หายใจสองทีตื่นมาอีกทีก็ปี 2020 พอลองมองย้อนดูปีที่ผ่านมา เราเองก็ได้ไปสัมผัสมาหลายประเทศ หลายเมือง ได้เรียนรู้ ได้พบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ และหนึ่งในทริปที่ไปแล้วชอบมากจนอยากหยิบยกมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง อีกครั้งก็คือ “ประเทศตุรกี” ดินแดนสองทวีปที่เต็มไปด้วยเรื่องราวชวนฝัน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามแปลกตา รวมไปถึงร่องรอยอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่จนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งตุรกีรอบนี้เราจะพาพวกเธอไปล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส สัมผัสความสวยงามของพระราชวังโดลมาบาห์เช่ สุเหร่าเซนต์โซเฟียแห่งเมือง Istanbul ก่อนจะไปตื่นตากับซากอารยธรรมกรีกโบราณแห่งเมือง Ephesus ต่อด้วยความมหัศจรรย์ของธรรมชาติของ Cotton Castle ที่เมือง Pamukale และปิดท้ายสุดว้าวกับดินแดนแห่งเทพนิยายท่ามกลางเหล่าบอลลูนหลากสีเต็มฟ้าที่ Cappadocia เอาละ!!! ได้เวลาตามไปดูความฝันทั้งที่ยังตื่น … มันเป็นยังไง??
สำหรับความพิเศษของทริปส่งท้ายปีดี ๆ แบบนี้ เราได้ร่วมเดินทางไปกับ AP Thai และผู้โชคดีที่ได้ร่วมสนุกกันกับกิจกรรม AP Eurasia Winter in Turkey เพื่อออกเดินทางไปสัมผัส Pamukkale ปราสาทปุยฝ้ายแห่งเดียวในตุรกีที่เป็น Inspiration ของโครงการ Life Sathorn Sierra ในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดกับคอนเซ็ป “ยกธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มาไว้ใจกลางเมือง” เอาเป็นว่า … ยังไงก็แอดไลน์ @apthai เอาไว้ด้วยนะ รับรองว่าเค้าจะต้องมีทั้งกิจกรรมดี ๆ และของรางวัลมากมายตลอดทั้งปี 2020 ให้พวกเธอได้ร่วมสนุกอีกแน่นอนจ้า
“ ISTANBUL ”
หลังจากลากกระเป๋าเดินสวย ๆ ออกจากสนามบินอตาเติร์ก สนามบินแห่งใหม่ที่เค้าเคลมกันว่าเป็นสนามบินแห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว เราก็เดินทางเข้าสู่เมือง อิสตันบูล หรือที่เรียกอีกชื่อว่าคอนสแตนติโนเปิล เมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป เมืองที่หลาย ๆ คนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมืองหลวงของตุรกี ซึ่งความจริงไม่ใช่นะจ๊ะ คงเพราะที่นี่เป็นเมือง 2 ทวีป ที่มีหนึ่งเดียวในโลกล่ะมั้ง จึงได้ยินชื่อกันบ่อยครั้ง เขาแบ่งทวีปที่ช่องแคบบอสฟอรัส คือ ฝั่ง Thrace เป็นทวีปยุโรป และฝั่งอนาโตเลีย เป็นทวีปเอเชีย ดั้งนั้นสถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมของเมืองนี้จึงเป็นแบบผสมผสาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
01 Dolmabahce Palace
