รีวิวญี่ปุ่น :: 14 BEST PLACES to visit in Kyoto

14 สถานที่ ที่จะทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ ของเมืองเกียวโต

คาวาอิ “เกียวโต” โอ้โหเร้าใจเว่อร์ อ่ะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวญี่ปุ่นรอบที่ร้อยหรือรอบที่พัน เรายังยืนยันคำเดิมว่าไม่เบื่อเลยจริง ๆ เพราะถ้าการเดินทางคือหนังสือเล่มหนึ่ง ญี่ปุ่นก็คงเหมือนกับเรื่องโดเรม่อน ที่ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งกี่ตอนก็ยังทำให้ตื่นเต้น สนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจ และภาวนาให้มันไม่มีวันจบแบบนี้ต่อไปอยู่เสมอ และบันทึกบทใหม่ของเราในครั้งนี้จะถูกถ่ายทอดผ่าน 14 สถานที่ ที่รับรองได้ว่าเกียวโตทริปนี้พวกเธอจะใช้คำว่า คาวาอิ ได้สิ้นเปลืองมาก ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม ธรรมชาติ ของกิน รวมคาเฟ่ต่าง ๆ ณ อดีตเมืองหลวงในช่วงฤดูหนาวที่ยังคงไว้ซึ่งความเฟื่องฟู และสำราญใจ

เอาเป็นว่าถ้าเดินทางไปญี่ปุ่นได้ปุ๊ป เราแนะนำให้หาตั๋วปั๊บ เพราะงานนีดี๊ดี การันตีความฟิน

01 Creative studio & shop ooo

เสื้อผ้าอุ่น ๆ พร้อม เราก็มาเริ่มกันที่จุดหมายแรกในย่านที่พักอาศัยอันแสนสงบ ที่ตั้งของตึกหน้าตาประหลาด ที่มีชื่อว่า “ไม่มีหน้า” ที่มีหน้าอยู่เต็มตึก เจ้าไม่มีหน้าตากลม ๆ จมูกใหญ่ ๆ และปากเป็นทางเข้าสีเหลืองนี้ทำให้เราต้องหยุดทันทีที่เห็นเพราะตกใจเป็นอันดับแรก อันดับสองคือความคิดว่า เฮ้ย!! มันเจ๋ง จนต้องรีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอย่างไว แล้วสาวเท้าก้าวเข้าร้านแบบรัว ๆ เพราะอยากรู้ว่าเจ้าตึกนี้เค้าไว้ใช้ทำอะไรกันแน่

เมื่อเดินสำรวจเสร็จก็พบว่าที่นี่คือร้านขายของที่ออกแบบโดยศิลปินทั้งในและต่างประเทศ ที่มีทั้งของทำสำเร็จแล้ว และของแบบ D.I.Y. ที่จ่ายเงินแล้วนั่งทำได้ในร้านทันที นอกจากนี้ในร้านยังมีโซนสตูดิโอสำหรับจัดเวิร์คช็อป จัดนิทรรศการ จัดงานปาร์ตี้ จัดที่ประชุม ตามแต่วาระโอกาสที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ฟีลเก๋ไก๋น่าถ่ายรูปเอามาอวดเพื่อนมาก ว่าเฮ้ย!!! ชั้นเจอที่ลับใหม่หว่ะแก๊

02 Ninen-zaka and Sannen-zaka

จุดที่ 2 คือ คือ คือเขตอนุรักษ์สถาปัตยกรรมในเขตฮิกาชิยาม่า โดยมีความยาวตลอดเส้นทางรวม 5 กิโลเมตร เริ่มจากทางทิศเหนือที่วัดโชเร็นและสวนสาธารณะมารุยามะไปทางทิศใต้จรดศาลเจ้าโยซากะและวัดคิโยมิสึ โดยตลอดเส้นทาง 5 กิโลเมตรนี้ ทั้งฝั่งซ้ายและขวาคืออาคารโบราณให้เธอหามุมถ่ายรูปโพสท่าจนขาแทบหมดแรงกว่าจะเดินหมด เพราะมุมถ่ายรูปเยอะเฟร่อ นอกจากมุมถ่ายภาพสวย ๆ ของย่านนี้แล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยรวงร้านทั้งร้านของฝาก ขนม คาเฟ่ ของกินเล่น ผู้คนที่แต่งตัวย้อนยุคอยู่เต็มไปหมด แต่ละอย่างก็ล้วนมีเอกลักษณ์สมกับความเป็นญี่ปุ่นไปซะทุกซอกทุกมุมจริง ๆ

