รีวิวภูเก็ต :: Exquisitely Secluded and Luxuriously Close to Nature “Island Escape by Burasari”

ก่อนอื่นแนะนำว่าควรอ่านพร้อมกับจิบไวน์ดี ๆ เพราะภูเก็ตคราวนี้ลัคชัวรี่มากเว่อร์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านั่งเรือเพียง 15 นาที จากเมืองใหญ่ เราก็ได้พบกับ “เกาะมะพร้าว” ที่ไม่เพียงแต่เนืองแน่นไปด้วยต้นมะพร้าวสมชื่อ ยังเป็นที่เลื่องชื่อเรื่องธรรมชาติแสนสมบูรณ์ แถมยังเงียบสงบชวนหย่อนใจ จะช้าไม่ได้ … รีบเก็บเสื้อผ้าตามมา เพราะเวลา 2 วัน 2 คืน ต่อจากนี้ เราจะพาทุกคนไปทรีตร่างกายให้ฉ่ำปอด นอนหลับพักผ่อนให้ฉ่ำใจ ตื่นมาสดใสราวกับซ้อมขึ้นสวรรค์ ณ Pool Villa สุดหรูของ Island Escape by Burasari รีสอร์ทแสนดีย์ที่เช็คอินปั๊ป ก็รับพรีวิวเลจการใช้ชีวิตในฝันทันที งานนี้แทบไม่ต้องออกไปไหน สามารถใช้ชีวิตครบจบในที่เดียว การันตีความเพอร์เฟคไร้ที่ติ ดีงามจนอยากเสนอที่นี่ไว้เป็นในลิสต์ที่พักในฝันสำหรับทุกคนเลยจ้า

Day 1

จากเมืองหลวงสู่เมืองเกาะ เราบินด้วย Thai Vietjet Air สายการบินราคาน่ารัก ที่นั่งสบาย มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปภูเก็ตให้เลือกได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ที่สำคัญโปรโมชั่นมาบ่อยมาก สนใจจองสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vietjetair.com และเพียงชั่วโมงนิด ๆ วิวตึกสูงระฟ้าก็กลายเป็นท้องทะเลสีครามอันกว้างใหญ่ หลังจากลงเราเครื่องอย่างปลอดภัย รับสัมภาระที่อัดแน่นไปด้วยพร้อพถ่ายรูป และชุดพริ้ว ๆ เป็นที่เรียบร้อย ก็มีรถจากทางโรงแรมมารับพาไปลงเรือที่ท่าเรือแหลมหิน พร้อมสต๊าฟคอยบริการ โดยที่ทางเราแทบไม่ต้องแตะกระเป๋าตัวเองเลย เรียกว่าประทับใจกันตั้งแต่นั่งเครื่องยันเหยียบลงบนเกาะมะพร้าวเลยทีเดียว

หลายคนคงเพิ่งเคยได้ยินชื่อเกาะมะพร้าวเป็นครั้งแรก ซึ่งความจริงเกาะนี้เป็นที่นิยมในเหล่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่แล้ว​ เพราะเดินทางง่ายนั่งเรือมาแค่​ ​15​ นาที จากเมืองภูเก็ต ที่พักส่วนใหญ่บนเกาะจะเน้นความเป็นส่วนตัว​ อย่างที่​ Island Escape by Burasari ก็เช่นกัน​ แค่เดินเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงความไพรเวท สะดวกสบาย แม้จะอยู่ท่ามกลางป่าเขาและหาดทราย​ ​แต่เขาสามารถออกแบบสถาปัตยกรรม​มาได้พรีเมี่ยม​ ทันสมัย น้อยแต่มากอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างไม่ขัดตา​ มีห้องพักทั้งแบบรีสอร์ท​แยกเป็นห้อง​ และวิลล่าบ้านเป็นหลัง​ มาพักผ่อนเป็นคู่รักโรแมนติก หรือมากับครอบครัวเฮฮาปาร์ตี้ ก็แฮปปี้แน่นอน