สถานที่น่าเช็คอินจุดแรก เราขอพามาชมความหรูหรากันที่ พระราชวังโดลมาบาเช ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งยุโรปของบอสพอรัส ที่นี่สร้างด้วยการผสมผสานศิลปะทั้งตะวันตกและตะวันออก ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลมาร์มารา ในช่องแคบบอสฟอรัสฝั่งยุโรป อาคารขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 600 เมตรแห่งนี้ ใช้เวลาสร้าง 30 ปี โอ้โห!!! สร้างนานขนาดนี้ไม่ตีตั๋วเข้าไปชมไม่ได้เด้อ และก็ดีงามสมมงจ้า … ด้านในโอ่อ่าอลังการด้วยเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นแชนเดอเลียร์ ของขวัญจากประเทศอังกฤษ ทำจากคริสตัลขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หนักถึง 5,000 กก. พร้อมไฟ 750 ดวง พรมทอมือผืนใหญ่ที่สุดในโลก เครื่องแก้วเจียระไนจากโบฮีเมียที่ดีที่สุดในโลก เป็นต้น เสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูปอะแก เพราะฉะนั้นเราถ่ายรูปรอบ ๆ มาฝากแล้วกันนะ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้มาชมด้วยตาตัวเอง
02 Bosphorus Cruise
หลังจากสัมผัสบรรยากาศความหรูหราของพระราชวังโดลมาบาเชไปแล้ว เราก็มาทำอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือ ล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส ที่แบ่งเขตแดนประเทศตุรกีออกเป็น 2 ฝั่ง นั่นคือ ฝั่งยุโรปที่เรียกว่า รูมิเลีย และยังเอเชียเรียกว่า อนาโตเลี นั่นเอง ซึ่งช่องแคบนี้ก็จะเชื่อมทะเลดำเข้ากับทะเลมามาร่า มีความยาวถึง 32 กิโลเมตร โดยระหว่างทางเราก็จะได้ชมวิวสุดปัง ความสวยงามของคฤหาสน์ บ้านเรือน ทั้งสไตล์ออตโตมัน และสไตล์ยุโรปที่แปลกตามาก ๆ อันนั้นก็สวย อันนี้ก็ว้าว นอกจากนี้เส้นทางล่องเรือยังผ่านสถานที่สำคัญ ๆ และมีชื่อเสียงของ นครอิสตันบูล อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นหอคอยกาลาตา หนึ่งในสถานที่สำคัญที่โดดเด่นที่สุดของเมือง, Ortaköy Mosque, Bosphorus Bridge รวมถึงพระราชวังโดลมาบาเชที่เราแวะไปเช็คอินจุดแรกมาด้วย
ชมวิวชั้นบนจนจุใจ ถ้าใครเริ่มหิวนิดหน่อยก็เดินลงมาที่ด้านล่างของเรือได้ เค้ามีคาเฟ่ที่บริการขายเครื่องดื่ม และขนมคบเคี้ยวไว้ให้เราทานเล่นระหว่างมองวิวเพลิน ๆ ด้วย ซึ่งทางเราก็ไม่พลาดที่จะสั่งชาตุรกีมาลองชิม แกรู้ไหมว่าเจ้าชาตุรกีเนี่ยเป็นเครื่องดื่มที่เค้าดื่มกันได้ทั้งวัน ทุกโอกาส ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นในร้านอาหาร โรงแรม ร้านค้าริมทาง หรือบนท้องถนน ซึ่งรสชาติชาดั้งเดิมก็มีจะรสขม สีเข้ม ส่วนใหญ่มักจะทานคู่กับเตอร์กีสดีไลท์ ขนมหวานที่เกิดมาเพื่อถูกเรียกว่าเป็นขนมหวานโดยแท้จริง เพราะรสชาติคือหวานหยาดเยิ้มมาก แต่แปลกที่พอทานคู่กับชาคืออร่อยลงตัวมากกกกกก
03 Kubbe Istanbul
