รีวิวญี่ปุ่น :: Best place to visit in Mie, Japan

คอนนิจิวะ … หากใครกำลังรอแพลนเที่ยวญี่ปุ่นอยู่ บอกเลยว่าทริปนี้ดีดี๊คุ้มค่าสมการรอคอยแน่นอน เพราะคราวนี้เราขอพาทุกคนไปเที่ยวเป๊ะ ๆ กันที่ มิเอะ “Mie” จังหวัดในภูมิภาคคันไซ ผู้เป็นเลิศในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมนับพันปี วิถีชีวิตที่หาดูได้ยาก สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ จุดชมวิวปัง ๆ เทศกาลประดับไฟอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ตลอดจนอาหารคาวหวานมากมาย งานนี้รับรอง 14 โลเคชั่น ที่ทางเราคัดมาจะต้องเลอค่าครบเครื่องเรื่องมิเอะแน่นอน และเพื่อไม่ให้เสียเวลา … ตามมาดูความสุโก้ยได้เลยจ้าพี่จ๋า

001 Oharai-machi and Okage Yokocho Street

โลเคชั่นแรกขอพาไปเดินฟินกันที่ Oharai-machi ถนนคนเดินที่มีร้านค้ามากมาย ภายใต้สถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นโบราณสมัยเอโดะ บ้านเรือนเตี้ย ๆ พร้อมหลังคากระเบื้องสีเข้มเรียงเป็นแถวดูสวยงามยาว 1 กิโลเมตร ของที่วางขายก็เป็นไปในทิศทางเดียว ส่วนใหญ่เป็นของพื้นเมือง และอาหารพื้นเมือง ที่ชอบมาก ๆ คือเขาขายของไม่ค่อยซ้ำกันเท่าไหร่

ภายใต้ร้านขนมมากมายตลอดทาง จะมีอยู่หนึ่งร้านที่ไม่ควรพลาด AKAFUKU MOCHI ร้านน้ำชาที่อายุกว่า 300 ปี และมีเมนูดึงลูกค้าให้มาต่อคิวยาวเหยียด คือ โมจิไส้ถั่วแดงที่เราคิดว่าน่าจะได้อินสปายเรชั่นมาจากซุปเปอร์แมน เพราะเป็นโมจิที่เอาไส้มาไว้ข้างนอกวางทับก้อนแป้งโมจิอีกทีนึง การออกแบบขนมนี่มีความหมายนะจ๊ะเพราะการปั้นถั่วแดงเป็นริ้วมันแฝงถึงแม่น้ำ Isuzu ที่ไหลผ่านศาลเจ้าอิเสะและแป้งโมจิด้านล่างก็เปรียบเสมือนเป็นก้อนกรวดที่อยู่ใต้น้ำ เมื่อเราออเดอร์เสร็จโมจิจะถูกเสิร์ฟพร้อมน้ำชามาในถาดเดียวกันเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและการแบ่งปันน้ำใจที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ปูสตอรี่มีมาขนาดนี้เรื่องรสชาติไม่ต้องกังวลแล้วล่ะความนุ่มละมุนลิ้นของถั่วแดงและโมจิที่ทานคู่กับชาร้อนๆ มันให้ความรู้สึกที่ลงตัว กลมกล่อม จนอยากสั่งเรื่อยๆ แบบหยุดไม่ได้ขาดใจจ้าาาา

เดินเรื่อย ๆ ก็มาเจอกับ ตรอกโอคะเกะโยโคะโจ (Okage-yokocho) ที่ด้านในจะมีการแสดงพื้นเมืองให้ชมฟรี ๆ แถมตรงนี้ก็มีร้านค้ากระจายตัวอยู่รอบ ๆ ให้เลือกชิมเลือกลองเยอะมากเช่นกัน แต่ทีเด็ดมงไปลงที่ โคร็อกเกะ แสนอร่อย จากร้าน บูตะสุเตะ ที่มีอายุกว่า 100 ปี การันตีจากคนที่มาเข้าแถวยาวอยู่หน้าร้านคับคั่งตลอดเวลา นอกจากของกินจะฟินแล้ว ของฝากของที่ระลึกในตรอกนี้ก็เด็ดดวงพวงมาลัยเด้อแม่ มีสินค้าให้เลือกหลายแนวมาก

