รีวิวอุซเบกิสถาน : TRAVEL TO UZBEKISTAN – THE WONDER OF THE SILK ROAD

เปิดแผนที่โลกครั้งนี้ … เราขอปักหมุดไปบนเส้นทางสายไหม ณ ดินแดนทะเลทรายแห่งเอเชียกลาง ที่สวยงามลึกลับราวกับอัญมณี ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความร่ำรวยทางวัฒนธรรม และศูนย์รวมการค้าอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง และโชกโชนนี่แหละ ทำให้ “อุซเบกิสถาน” เพียบพร้อมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวสุดอลังการ สรรสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่มีมาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน มันช่างยิ่งใหญ่ และประณีต จนกลายเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของโลก รอให้พวกเธอมาดู มาสัมผัส ด้วยตัวเธอเอง เอาล่ะ.. ต่อจากนี้ เราจะพาทุกคนไปเก็บ 7 เมือง หลายสิบที่เที่ยวแบบคัดที่สุดของความดีงามมาให้ และในนั้นก็มีเมืองที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกจาก UNESCO อีกด้วย พร้อมแล้ว มาดูกันเลยดีกว่า ว่าความอลังที่เราพรรณามาทั้งหมดนี้ มันไม่ได้เวอร์เกินจริง

ทริปนี้เราขอเริ่มจากขั้นตอนก่อนเดินทางเลยแล้วกัน ความจริงที่อุซเบกิสถาน เขามีฟรีวีซ่า 5 วันสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาทรานซิสเครื่องบินด้วยนะ โดยเราจะต้องมีตั๋วเครื่องบินของประเทศที่เราจะไปให้เขาดู ก็ออกมาเที่ยวได้เลย แต่หากมาเที่ยวยาว ๆ เป็นอาทิตย์แบบเราก็ต้องทำ Visa กันหน่อย ซึ่งขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แค่กรอกเอกสาร และไปยื่นที่กงสุลใหญ่ประจำประเทศไทย ตามรายละเอียดจาก www.uzbinbkk.org

แน่นอนว่าเราเดินทางแบบสวย ๆ ด้วยการบินตรงกับสายการบินเจ้าบ้าน Uzbekistan Airways เส้นการบิน BKK – TAS จากกรุงเทพฯ สู่เมืองทาชเคนต์ เมืองหลวงของอุซเบกิสถาน ใช้เวลาบินแค่ 6 ชม. นั่งยังไม่ทันเมื่อยก็ถึงแล้ว ซึ่งไฟล์ทบินของเขาก็มีให้เลือก 5 วันต่อสัปดาห์ คือ จันทร์ อังคาร พุธ ศุกร์ และเสาร์ ถามว่าบริการเป็นยังไง ทางเราขอบอกเลยว่ากินหรูอยู่สบาย แอร์สวยมาก อาหารอร่อยไม่จืดไป ไม่แรงไปกำลังดี นอกจากบินตรงไปอุซเบกิสถานแล้ว เธอยังสามารถเลือกบินต่อไปอีกหลายเส้นทางป๊อป ๆ ในเอเชีย, เอเชียใต้, ยุโรป รัสเซีย และอเมริกา ได้ด้วยจ้า ทางไปตำ…จองตรง ๆ แบบออนไลน์กับสายการบินที่ www.uzairways.com หรือจองผ่านบริษัทไทยแอร์เซอร์วิส จำกัด ตัวแทนสายการบินอุซเบกิสถานแอร์เวย์ ประจำประเทศไทย ที่ 323 อาคารยูไนเต็ดเซ็นเตอร์ชั้น 29 ห้องเลขที่ 2902A ถนนสีลม เขตบางรักกรุงเทพฯ 10500 Tel: 02-635-5400-2 / E-mail: [email protected] ทักวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น. ก็ได้จ้า แอบกระซิบบอกอีกนิดว่า … ถ้าเธอจองผ่านบริษัทไทยแอร์เซอร์วิส เส้นทาง BKK – TAS สามารถรีเควสอาหารไทยพวกต้มยำกุ้ง ผัดไทย แซ่บ ๆ ต่าง ๆ ได้ด้วยเด้อ