จุดต่อมาบอกเลยว่าเตรียมกล้องให้พร้อม เพราะเราจะพามาเช็คอินกับอีกหนึ่ง IG Spot สุดฮอตฮิตนามว่า Kubbe Istanbul ซึ่งถ้าใครจะมาก็สามารถเสิชชื่อนี้ในกูเกิ้ลแมพแล้วเดินตามทางมาได้เลย พิกัดตรงเป๊ะไม่มีหลงแน่นอน ที่นี่เป็น rooftop ของตึกร้าง ที่เราจะได้มองเห็นวิวเมืองอิสตันบลูเเบบ 180 องศา วันไหนอากาศดีแดดเค้าก็จะมีปูพรมพร้อมชาตุรกีไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย โดยเสียค่าเข้ามานั่งถ่ายรูปกับเหล่านกนี้คนละ 100 ลีลา หรือประมาณ 500 กว่าบาทไทยนั่นเอง จะถ่ายนานแค่ไหนก็ได้ตามใจต้องการ จะถ่ายเดี่ยวนั่งบนพรมเหมือนอะลาดิน หรือชวนจัสมินมาถ่ายคู่ก็ดูดี แนะนำว่านอกจากจะจัดคอสตูมมาให้พร้อมแล้ว ควรมาช่วงพระอาทิตย์ตกดินด้วยจะดีมาก แดดไม่ร้อนเกินไป แถมแสงดีได้รูปสวยแน่นอนจ้า
04 Mosque of Hagia Sophia
หลังจากฟินกับบรรยากาศนกบินเต็มฟ้าจากรูฟท็อปไปแล้ว เราขอพามาเที่ยวอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองที่ตั้งตระหง่านสวยงามนั่นก็คือ สุเหร่าเซนต์โซเฟีย หรือที่เรียกในปัจจุบันว่า พิพิธภัณฑ์ฮาเยียโซเฟีย (Ayasofya Museum) ที่หน้าตาดูแล้วยังไงก็คล้ายคลึงกับโบสถ์ของศาสนาคริสต์เหลือเกิน ถูกต้องจ่ะ.. เมื่อก่อนเคยเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ นิกายออร์โธดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนให้เป็นสุเหร่า ในสมัยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 โดยให้ฉาบปูนปิดทับภาพโมเสกอันสวยงามอลังการภายในให้หมด เพื่อเป็นไปตามความเชื่อของศาสนาอิสลามที่ห้ามมีรูปเคารพต่าง ๆ
ตัวสุเหร่าเซนต์โซเฟียนี้มีเพื้นที่ทั้งหมด 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตร และประดับไว้งดงามถึง 108 ต้น โดยจะมีเสาอยู่ต้นนึงที่เค้าเรียกกันว่าเสารักษาโรค ตามความเชื่อที่เคยมีมาว่า เมื่อจักรพรรดิจัสติเนียนแนบพระเศียรลงกับเสาต้นนี้ทำให้อาการโรคไมเกรนดีขึ้นและหายในที่สุด ทำให้ใครต่อใครก็มักมาลูบคลำที่เสานี้กันเป็นประจำ นอกจากนี้ตัวสุเหร่ายังมียอดเป็นโดม และมีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลม ๆ มากมาย ทุกอย่างดูอลังการงารสร้าง ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็รู้สึกถึงความหรูหรา และยิ่งใหญ่ จนได้รับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางเลยทีเดียว
“PERGAMON”
หลายคนที่มาตุรกี มักใช้เวลาส่วนใหญ่บนฝั่งยุโรป แต่เราอยากแนะนำว่า … มาเที่ยวตุรกีทั้งทียังไงก็ต้องมาฝั่งเอเชียให้ได้! ซึ่งเมืองถัดมาเราจะพาทุกคนไปสัมผัสความงามของอารยธรรมโบราณกันที่ เพอร์กามอน หรือ แบร์กาม่า เมืองชายฝั่งทะเลอีเจียน ในจังหวัดอิซเมียร์ ที่ในอดีตกลุ่มชาวกรีก อีโอเลียน ( Aeolian) เป็นผู้บุกเบิกเข้ามาตั้งรกรากช่วง 800 ปีก่อนคริสตกาล เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่อีกเมืองหนึ่งในยุคนั้น ทำให้ปัจจุบันยังคงหลงเหลือซากความรุ่งเรืองจากอดีตให้เราได้ชมกัน และที่เมืองพอร์กามอนนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่หลายแห่ง แต่เราขอหยิบยกที่เราว่าว้าวที่สุดมาเล่าให้ฟัง