เมื่อเรือเทียบท่า​สิ่งแรกที่ได้เจอก็คือรอยยิ้มหวาน ๆ ของ Villa Host ซึ่งรอบนี้คุณดีดี้รับบทเป็นผู้ดูแล โดยระหว่างทางไปยังวิลล่าเราจะได้สัมผัสกับความสดชื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ มีกลิ่นอายธรรมชาติที่โหยหา เมื่อเปิดประตูวิลล่าเข้ามาก็ยิ่งสดชื่นขึ้นไปอีก เพราะร่มรื่นมาก มีลมทะเลเย็น ๆ พัดมากระทบผ่านผิวหน้าตลอดเวลา แล้วพอได้นั่งพัก จิบ Welcome Drink พร้อมกับการนวนต้อนรับจากพี่พนักงานยิ่งทำให้เราชื่นใจเข้าไปอีก เรียกว่าต้อนรับได้สมยศ Burasari มาก ๆ ส่วนความดีงามที่เลิฟมาก ๆ คือเราไม่ต้องเสียเวลาเช็กอินที่ล๊อบบี้ เพราะหากพักแบบ Pool Villa สามารถเช็กอินที่ห้องได้เลยจ้า

สำหรับตอนนี้เขาเปิดแบบ Pre-Opening โดยมีวิลล่าโซนหน้าหาดให้เราเลือกพักได้ทั้งหมด 15 หลัง 4 ขนาด​ หันไปทางทิศตะวันออกทุกหลัง ไม่ว่าเราจะนอนห้องไหนก็สามารถตื่นมาสวัสดียามเช้ากับแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ได้เหมือนกันหมด โดยรอบนี้เราเลือกพักแบบ TWO-BEDROOM POOL VILLA วิลล่าสองห้องนอนหนึ่งสระว่ายน้ำ ออกแบบดีไซน์ได้ลงตัวมาก ใช้ทุกส่วนของพื้นที่เพื่อความสะดวกสบายของผู้เข้าพักจริง ๆ ชนิดว่าลืมอะไรมาจากบ้าน ที่นี่เขามีให้ทุกอย่าง ความเรียบหรูที่ใช้โทนสีขาว ไม้สีอ่อนสะอาดตา พื้นปูนเปลือยขัดมันเย็น ๆ และกลิ่นอโรม่าหอม ๆ รู้สึกผ่อนคลาย ยิ่งรับรู้ได้ถึงความใส่ใจในรายละเอียด

สิ่งที่เราชอบและประทับมาก​ คือข้าวของเครื่องใช้ที่เขาเตรียมให้​ มันดูเอาใจใส่และใช้ของมีคุณภาพ​ เช่นพวกอเมนิตี้ ก็มีให้ครบทุกอย่าง เป็นผลิตภัณฑ์จาก Burasari Spa แบรนด์สปาอันดับต้น ๆ ของภูเก็ต ที่มีความหอมหวานละมุน เหมือนกลิ่นคุกกี้มะพร้าว​ ตอนอาบนี่แอบเผลอเกือบชิมไปหลายทีเลยล่ะ

สำรวจจนมาถึงส่วนระเบียง​ เพียงเปิดม่านก้าวเท้าออกมาเราก็ได้พบกับสระน้ำขนาดกำลังดีสำหรับ 4 คน​ มีแมกไม้ที่ห้อมล้อมเหมือนโอบกอดเราไว้​ มองไปเบื้องหน้าเป็นวิวทะเล พร้อมชุดเฟอร์นิเจอร์นั่งเล่นแบบ Out door กึ่งนั่งกึ่งนอน มีลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา บรรยากาศคือดีงามจริง ๆ แทบไม่ต้องออกจากห้อง นั่งเล่นกับเพื่อนตรงนี้ทั้งวันยังได้

หลังจากที่เราเดินดูรอบ​ ๆ​ วิวล่า​ ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานแล้ว ก็ถึงเวลาของการพักผ่อน​ ต่างคนต่างหามุมสงบ​ มุมสบายทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ​ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือเล่มโปรด​ เปิดเพลง​ฟีลบลูฟัง​ นอนแช่น้ำ​ในอ่าง​ แอ๊บสวยในสระ​ หรือจะนอนพักเอาแรงเพื่อไปเล่นทะเลช่วงบ่ายก็ได้หมด

