสวมหมวกกันน๊อคและสตาร์ทรถเข้าเมือง ก็ยังมีมุมห้ามพลาดบรรยากาศดีเต็มสิบให้เราได้แวะ กับทิวต้นสนสีเขียวคร่อมสองฝั่งของถนนสายตรง ซึ่งดูเข้ากันดีกับ Lambretta V200 Special สีดำ Milano Black สัญชาติอิตาลีคู่ใจคันโปรดคันนี้ แม้สีดำจะดูเท่และเคร่งขรึม แต่พออยู่กับธรรมชาติสีเขียว ๆ ก็ดีงามลงตัวสุด ๆ ตอบโจทย์หนุ่ม ๆ ทุกสไตล์แน่นอน
05 : Double 3 craft café
ขับรถเล่นจนท้องเริ่มร้อง เราขอพักเติมพลังที่ Double 3 craft café คาเฟ่กึ่งร้านอาหารน้องใหม่ ที่อนาคตอันใกล้มีแพลนจะขยับขยายเป็นที่พัก ตัวร้านถูกออกแบบเป็นสไตล์มินิมอล น้อยแต่มากด้วยดีเทลเก๋ ๆ ในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นสเต็ปถ่ายรูปสุดปังอย่างขั้นบันไดหน้าร้าน การดีไซน์ประตูหน้าต่างให้มีความโค้งมน หรือการกรุกระจกใสรายล้อมให้แสงสว่างเข้าถึง ทำให้เราถ่ายรูปเท่ ๆ ด้วยแสงธรรมชาติได้แทบทุกมุม
ภายในคุมโทนสีขาวเช่นเดียวกับด้านนอก จัดสรรที่นั่งไว้หลากหลายมุม ก่อนจะเบรกความสะอาดตาด้วยโคมไฟทรงกลมและเฟอร์นิเจอร์ไม้เรียบ ๆ ยิ่งทำให้คาเฟ่แห่งนี้ดูอบอุ่นละมุนขึ้นมาอีกเป็นกอง แถมหลาย ๆ มุมยังให้ฟีลเหมือนสตูดิโอขนาดย่อม ทำให้เราถ่ายรูปได้แบบชิล ๆ จนเผลอใช้เวลาภายในร้านมากกว่าที่คิด
สำหรับเมนูของร้าน เค้ามีให้เลือกแบบจุใจจัดเต็มทั้งเครื่องดื่ม ขนมโฮมเมด และยังมีอาหารคาวบริการด้วย เรียกว่ามาร้านเดียวสามารถทานมื้อหลักแล้วต่อด้วยของหวานปิดท้ายเป็นอันจบครบแบบลงตัวได้เลย ใครอยากตากแอร์ฉ่ำ ๆ ก็มีโซน indoor ไว้ให้เลือกนั่งชิลหลายมุม ส่วนใครอยากรับลมธรรมชาติก็มีโซน outdoor ด้านนอกบริการด้วยเช่นกัน
06 : มัสยิดกลางสงขลา
จุดเช็คอินสุดท้ายของเมืองสงขลานี้เรียกได้ว่าระดับตำนานของจริง เพราะที่นี่คือ มัสยิดกลางสงขลาหรือมัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในจังหวัด เจ้าของสถาปัตยกรรมสุดปรานีตและอลังการ แม้แต่พื้นทางเดินทุกตารางนิ้วยังถูกปูด้วยหินอ่อนเนื้อดี ด้านหน้าคือสระน้ำที่ทอดยาวถึง 200 เมตร จนถูกขนานนามให้เป็นทัชมาฮาลเมืองไทย
หลังเดินชมความสวยที่เรียกได้ว่าวิจิตรงดงาม พระอาทิตย์ก็เริ่มเคลื่อนคล้อยเข้าใกล้กับเส้นขอบฟ้าลงเรื่อย ๆ เราเลยย้ายตามแสงเปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่หน้าสระน้ำ เพื่อรอชมวิวพระอาทิตย์ลาลับฟ้า เปลี่ยนโทนสีเคียงข้างมัสยิดราวกับกำลังนั่งชมผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่สามารถนั่งชมได้จนกว่าผืนผ้าใบที่เรียกว่าท้องฟ้าจะกลายเป็นสีดำสนิท แล้วค่อยมูฟออนแบบสบาย ๆ ปลอดภัยไร้กังวล เพราะ Lambretta V200 Special มีระบบส่องสว่าง แบบ Full LED รอบคัน ทำให้ส่องสว่างได้กว้างไกล ขับขี่ปลอดภัยแม้ยามค่ำคืน
ตลอดทริป 2 วัน 1 คืน กับเพื่อนคู่ใจ Lambretta V200 Special ในครั้งนี้ ที่พาเราฮอปปิ้งสบาย ๆ สู่คาเฟ่สุดคูล ผ่านทางขรุขระสู่ที่เที่ยวกลางขุนเขา พาเราไปทานข้าวแบบสบาย ๆ เที่ยวเมืองเก่าแบบชิว ๆ ยามเช้า กลับห้องพักยามค่ำมืดก็ผ่านมาหมด ด้วยความที่ขับสนุก นั่งสบายและปลอดภัย ไม่รักคันนี้แล้วจะให้ไปรักคันไหน จริงมั้ย??