และที่ที่ว่าว้าวแสนว้าวนี้ก็คือ วิหารอะโครโปลิส Acropolis ตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่สุดในเมืองเพอร์กามอน โดยมีพระเจ้า อูมาเนสที่ 1 เป็นผู้ก่อตั้ง ระหว่าง 263-241 ก่อนคริสตกกาล ที่นี่ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของโลกมาเรื่อย ๆ จนถึงยุคพระเจ้า แอททาลุสที่ 3 ทรงยกเมืองให้แก่อาณาจักรโรมัน ทำให้อะโครโปลิสกลายเป็นเมืองหลวงของแคว้นเอเชียภายใต้อาณาจักรโรมัน ซึ่งนอกจากจะเป็นเมืองหลวงแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม การค้า และการแพทย์ จนถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งศิลปิน และนักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง
ด้านบนบริเวณรอบ ๆ อะโครโปลิส นั้นกว้างขวางอลังการมาก ขนาดเหลือแต่เพียงซากอารยธรรม เราก็ยังสัมผัสได้ถึงความรุ่งเรืองในสมัยก่อน และจุดไฮไลต์ที่ห้ามพลาดของที่นี่ก็คือ โรงละครใหญ่มหึมา ที่มีทั้งหมด 80 แถว แบ่งเป็นสามชั้น จุคนดูได้เกือบ 10,000 คนเลยทีเดียว ว่ากันว่าป็นโรงละครที่ชันที่สุดในโลก ส่วนที่ว่าทำไมต้องตั้งอยู่บนพื้นที่สูง ก็เพราะว่า อะโครโปลิส แปลว่า นครที่อยู่ที่สูง ซึ่งเป็นฐานการป้องกันเมืองของอาณาจักรกรีกและโรมัน ซึ่งผู้ที่ตั้งถิ่นฐานในสมัยก่อนนั้น มักจะเลือกที่สูง ที่ที่มีเนินผาชัน เป็นจุดศูนย์กลางของเมือง ลองคิดภาพตามว่ามีคนนั่งเต็มโรงละครกำลังส่งเสียงเชียร์การแสดง หรือการต่อสู้ต่าง ๆ แค่นี้ก็ขนลุกแล้วจ้า!
หากเดินไปต่อเราก็จะเจอกับ มหาวิหารเอเธน่า ที่สร้างเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยพระเจ้าอูมาเนสที่ 2 เพื่อถวายแด่อัซเคลปิโอสผู้เป็นเทพแห่งการแพทย์กาเลน ที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากการแข่งขันการต่อสู้ บอกเลยว่าหากแกได้ลองมายืนอยู่ ณ บริเวณยอดสูงสุดของอะโครโปลิส แกจะสามารถสัมผัสได้ถึงมนต์ขลังของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งรายล้อมอยู่รอบตัว มองลงไปด้านล่างก็จะเห็นบ้านเรือนของชาวเมืองที่ทอดตัวยาวไกลจนสุดสายตา
“EPHESUS”
เราคงยังอยู่กันที่อีกเมืองโบราณ นครเอเฟซุส เมืองแห่งความรุ่งเรืองที่เกิดก่อนคริสตกาล ใช่แล้วจ้าแม่!!! นางรุ่งเรืองมาตั้งแต่ยุคโรมัน สมัยจักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ (Augustus Caesar) เชื่อว่าเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ และงดงาม ถูกกล่าวขานกันในนามของ “เมืองมหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย” ผ่านมาหลายร้อยปี มหานครแห่งนี้ได้เป็นศูนย์กลางการค้าและธนาคารของเอเชีย จนมาเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนเมืองได้รับความเสียหาย บวกกับมีพวกอาหรับเดินทางผ่านมา เพื่อไปโจมตีอิสตันบูล ก็หันมาทำลายเมืองเอเฟซุสไปด้วย แล้วยังมีโรคระบาดจากไข้มาลาเรีย ผู้คนจึงอพยพไปอยู่ที่อื่น จนในที่สุดเมืองนี้ตกเป็นของออตโตมัน.. นี่เป็นเพียงประวัติฉบับย่อ(มาก) ที่เราเอามาเล่าให้ฟังถึงความเป็นมาเมืองนี้ เศษซากอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่เห็น ยังคงบรรยายความศิวิไลซ์ในดินแดนอันรุ่งโรจน์นี้ได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นตามมาจ้า … ทางเราขอพาชม
สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่นี้ มีอายุตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ทั้งหมดล้วนเป็นศิลปะแบบเฮเลนนิสติก ที่มีความอ่อนหวาน ประณีต ในอาณาเขตสุดกว้างใหญ่นี้มีแลนด์มาร์คที่สำคัญ ๆ อยู่หลายจุด จุดแรกที่เรามาคือ โรงละครแห่งชาติเอเฟซุส (The Great Theatre of Ephesus) โรงละครกลางแจ้งขนาดใหญ่ สูง 18 เมตร จุคนได้ถึง 25,000 คน ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศตรุกี มีลานแสดงตรงกลาง ล้อมด้วยที่นั่งเป็นชั้น ๆ ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้งานได้ดี ยังคงมีการจัดแสดงแสงสีบ้างเป็นครั้งคราว
หากเดินบนถนน Harbour Street หรือที่เรียกว่าถนนท่าเรือเรื่อย ๆ จนสุดทาง ก็จะเจอกับ หอสมุดเซลซุส (Library of Celsus) ซากอารยธรรมล้ำค่าที่มีความสวยงาม และมีขนาดใหญ่มาก ถือเป็นห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับสามในยุคกรีกโบราณ รองจาก หอสมุดอเล็กซานเดรีย และ เพอร์กามอน ที่นี่เคยมีหนังสืออยู่ถึง 12,000 เล่ม ต่อมาห้องสมุดเซลซุสได้ถูกชาวกอธ (Goth) เผาทำลายในปี ค.ศ. 262 ทำให้บรรดาเอกสารและโครงสร้างอาคารที่เป็นไม้ทั้งหมดของห้องสมุดเซลซุสถูกทำลายหมดสิ้น แต่ว่าส่วนของอาคารด้านหน้าที่สร้างจากหินอ่อนไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย ยังคงยืนหยัดเป็นมรดกแห่งความตกทอดสืบมาอีกหลายร้อยปีจนถึงทุกวันนี้
นอกจากที่หยิบยกมาเล่า ที่นี่ก็มีเรื่องราวอีกมากมายที่เราอยากให้ทุกคนลองมาเดินดูกันเอง ไม่ว่าจะเป็น Hadrian’s Temple วิหารที่โดดเด่นด้วยศิลปะแบบคอรินเทียน, Fountain of Trajan น้ำพุใหญ่โตที่สร้างให้แก่จักรพรรดิ Trajan ไว้พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งเป็นอีกจุดที่เห็นงานแกะสลักได้เด่นชัด, Latrina ห้องน้ำสาธารณะไม่แยกชายหญิง, Hercules Gate ประตูเฮอร์คิวลีสแคบ ๆ ที่มีไว้สำหรับให้คนเดินเท่านั้น ซึ่งจุดนี้เราจะเจอรูปสลักเทพเจ้า Nike เทพเจ้าแห่งโชคลาภและชัยชนะอีกด้วย และ Odeon ลานประชุมสภาที่จุคนได้ 1,400 คน เอาจริง ๆ ถ้าค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ถ่ายรูป เราว่าอยู่กันได้ทั้งวันแน่นอน
“PAMUKKALE”
หากจะฝันกลางวันถึงที่เที่ยวอันงดงามอย่างมีเอกลักษณ์ในตุรกี เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องนึกถึงปามุคคาเล่ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle) อย่างแน่นอน ที่นี่เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดิน ที่มีแร่หินปูนผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก พอทำปฎิกิริยาก็เกิดการจับตัวแข็ง เกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไป เป็นมหัศจรรย์ธรรมชาติที่มีมากว่าพันปี จนได้รับเลือกเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม ร่วมกับเมืองโบราณ Hierapolis