ขณะที่นั่งอ่านหนังสือจนเพลิน เงยหน้ามาอีกทีแดดก็เริ่มอ่อนลง​ แสงเย็น​งาม ๆ บรรยากาศชิล ๆ แบบนี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการออกไปหากิจกรรมกลางแจ้ง ยืดเส้นยืดสายกันสักหน่อย ซึ่งที่นี่มีกิจกรรมให้เลือกทำเยอะมาก แต่ละวันไม่ซ้ำกันเลย ชอบแบบไหนเราสามารถแจ้ง Villa Host ได้เลย ครั้งนี้เราเลือกเล่นแพดเดิ้ลบอร์ด กิจกรรมมาแรงที่สุด ณ เวลานี้ ยืนทรงตัว พายไปมาอยู่กลางทะเลอันกว้างใหญ่​ ถือเป็นจุดชมวิวทะเลอันดามันที่แกรนด์สุด​ ๆ ​ไปเลย

หลังจากที่ได้เหงื่อพอเลือดฝาด เราขอพักอาบน้ำ​ แต่งหน้า​ ปล่อยผมสยาย กระโปรงบานพริ้ว แล้วไปนั่งชิลชมวิวทะเลที่บาร์ริมเขา​ ซึ่งบาร์ของที่นี่เค้าออกแบบเรียบ ๆ ใช้วัสดุที่ทำจากไม้แทบทั้งหมด ทำให้เนียนไปกับธรรมชาติบนเกาะได้อย่างดี เมนูเครื่องดื่มมีทั้ง​ cocktails และ​ mocktails ที่บาร์เทนเดอร์เขาคิดค้น ผสมมาอย่างช่ำชอง​ อยากได้รสชาติไหนสามารถรีเควสพี่เขาได้เลย ส่วนเราชอบเปรี้ยวหวานพอกรึ่ม ๆ ขอถ่ายรูปสวยไว้ก่อน จึงได้แก้วที่ฟ้าเหลืองสุดน่ารักนี้มา ที่นี่เขาจัดเสิร์ฟ​อย่างมีกิมมิก​​ โดยการใช้โปรเจคเตอร์​ยิงภาพสัตว์ทะเล​ แสนน่ารักกำลังแหวกว่ายอยู่บนโต๊ะ​สร้างความเพลิดเพลินให้เราขณะจิบ​ รสชาติเครื่องดื่มคือลงตัวชอบจนอยากมอบมงให้เลยค่ะคุณพี่

 

พอดื่มด่ำกับบรรยากาศได้สักพัก​ ขอเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อปรับโหมดเป็นสาวหวาน​ มาเดินชายหาดส่วนตัวสักหน่อย​ เพราะดินเนอร์วันนี้เขาจัดไว้ให้เราตรงนี้ ปูเสื่อจัดวางบีนแบค นั่งนอนแบบสบาย ๆ แต่สวยงามเหมือนหลุดออกมาจากพินเทอเรสต์ แม้จะอยู่บนพื้นทรายแต่ความละเอียดนุ่มเย็นของมันก็ไม่ทำให้เรารำคาญแต่อย่างใด แล้วยิ่งมีเสียงคลื่นซัดมาใกล้ ๆ กับกลิ่นหอมของทะเลแตะจมูก ฟินทุกโสตขนาดนี้ แทบอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้เลย

แม้ที่นั่งทานดินเนอร์ของเราจะกิ๊บเก๋ ชิคคูลขนาดไหน แต่อาหารที่เราสั่งมาก็คืออาหารใต้ทุกแขนง​ ทั้งแกงส้มยอดมะพร้าวอ่อน น้ำพริกกุ้งเสียบพร้อมผักสดเคียงหลากชนิด กุ้งต้มกะทิ หมูฮ่อง ฯลฯ จัดเสิร์ฟแบบไทย มีดอกไม้ทานได้วางตกแต่ง​​ ชอบที่สุดคือการเอาใบตองมาวางรองอาหาร มันยิ่งทำให้ดูมีสีสันน่าทาน และรสชาติก็อร่อยจัดจ้านจนต้องแหลงใต้ว่า “หร่อยจังฮู้!!”