และมุมฮิตติดลมบนสำหรับทุกคนที่มาเยือนที่พลาดไม่ได้ก็คือมุมถนนเก่าที่สองข้างทางเป็นอาคารโบราณ เมื่อมองตรงไปจะเห็นวัด Hokan-ji Temple สถานที่ตั้งของหอคอยยาซากะ หอคอยเจดีย์ 5 ชั้น มีความสูงถึง 46 เมตร ที่ถูกค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 แต่ก็ต้องมีการบูรณะใหม่อยู่หลายครั้ง ก่อนจะกลายเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเกียวโตที่ห้ามพลา

03 Higashi Tennou Okazaki-jinja Shrine

จากฟากฟ้าในจันทราสู่ตัวแทนแห่งเทพเจ้า จนกลายเป็นศาลเจ้าที่น่ารักที่สุด อย่างที่เราเกริ่นไว้แล้วว่าทริปนี้จะทำให้พวกแกใช้คำว่าน่ารักแบบสิ้นเปลืองมาก ไม่เว้นแม้แต่การเดินเข้ามายังศาลเจ้า เพราะนี่คือศาลเจ้าที่มีชื่อเล่นว่าศาลเจ้ากระต่าย แค่ชื่อก็คาว๊าอิ๊จะแย่แล้ว ยิ่งพอเดินเข้าไปแล้วพบกับกระต่ายบนโคมไฟ กระต่ายหิน กระต่ายดำ กระต่ายคู่ เครื่องรางกระต่ายน้อย ฯลฯ บอกได้เลยว่าโคตรน่าร๊ากกกกกก จนจิตใจไหวหวั่น หันไปทางไหนก็แชะ แชะ แชะ เก็บภาพแบบรัวมาก โดยสาเหตุที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเล่นว่าศาลเจ้ากระต่ายนั้นมาจากข้อสันนิฐานสองข้อด้วยกัน คือข้อแรกเชื่อว่ากระต่ายเป็นผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้า และข้อสองเป็นเพราะพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ศาลเจ้าเต็มไปด้วยกระต่ายป่านั่นเอง

สาเหตุหลักที่ผู้คนหลั่งไหลมาที่นี่นอกจากมาชื่นชมความน่ารักของเหล่ากระต่ายน้อยเหล่านี้แล้ว ก็ยังมาเพื่ออธิษฐานในเรื่องของการแต่งงานและการคลอดลูก จนทำให้มีคู่รักหลายคู่เดินทางมาที่แห่งนี้อีกด้วย ส่วนใครไม่มีคู่เค้าก็มีกระต่ายที่ไว้ขอเรื่องโชค เรื่องการเงินอยู่ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นมาไม่เสียเที่ยวแน่นอนจ้า ส่วนตัวเราได้แต่พนมมืองาม ๆ แล้วบอกเทพเจ้าว่า หากไม่ประสงค์ให้ลูกมีคู่ก็ขอให้ลูกมีเงินแทนก็ยังดีวนไป

04 Kinkakuji Temple

ค้าบบบบผม จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน พักเดี๋ยวนึงสิค้าบบบบบ แค่เห็นวัดแห่งนี้เสียงเล็กของเณรน้อยเจ้าปัญญาก็ดังขึ้นมาทันที เพราะนี่คือต้นแบบของปราสาทในเรื่องอิคคิวซังที่วัยรุ่นตอนปลายหลายคนคุ้นเคยกันดีนั่นเอง แม้ว่าที่นี่เรื่องความคาวาอิอาจไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องความสวยใสนั้นยอมใจไปเลยจ้า เพราะนี่คืออีกหนึ่งแลนมาร์คที่มาเกียวโตครั้งแรกแล้วจะพลาดไม่ได้กับวัดทองหรือวัดสวนกวาง วัดที่เป็นอาคารสองชั้นทาด้วยสีทองทั้งหลังตั้งอยู่ริมน้ำ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ยิ่งยามสะท้อนกับน้ำก็ยิ่งงดงามจนเรียกได้ว่าสวยยันเงา จนได้ขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรกดโลกในปี ค.ศ. 1994 โดยแต่เดิมนั้นอาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อาศัยหลังการสละราชสมบัติของโชกุนอะชิคากะ แต่เมื่อโชกุนเสียชีวิตลงก็ได้บริจาคให้กับวัดนิกายเซนจนถูกใช้เป็นวัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