กิจกรรมหลักที่นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมทำกัน คือแช่น้ำแร่ Thermal bath อุณหภูมิ 35 องศา เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และรักษาโรค ซึ่งก็เป็นที่มาของการตั้งถิ่นฐานของชาวโรมันในเมืองนี้ พวกเขาเชื่อว่าน้ำของ Pamukkale เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณทางยา ช่วยบำบัดโรคภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคทางเดินปัสสาวะ และโรคไต ใครที่อยากแช่น้ำก็สามารถเตรียมชุดว่ายน้ำมาลงเล่นได้ หรือจะแค่แช่เท้าพอกรุบกริบก็ทำได้เช่นกัน และถ้าวันไหนที่อากาศดี ๆ ก็จะมีบอลลูนลอยขึ้นบนท้องฟ้าอีกด้วย รับรองว่าถ้าได้รูปบอลลูนพร้อมปราสาทปุยฝ้ายจะต้องมีเพื่อนมากมายเข้ามาคอนเม้นต์ว่า ‘อยากไปบ้างจัง’ แน่นอน
นอกจากปราสาทปุยฝ้ายแล้ว ในปามุคคาเล่ก็ยังมีซากปรักหักพังตลอดเส้นทางให้เราชม ท้ังวิหาร ถนน และที่เห็นเด่นชัดสุดคือ โรงละคร Hierapolis ที่ถึงแม้ขนาดอาจจะไม่ได้ใหญ่โตอลังการเท่าที่อื่น แต่ถือว่าสมบูรณ์มาก ๆ ทั้งตัวเวที และที่นั่งโดยรอบ มองเห็นรายละเอียดหัวเสาของศิลปะคอรินเทียนได้อย่างชัดเจน เพราะบรรยากาศมันสวยงามยิ่งกว่าฝันไป ทำให้ชาวยุโรปส่วนใหญ่มักพากันมาพักร้อนที่นี่จนกลายเป็นเมืองตากอากาศยอดฮิตในปัจจุบัน
“CAPPADOCIA”
เวลาใครไปตุรกีกลับมาก็ต้องโดนเพื่อนถามว่า ‘ได้ขึ้นบอลลูนป่ะ?’ ซึ่งก็ตอบตรงนี้เลย ‘ว่าได้จ้ะ’ ได้ขึ้นที่ดินแดนแห่งเทพนิยายเมืองคัปปาโดเกียนี่เอง ซึ่งเมืองนี้เป็นอีกหนึ่งเมืองโบราณที่เป็นเมืองมรดกโลกแห่งแรกของตุรกี ตั้งอยู่ระหว่างทะเลดำกับภูเขาเทารุส มีความสำคัญมาแต่โบราณ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมเส้นทางค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ทอดยาวจากตุรกีไปจนประเทศจีน เป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้ภูมิประเทศประหลาดแปลกตา เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวย (คว่ำ) ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง จนเป็นที่มาที่ใคร ๆ ก็พากันเรียกว่า ‘ดินแดนแห่งเทพนิยาย’ หรือ ‘ปล่องไฟนางฟ้า’ (Fairy Chimney) นั่นเองจ้า
01 Hot Air Balloon Riding in Cappadocia