002 Ise Jingu

วัดแห่งแรกของประเทศที่มีความยิ่งใหญ่จนขนลุก เป็นต้นกำเนิดวัดศาสนาชินโต โดยเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าพระอาทิตย์ (Amaterasu) สัญลักษณ์แห่งแดนอาทิตย์อุทัย คือเราเห็นความยิ่งใหญ่ตั้งแต่เสาประตูโทริอิที่ทำด้วยไม้อันโต เรียบง่าย มีร่อยรอยของกาลเวลา ดูได้รับการดูแลบูรณะอย่างดี เต็มไปด้วยมนต์ขลัง รู้เลยว่าข้างในต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ ด้วยความเก่าแก่ที่สร้างมากว่า 2,000 ปี ทำให้ที่นี้เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ถึงกับตั้งมั่นกันเลยว่า “ต้องมากราบไหว้สักครั้งหนึ่งในชีวิต”

ภายในนี้มีศาลเจ้ามากถึง 125 ศาลเจ้าย่อย และอีก 2 ศาลเจ้าใหญ่ คือ ศาลเจ้าชั้นใน (Naiku) และศาลเจ้าชั้นนอก (Geku) ซึ่งเราสามารถเข้าถึงได้เพียง 10 % ของทั้งหมด ในส่วนที่ลึกกว่านี้มีไว้สำหรับราชวงศ์ที่สามารถเข้าไปทำราชพิธีได้เท่านั้น นอกจากประชาชนคนทั่วไปจะนิยมมาขอพรให้ชีวิตดี ประสบความสำเร็จแล้ว เหล่านักธุรกิจบริษัทใหญ่ ๆ ก็ชอบมาทำพิธีไหว้บูชาเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าประเทศนี้เขาก็มีความเชื่อที่แข็งแกร่งอยู่เหมือนกันนะฮะ

003 Yokoyama Observation deck

อีกจุดเช็กอินวิวปังแห่งนี้มีชื่อว่า ภูเขาโยโกยามา (Mt.Yokoyama) ในเมืองชิมะ (Shima) ภูเขาที่มีความสูง 203 เมตรแห่งนี้ ล้อมรอบด้วยอ่าวเอโกะ (Ago Bay) แทนที่จะเห็นภาพทะเลผืนกว้าง อย่างที่จินตนาการไว้ เรากลับเห็นภาพแผ่นดินที่แตกออกเป็นเกาะแก่ง เหมือนเป็นร่องรอยอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่สร้างเอกลักษณ์ให้มันกลายเป็นหนึ่งในวิวที่หาชมยาก เกาะแก่งที่แตกแยกออกมาจากแผ่นดินใหญ่นี้มีถึง 64 แห่ง แต่ละแห่งจะมีบ้านเรือนผู้คนแซมอยู่กับแมกไม้ที่อัดแน่นจนฟูฟ่องอย่างทีเห็น ภายในอ่าวเป็นพื้นที่การทำประมง มีฟาร์มเพาะหอยมุกกระจัดการจายอยู่ทั่ว ทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่แบบกว้าง ๆ

004 Hachiman Kamado

Hachiman Kamado กระท่อมที่เหล่า อะมะจัง หรือ สาวนักประดาน้ำ ไว้พักผ่อนเพื่ออบอุ่นร่างกายและจัดมื้อปิ้งย่างคลายหนาว สาวกปิ้งย่างอย่างเราก็ไม่พลาดที่จะมาสัมผัสและลิ้มลองประสบการณ์นี้ ซึ่งสำหรับเรารู้สึกคุ้มค่ามากเว่อร์ เพราะตั้งแต่เปิดประตูกระท่อมเข้าไปมันสัมผัสได้ถึงความเรียลของอะมะแต่ละคนที่ฝึกฝนนับสิบปีกว่าจะมีอาชีพนักดำน้ำ ซึ่งเท่าที่รู้มาอาชีพอะมะหรือนักประดาน้ำหญิงนั้น มีเพียง 2,000 คนในญี่ปุ่น และครึ่งหนึ่งอยู่ที่มิเอะ แล้วอะมะที่อายุน้อยที่สุด คืออายุ 40 ปีเลยนะ

เรานั่งรอสาว ๆ ทั้งหลายในชุดอะมะดั้งเดิมสุดแสนคาวาอี้ นั่งย่างอาหารทะเลที่จับขึ้นมาสด ๆ จากทะเลในตอนเช้า มีหอยนานาชนิด มีกุ้งมังกรหรือกุ้งอิเสะ ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ให้เราชิมเป็นบุญปากบุญท้องด้วย นอกจากนี้ยังมีพวกเครื่องเคียงต่าง ๆ ข้าวอินทรีย์ สลัด ซุปมิโซะกุ้งมังกร สาหร่าย และปลาดิบ เสิร์ฟมาคู่กับอาหารด้วย ขณะที่ย่างไป กินไป เราก็ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของอาชีพอะมะประดับความรู้ เพิ่มอรรถรสของมื้อนี้ให้แซ่บยิ่งขึ้นด้วย

