รีวิวญี่ปุ่น :: Farm Stay Experience in Fukushima

ฟุกุชิมะ ในแต่ละครั้ง เรามามักจะได้พบกับที่เที่ยวทางธรรมชาติ วิถีชีวิต คาเฟ่ รวมถึงร้านอาหารอร่อย ๆ มากมายจนแพลนแน่นแทบทุกวัน แต่รอบนี้เราขอไปแบบชิล ๆ ใกล้ชิดความโลคอลอีกนิด เปิดมุมมองใหม่ของการเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยการพาไปอยู่ในฟาร์มสเตย์ ที่นอกจากสงบสุข ปราศจากความเครียดจากสิ่งแวดล้อมแล้ว คุณภาพชีวิตยังดี๊ดีอีกต่างหาก.. นอนในบ้านญี่ปุ่นเสื่อทาทามิ ออกไปเก็บลูกพีชสด ๆ เด็ดผักในสวนมาทำกินเอง วันว่างก็ออกไปเที่ยวรอบ ๆ ฟินจนเชื่อว่าดูรีวิวนี้จบ ทุกคนจะต้องอยากหาวันลง แพลนเที่ยวแล้วไปปลดสกิลชาวสวนแบบเราแน่นอน

ทริปนี้ขอปักหลักกันที่ คิตาคาตะ (Kitakata) ในจังหวัดฟุกุชิมะ เป็นเมืองที่ชาวบ้านจับมือร่วมกันทำฟาร์มสเตย์ ภายใต้โครงการ Kitakata Green ซึ่งมีบ้านที่ร่วมมากถึง 40 หลัง และมีฟาร์มทำเกษตรกว่า 150 แห่ง โดยมุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบ “Heart to Heart” ดูแลด้วยใจแลกเปลี่ยนใจซึ่งกันและกัน เรียกว่าเป็นหมู่บ้านเกษตรกรจริง ๆ ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูได้ที่ http://www.kitakata-gt.jp/ ในนี้จะมีบ้านให้เลือก พร้อมราคาเรียบร้อย แต่การทำการจองอาจจะต้องใช้ความสามารถจากแอปแปลภาษาหน่อย เพราะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย

การเดินทางมาที่เมืองเล็ก ๆ นี้ ง่ายพอ ๆ กับที่เที่ยวป๊อป ๆ เพราะรถไฟถึง รถบัสถึง แต่ถ้าบ้านพักที่เราเลือกไกลจากถนนสายหลักก็สามารถบอกให้ทางโฮสขับรถมารับได้เช่นกัน เมื่อมาถึงก็ได้เจอกับคุณป้าเจ้าของบ้านคอยต้อนรับ รับบทบาทผู้ดูแลได้ดีพอ ๆ กับฟ้อนท์ตามโรงแรมเลยทีเดียว เพิ่มเติมคือความเป็นกันเอง พาทัวร์ห้อง แนะนำโซนต่าง ๆ ทั้งห้องนอนแบบเสื่อทาทามิ ห้องนั่งเล่นที่มีตู้เก็บของแบบญี่ปุ่น โต๊ะทำการบ้านด้านบนมีหนังสือการ์ตูนวางเรียงอยู่ โต๊ะอาหารที่นั่งทานรวมกันเป็นครอบครัว ฟีลเหมือนได้เป็นลูกชายบ้านนี้จริง ๆ เพราะคุณป้าแนะนำประหนึ่งว่าเราจะมาอยู่ที่นี่ตลอดไป