Day 2

ผ่านวันแรกไปแบบกินอิ่มนอนหลับอย่างเต็มที่​ วันที่สองเราจึงตื่นมาพร้อมกับความสดใส​ รู้สึกผิวผ่อง​ มีออร่า ล้างหน้า ปะแป้ง ทาปากระเรื่อ​พร้อมลงน้ำเพื่อมาถ่ายรูปคู่กับ Floating Breakfast อาหารเช้าสไตล์ฝรั่งเก๋ ๆ กัน​ ประเพณีการทานอาหารเช้าในน้ำ​ ที่นำเทรนมาหลายปีจนตอนนี้ก็ยังคงอยู่​ ให้ทำไงได้.. ก็มันถ่ายรูปสวยนี่นา และยิ่งที่นี่เขาจัดมาให้แบบ​ in villa แสนไพรเวทจะถ่ายนานกี่ชั่วโมง​ก็ได้​ แถมจัดหน้าตาสวยงามพร้อมถ่าย​ มีทั้งออมเล็ต ไข่เบเนดิกท์ วาฟเฟิล สลัด ชีส ผลไม้ สีสันสดใสแค่ไปยืนโพสข้าง​ ๆ​ ก็ได้รูปเด็ดยอด​ like เป็น​ร้อย​แน่นอน​

แต่ถ้าใครไม่ถนัดนั่งกินริมสระ​ ไม่ชอบ breakfast แบบอินเตอร์​ เขามีตัวเลือกเป็น Local food สไตล์ภูเก็ตแท้ ๆ มาให้เลือกเช่นกัน​ บางอย่างต้องเข้าเมืองเท่านั้นถึงจะได้กิน ​ไม่ว่าจะเป็นขนมจีนน้ำยาปู แกงไตปลา ทานคู่กับใบมันปูและผักท้องถิ่น ของหวานก็หาทานยาก เพราะมีแค่ในภูเก็ตเท่านั้น เช่น ขนมสี่ขา หน้าตาคล้ายปาท่องโก๋แต่มีเนื้อแน่นกว่า และมีรสชาติหวานจากการโรยน้ำตาล, ขนมโกสุ้ยหรือขนมทรงถ้วย เหนียวหนึบทำจากน้ำตาลแดง โรยด้านบนด้วยมะพร้าวฝอย รสชาติออกหวานเค็ม เป็นต้น

หลังจากที่เมื่อวานเราทำตัวเป็นนกน้อยในกรงทอง อยู่ถ่ายภาพแต่ในรีสอร์ทแล้ว วันนี้ขอรับบทนางลุย ออกไปที่ Intara Farm เพื่อเรียนรู้การทำฟาร์มหอยมุก การเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชัง ไม่ว่าจะเป็นกุ้งมังกร หอยแมลงภู่ ปูม้าเนื้อแน่น และพายเรือคายัคชมป่าชายเลน ดูระบบนิเวศน์อันแสนสมบูรณ์ของเกาะมะพร้าว ขณะเดียวกันก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวประมง ที่หาปลาด้วยหยอง ไซ และอวนถ่วง ซึ่งบรรยากาศจะเงียบสงบ และแทบไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ เลย ชอบจนพายซะลืมเหนื่อยเลยล่ะ

แม้จะบอกว่าลืมเหนื่อย แต่แขนเจ้ากรรมก็เริ่มล้าแล้วเหมือนกัน อยากจะแช่น้ำเย็น ๆ สักหนึ่งกรุบ กลับเข้าที่พักเลยรีบเปลื้องผ้าท้าแดด มุ่งตรงมาอีกจุดไฮไลท์ของโรงแรม หรือเรียกว่าเป็นซิกเนอเจอร์เลยก็ว่าได้ คือที่สระน้ำส่วนกลางสีขาวทรงแปลกตา ถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นได้ชัดเจนว่าสระนี้ถูกออกมาให้เป็นรูปเปลือกหอย เสมือนจริงด้วยการไล่เฉดสีกระเบื้องให้เป็นแสงเงา อ่อนเข้มคล้ายสีน้ำทะเลสวยจนเสียดายที่เอาชุดว่ายน้ำมาแค่ตัวเดียว อยากจะหยิบมาถ่ายแฟชั่นเซ็ตสัก 10 ชุด เพราะถ่ายภาพยังไงก็ปังไม่ไหวจ้าพี่จ๋า