05 Kamo River

สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ เรื่องราวก็ไม่เคยหลับใหล บนสายน้ำที่ไหลทอดยาวจากอดีตจนถึงปัจจุบันมากว่า 1200 ปีแห่งนี้ ที่นี่คือสถานที่ ๆ เหมาะแก่การมาเดินชิว ๆ ชมวิว ชมคนแบบเพลิน ๆ ในบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ของเมืองเกียวโต ไม่ว่าจะเป็นจุดกำเนิดของการแสดงคาบูกิที่ปลายแม่น้ำ ทั้งร่องรอยของดาบซามูไรในยุค 1864 อันเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของเกียวโต ทั้งปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในปัจจุบัน เราจึงขอยกให้ที่นี่เป็นที่ที่เหมาะแก่การมาเดินกุมมือกระหนุงกระหนิงกับแฟน แล้วชมพระอาทิตย์ตกอันแสนหวานจำลองตัวเองว่าเป็นชาวญี่ปุ่นสักหนึ่งวัน แต่ถ้ามาคนเดียวหรือมากับเพื่อนก็มาเดินเล่น ถ่ายรูป ชมพระอาทิตย์ตกแบบฟิน ๆ ได้ไม่แพ้กัน

06 Pontocho

ถ้าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ Kamo River ไปแล้ว ก็แนะนำให้มาเดินต่อกันที่ Pontocho ตรอกขนาดเล็กที่ตกแต่งด้วยโคมไฟสไตล์ญี่ปุ่น ให้บรรยากกาศที่ชวนเพลิดเพลินมาก ที่นี่เป็นแหล่งรวมร้านอาหารยามเย็นที่ป๊อปปูล่ามากที่สุดในเกียวโต เพราะไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน หรืออยากทานอะไรก็ล้วนหาได้จากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ร้านปิ้งย่าง ร้านอาหารแบบฟิวชั่น ร้านอาหารต่างประเทศ ก็มีให้เลือกอย่างคับคั่ง ส่วนถ้าใครยังอยากถ่ายรูปยามค่ำเราขอแนะนำให้สวมชุดกิโมโนสีสด รวบผมเปิดต้นคอยาวระหงส์สีขาว แล้วก้าวเล็ก ๆ บนเกี๊ยะไม้มาเดินถ่ายรูปคู่กับประตู หน้าต่าง ถนน โคมไฟ คนผ่านไปผ่านมา อะไรก็ว่าไป รับรองว่าไลค์อลังแน่นอนจ้า

07 Arashiyama Bamboo Grove

ไม่ว่าจะ 10 ปีที่แล้ว 5 ปีที่แล้ว 3 ปีที่แล้ว หรือตอนนี้ ต้นไผ่ที่สูงชะลูดบนทางเดินที่ทอดยาว ก็ยังเป็นสถานที่ฮิตฮอตติดลมบนของเกียวโตที่ยังคงมีคนแวะเวียนมาเรื่อย ๆ Arashiyama Bamboo Grove ตั้งอยู่หลังวัดเทนริวจิ วัดดังของย่านอาราชิยาม่า ป่าไผ่นี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ตลอดทางแม้จะไม่มีอะไรเลยนอกจากป่าไผ่ แต่มันก็เป็นเสน่ห์ของป่าไผ่แห่งนี้ที่ทำให้หลายคนต้องเดินทางมาชม ใครใคร่จะเดินเล่นชิว ๆ ตั้งแต่ทางเข้าก็ทำได้ หรือใครอยากจะได้ฟีลขึ้นมาอีกหน่อย ก็สามารถจ้างรถลากแบบโบราณก็ได้ประสบการ์ณแปลกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูป ฟังเสียงใบไผ่ที่พลิ้วไปตามลม ฟังเสียงข้อไผ่ที่เสียดสีกันเอง สูดหายใจเข้าลึก ๆ หรืออาจจะนึกถึงเหล่านินจาผู้ใช้วิชารอยเท้าเงาวิ่งวนบนป่าไผ่ ก็เร้าใจเหมือนกัน

เดินป่าไผ่เสร็จใครอยากแวะเดินเล่นแถวนี้เค้าก็มีร้านค้า ร้านอาหาร อาคารเก่า ๆ มีเส้นทางริมน้ำให้เดินเล่นชิว ๆ ถ่ายรูปได้ด้วยเหมือนกัน เพราะย่านนี้คือย่านที่มีชีวิตชีวามาตั้งแต่สมัยเฮอันหรือพันกว่าปีมาแล้วเลยทีเดียว