หลังจากพักผ่อนให้พอหายเหนื่อย ทางเราก็เปลี่ยนชุดจากนักท่องเที่ยวสุดชิค กลายเป็นชาวสวนสุดเท่ แล้วออกไปเริ่มต้นเรียนรู้วิถีชีวิตชนบทแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น สำหรับบ้านนี้เขาทำฟาร์มผักจำพวกฟักทอง มะเขือเทศ มะเขือ และแครอท ไร่ไม่ใหญ่แต่ผลผลิตดูดีมาก เรียกว่าทุกต้นออกดอกออกผลมาสวยงาม ตรงมาตรฐานบ้านเขาเลยจริง ๆ ส่วนหนึ่งที่เราช่วยทางคุณป้าจะถูกนำไปขาย อีกส่วนก็เก็บไว้ทำมื้อเย็นกินกัน สำหรับบรรยากาศในการออกสวนบอกเลยว่าดีมาก อากาศเย็นสบาย ๆ ที่มีลมพัดกลิ่นของธรรมชาติมาให้สดชื่น ประกอบกับวิวภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ไกลลิบ ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

กลับจากสวนเราก็รับบทเป็นลูกที่ดี หยิบวัตถุดิบที่ได้มาเข้าครัวล้างอย่างว่าง่าย ทางคุณป้าก็เตรียมผักเพิ่มเติมซึ่งเด็ดมาจากหน้าบ้าน วางเนื้อที่ซื้อไว้เตรียมทำอาหารอย่างสวยงาม และถึงแม้เมนูจะดูง่าย ๆ ผัดผัก ปลาทอด มันบด แต่กลับเป็นมื้อที่เราชอบที่สุดอีกมื้อในการมาเที่ยวญี่ปุ่นเลย เพราะแต่ละอย่างเราเก็บมาเอง ทำเองกับมือ ส่งผลให้รสชาติที่อร่อยอยู่แล้ว มันอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก

ทานมื้อเย็นเสร็จ ทางคุณป้าก็เอาแตงโมรสหวานฉ่ำมาให้เราทานล้างปาก จากนั้นก็ล้อมวงปรบมือร้องรำทำเพลง จิบเครื่องดื่มมึนเมาสักเล็กน้อย แค่นี้ก็หัวเราะเบิกบานกันมาก ๆ เพราะแต่ละเพลงก็ล้วนเป็นเพลงพื้นบ้านที่เราไม่เคยได้ฟังจากที่ไหน คิดถึงทีไรก็รู้สึกอบอุ่นในใจทุกที

การดื่มด่ำชีวิตในฟาร์มสเตย์เพียงคืนเดียวมันอาจจะดูสั้นมาก แต่กลับเติมเต็มความรู้สึกให้อิ่มเอมไปด้วยความสุขอบอุ่นจนยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด อยากให้ทุกคนได้ลองมาสัมผัสเอง ซึ่งเราตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องกลับไปอีกครั้งแน่นอน รอบหน้ามาอยู่กับคุณป้าสักอาทิตย์นึงเลย เพราะนอกจากฟาร์มสเตย์แล้ว ใกล้ ๆ เมืองนี้ยังมีจุดเช็คอินเด็ด ๆ พร้อมกิจกรรม กิน เที่ยว ถ่าย ที่เราไปค้นเจอมาอีก 9 โลเคชั่น ซึ่งในแต่ละฤดูความสวยของแต่ละที่จะเปลี่ยนแปลงไป เราถึงได้บอกว่าที่นี่เที่ยวครั้งเดียวมันไม่พอจริง ๆ

