มีคนเคยบอกว่า … หนังสือเล่มเก่าไม่เคยนำความตื่นเต้นมาให้คนอ่านซ้ำ เว้นแต่เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่าน ก็คงเหมือนกับการเดินทางไปเที่ยวในบางประเทศ ที่ต่อให้ต้องไปซ้ำกี่ครั้ง กี่รอบ กี่หน เราก็ยังเลือกที่จะไป ใช่แล้วจ้าทุกคน ทางเรากำลังจะพูดถึง “ประเทศญี่ปุ่น” แดนอาทิตย์อุทัยในดวงใจตลอดกาล เพราะช่วงนี้ไถฟีตโซเชียลเห็นคนอัพรูปคู่กับหิมะฟู ๆ พร้อมโพสท่าเล่นสกีคูล ๆ กันทั้งนั้น เราก็ไม่พลาดที่จะมาเช็คอินเหนือสุดแดนซามูไร ปล่อยใจไปกับฤดูหนาว บนสกีรีสอร์ทสุดพรีเมียมที่หรูหราอันดับต้น ๆ ของโลก ทริปนี้เราจะพาไปปรนเปรอตัวเองประหนึ่งเป็นลูกคุณหนู ไปพัก ไปนอน ไปกิน ไปเล่นสกี แบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แค่เตรียมเสื้อขนเฟอร์สุดเก๋ หมวกไหมพรมสุดชิค แล้วสวมบูทไปสัมผัสประสบการณ์ไม่รู้ลืมแบบ All Inclusive ที่คลับเมดทั้ง Sahoro และ Tomamu
เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะงงว่าคลับเมดคืออะไร? เราขออธิบายฉบับย่ออีกรอบว่า คลับเมด คือ รีสอร์ทไฮเอนท์สุดหรูระดับ 5 ดาว ที่มาพร้อมการบริการสุดพรีเมียม และเอ็กซ์คลูซีฟสุด ๆ โดยเรียกว่า WorldClass All Inclusive Resort ขยายสาขาอยู่ทั่วโลก ซึ่งที่ดัง ๆ ที่คุ้นหูชาวไทยก็จะมีที่มัลดีฟส์ ฝรั่งเศส บาหลี และที่ฮอกไกโดนี่แหละ การเข้าพักของที่นี่จะไม่เหมือนที่ไหน คือเราจะจ่ายเงินเพียงครั้งเดียวตั้งแต่ก่อนเดินทาง ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างไม่ว่าจะค่าห้อง ค่ากิจกรรม และค่าอาหารทุกมื้อ รวมถึงเครื่องดื่มนานาชนิดไม่อั้นทั้งวัน ทั้งคืน เรียกได้ว่าครบจบไม่ต้องจ่ายยุบยิบให้ปวดหัว และที่สำคัญที่สุดสำหรับที่คลับเมดฮอกไกโดทั้งสองที่นี้ คือ กิจกรรมเกี่ยวกับสกี ไม่ว่าจะเป็นค่าลิฟต์ หรือกระเช้าขึ้นไปเล่นสกีบนเขา ก็รวมเรียบร้อยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และที่เราชอบที่สุดของคลับเมดในทุกที่ คือการต้อนรับที่อบอุ่นจากบรรดาเหล่า G.O. หรือ Gentle Organizer ซึ่งมีหลากหลายเชื้อชาติมาก รวมถึงมีสตาฟคนไทย มาคอยเทคแคร์ดูแลเราตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าจนก้าวเท้าออกจากรีสอร์ท