สำหรับคนที่สนใจจะมาจัดปิ้งย่างที่กระท่อมอะมะ ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น ห้าม Walk in เด็ดขาด เพราะอะมะทั้งหลายต้องเตรียมอาหารแบบสด ๆ ไว้ให้เพียงพอต่อการสั่งจองแต่ละครั้งเท่านั้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและทางไปจอง http://amakoya.com/amahuthachimanreserve.htm

005 Nabana no Sato

ตั้งแต่ปลายของเดือนตุลาคมจนถึงมีนาคมของทุกปี จะมีงานโชว์ไฟ Nabana No Sato Winter Illumination Collaboration of Winter Flower โดยทั่วไปช่วงเวลา 17.00 น. มีการแสดงไฟตกแต่งบนน้ำ สีของไฟในสระน้ำกลางคืนที่มืดสนิทกับไฟประดับโบสถ์มันสวยงามอลังการมาก นอกจากนี้เดินไปเรื่อย ๆ เราก็จะเจอซุ้มอุโมงค์ไฟใหญ่อลังการดาวล้านดวง ทอดยาวไปจนถึงจุดแสดงไฟเป็นรูปฟูจิซังกับฤดูกาลและเทศกาลต่างๆ ประทับใจสุด ๆ อ้อ เราลืมบอกไปว่า การแสดงไฟยามค่ำคืนของที่นี่เป็นสวนไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นนะจ๊ะ ถ้าไม่มาก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดคำว่าพลาดอีกกี่รอบถึงจะสาสม

006 Matsusaka Bento

หากมีโอกาศได้นั่งรถไฟ KINTETSU ระหว่างเดิน เราขอแนะนำให้ทุกคนปลื้มปริ่มน้ำตาคลอไปกับ เซ็ตข้าวหน้าเนื้อมัสสึซากะ (Matsusaka Bento) ซึ่งเราเองก็เพิ่งรู้ว่าเมืองมัสสึซากะอันเลื่องชื่อนั้นตั้งอยู่ในจังหวัดมิเอะ และวันนี้ถือเป็นสิ่งดี ๆ ที่ได้ชิม Gyu-don (ข้าวหน้าเนื้อ) จาก Moo Taro Bento ที่เค้าบอกว่าเป็นกล่องข้าวที่ทำให้เรารับรู้รสชาติได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ตั้งแต่รูปทรงของกล่องที่เป็นรูปวัวสะดุดตาให้จดจำ เสียงเพลง Furusato (เพลงกล่อมเด็กญี่ปุ่น) ที่บรรเลงเมื่อเปิดฝากล่อง และเพลงนี้จะเล่นออโต้ 20,000 ครั้ง เมื่อแผ่นเซ็นเซอร์โดนแสงแดด กลิ่น รสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเนื้อมัสสึซากะของจริง และยังรับรู้ได้ถึงหัวใจของ “Ekiben” หรือ ข้าวกล่องบนรถไฟที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในญี่ปุ่น ณ จุดนี้เรายอมใจความญี่ปุ่นจริง ๆ เค้าทำไรเค้าทำสุด ทำดี มีสตอรี่ ทำด้วยใจ และมีคุณภาพจริง ๆ

007 Meoto Iwa

หากพวกเธอคือสายมู ที่กำลังท้อแท้กับความรัก อกหักรักคุด รักเขาแล้วเขาไม่รักตอบ หรือเป็นคู่รักหวานชื่น อยากให้เขาขอแต่งงานสักที เราอยากให้มาที่ Meoto Iwa หรือที่เรียกกันว่าหินแต่งงาน ตั้งอยู่ที่ศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine) เป็นหินสองก้อนตั้งอยู่คู่กันตามธรรมชาติ โดยคนโบราณเขาแทนหินก้อนใหญ่เป็นสามี และก้อนเล็กเป็นภรรยา มีธรรมเนียมเอาเชือกฟางเส้นโตมาคล้องเชื่อมทั้งสองก้อนไว้ด้วยกัน เหมือนคู่บ่าวสาวบ้านเราในประเพณีรดน้ำสังข์ ซึ่งเชื่อกันอีกว่ามีเทพ Izanagi และเทพ Izanami เทพผู้สร้างสรรพสิ่งบนโลก ให้กำเนิดเทพต่าง ๆ สถิตอยู่ ณ ที่นี้ด้วย