แน่นอนว่าไฮไลท์ของเมือง หรือจะเรียกว่าของทริป ที่ทำให้เราข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาถึงตุรกีแห่งนี้ ก็คือการขึ้นบอลลูนนี่แหละ เรียกว่าเมนูนี้เป็นจานหลัก อื่น ๆ เป็นออเดิร์ฟไปเลย สำหรับการขึ้นบอลลูนปกติเราสามารถจองทัวร์ล่วงหน้าจากเว็บ หรือไปเดินหาซื้อทัวร์ที่นั่นก็ได้ สะดวกใจกับเจ้าไหนก็ไปได้เลย ราคาไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ โดยวันขึ้นบอลลูนทางทัวร์จะส่งรถตู้มารับที่โรงแรมตั้งแต่เช้ามืด เพื่อพาเราไปยังจุดขึ้น และทุกทัวร์ก็เหมือนจะรู้ใจนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ว่าเช้าขนาดนี้ร่างกายไม่ค่อยตื่นเท่าไหร่ เขาเลยเตรียมชา กาแฟ ขนมไว้ให้รองท้อง ระหว่างนั้นก็อธิบายข้อปฏิบัติให้เราฟัง เพราะการขึ้นบอลลูนนั้นเราจะต้องทำตามสัญญาณของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เราจะได้เห็นการติดตั้งบอลลูนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่อุ่นเครื่องก่อนบอลลูนลอยฟ้า ประกอบบอลลูนให้สมบูรณ์จนปล่อยไฟเข้าบอลลูน
ในขณะที่บอลลูนค่อย ๆ ลอยขึ้นฟ้า แสงจากดวงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ฉายขึ้นมาจากฟากฟ้าอีกฝั่งหนึ่ง ความสว่างนั้นเป็นเหมือนแสงสปอต์ไลท์ ในโรงละครระดับโลกที่ส่องให้เห็นความสวยงามของเวทีในฉากฟิเนเล่ฉากนี้ เราเห็นบอลลูนเต็มท้องฟ้า พร้อมฟ้าสีชมพู ส้มอ่อนหวาน บ้านเรือนที่แทรกอยู่ตามภูมิประเทศที่แปลกตา ความรู้สึกคือมันไม่ได้น่ารักเหมือนที่เราเห็นในการ์ตูน แต่มันเหมือนความฝันที่เกินจะบรรยายได้ ความสวยสะกดปนความหวาดเสียว ยามลมพัดผ่านเราไหวไปตามแรงลมเล็กน้อย ชีวิตในตะกร้าเล็ก ๆ ที่ให้เราโฟกัสได้เพียงวิวภายนอก ภูมิประทศแปลกพิศดาร ปะทะกับแดดยามเช้า มีบอลลูนของคนอื่นลอยเป็นเพื่อนกระจายทั่วพื้นที่มันเป็นภาพที่สวยมาก ความกลัวพลันหาย 1 ชม. ที่เขาให้เหมือนเป็นเพียง 2 นาทีผ่านไป ยังไม่อยากลงเลย แงงงง..
02 Galleri Ikman
ร้านพรมสุดฮอตที่ทางเรามั่นใจเลยว่าโพสต์ภาพลงโซเชียลเมื่อไหร่ต้องได้รับการตอบรับทั้งยอดไลก์ และคอมเม้นแบบถล่มทลาย ตัวร้านจะตั้งในเมืองเกอเรเม ซึ่งนอกเหนือจากพรมแสนสวยแล้วก็ยังมีสินค้าพื้นเมืองขายเยอะมาก ส่วนใครไม่สนใจช้อปปิ้งแต่อยากถ่ายรูปอย่างเดียวก็สามารถเข้ามาถ่ายได้ โดยเสียเงินค่าถ่ายรูปนิดหน่อยประมาณ 50 ลีลา หรือแล้วแต่ต่อรองราคา ซึ่งพอจ่ายแล้วเราจะตีลังกาถ่าย นอนถ่าย หมุนตัว 360 องศา ประหนึ่งว่าเป็นเจ้าจัสมิน กระโดดลอยตัวขึ้นเหนือกองพรมแบบอาลาดินก็ย่อมได้ ไม่จำกัดเวลาด้วยนาจา ยังไม่หมดเท่านี้ถ้าใครไม่ถนัดเรื่องถ่ายแต่อยากได้รูปสวย เจ้าของร้านก็แสนจะใจดีมาคอยช่วยจัดแจงถ่ายรูปคิดท่าโพสท์ให้เราย่างดิบดี คงเป็นเพราะความน่ารักนี้แหละที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาอย่างไม่ขาดสายในแต่วัน
03 Jeep Safari