ส่วนเรื่องของการเดินทางนั้น ไปญี่ปุ่นแบบสบายขั้นสุด ก็ต้องเลือกบินกับสายการบินที่คุ้นเคย และรู้ใจคนไทยมากที่สุดอย่างสายการบินไทยเท่านั้น ซึ่งบอกเลยว่าเค้าเป็นตัวจริงเรื่องบินตรงสู่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเมืองฟุกุโอกะ โอซาก้า นาโกย่า โตเกียว เซนได หรืออย่างเส้นที่เราบินซัปโปโรนี้ก็เช่นกันเรียกได้ว่าครบทุกภูมิภาคเลย ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถเลือกบินแบบไปกลับคนละเมืองได้ด้วย ที่สำคัญยังเป็นสายการบินพรีเมียมที่ให้บริการแบบ Full service ไมต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม ไม่ต้องจ่ายค่าอาหาร และเครื่องดื่ม ก็มีให้เราทานกันตลอดทั้งไฟท์จากกรุงเทพถึงซัปโปโร
จากกรุงเทพประมาณ 6 ชั่วโมงนิด ๆ เราก็มาถึงสนามบิน Shin Chitose ของเมืองซัปโปโร จากนั้นก็ใช้เวลานั่งรถบัสต่อไปยังรีสอร์ทอีกประมาณ 2 ชั่วโมง โดยทริปนี้เราจะมาดื่มด่ำ และพักผ่อนให้เต็มที่บนสกีรีสอร์ทในเครือ Club Med ทั้งสองที่ ไม่รอช้า! เราขอพาทุกคนมาเริ่มจาก Club Med Sahoro กันก่อนเลย ที่นี่เป็นคลับเมดแห่งแรกของญี่ปุ่น โดยเพิ่งมีการรีโนเวทในหลาย ๆ ส่วนให้กลับมาใหม่กิ๊งอีกครั้ง และหลังจากเช็คอินทักทายกับเหล่า G.O. เรียบร้อย ทุกคนก็จะได้รับสายรัดข้อมือติดตัวที่เอาไว้สำหรับเข้าห้อง จ่ายเงิน เปิดล็อคเกอร์เก็บบอุปกรณ์สกี ในสายรัดข้อมือจะมีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการเข้าพักของเรา ทำให้สะดวก ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะลืมวางคีย์การ์ด หรือกุญแจเข้าห้องไว้ที่ไหน เพราะมันจะติดตัวตลอดเวลาที่อยู่ที่คลับเมด
สำหรับห้องพัก ที่นี่มีการปรับปรุงใหม่ให้โมเดิร์นกว่าเดิม แต่ยังคงได้กลิ่นอายความเป็นเจแปนอยู่ ไม่ว่าจะเสื่อทาทามิแบบญี่ปุ่น โต๊ะ เก้าอี้ต่าง ๆ ซึ่งก็มีห้องพักกระจายอยู่หลายตึกทั้งแบบ Club room , Deluxe และ Suite แต่ละห้องก็จะแตกต่างกันที่ขนาดบ้าง จำนวนคนเข้าพักบ้าง อุปกรณ์ภายในห้องบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ และวิวจากหน้าต่างตามราคาไป ภายในห้องตกแต่งออกแนวเรียบง่าย แต่โทนสีและมู้ดของห้องกลับทำให้ดูสงบสบายเหมาะแก่การพักผ่อน พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่ครบครันชนิดที่ว่าไม่ต้องเตรียมอะไรจากบ้านไปเลย และที่แน่ ๆ คือไม่ว่าจะพักห้องไหนก็ได้ทำทุกกิจกรรมครบ เครื่องดื่มไม่อั้น อาหารเต็มที่ กินอิ่มนอนหลับในทุกคืนแน่นอนจ้า
และนอกจากความสะดวกสบายของห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกที่แสนจะครบครันของคลับเมดแล้ว เรื่องอาหารการกินก็ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเดินหนาวสั่นออกไปหาร้านท่ามกลางหิมะตก หรือคิดเมนูบวกลบความคุ้มค่าว่าจะสั่งเมนูไหนดี เพราะที่นี่ เค้ามีห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ที่ชื่อว่า The Daichi