001 Azuma Orchard

ที่จังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) ที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าโมโมะหรือลูกพีชของจังหวัดนี้ มันเด็ดขนาดไหน ยิ่งช่วงหน้าร้อน (กรกฎาคม – สิงหาคม) ยิ่งออกผลสวย หอมฉ่ำ สดชื่น เราแวะมาที่สวนผลไม้อัตสึมะ (Azuma Orchard) เพราะเปิดไปเจอว่า เขามี Peach Picking เป็นไฮไลท์ของสวน ในราคา 800 เยนเราสามารถเด็ดลูกพีชทานไม่อั้นถึง 30 นาที เลือกเอง เก็บเอง กินเอง ฟินเอง เคล็ดลับที่ทำให้สวนนี้ยืนหนึ่งเรื่องลูกพีช เป็นเพราะเขาพิถีพิถันเรื่องดินเป็นอย่างมาก อย่างปุ๋ยคอกก็ต้องเป็นปุ๋ยจากการหมักทับถมของใบไม้ บำรุงเลี้ยงดูทั้งกิ่งที่แข็งแรงและไม่แข็งแรงสลับกันไป ด้วยการดูแลอย่างดีทำให้ลูกพีชที่นี่เป็นเมนู must try ของจังหวัด ถ้าใครมาช่วงฤดูอื่น เขาก็มีผลไม้ตามฤดูกาลให้เราเก็บได้เช่นกัน อาทิ แอปเปิ้ล องุ่น เชอร์รี่ เป็นต้น

ซึ่งสายพันธุ์ของลูกพีชที่นี่ก็มีหลากหลายให้เราได้เปรียบเทียบกันให้เห็นจะจะว่าชอบแบบไหน ใครชอบรสสัมผัสแบบแข็งหรือนิ่ม เนื้อฉ่ำน้ำหรือแน่นปั๊ก ก็สามารถเลือกได้ แต่ที่ได้เหมือนกันคือความสด ความกรึบที่เราเด็ดออกมาจากต้นเองกับมือนี่แหละ เราเดินเข้าไปในสวนที่มีต้นพีชขึ้นต่ำ ๆ แต่ลูกเนืองแน่นแบบใช้เวลาทั้งวันก็เก็บไม่หมด สีสวยพาสเทลชมพู เขียวให้ความรู้สึกหวานตั้งแต่ยังไม่ทันได้ชิม และการเด็ดลูกพีชที่ถูกต้อง ควรเด็ดจากข้างล่างตรง ๆ ไม่บิดตัวผล สำหรับมือใหม่ถ้าเด็ดตรง ๆ อาจจะร่วงลงมาทั้งต้นก็ใช้มือนึงจับกิ่งแล้วอีกมือเด็ดออกมาน่าจะถนอมน้องได้ดีที่สุด ถ้าใครคิดว่าเก็บสดมันยังแข็งไป ลองทานแบบที่เก็บมาแล้ว 1 วันจากเต็นท์ภายในสวนแบบน้ันจะนุ่มกำลังดีเลยแก.. สำหรับการเก็บทานสามารถเก็บทานได้เฉพาะในสวน เก็บกลับบ้านไม่ได้นะฮะ

002 Ouchi-juku

ในบรรดาหมู่บ้านสมัยเอโดะหลายแห่งที่กระจายอยู่ทั่วญี่ปุ่น อีกหนึ่งชื่อที่ทุกคนต้องหาโอกาสไปเยือนสักครั้งควรมี โออุจิ จูคุ หมู่บ้านโบราณกลางหุบเขาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของจังหวัดฟุกุชิมะ ที่นี่เราจะได้สัมผัสความสโลว์ไลฟ์แบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ผ่านถนนเส้นหลักของหมู่บ้านที่ถูกขนาบข้างเรียงรายไปด้วยบ้านเรือนชาวนาโบราณมุงหลังคาทรงหญ้าคาหนา ๆ ที่ตอนนี้ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นร้านขายของฝาก คาเฟ่ รวมถึงร้านอาหารมากมายที่มีเมนูสุดคลาสสิคอย่างโซบะเป็นไฮไลท์กับความเก๋ไก๋ที่ไม่เหมือนใคร คือเขาให้เราใช้ต้นหอมยักษ์ตักเส้นแทนตะเกียบ โอ้โห!!!! งานนี้ใครหลงรักความสงบ เรียบง่าย ความเป็นธรรมชาติ ตามแบบฉบับชนบทญี่ปุ่นมีตกหลุมรักแน่นอนจ้า