08 Fushimi Inari Shrine

ป้าไผ่เคียงคู่เกียวโตฉันท์ใด Fushimi Inari Shrine ก็ยืนหนึ่งคู่เกียวโตมาด้วยกันฉันนั้น เชื่อว่า 99.99% ของคนที่ชอบมาเที่ยวญี่ปุ่นจะต้องเคยมาถ่ายรูปเสาแดงที่ทอดยาวในศาลเจ้าจิ้งจอกแห่งนี้แล้วทั้งนั้น ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่อยู่คู่เกียวโตมาก่อนที่จะมีเกียวโตซะอีก เพราะถูกคาดการ์ณว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.794 หรือกว่าพันปีมาแล้ว โดยผู้คนเชื่อกันว่าภูเขาอินาริ ที่ตั้งของศาลเจ้าอินาริแห่งนี้ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิที่พำนักของเทพอินาริ เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเก็บเกี่ยว โดยมีจิ้งจอกเป็นสัตว์เทพคู่กาย ที่นี่จึงมีรูปปั้นจิ้งจอกอยู่ทั่วศาลเจ้า และเสาสีส้มเอกลักษณ์ของที่นี่ก็มีมากมายถึงหมื่นกว่าต้นเลยทีเดียว และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เพราะเสาเหล่านี้เกิดจากการบริจาคจากเหล่าผู้ศรัทธาจากทั่วประเทศและทั่วโลก

09 CAMEL DINER

สีแดงไหนก็ไม่สวยเท่าสีแดงของเนื้อฉ่ำที่สไลด์มาบาง ๆ สีเหลืองไหนก็ไม่สวยเท่าสีเหลืองสดของไข่ไก่ที่สุกสกาว สีขาวไหนก็ไม่สวยเท่าสีขาวของขาวสวยเม็ดเงา เนื้อนุ่มเหนียวเด้งสู้ฟัน ถ้านี่คือความสวยงามในใจแก … เราบอกเลยว่าข้าวหน้าเนื้อที่ CAMEL DINER จะเป็นความงามเหนือความงามทั้งปวง เพราะนี่คือข้าวหน้าเนื้อที่ปังที่สุดร้านนึง แถมมีหลายสาขาให้ลิ้มลอง แต่แนะนำว่าอย่าพยายามไปแย่งชิงกับผู้คนในยามเที่ยง แต่ให้เลี่ยงไปช่วงบ่าย ๆ แทน จะได้ไม่ต้องรอท้องกิ่วและหิวจนเกินงาม ตัวร้านเองหลัก ๆ เป็นร้านที่เน้นเมนูแกงกระหรี่ แต่เมนูแนะนำคือข้าวหน้าเนื้อ ที่มีสามขนาด สามซอสให้เราเลือก ส่วนเราเลือกขนาดดับเบิ้ลราดซอสโชยุมากิน บอกเลยว่าจุกมาก ๆ ใครมาคนเดียวสั่งไซส์เล็กก็พอละล่ะ

ทันที่ข้าวมาเสิร์ฟคือเคลิ้มมากมายเหมือนตกหลุมรัก เนื้อสีแดงฉ่ำก็ดูนิ่มนุ่ม เวลาทานก็เอาตะเกียบเจาะไข่แดงดิบแล้วคลุกให้ทั่ว ตักเนื้อ ไข่ และข้าวสวยร้อน ๆ เข้าปากพร้อม ๆ กัน แล้วบุ๊งงงง รสเนื้อกระจายทั่วปากแบบแน่น ๆ หอมหวน ไม่มีความเหม็น ความคาวใด ๆ ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งเพลิน และแม้จะจุกแต่เราก็เผลอกินจนหมดแบบไม่รู้ตัวเลย