ไว้บริการทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น ให้เลือกกินได้อย่างจุใจ ประดุจดั่งเราเป็นคุณหนูที่อยากทานอะไรก็ได้ดั่งใจนึก เพราะมีอาหารนานาชาติทั้งอินเดีย ฝรั่งเศส จีน เกาหลี อาหารญี่ปุ่นปลาดิบข้าวปั้น หรือแม้แต่อาหารไทยแซ่บ ๆ ก็มี ซึ่งแต่ละมื้อก็จะแตกต่างกัน และหมุนเวียนไปในแต่ละวันไม่ซ้ำ เพราะงั้นถูกจริตคนไทยแบบเราอย่างแน่นอน
ทีเด็ดของมื้อเย็นในบางวันก็จะมีเจ้าปูทาราบะ หรือปูอลาสก้า บางคนก็เรียกว่าปูยักษ์ฮอกไกโด เป็นปูที่มีขนาดใหญ่มาก บางตัวมีน้ำหนักหลายสิบกิโลกรัมจนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งปู มาเสิร์ฟให้พวกเราได้ทานกันแบบบุฟเฟ่ห์ เติมได้ไม่อั้น ที่สำคัญคือสดมากจ้าแม่ เหมือนเชฟไปจับมาเป็น ๆ ใต้ท้องทะเลลึกอะไรทำนองนี้เลย เนื้อปูเด้งหวานกำลังดี บีบเลม่อนแก้เลี่ยนอีกสักหน่อย เอ็นจอยอีทติ้งกันแบบขั้นสุด และที่เราชอบอีกอย่างของห้องอาหารก็คือความวิวเลอค่า ความได้นั่งทานข้าวมื้อสุดพิเศษกับวิวหิมะตกที่โปรยปรายไปพร้อม ๆ กัน ดีงามมมมมแบบทานคาวเสร็จต้องรีบหาของหวานมาล้างปากต่อทันที เพราะไม่อยากลุกไปไหน
ส่วนถ้าใครเป็นสายชาบู ชอบความพรีเมียมขึ้นมาหน่อย เราก็ขอแนะนำห้องอาหาร Mina Mina อีกหนึ่งห้องอาหารของคลับเมดแห่งนี้ที่จะมอบบรรยากาศของมื้อสุดพิเศษ เค้ามีให้ทั้งปลา หอย หมึก รวมถึงเครื่องเคียงหลากหลายอย่างไว้ให้เลือกมาทานแบบชาบูในหม้อ hot pot ซึ่งบอกเลยว่าน้ำซุปคือดีมากกกก น้ำจิ้มคือเด็ดทุกอย่าง งานนี้การันตีความดีงามที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกเช่นกัน แต่ถ้าใครอยากทานห้องอาหารนี้ต้องจองล่วงหน้าก่อนในตอนเช้าและค่อยมาทานในตอนเย็นเท่านั้น
นอกจากห้องอาหารต่าง ๆ แล้วก็ยังมีโซนบาร์เครื่องดื่มที่ใครสายดริ๊งค์มั่นใจเลยว่าต้องแฮปปี้ มาขลุกตัวอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน เพราะมีให้ดื่มไม่อั้นทั้งเบียร์ ไวน์ ค็อกเทล แชมเปญ ส่วนใครโนแอลก็มีน้ำผลไม้ น้ำปั่น ให้เลือกทาน … โอ๊ยแม่!!! นับ ๆ แล้วเกือบร้อยเมนูเลยทีเดียว และในบางวันช่วงบ่าย ๆ ก็มีพวกขนมปัง แพนเค้ก ป๊อบคอร์นมาเสิร์ฟเป็นของว่างให้ทานคู่กันกับเครื่องดื่มด้วย ดีไปอี๊กกก
คลับเมดในทุกที่จะโดดเด่นเรื่องการเป็น Family Resort มาก ๆ ดังนั้นเราจะเห็นคิดส์คลับที่มีคุณภาพ กิจกรรมที่มากมายในแต่ละวันตั้งแต่เช้าไปจนเย็น รวมถึงมุมผ่อนคลายอย่าง Outdoor Canadian Bath ที่บอกเลยว่ามาทั้งทีต้องเปลื้องผ้าลงแช่ เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ว้าวมาก หนาวแค่ไหนก็ไหว ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเย็นเจี๊ยบจนแช่ไม่ได้ เพราะในน้ำที่แช่ก็เป็นน้ำแร่ที่ทำให้ร่างกายอุ่นกำลังพอดี หรือใครอยากว่ายน้ำก็มีสระ indoor ไว้ให้เราลงไปแหวกว่ายได้เช่นกัน หรือจะฟิตเนต ปีนผา ตีปิงปอง นอนนวดอโรม่าที่สปา และกิจกรรมอื่น ๆ อีกเพียบให้เราได้เลือกทำ