สำหรับ โออุจิ จูคุ แห่งนี้ เหมือนจะดูรุ่งเรืองกว่าหมู่บ้านเอโดะที่อื่น ๆ นั่นเป็นเพราะสมัยก่อน ตรงนี้เป็นเมืองแวะพักสำหรับพ่อค้า เนื่องจากอยู่ริมถนนชิโมสึเคะ (Shimotsuke) ถนนเส้นหลักสำหรับเดินทางค้าขายระหว่างอาณาจักรไอสึ (Aizu city ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด Fukushima และจังหวัด Niigata) และเมืองอิไมชิ (Imaichi จังหวัด Tochigi) และเส้นทางเป็นไปอย่างยากลำบากไกลถึง 130 กม. ทุกคนจึงต้องแวะพักแรม และหาอาหารจากหมู่บ้านนี้ จนภายหลังมีการเปิดเส้นทางใหม่ ที่นี่ก็เงียบเหงาลงไปตามกาลเวลา เมื่อทางการเห็นถึงความสำคัญ และร่วมมืออนุรักษ์บ้านโบราณหล่านี้ ส่งเสริมให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จึงเริ่มคึกคัก คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักเดินทาง จนเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

อาชีพส่วนใหญ่ของคนพื้นที่ นอกจากทำการเกษตรแล้ว ก็คงจะเป็นการค้าขายที่ขายทั้งของฝากและขนมที่เป็นซิกเนเจอร์ของเมือง ทั้งขนมโบราณ ของเล่นวินเทจสไตล์ญี่ปุ่น เครื่องใช้ที่ทำจากไม้ต่าง ๆ ตลอดทางเดิน 500 เมตร บนถนนเส้นหลักของหมู่บ้าน การได้เห็นหมู่บ้านในหุบเขา ห้อมล้อมด้วยพืชพรรณธรรมชาติใหญ่โตแบบนี้ อากาศมันสดชื่นมากจริง ๆ นะ มิน่าคนเฒ่าคนแก่ที่นี้ถึงยังแข็งแรง มีกำลังในการทำงานกันอยู่

สำหรับเมนูขึ้นชื่อที่พลาดไม่ได้คงจะหนีไม่พ้น บะหมี่โซบะต้นหอม (Takato Soba) และปลาเทร้าต์ย่าง ที่กินแบบกรรมวิธีญี่ปุ่นโบราณประหนึ่งเราเป็นนักเดินทางสมัยเอโดะ คือใช้ต้นหอมญี่ปุ่นตักเส้นขึ้นมาแทนตะเกียบ อันนี้คือ..วัดสกิลการตักอาหารของเรามาก ๆ  กินไปตะคริวจะกินนิ้วไปด้วย เกร็งแบบสุดกว่าจะได้แต่ละคำ แต่เชื่อเถอะว่ามันเป็นอรรถรสที่หาไม่ได้ที่ไหนแล้ว มาที่รสชาติเส้นโซบะกันบ้าง ..เส้นเหนียวนุ่มกินพร้อมซุปหวานอ่อน ๆ เค็มหน่อย ๆ แต่กลมกล่อมพร้อมกลิ่นหอมที่โชยตีจมูกเพราะโดนความร้อนของซุปนั้น เป็นความผสมผสานที่สร้างความสุขสมให้เราได้ไม่น้อย กินแกล้มกับปลาเทร้าต์ประจำท้องถิ่นย่างเป็นโปรตีนเสริม จากโซบะหน้าตาธรรมดา แต่ถ้ามีพรีเซ้นท์แปลกตาเสริมรสชาติให้ดีขึ้น มันก็กลายเป็นจานโปรดได้เหมือนกันนะ

ถ้าโซบะต้นหอมยักษ์ดูธรรมดาเกินไปสำหรับสายหวาน ขอแนะนำให้พวกเธอออกเดินทางตามหาความกิ๊บเก๋ของไอศกรีม ณ หมู่บ้านแห่งนี้ ที่ทางเรามั่นใจว่าไม่น่าจะหาทานที่ไหนได้ในญี่ปุ่นนั่นก็คือ ไอติมโซบะ เอาจริง ๆ คือเนื้อเหมือนซอฟเสิร์ฟทั่วไป แต่มันแปลกที่เป็นรสและกลิ่นโซบะที่ออกหวาน ๆ หน่อยนี่แหละ โดยรวมก็คือใช้ได้อยู่เด้ออออออ ….