ชมวิวเมืองคัปปาโดเกียจากบอลลูนว่าว้าวแล้ว ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่ถือเป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ไม่แพ้กัน คือการนั่ง Jeep Safari บนเส้นทางที่สุดตื่นเต้น ตื่นตา บอกเลยว่าได้อรรถรสมาก ๆ ตั้งแต่ก้าวเท้าขึ้นรถความสนุกก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยรถจิ๊บจะพาเราไปยังจุดถ่ายรูปแต่ละจุดซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแพคเกจที่เราซื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นวิวของเมืองได้แบบสุดลูกหูลูกตา โยกซ้ายโยกขวาขึ้นเนินไต่เขาลงห้วย ใช่จ่ะแกอ่านไม่ผิดรถจิ๊บพาเราไปลุยเบอร์นั้นจริง ๆ แต่เรื่องความปลอดภัยก็หายห่วงน้า คนขับชำนาญทางมาก ๆ ระหว่างทางเราก็จะได้บ้านเรือนของชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในถ้ำ มีความแปลกประหลาดไม่เหมือนที่อื่น คนในสมัยก่อนใช้ที่นี่เป็นสถานที่หลบภัยช่วงเกิดสงคราม เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ทั้งสวยงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจจริง ๆ
04 Anatolian Houses Hotel
การได้มาพักในโรงแรมถ้ำก็เป็นอีกหนึ่งประการณ์ใหม่ ๆ ที่เราเพิ่งเคยได้สัมผัสจากเมืองแห่งเทพนิยายนี้เช่นกัน ซึ่งที่นี่ก็มีโรงแรมสไตล์ถ้ำอยู่หลายแห่ง หลายราคาแตกต่างกันไป แต่ที่ Anatolian Houses Hotel แห่งนี้สร้างจากถ้ำในอดีตจริง ๆ ไม่ใช่ปูนหรือทำขึ้นมาใหม่ ต้องเล่าก่อนว่าชาวบ้านท้องถิ่นของที่นี่ อยู่ในบ้านถ้ำกันตั้งแต่สมัยโบราณ โดยหนึ่งในข้อดีของบ้านถ้ำนั้น คืออุณหภูมิที่คงที่ตลอดทั้งปี ว่ากันว่า สมัยก่อน ที่ราบสูงตรงนี้ หน้าร้อนก็ร้อนมาก 40 องศา พอหน้าหนาวก็หนาวติดลบแบบทรมาน แต่อุณหภูมิในบ้านถ้ำนั้นจะคงที่อยู่ที่ประมาณ 12-13 องศาตลอดทั้งปี เรียกได้ว่ากำลังดีเลยทีเดียวเชียวละ
โดยลักษณะของบ้านถ้ำนั้นจะสร้างจากหินจริง ๆ ตามธรรมชาติที่ผ่านการกัดเซาะมาอย่างสวยงาม เหมือนมีศิลปินระดับโลกมาออกแบบไว้ ซึ่งส่วนตัวเราชอบมาก ๆ ห้องพักของโรงแรมถ้ำที่นี่จะเป็นแบบบูทีค คือแต่ละห้องจะมีการตกแต่งดีไซน์ที่ไม่เหมือนกัน บางห้องมีอ่างอาบน้ำ บางห้องเตียงนอนแบบกลมหรือรูปหัวใจไว้สำหรับคู่รักด้วย และสำหรับใครที่ไม่ได้ขึ้นบอลลูนในยามเช้า ก็สามารถสั่งเซ็ทอาหารเช้ามานั่งถ่ายรูปที่ริมระเบียงห้องอาหารของที่นี่ได้เช่นกัน บอลลูนนับร้อยค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากผืนดินถ่ายรูปออกมาก็สวยปังไม่แพ้บนบอลลูนเลยจ้า
และทั้งหมดทั้งมวลนี้คือความประทับใจของเมืองสองทวีป ภูเขา อารยธรรม บอลลูนและเมืองโบราณ ที่เราได้หยิบยกมาร้อยเรียงผ่านภาพถ่ายเพื่อเล่าให้เพื่อน ๆ ได้ฟัง บอกเลยว่าตุรกีเป็นอีกประเทศที่อยากแนะนำให้ไปสักครั้งในชีวิตจริง ๆ เราจะได้เห็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่าง ยุโรปและเอเชียที่ไม่เหมือนที่ไหน ได้รู้สึกว้าวตื่นตาตื่นใจกับความรุ่งเรืองของเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อนคริสต์กาล ถึงแม้ครั้งนี้อาจะไม่ใช่การเดินทางมาตุรกีครั้งแรกสำหรับเรา แต่มั่นใจเลยในอีก ปี สองปี หรือสามปีข้างหน้านี้ เราจะกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน หยอดกระปุกแล้วไปขึ้นบอลลูนสักครั้งในชีวิตกันเถอะแก