อีกหนึ่งไฮไลต์ของคลับเมดที่เราชอบไม่แพ้กิจกรรมไหน ๆ คือในทุกค่ำคืนเค้าจะมีการแสดงโชว์จากบรรดาเหล่า G.O. ที่จัดเต็มทั้งร้องเพลง เล่นละคร เรียกเสียงกรี๊ด เสียงฮา เสียงหัวเราะ และให้ความบังเทิงได้ตั้งแต่ต้นโชว์จนจบเลยล่ะ แอบบอกว่า G.O. บางคนตอนกลางวันนี่เรายังเห็นมาเสิร์ฟอาหารอยู่เลย ตกกลางคืนแปลงร่างกลายเป็นนักแสดงสุดฮอตไปซะแล้ว นี่แหละเป็นเสน่ห์อีกอย่างของคลับเมดที่เราไปมากี่ที่ก็หลงรักกกก
มาถึงกิจกรรมที่เป็นจุดประสงค์หลักของการมาเที่ยวสกีรีสอร์ทกันบ้าง นั่นก็คือการเล่นสกี และสโนบอร์ดนั่นเอง งานนี้เราไม่ควรพลาดและไม่ควรรอช้ารีบถอดเฟอร์ไปใส่ชุดสกี ส่วนถ้าใครเป็นมือใหม่ก็ไม่ต้องห่วง เพราะที่นี่เค้ามีอุปกรณ์สกี ไม่ว่าจะรองเท้า ไม้ค้ำ หมวก ชุดสกีใช้เช่าด้วย และถ้ากังวลว่ามาครั้งแรกไม่เคยเล่นจะเริ่มยังไง เค้าก็มีคลาสเรียนตั้งแต่เริ่มต้นเบบี๋ ไปจนระดับโปร พร้อมครูฝึกที่มาคอยสอนเราอย่างใกล้ชิดด้วย แนะนำว่าในช่วงเย็นของทุกวันควรมาเตรียมอุปกรณ์ก่อนล่วงหน้า และเก็บเข้าล็อคเกอร์ของแต่ละคนให้เรียบร้อย พอเช้าอีกวันก็มาอุปกรณ์พร้อมลุยกันได้เลย!
สำหรับคลาส Beginner นั้นก็จะมีเพื่อนมาฝึกด้วยเยอะหน่อย ซึ่งจากประสบการณ์ของเรา และเพื่อนข้าง ๆ ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าสกีเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความอดทน และความมุ่งมั่นสูงมาก ไม่มีใครที่สามารถเล่นได้โปรในวันเดียว ต้องใช้ระยะเวลาฝึกฝนอยู่หลายวันถึงจะเล่นได้ และที่สำคัญ การเริ่มต้นด้วยการเรียนกับครูฝึก จะทำให้เราเรียนอย่างถูกหลัก และปลอดภัย ถึงแม้จะยากมีล้มบ้าง มีเจ็บบ้าง มีกลิ้งลงเนินไม่เป็นท่าจนต้องนอนหัวเราะท้องแข็งท่ามกลางหิมะ แต่มันก็สนุก และท้าทายกว่าที่เราคิดไว้มาก คุ้มค่าจริง ๆ ที่ได้มาลองเล่นสกีที่คลับเมดแห่งนี้
จุดนี้ถ้าใครโปรแล้วก็สามารถมาเล่นสกีแบบยากขึ้นอีกระดับได้บนภูเขา โดยเราจะต้องนั่งรถไปที่ Gondola Station ก่อน แล้วค่อยขึ้นกระเช้าที่ตามจุดเล่นสกีด้านบนเขา ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งของคลับเมด Sahoro นี้มีจุดให้เราเล่นได้ถึง 21 Slopes ส่วนเรานั้นยังไม่แอดว้านซ์พอ แต่แค่ได้นั่งกระเช้าขึ้นไปมองวิวบนเขาที่เห็นเมืองฮอกไกโดจากมุมสูงก็คุ้มค่ามาก ๆ บอกกับตัวเองเลยว่าสักปีชั้นต้องกลับมาเล่นสกีที่นี่อีกให้ได้ แต่ตอนนี้ขอตัวไปฝึกในคลาส Beginner ต่อก่อนจ้า