หากเดินชิล ๆ กินคาวร้านนั้นนิด ชิมหวานร้านนั้นหน่อย เรื่อย ๆ จนสุดทางหมู่บ้าน เราขอแนะนำให้เดินตามคนหมู่มากขึ้นเนินเขาต่อไปอีกสักหน่อย พวกเธอก็จะได้พบกับภาพปั๊วะปังอลังการเว่อร์ เห็นบ้านเรือนโบราณกว่า 40-50 หลังคา ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาแบบนี้เลย เป็นมุมที่สวยจับใจมาก แบบว่าใครไม่ได้กดซัตเตอร์มุมนี้คือพลาดมาก

ในส่วนของสายมูที่ไปไหนต้องได้รับพร … แนะนำให้เลี้ยวซ้ายจากถนนเส้นหลักลอดเสาเสาโทริอิไม้ แล้วมุ่งหน้าเดินต่ออีกสัก 15 นาที ก็จะพบกับ ศาลเจ้าทะคะคุระ ( Takakura Shrine) ที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของเทพผู้พิทักษ์ และที่ประดิษฐานของเจ้าชายโมจิฮิโตะ สมาชิกของราชวงศ์จักรพรรดิสมัยศตวรรษที่ 12 บรรยากาศภายในศาลเจ้าเงียงสงบ และร่มรื่นจากเงาของต้นซีดาร์ขนาดใหญ่อายุกว่า 800 กว่าปี ที่สูงกว่า 56 เมตร เพราะฉะนั้นจะแวะไปก็สำรวมกันด้วยนะทุกคน

003 Sannokura Kougen

พื้นที่กว้างใหญ่บนที่ราบสูง ซันโนะคุระที่เห็นนี้เป็นทั้งสวนดอกไม้ และลานสกีในที่เดียวกัน ด้วยความใหญ่ขนาดเท่ากับ 200 สนามบาสเก็ตบอล ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดของจังหวัดฟุกุชิมะในทันที เราเห็นนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเข้ามาไม่ขาดตา ในฤดูหนาวที่นี่เป็นลานสกีสุด Extreme มีสกีรีสอร์ทและจุดชมวิว มองเห็นเมืองที่อยู่ด้านล่าง ช่วงใบไม้ผลิก็จะเต็มไปด้วยดอกนาโนะฮานะกว่า 2.5 ล้านต้นสีเหลืองสลับเขียวขึ้นเต็มภูเขา และในซัมเมอร์ที่เรามาก็จะเป็นดอกทานตะวันดอกโต ๆ ตูม ๆ มากกว่า 1.5 ล้านดอกเลยแกเอ้ย สีสันสดใสซ่าบซ่า เหมาะแก่การถ่ายรูปมาก ๆ ซึ่งจะมีช่วงต้นสิงหาคมถึงต้นกันยายนเท่านั้นนะ ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่เที่ยวได้ตลอดปี มาเช็คอินกี่ทีก็ได้ฟีลลิ่งไม่ซ้ำกันแน่นอน