10 ROCCA & FRIENDS TRUCK

เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งเวลาที่เรามาญี่ปุ่นแล้วต้องตกหลุมรักก็คือเหล่าคาเฟ่ต่าง ๆ ที่แสนจะน่ารักและมีไอเดียกิ๊ปเก๋ยูเรก้าน่าลิ้มลองให้เลือกเป็นทิวแถวนั่นเอง ซึ่งร้านนี้ที่เราอยากแนะนำก็เพราะมันคิ้วท์สุด ๆ แถมยังอร่อยมาก ๆ อีกด้วย ร้านนี้เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่โดด ๆ มองผ่าน ๆ ก็ดูน่ารัก แต่ไม่ได้โดดเด่นมากเท่าไหร่นัก แต่มันกลับซ่อนสองเมนูแนะนำที่เหมาะแก่การถ่ายรูปและดื่มเพิ่มความสดชื่นอย่าง Hojicha Latte และ Matcha Latte ที่มีความพิเศษคือท้อปปิ้งคุ้กกี้ที่ทำเป็นรูปสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของเมืองเกียวโต ได้แก่ เกียวโตทาวเวอร์ เจดีย์ห้าชั้น ประตูโทริอิ และตัวอักษรไฟที่จุดในงานโอบ้งของเกียวโต เป็นต้น ซึ่งแต่ละชิ้นจะถูกวางลงบนวิปครีมหวานหอมเนื้อนุ่มสีขาว ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกียวโตมีรสชาติ มันก็คงจะหวานหอม เข้มข้น ประมาณมัชชะลาเต้แก้วนี้หล่ะมั้ง

11 %Arabica Kyoto Higashiyama

คาเฟ่มากล้นพอ ๆ กับคนที่กระหายในคาแฟอีน แต่สำหรับใครที่กำลังมองหากาแฟดี ๆ สักแก้วในเกียวโต เราเชื่อว่าร้านนี้จะต้องมีชื่อติดโผอันดับต้น ๆ เกือบทุกสำนักเป็นแน่ %Arabica เป็นร้านเล็ก ๆ เน้นความเรียบง่ายด้วยสีขาวสบายตา เพิ่มความดูดีอีกนิดด้วยเฟอร์นิเจอร์สีไม้ และเครื่องชงกาแฟสีเงิน เสริมเสน่ห์อีกหน่อยด้วยกลิ่นกาแฟคั่วบดหอม ๆ ที่ลอยฟุ้งจนเต็มบรรยากาศ แต่จุดพีคสุดจะอยู่ที่ตอนแกรับแก้วกาแฟอุ่น ๆ มาไว้ในมือท่ามกลางบรรยากาศของลมหนาวและจิบเป็นครั้งแรก นี่แหล่ะคือคำตอบของคำถามที่ว่าร้านนี้มีดีอะไร กาแฟหอม ๆ รสเข้มที่พร้อมกระตุ้นอะดีนารีนในร่างกายให้ตื่นตัวขึ้นอีกครั้งคือคำตอบของทุกอย่าง

12 Starbucks Coffee เสื่อทาทามิ

ดื่มกาแฟฝรั่งแต่นั่งบนเสื่อทาทามิ ถ้าพูดถึงสตาร์บัคก็คงไม่ต้องบรรยาอะไรกันแล้ว จริง ๆ ไม่ต้องรีวิวก็ได้เพราะหากินได้เกือบทั่วทุกมุมโลก แต่ แต่ แต่ความพิเศษของสาขานี้ที่ทำให้เราสนใจก็คือบรรยากาศที่ช่างแตกต่างและเป็นหนึ่งเดียวในโลก!!! เค้านำเอาบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่นมาปัดฝุ่นสร้างกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นให้เข้มข้นมากกว่าเดิม แต่ยังคงเสิร์ฟเครื่องดื่มของสตาร์บัคที่ทั่วโลกคุ้นเคย คอนเซ็ปท์ของสาขานี้คือการพยายามสร้างร้านที่มีเพียงแค่หนึ่งเดียว ที่สามารถสัมผัสประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเกียวโต ได้มากขึ้นไปกว่าที่เคยทำมา จนออกมาเป็นสาขาที่หากมองเผิน ๆ ก็แทบจะไม่รู้เลยนี่คือร้านสตาร์บัค

ด้านในของบ้านไม้สองชั้นสีน้ำตาลอ่อนแบบโบราณ เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะรู้สึกได้ถึงความสงบของห้องชงชาพิธีกรรมชั้นสูงของชาวญี่ปุ่น ทำให้เพิ่มความรู้สึกหรูหราและย้อนยุคเข้าไปอีก หลังจากสั่งเครื่องดื่มแก้วโปรดแก้วเดิม แล้วเดินมานั่งจิบบนพื้นเสื่อ กลับทำให้เรารู้สึกว่ารสชาติเดิม ๆ ของกาแฟในมือมันมีความแปลกใหม่ และน่าลิ้มลองมากขึ้นกว่าเดิม สงสัยว่ามันคงจะมีรสของบรรยากาศเข้าไปด้วยล่ะม้างงงง