โดยรวมการได้มาพักผ่อนท่ามกลางหิมะแบบนี้บอกได้เลยว่าทุกอย่างมันดูดีไปหมด และยิ่งที่คลับเมดแห่งนี้เค้าจัดวางแปลน หาทำเล และสร้างที่พักได้เข้ากับวิวมาก ๆ ไม่ว่าชำเลืองตามองไปทางไหนก็สวยไปซะหมด แค่แง้มผ้าม่านแล้วมองวิวทิวเขาที่เปลี่ยนไปยามเมื่อแสงส่อง หรือยามหิมะตกหนัก ก็สวยจนไม่อยากกระพริบตา สำหรับใครที่โหยหาอากาศหนาว ๆ เบื่อควันฟุ้งจากฝุ่น pm. 2.5 ในบ้านเรา ลองมาสูดอากาศให้เต็มปอด มานอนให้เต็มอิ่ม มากินให้หนำใจ มาเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ กับการเล่นสกีที่ดีที่สุดบนรีสอร์ทสุดหรู Club Med Sahoro แห่งนี้ดู แล้วแกจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ไม่ไกล
สองคืนแรกผ่านไปแบบแฮปปี้ขั้นสุด และเพื่อเป็นการตอกย้ำทริปปรนเปรอตัวเอง เราเลยขอมาพักผ่อนต่อที่คลับเมดน้องใหม่อีกหนึ่งที่ของเมืองฮอกไกโด Club Med Tomamu ที่อยู่บนเทือกเขาเหนือสุดของฮอกไกโด ซึ่งจาก Club Med Sahoro ที่เราพักในคืนก่อนนั้น จะมีรถบัสมาส่งตามรอบ ใช้ระยะเวลาประมาณ 45 นาทีเท่านั้นก็ถึง แน่นอนว่าพอขึ้นชื่อว่าคลับเมดแล้ว แกก็จะได้รับความสะดวกสบายหรูหราไม่ต่างกัน หลังจากก้าวเท้าลงรถบัส เราก็สัมผัสได้ถึงความหนาวของอากาศที่ปะทะเข้ามาโดนผิวหน้า แต่ก็กลับรู้สึกอุ่นขึ้นในทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มจากเหล่า G.O. ที่ออกมาต้อนรับตั้งแต่หน้าประตู บอกเลยว่านี่เป็นเอกลักษณ์ของคลับเมดที่หาที่ไหนเทียบก็ไม่ได้นะ
บรรยากาศของคลับเมดโทมามุ จะค่อนข้างครึกครื้นกว่าที่ซาโฮโร่พอสมควร เพราะมีขนาดพื้นที่ที่กว้างขวางกว่า มีจำนวนห้องพักที่มากกว่า และมีพื้นที่ส่วนกลางที่ให้เราสามารถมาร่วมกิจกรรมได้มากกว่า และเรารู้สึกว่ามันค่อนข้างโมเดิร์นมาก ด้วยตึกที่ดูแปลกตา เพราะถูกออกแบบโดย Jean Philippe Nuel สถาปนิกชื่อดังที่ได้รับรางวัลมามากมาย ทำให้ไม่ว่าจะกวาดสายตามองไปทางไหนก็รับรู้ได้เลยว่าเค้าออกแบบมาอย่างดี สวยงามไปหมดจริง ๆ
ในส่วนของห้องพักที่นี่นั้นก็มีหลาย room type มาก แต่เราเลือกพักแบบ Club Quad Room with Mountain View ฝั่ง Yubari จุดเด่นของห้องนี้คือเราจะมองเห็นวิวต้นสนบนภูเขาท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายตลอดทั้งวัน แถมตัวห้องก็กว้างขวางมาก คือถ้าใครมาเป็นแก๊งค์กลับเพื่อนก็สามารถเสริมเตียงได้อีก 2 เตียง รวมเป็นพักได้ 4 คนเลยทีเดียว ภายในห้องตกแต่งด้วยโทนสีที่ดูอบอุ่นมีความโมเดิร์นที่ยังได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นซ่อนอยู่ เราชอบมุมหน้าต่างบานใหญ่ข้างเตียงมาก สามารถนั่งมองวิวเพลิน ๆ ได้ทั้งวันไม่มีเบื่อเลย