เมืองเทอร์เมซ ( Termez )

เมืองสุดฮอต จนเสื้อคลุมที่เตรียมมาด้วย ต้องเป็นม่าย นอกจากที่เที่ยวจะฮอตเพราะความโบร่ำโบราณหาดูยากแล้ว อากาศของเขายังร้อนที่สุดในประเทศอีกด้วย เมืองนี้ถือเป็นชายแดนระหว่างอุซเบกิสถาน และอัฟกานิสถาน มีเพียงแม่น้ำอามูดาร์ยา (Amu Darya) เป็นเส้นกั้นพรมแดน ซึ่งเราสามารถเที่ยวได้แบบครึ่งวัน – เต็มวันเลยทีเดียว ความน่าสนใจคือ ในประเทศที่ผู้คนนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ (กว่า 88%) กลับมีโบราณสถานที่เป็นของศาสนาพุทธอายุ 2,000 กว่าปีอยู่หลายแห่ง ตอกย้ำความหลากหลายทางอารยธรรมให้เราอยากค้นหา จนต้องดั้นด้นมาถึงนี่เลยทีเดียว

01 สถูปซูร์มาลา (Zurmala Stupa)

เร่ิมต้นที่แรกกับ สถูป ที่บ้านเรารู้จักกันในคำว่าเจดีย์นั่นเอง สถูปซูร์มาลา แห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อ 100-300 ปีก่อนคริสตกาล เป็นช่วงยุคที่เมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรื่องทางพุทธศาสนาอย่างมาก ด้วยเวลาผ่านพ้นไปจนถึงปัจจุบัน จากสถานที่บูชากลายเป็นแหล่งเพาะปลูก เกษตรกรรมไร้ซึ่งการดูแล สถูปแห่งนี้จึงถูกกัดเซาะโดยธรรมชาติ ทำให้รูปร่างเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย ที่เราเห็นเป็นเหมือนก้อนดินใหญ่มหึมาตั้งไว้อยู่กลางลานกว้างมากกว่า จากการขุดพบนั้น ว่ากันว่าสถูปนี้มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนเป็นแท่นทรงกระบอก ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 14.5 เมตร สูง 16 เมตร สร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้า โดยด้านบนนั้นเป็นที่เก็บของพระไตรปิฎก และพระธาตุของพระพุทธเจ้า ฟังไปฟังมาความเชื่อก็คล้าย ๆ บ้านเราเลยเนอะ

02 พุทธศาสนสถานเทอร์เมซคาราเทปา (Termez-Karatepa)

เนินทรายขนาดใหญ่สามลูกตรงหน้าเรา คือที่ตั้งของวัดเก่าแก่โบราณอายุสองพันกว่าปี สมัยศาสนาพุทธยังรุ่งโรจน์อยู่ ณ ที่แห่งนี้ สิ่งปลูกสร้างที่เราเห็นจะเป็นลักษณะคล้ายถ้ำ เชื่อว่าอดีตคงเต็มไปด้วยอาราม และวัดหลายสิบแห่ง ที่สร้างด้วยดินทราย และการขุดเจาะ ถึงแม้ทุกอย่างจะดูทรุดโทรมจนแทบนึกภาพสมัยอดีตไม่ออก แต่ตามกำแพง เราก็ยังเห็นร่องรอยอารยธรรมที่จารึกเรื่องเกี่ยวกับความรุ่งเรือง ความเสื่อมถอยของเปอร์เซียนซิเรียน และอาหรับโบราณอยู่บ้าง ซึ่งหลังจากหมดยุคของศาสนาพุทธไป ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นสุสาน ทำให้บรรยากาศที่เรามาเดินมันดูเงียบ ๆ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ เพราะความกว้างใหญ่ มันทำให้เราทึ่งมากกว่า