ถ้าลองสังเกตรอบ ๆ เราจะเห็นรูปปั้นกบอยู่ด้วย ซึ่งกบนี้มีความหมายถึงการกลับมา เป็นคำพ้องเสียงจากคำว่า Kaeru (กบ) และ Kaeri (การกลับมา) สำหรับใครที่พลัดพรากจากความรัก ณ จุดนี้ แนะนำให้ลองแวะมาขอพรดูนะ เผื่อใครคนนั้นจะกลับมาครองรักแบบนิรันดร์ บ่มีอีหยังมาพังทลาย ความฮักเฮาสองลงได้ ^^

010 Night View Yokkaichi City Factory

โลเคชั่นต่อมา … ขอพาไปว้าวกับวิวยามค่ำคืนใน Yokkaichi เมืองอุตสาหกรรมที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งความปังที่เราได้เห็นจะเป็นวิวพาโนรามาของโรงงานปิโตเลียมแห่งแรกของญี่ปุ่น ที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืน ถ้าลองซูมกล้องเข้าไปดี ๆ จะพบคนเหมือนมดตัวจิ๋วกำลังทำงานอยู่ มองออกไปไกลอีกหน่อยเราก็จะเห็นอ่าวอิเสะ กว้างใหญ่ดูแกรนด์ แม้ที่นี่เปิดให้ชมตั้งแต่ปี 2014 แต่ก็เพิ่งเริ่มเป็นที่นิยมสำหรับคนญี่ปุ่นในช่วงนี้แหละ ใครมีเวลาเยอะ แนะนำให้มาตั้งแต่ช่วงเย็น ๆ พระอาทิตย์กำลังตก เราว่าคงจะฟินมากแน่ ๆ เพราะเขามีจุดชมวิวสวย ๆ ทั้งบนตึกสูง และบนพื้นราบถึง 4 จุด คือ Yokkaichi Port Building (Umiterasu 14) , แถวสะพาน Taisho, โรงงาน Showa Yokkaichi Sekiyu  และ Yokkaichi Dome 

011 Tonteki Chen Kintetsu

หนึ่งในมื้อเย็นวันที่ไม่ควรพลาดขอยกให้อาหารจานเด็ดประจำเมือง Yokkaichi เมนูที่ขึ้นชื่อลือชาจนมีขายอยู่ทั่วประเทศนั่นก็คือ Tonteki ที่แปลง่าย ๆ ton = หมู teki = สเต๊ก ก็คือสเต๊กหมูนั่นเอง เป็นเมนูที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1960 โดยเชฟร้านอาหารจีนในเมืองนี้ ที่อยากตอบสนองความต้องการของลูกค้าชนชั้นแรงงานในเมืองอุตสาหกรรม กับอาหารดี ๆ ในราคาเอื้อมถึง ความครีเอทนี้ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นอีกหนึ่งเมนูสุดป๊อปของญี่ปุ่น ซึ่งร้าน Tonteki Chen Kintetsu นี้ก็เป็นร้านขวัญใจคนท้องถิ่นที่เราได้รับคำแนะนำจากคนญี่ปุ่นเองเลย

แม้หน้าตาจะดูธรรมดา แต่ด้วยความญี่ปุ่น ..​ รายละเอียดมันจะต้องมีมากกว่านั้นแน่นอน เพราะหมูที่นำมาใช้จะต้องเป็นหมูที่เลี้ยงด้วยข้าวโพด ทำให้เนื้อไร้กลิ่นสาบ รสกลมกล่อม มันน้อยกว่าเนื้อหมูธรรมดา โดยใช้เนื้อส่วนซี่โครงที่ติดมันตรงปลายเล็กน้อย ผัดกับซอสสูตรพิเศษ และกระเทียมฝานบาง ๆ ด้วยความที่เนื้อเขาหั่นแบบชิ้นหนาทำให้ดูไม่แห้ง พอกัดเข้าไปมันมีความชุ่มฉ่ำด้วยความสุกที่พอดี เคียงด้วยข้าวร้อน ๆ และกะหล่ำปลีแบบเติมได้ไม่อั้น ทุกอย่างตัดกันได้ดีมาก เหมือนสวรรค์อยู่ตรงหน้า เราจะหนีไปไหนได้ล่ะ