ด้วยความที่คลับเมดเป็นรีสอร์ทสำหรับทุกคนทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่คู่รักมาฮันนีมูน ไม่ใช่แค่ครอบครัว ไม่ใช่เฉพาะสำหรับวัยรุ่น บรรยากาศของที่นี่เลยค่อนข้างอบอุ่น โล่ง โปร่งสบายตามาก ๆ อย่างห้องอาหารหลัก Itara – Main restaurant นี้ ก็เป็นอีกที่ที่สายกินแบบเรามาอยู่แล้วสบายใจที่สุด มีอาหารนานาชาติให้เลือกกว่า 7 ประเทศในแต่ละมื้อ ไม่ว่าจะเป็น อารหารจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี อเมริกัน อิตาเลี่ยน อินโดนีเซีย แต่ละสเตชั่นก็จะมีเชฟมาปรุงอาหารให้เราทานกันสด ๆ สเตชั่นที่เราแวะเวียนไปบ่อยสุดก็เป็นอาหารญี่ปุ่นนี่แหละแก มีทั้งปลาดิบ ซูชิ ข้าวหน้าเนื้อ ซาซิมิ คือดีงามเรียกได้ว่าไม่เสียชื่อความเป็นญี่ปุ่นเลยจริง ๆ ส่วนมื้อดินเนอร์ของทุกวันก็จะมีไวน์ขาว ไวน์แดง มาเสิร์ฟให้ด้วยนะ กินกับสเต็กเนื้อฉ่ำ ๆ สักชิ้น รับรองว่าหลับสบาย
อีกหนึ่งจุดที่ต้องเรียกว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็ต้องมี Mina Mina Beach ซึ่งเค้าได้จำลองบรรยากาศให้เป็นเหมือนชายหาดริมทะเล แต่เป็นทะเลน้ำจืดในร่มที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีคลื่นเล็ก คลื่นใหญ่ในสระเสมือนจริงมาก ซึ่งเราจะเปลี่ยนเป็นบีกีนี่ตัวจิ๋วลงไปลอยน้ำชิล ๆ ว่ายท่าผีเสื้อไปกลับ หรือเกาะบอร์ดลอยตัวบนห่วงยางฟลามิงโก้ตีขาสนุก ๆ ก็ย่อมได้ และนอกจากนี้ยังมี คิรินโนะยู ซึ่งเป็นอ่างอาบน้ำสาธารณะทั้งในร่ม และกลางแจ้ง เพื่อความผ่อนคลายอีกด้วย
และถ้าใครกินอิ่ม นอนหลับไปสามรอบ ปรนเปรอตัวเองทุกอย่างจนรู้สึกว่าอยากหากิจกรรมคลายเบื่อทำสักหน่อย แนะนำเลยว่าที่คลับเมดโทมามุแห่งนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ที่สามารถไปเที่ยวได้อยู่หลายแห่ง โดยจุดแรกเราสามารถนั่ง Gondola กระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปชมวิวเมืองด้านบนที่เรียกว่า Unkai Terrace เป็นสะพานที่ตั้งอยู่บนความสูงกว่า 1,088 เมตร ในช่วงฟ้าใสอากาศดี จุดนี้จะมองเห็นทะเลหมอกได้อย่างใกล้ชิดราวกับคว้าปุยเมฆมาไว้ในมือ แต่ก็นั่นแหละ ช่วงที่เราไปดันหิมะตกหนักมาก เลยไม่ได้เห็นวิวอะไรอย่างว่าสักเท่าไหร่ แต่ก็ได้ซึบซับบรรยากาศอยู่พอตัว ถือซะว่าโอกาสหน้าต้องมาใหม่อีกครั้งซะแล้วละ