ทำกิจกรรมแน่น ๆ มาทั้งวัน ตอนนี้ขอพักร่าง … กลับมาสู่โหมดสาวหวานอีกครั้ง เพื่อเตรียมทานเซ็ต Afternoon Tea ฟีลผู้ดีอังกฤษปิกนิกริมหาด แต่ Decoration เป็นไทยสไตล์ ใช้ปิ่นโตเสิร์ฟ ภายในเป็นของว่างไทย ๆ ทั้งก๋วยเตี๋ยวลุยสวน ขนมท้องถิ่น น้ำผลไม้ ทุกอย่างที่พูดมาอาจดูย้อนแย้ง แต่ภาพที่ได้มากลับลงตัวได้อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

เพื่อวันหยุดแสนพิเศษ กับคนสำคัญที่พามาด้วย ดินเนอร์มื้อส่งท้ายทริปนี้ เราขอจัดแบบฟินเนเล่ไปเลย กับเซ็ต BBQ หรู ชนไวน์ริมชายหาด ที่มีทั้งหมู ไก่ เนื้อ ไส้กรอกโฮมเมด โดยมีเชฟระดับห้าดาวมายืน Grill ให้สด ๆ ค่อย ๆ ทำทีละไม้อย่างใจเย็น จัดลำดับอย่างดี เพื่อให้ได้รสชาติเนื้อที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีหอยนางรมทรงเครื่องตัวใหญ่ สด หวาน พร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสแซ่บที่ทานคู่กับปูม้าย่างมาหอม ๆ เข้ากันดีจนหยุดกินไม่ได้ เอาใจสายอินเตอร์ด้วยหอยนางรมอบชีส รสชาติใช่ย่อยเช่นกัน ตบท้ายด้วยขนมหวานอย่างชีสเค้กสูตรพิเศษ ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบอกเล่าถึงความอร่อย เชฟของเขาออกแบบเมนูมาได้ดีงามจริง ๆ

เมื่ออิ่มท้อง ก็ต้องเดินย่อย ในยามค่ำคืนก่อนจะเข้าห้อง เราขอแวะถ่ายรูปเป็นการส่งท้ายที่โซน Wedding Pavilion ช่วงแสงทไวไลท์เขาจะเริ่มเปิดไฟดวงกลมที่ลอยอยู่ด้านบน และวางอยู่ที่พื้นมากมาย สะท้อนลงในสระน้ำรอบศาลา มีไฟติดระยิบระยับเหมือนดาว สวยจนเหมือนอยู่ในภาพแห่งจินตนาการ ใครอยากเซอร์ไพรซ์คนรักในโอกาสพิเศษต่าง ๆ มุมนี้แหล่ะค่ะ.. ยิ่งถ้าอยากขอใครแต่งงาน น้องขอแนะนำ เพราะหญิงสาวต้องพูดว่า “แต่งค่ะ!” แน่นอน

ถ้าจะบอกว่าเพอร์เฟคก็คงไม่เกินจริงสำหรับที่แห่งนี้ ความหรูหราที่มาพร้อมกับความเอาใจใส่ ทำให้รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ใช้ไปมันคุ้มค่ามาก ๆ บางทีการพักผ่อนกับกลุ่มเพื่อน ครอบครัว หรือคนรักอาจไม่ใช่การทำกิจกรรมเยอะ ๆ หาที่เที่ยวแน่น ๆ ก็ได้นะ อย่างเรา.. แค่มีสถานที่ดี ๆ พร้อมคนที่คอยดูแล อำนวยความสะดวกได้ตลอดเวลาอย่างที่ Island Escape by Burasari แห่งนี้ เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วง Pre-Opening มักจะมีดีลพิเศษราคาดีงามอยู่ด้วยเช่นกัน เราคิดว่าทุกอย่างที่เราได้รับ สมเหตุสมผลกับสิ่งที่เราจ่ายไป แค่บรรยากาศก็หลักล้านไปแล้วนะจ๊ะ น้องขอคอนเฟิร์ม..