012 Tempura Tobari

อาหารบางอย่างมีเงินอย่างเดียวไม่ได้นะจ๊ะ เราต้องมีความพยายามด้วย เพราะร้าน Tempura Tobari ที่เราจะแนะนำนี้ เขาได้ดีกรีมิชลิน 1 ดาว ถือเป็นร้านอาหารในชนบทเพียงไม่กี่ร้านที่ได้รางวัลนี้ ทำให้ใครที่อยากลิ้มลองจะต้องจองล่วงหน้ามาก่อน ซึ่งทางร้านมีเสิร์ฟทั้งแบบโอมากาเสะ (Chef’s table พอร์ชั่นเล็ก ๆ หลาย ๆ จาน) และแบบจานเดียว ดาวมิชลินที่ได้นั้นติดมาจากเชฟ Tohari หน้ามนยิ้มสวยคนนี้นี่แหละ ซึ่งเดิมเขาทำอาหารอยู่ที่โอซาก้า ได้รับดาวมิชลินติดตัวมาแล้ว 5 ปี จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะเมืองชิมะเป็นแหล่งที่มีวัตุดิบคุณภาพชั้นเยี่ยม จากคุณภาพและรางวัล เมื่อได้เห็นราคาก็รู้สึกว่าดีงามมากเว่อร์

013 Tofuya by the Isuzu-gawa river

ที่นี่จะเปลี่ยนความคิดของเรากับเต้าหู้ไปอย่างสิ้นเชิง Tofuya ร้านขายอาหารที่ใช้เต้าหู้เป็นวัตถุดิบหลัก มีคติประจำใจว่าความสดใหม่เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เต้าหู้อร่อย เขาจึงทำเต้าหู้สดใหม่เสิร์ฟทุกวัน ส่วนเมนูที่เราได้มานั้นคือชุดเต้าหู้รวมมิตรที่ทุกจานคือเต้าหู้ เอามาต้ม ห่อข้าว ย่าง ราดน้ำเชื่อมเป็นของหวาน น้ำเต้าหู้ 100% ตอนแรกกล้า ๆ กลัว ๆ พอกินคำแรกเท่านั้นแหละ รู้ตัวอีกทีก็หมดแล้วทั้งเซ็ต ล้วนแล้วแต่เด็ดทุกอย่าง กินไปชมวิวแม่น้ำที่กำลังไหลเอื่อย ๆ ไปสงบแบบฟินมากเลยเธอ

014 Shima Spain Village

เอ๊ะ ๆ ที่นี่ที่ไหนใช่หรือญี่ปุ่นหรือเปล่านะ?? ใช่จ่ะ.. เมืองที่เหมือนเทพนิยาย ห่างไกลเมืองใหญ่ในภาพนี้คือ Shima Spain Village สวนสนุกแบบธีมพาร์ค ที่ทำออกมาให้เหมือนเราอยู่เมืองใหญ่ในชนบทที่ประเทศสเปน ซึ่งทำได้เหมือนมากเด้อ.. หมู่บ้านสีขาวตัดกับท้องฟ้าและน้ำทะเล พร้อมภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขายิ่งทำให้วิวที่เห็นเหมือนอยู่เมืองตากอากาศในยุโรปแบบเป๊ะ ๆ บางจุดก็มีความคล้ายดิสนีย์แลนด์อยู่กราย ๆ ด้วยนะ แค่มาเดินสวย ๆ ถ่ายรูปก็คุ้มแล้ว ยิ่งสายชอบเครื่องเล่นยิ่งคุ้มเข้าไปใหญ่เพราะเขามีรถไฟเหาะหลายรูปแบบ แถมด้านในก็มีร้านค้าให้ชอปปิง เรียกว่าเอาใจนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการต่างกันได้อย่างครบรสเลยแหละ แต่สำหรับสายถ่ายรูปอย่างเรา คือเพลินตั้งแต่บ่ายยันค่ำไปเลยจ้า

เห็นมั้ย .. ว่ามิเอะรอบนี้ครบรสครบเครื่องเป๊ะทุกองศาจริง ๆ บอกเลยว่าแต่ละที่นั้นรถไฟถึง เดินทางง่ายไม่หลงแน่นอน จะเซฟรูปจากรีวิวเราไปเปิดถามทางคนแถวนั้นก็ได้นะ จากเมืองชนบทสู่เมืองหลวงแห่งสีสัน ความแตกต่างทางวิถีชีวิต และบรรยากาศที่แค่นั่งรถไฟไม่กี่ชั่วโมงก็เปลี่ยนฟีลเหมือนอยู่คนละที่แบบนี้ คงหาที่ไหนไม่ได้แล้วล่ะถ้าไม่ใช่ญี่ปุ่น ตามมาเที่ยวกันเยอะ ๆ นะเรารออยู่