004 Tatsuzawafudo Falls

แม้จะมาเที่ยวช่วงฤดูร้อน แต่ที่นี่ก็จะเย็นชุ่มฉ่ำอยู่เสมอ ๆ กับ Tatsuzawafudo Falls น้ำตกฟอร์มสวยงามที่ตั้งอยู่กลางป่าอันอุดมสมบูรณ์ ในเขตอุทยานแห่งชาติ Urabandai เมือง Inawashiro จากจุดจอดรถ เราเดินเท้าขึ้นเนินเขาตามแนวลำธาร เป็นทางเดินง่าย ๆ รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียวสด มองดี ๆ มันคือต้นเมเปิ้ล ฉะนั้นถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วง ป่าทั้งผืนจะต้องเต็มไปด้วยสีเหลือง ส้มสลับแดง และในช่วงฤดูหนาวก็มีหิมะขาวโพลน เชื่อว่าต้องได้ภาพที่สวยทุกฤดูแน่ ๆ

ระหว่างทางเราจะเห็นประตูศาลเจ้าที่ทำจากไม้รูปทรงเหมือนประตูโทริอิ ซิกเนเจอร์ของวัดญี่ปุ่น และศาลเจ้าเก่าแก่ให้แวะไหว้ขอพรกัน ไม่ถึง 10 นาที เราก็ได้พบกับน้ำตกสูง 16 เมตร เสียงน้ำตกกระทบหินด้านล่างดังจนน่าเกรงขามมาแต่ไกล เมื่อเข้าไปใกล้เราก็จะรับรู้ถึงละอองน้ำเย็นเบา ๆ สัมผัสผิว ทำให้รู้สึกสดชื่น เย็นสบายสุด ๆ หน้าฉากเต็มไปด้วยต้นไม้ ทำให้ภาพที่เราเห็นเหมือนกับภาพโฆษณาสถานที่ท่องเที่ยวตามบิลบอร์ดเลยล่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงเป็นจุดหมายของเหล่าช่างภาพ ที่ตั้งใจเดินทางมาฟุกุชิมะอยู่เรื่อย ๆ

005 Goshiki Numa

ในพื้นที่อุทยาน Urabandai ของฟุกุชิมะจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มากมาย แต่ที่ควรต้องไปก็คือ Goshiki Numa กลุ่มทะเลสาบหรือบ่อน้ำห้าสี หนึ่งในแลนด์มาร์กสุดคูลที่ได้อยู่ในมิชลินกรีนไกด์ปี 2016 ที่นี่เกิดจากกระเบิดของภูเขาไฟบันไดเมื่อปี 1888 ทำให้หินขนาดใหญ่ถล่มมาปิดกั้นแม่น้ำไว้ จนเกิดเป็นทะเลสาบหลายสิบแห่ง โดยแต่ละทะเลสาบจะมีเฉดสีที่สวยงามต่างกันไปจากแร่ธาตุของแต่ละบ่อ

ซึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเลยจะเป็น Aonuma Pond สีของทะเลสาบนี้จะเป็นสี emerald green-blue เด่นชัดที่สุด รอบ ๆ ทะเลสาบเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่แซมด้วยทุ่งหญ้าที่ขึ้นสูง สีฟ้าเขียวตัดกันน่ารักน่าชังเชียวล่ะ ถือเป็นจุดชมผลงานสุดมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้สร้างไว้เลย

ส่วนทะเลสาบที่ใครไปยังไงก็ต้องเจอคือ Bishamonnuma ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เป็นทะเลสาบหลักที่ใหญ่ที่สุด น้ำสี turquoise blue กว้างสุดตา แม้จะมีนักท่องเที่ยวอยู่เยอะแต่กลับเงียบสงบ มีปลาคราฟสีขาวแดงส้ม คู่สีตัดกับบ่อน้ำแหวกว่ายสวยงาม เราสามารถเช่าเรือพายมาพายเล่นได้ ราคาอยู่ที่ 700 เยน/30นาที เท่านั้น เหมาะกับการมาเที่ยวสวย ๆ ไม่ต้องเหนื่อย อย่างเดทกับแฟน และเที่ยวแบบครอบครัว แต่ถ้ามากับเพื่อนเหรอ.. โน้น ไปไฮกิ้งขึ้นเขาเที่ยวบ่ออื่นเลยค่ะ มันส์แน่