13 Blue Bottle Coffee Kyoto Café

อีกหนึ่งร้านคาเฟ่ที่ป๊อบสุดในญี่ปุ่น มีสาขาแรกในญี่ปุ่นที่โตเกียวคือดังมาก คนแห่ไปถล่มทลาย และทั่วโลกอีก 13 สาขา ซึ่งตอนนี้ใครไปเกียวโตก็มีโอกาสได้ลิ้มลองเจ้ากาแฟระดับโลกที่จะเสิร์ฟกาแฟด้วยกรรมวิธีการชงแบบสูญญากาศทีละแก้ว ทีละแก้ว จนออกมาเป็นกาแฟแท้ ๆ ที่มีรสบางเบา หอมกรุ่น เจ้าร้านกาแฟที่ไม่มีป้ายกาแฟมีเพียงป้ายรูปขวดสีฟ้าสดใส จนตอนแรกอาจจะทำให้หลายคนที่ไม่คุ้นเคยเกิดความสงสัยได้ว่าเจ้าบ้านไม้สองชั้นอายุร้อยกว่าปีแห่งนี้ เป็นร้านที่ขายอะไรกันแน่ แต่เมื่อแกเดินเข้าเขตของร้านแล้วคำตอบกลับล่องลอยอยู่ในอากาศ กลิ่นกาแฟช่างเชิญชวนให้เราเดินสับขาเข้าไปอย่างว่องไว และบรรยากาศที่ดูสงบก็ชวนให้เราเก็บภาพตั้งแต่ทางเข้าจนแก้วที่อยู่ในมือ

ภายในร้านนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นจากการตกแต่งที่เน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน โปร่งสบายจากเพดานสูงโปร่ง หรูหราจากความเรียบง่าย ทุกอย่างในร้านช่างดูลงตัวและพิถีพิถันสมกับเป็นร้านระดับโลกจริง ๆ เอ้ออออ ว่าแล้วก็อยากได้ลาเต้ร้อน ๆ สักแก้วจัง

14 Nishiki Market

สุดท้ายขอนำเสนอโลเคชั่นที่เราต้องมาแทบทุกทริป ทริปล่ะหลายครั้ง เพราะมันคือกะเพาะอาหารของเมืองเกียวโต หรือที่ชาวบ้านให้สมญานามมันว่า ครัวของเกียวโต ตลาดแห่งนี้เริ่มจากการเปิดให้บริการโดยร้านค้าเล็ก ๆ ร้านเดียวในปี 1310 จนขยายมาเป็นร้อยกว่าร้านค้าในปัจจุบัน ทำให้บนถนนที่ยาวเพียงห้าช่วงตึกแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านค้าคับคั่งไม่ว่าจะเป็นร้านแผงลอย ไปจนถึงร้านใหญ่ ๆ ให้นั่งทานกันจนหนำใจ

ส่วนอาหารก็มีเยอะมากกกกกทั้งของสด ของแห้ง ผักดอง ซูชิ อาหารท้องถิ่น อาหารตามฤดูกาล ของหวาน และร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากทะเลสด ๆ อีกมากมาย ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกกันจนตาลาย อยากได้ไรก็มี มี มี๊ แล้วเราก็จะกิน กิน กิ๊น เพราะไอ้นู่นก็หายาก ไอ้นั่นก็น่ากิน อันนั้นก็อร่อย อันนี้ก็ดูดี ไม่มีทางที่ใครจะออกจากตลาดแห่งนี้ไปด้วยความหิวโหยแน่ ๆ และนี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะมาเดินตลาดนี้แน่นนอน

จบไปแล้วกับ 14 สถานที่ ณ เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวที่จะช่วยกระตุ้นทุกความชุ่มฉ่ำให้เต็มพื้นที่ของหัวใจ เราหวังว่ารูปสวย ๆ เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นต่อมอยากเดินทางของพวกเธอได้บ้างไม่มากก็น้อย แล้วเธอจะรู้ว่า … ไม่ว่ารูปถ่ายจะสวยงามเพียงใด การได้ไปเห็นได้สัมผัสด้วยตัวเองมันยิ่งเป็นภาพที่สวยกว่าอีกหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน และเมมโมรี่ที่ใหญ่ที่สุดก็คือความรู้สึกของคนเรา เอาล่ะ ออกเดินทางไปเก็บภาพที่สวยงามที่สุดด้วยตาของตัวเองลงในเมมโมรี่ที่ชื่อว่าความทรงจำกันเถอะ