ลงจาก Gondola มาเจอร้านกาแฟที่ซ่อนตัวอยู่ใต้สถานี ชื่อร้านว่า BARIST ART เป็นร้านกาแฟสเปเชี่ยลที่มีเมล็ดกาแฟให้เราเลือกหลากหลาย รวมถึงมีเมนูซิกเนเจอร์น่าสนใจหลายเมนู เมล็ดกาแฟของร้านนี้นั้นจะคั่วปานกลางไม่เข้มมาก ทำให้เมื่อเราจิบจะได้รสชาติคาแรคเตอร์ของเมล็ดกาแฟนั้น ๆ ได้อย่างเต็มที่ ทั้งหวานกลมกล่อมละมุนลิ้นซ่อนกลิ่นหอม ๆ ที่ได้จากการคั่วไว้ด้วย ถือซะว่าเป็นของขวัญปลอบใจที่ขึ้นไปจุดชมวิวแต่ไม่เห็นวิวได้อยู่เหมือนกัน
อีกหนึ่งที่เที่ยวใกล้เคียงที่บอกเลยว่า It’s a Must !! นั่นคือ ICE Village หมู่บ้านน้ำแข็งหนึ่งเดียวบนเกาะฮอกไกโด โดยเราสามารถนั่งรถจากรีสอร์ทไปได้เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น การเข้าชมหมู่บ้านน้ำแข็งนี้จะเสียค่าเข้าเพิ่มคนละ 500 เยนเท่านั้น ซึ่งภายในหมู่บ้านน้ำแข็งจะมีไฮไลต์หลัก ๆ ก็คือไอซ์บาร์ ไอซ์คาเฟ่ และลานไอซ์สเก็ต ซึ่งห้องที่เราชอบเป็นพิเศษก็คือไอซ์คาเฟ่ที่เปิดเป็นร้านขนมปังนี่แหละ น่ารักกรุบกริบมาก ใครสนใจอยากซื้อขนมปังก็สามารถหยิบถาดไปเลือกซื้อได้ จากนั้นเค้าก็จะมีบริการอุ่นขนมปังให้ร้อนก่อนจะนำมาเสิร์ฟ ถ้าใครมีเวลาก็อยากแนะนำให้แต่งตัวประหนึ่งเจ้าหญิงเอลซ่า แล้วมาเดินเล่นในหมู่บ้านน้ำแข็งดู รับรองว่าได้รูปน่ารักกลับไปแน่นอน
คืนสุดท้ายที่คลับเมด เราแวะมานั่งชิลเสพวิวยามค่ำคืนที่ the Nest Bar GUIDED WHISKEY & SAKE TASTING เป็นบาร์ที่ชิลมาก สงบเงียบมาก จะเปิดหลังมื้อดินเนอร์ เพราะงั้นแกก็สามารถกินมื้อเย็นให้อิ่ม ไปเดินเล่นถ่ายรูปหมู่บ้านน้ำแข็งก่อน แล้วค่อยมานั่งชิลต่อที่บาร์นี้ได้ ซึ่งเค้าก็จะมีเมนูเครื่องดื่มทั้งเหล้า เบียร์ สาเก วิสกี้ ให้เราสั่งมาแกล้มวิวชมความงดงามของเหมมันตฤดูในยามค่ำคืนได้ ซึ่งส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มไม่ได้รวมอยู่ในแพ็กเกจจ้า แต่ใครไม่ดื่มก็สามารถนั่งเพลิน ๆ ได้รับรองว่าแฮปปี้แน่นอน
สุดท้ายเราขอยกทริปนี้ให้เป็นทริปง่าย ๆ ที่แทบไม่ต้องวางแพลนอะไรให้ปวดหัว แถมได้พักผ่อนรีเฟรชร่างกายอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะกิน นอน หรือทำกิจกรรมใด ๆ ก็ล้วนแต่มีคุณภาพทั้งนั้น เอาเป็นว่าใครอยากลองมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างการเล่นสกี และสโนบอร์ดดูสักครั้งในชีวิต Club Med Sahoro และ Club Med Tomamu นี่แหละคือสกีรีสอร์ทที่ทางเราอยากจะแนะนำ เรามั่นใจเลยว่าความดีงามของบรรยากาศที่นี่ จะทำให้แกฟีลกู๊ดได้ทุกวันที่อยู่ในรีสอร์ท และหลงรักฮอกไกโดรวมถึงประเทศญี่ปุ่นได้ง่าย ๆ ไม่ต่างจากเรา สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.clubmed.co.th เลยจ้า