006 Kuru Kuru

ท่ามกลางราเมนกว่า 100 ร้าน Kuru Kuru คืออีกหนึ่งตำนานของเมือง Kitakata ที่พวกเธอจะพลาดไม่ได้ ภายใต้ตึกพาณิชย์ทรงญี่ปุ่นเก่าแก่ ด้านในเค้าตกแต่งแบบบ๊านบ้าน มีให้เลือกนั่งทั้งแบบโต๊ะหันหน้าชนกำแพงและบนเสื่อทาทามิ ถึงแม้ร้านเปิดขายแค่ตอนเที่ยงและตอนเย็น (ช่วง 11:00 – 15:00 น. และ 17:00-20:00 น. ปิดทุกวันจันทร์) เราก็เห็นคนท้องถิ่นเดินเข้าออกไม่ขาดสาย

ที่นี่มีซุปให้เลือก 2 แบบ คือ โชยุ และมิโสะ มีข้าวผัด และเกี๊ยวซ่าขายตามตำราร้านราเมนทั่วไปเลย แต่ความเด่นดังของอาหารจะอยู่ที่ซุปน้ำมิโสะข้น ๆ กลมกล่อมแบบไม่ต้องปรุง หมูชาชูของเขายังเป็นเนื้อหมูแทรกมันเป็นชั้น ๆ ทรงสี่เหลี่ยม ที่กัดเข้าไปมันแทบจะละลายในปาก เมื่อกินกับเส้นหนึบ ๆ ที่น้ำซึมเข้านิด ๆ แล้วมันโคตรจะฟิน เรียกว่าซดจนหยดสุดท้ายเลยทีเดียว สำหรับความเผ็ดสามารถเลือกได้ตั้งแต่ระดับ 1-10 ซึ่งเป็นความเผ็ดจากพริกเผาหอม ๆ 

007 Ton-Tei

ร้าน Ton-Tei ตั้งอยู่ที่เมือง Aizuwakamatsu ขายข้าวหน้าหมูทอดทงคัตสึยืนหนึ่งแห่งฟุกุชิมะเลยทีเดียว เพราะเปิดมายาวนานกว่า 50 ปีแล้ว ด้วยซอสราดสูตรพิเศษที่เขาคิดค้นขึ้นเอง ทำให้มีรสชาติฉ่ำน้ำเปรี้ยวหวานแอบเผ็ดนิด ๆ เป็นเอกลักษณ์จนคนติดใจ ส่วนหมูก็พิเศษไม่แพ้กันเพราะเขาคัดหมูชั้นดีจากฟาร์ม Egoma ฟาร์มที่ขึ้นชื่อของจังหวัด ซึ่งผ่านการเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดที่สร้างกรดไขมันจนได้เนื้อเป็นแบบ Lion มีความชุ่ม มีมันแทรกมากกว่าหมูทั่วไป นำมาชุบแป้งทอดจนกรอบนอกนุ่มใน Juicy ทุกคำที่กัด แกล้มกับผักสด ๆ ของท้องถิ่น ซดคู่กับซุปมิโซะลื่นคอแล้วก็คือสวรรค์ที่รอคอย เที่ยวเหนื่อย ๆ มาเจอจานนี้คือหายเป็นปลิดทิ้งเลยจ้า

008 Kakure Kura AIYA 

อ๊ะอ๊ะ.. สำหรับสาวนักถ่าย ที่อยากจะเป็นนางแบบคิ้วท์ ๆ อยากมีมุมคาวาอิใส่ชุดกิโมโน ยูกาตะเดินเที่ยวย่านเมืองเก่าบ้าง ทางเราก็มีมาแนะนำเช่นกัน ที่ร้าน Kakure Gura AIYA ในเมือง Aizuwakamatsu นี่ล่ะ ด้วยความที่เมืองนี้ไม่ใช่ที่เที่ยวหลัก ทำให้ตึกรามบ้านช่องเขายังเป็นแบบเก่า เดินเข้าตรอกซอกซอยมีทั้งบ้านไม้ทรงญี่ปุ่น บ้านอิฐสีดำหลังคากระเบื้อง มีร้านอาหาร ร้านคาเฟ่เงียบ ๆ แสนโลคอล มองไปไกล ๆ ก็มีแต่ทุ่งหญ้าและภูเขา ไม่มีตึกสูงให้รกตา เหมือนเราได้ย้อนเวลากลับไปสมัยเอโดะเลย ฉะนั้นการใส่ชุดกิโมโนและยูกาตะมาเดินถ่ายรูปหาขนมกินเล่นก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลยสำหรับเมืองนี้

009 Tsuruga Castle

แม้ปราสาทแต่ละจังหวัดจะหน้าตาคล้ายกัน แต่ถ้าลองสังเกตดูจริง ๆ ก็จะเห็นเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าสนใจต่างกันไป อย่าง Tsuruga Castle แลนด์มาร์คสุดยิ่งใหญ่ของเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปราสาทไร้พ่าย จะโดดเด่นด้วยตัวปราสาทสีขาว หลังคากระเบื้องสีแดงของเท็นซุ ซึ่งตามประวัติศาสตร์คือสร้างในศตวรรษที่ 14-17 ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านรอยร้าวของสงคราม และการสร้างใหม่มาหลายครั้ง กว่าจะมายืนหยัดให้เราชมความยิ่งใหญ่เช่นวันนี้ ปัจจุบันด้านบนเป็นจุดชมวิวแบบพาโนราม่า เห็นตึกสมัยใหม่ของเมือง Aizuwakamatsu ที่ด้านหลังเป็นทิวเขาสูงใหญ่สวยงาม

นอกเหนือจากปราสาทสวย ๆ แล้ว ที่นี่ยังมี Tsuruga Castle Park สวนสาธาณะเป็นลานหญ้ากว้างใหญ่ พร้อมต้นไม้ล้อมรอบ เป็นอีกจุดชมดอกซากุระยอดนิยมของเมือง ถัดไปอีกนิดก็จะเจอโรงน้ำชารินคาคุ (Tea room Rinkaku) ที่คอยต้อนรับชงชาให้แก่นักท่องเที่ยวแบบ Traditional เสิร์ฟคู่กับขนมญี่ปุ่นอย่างโมจิ หรือจะศึกษาประวัติศาสตร์เพิ่มอีกหน่อยที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima Prefectural Museum) และพิพิธภัณฑ์สาเกไอซึ (Aizu Sake Musuem) ก็ได้เช่นกัน ซึ่งถ้าทำทั้งหมดนี้เราก็คิดว่าคงใช้เวลาเที่ยวเกือบครึ่งวันเลยล่ะ

เชื่อหรือยังว่าฟุกุชิมะเที่ยวฤดูไหนก็เก๋ มาช่วงไหนก็ได้รูปเท่ ๆ กลับบ้านไปอัพลงโซเชียลได้ยาว ๆ ที่รีวิวให้ดูทั้งหมดนี้เป็นแค่น้ำจิ้มเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเสี้ยวเดียวที่จังหวัดนี้มี ถึงแม้ไม่ใช่เมืองเที่ยวหลัก แต่ก็ชนะใจเราได้ด้วยความสงบ รู้สึกถึงการพักผ่อนที่แท้จริง อบอุ่นจากผู้คนที่คอยต้อนรับ ฮีลร่างกายได้ด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสวยงาม เพิ่มพลังจิตวิญญาณให้กลับมาทำงานก้าวข้ามชีวิตที่วุ่นวายได้อีกครั้ง บอกเลยว่าครั้งหน้าที่นี่ก็ยังเป็นช้อยส์แรก ๆ ที่เราจะเลือกกลับไปอีกอย่างแน่นอน