03 Fayaztepa Complex

ขณะที่เราเดินเล่นอยู่สองที่แรกนั้น ก็แอบคิดในใจว่าสมัยก่อนศาสนาพุทธยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันจะหลงเหลือเศษซากอารยธรรมแค่สิ่งปลูกสร้างเท่านั้นเองเหรอ จนมาที่ Fayaztepa Complex ก็ไขข้อข้องใจของเราได้ในทันที โดมทรงกลมบนลานพื้นทรายกว้าง ๆ ที่เห็นนี้ เป็นอนุสาวรีย์แห่งประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา ที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1963 ถือเป็นคอมเพล็กซ์ที่ทำให้นักโบราณคดีได้เห็นวิวัฒนาการของรูปปั้นพระพุทธรูป ซึ่งที่นี่เป็นแบบที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีภาพแกะสลักหินรูปพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์  ขุดพบเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบัน เขาเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง และแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโบราณคดีเช่นกัน เรียกว่าเป็นโอเอซิสของเหล่านักแสวงบุญ นักโบราณคดี และผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธเลยก็ว่าได้

ซามาร์คันด์ ( Samarkand )

เมืองที่เราอัพสตอรี่แล้วมีแต่คนกรี๊ดกันเป็นแถว อินบ๊อกซ์มาถามชื่อสถานที่กันจนแอปแทบค้าง ก็แน่ล่ะ เพราะเมืองนี้เขาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้วเมื่อปี 2001 นิ จะไม่สวยได้ยังไง เพราะซามาร์คันด์เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสอง (รองจากเมืองหลวง) เป็นเมืองที่มีประวัติเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียกลาง และยังเป็นจุดตัดตรงกลางระหว่างเอเชียและยุโรปอีกด้วย อดีตเคยถูกยึดครองโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ถูกรุกรานเรื่อย ๆ จนมาในปี 1220 ได้ถูกกองทัพอันแข็งแกร่งของเจงกิสข่านยึดครอง ด้วยผู้นำอันชาญฉลาด และแข็งแกร่ง สามารถตีเมืองต่าง ๆ มาเป็นอาณานิยม จนเมืองซามาร์คันด์แห่งนี้ ได้ถูกยกเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง และยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ทำให้สถาปัตยกรรมที่นี่เป็นแบบผสมผสาน ถ้าพวกเธอไม่ตะลึงกับความสวยงามของแต่ละสถานที่นานนัก ก็สามารถใช้เวลาเที่ยวแค่ครึ่งวันได้เหมือนกัน

01 Gure Amir Mausoleum

สถานที่ที่สวยที่สุด จนอยากชวนเพื่อนใส่ชุดฮิญาบมาสะบัดกระโปรงถ่ายรูป ชื่ออ่านยากตามภาษาเปอร์เซียนี้ แปลแบบตรงตัวว่า “สุสานของกษัตริย์” ซึ่งเดิมนั้น ท่านอามีร์ ตีมูร์ ผู้ครองเมืองอันโด่งดังสร้างไว้เพื่อเป็นที่ฝังศพของหลานรัก สุลต่านมูฮัมหมัด (Sultan Muhammad) ที่เสียชีวิตในเปอร์เซีย แต่เมื่อปี 1405 อามีร์ ตีมูร์ได้เสียชีวิตระหว่างยกทัพไปบุกจีน แม้ได้สร้างสุสานของตัวเองไว้ที่เมืองบ้านเกิดอย่าง ซาห์ริซาบซ์  แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายศพไปได้ทันภายใน 24 ชม. (ตามความเชื่อของอิสลามจะต้องฝังศพภายใน 24 ชม. หลังจากเสียชีวิต) จึงทำให้ต้องฝังท่านไว้ที่นี่เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีบุคคลสำคัญอีกหลายคนที่สถิตอยู่ที่นี่ ทั้ง ซารุคฮ์ มิรานชาห์ ลูกชายของติมูร์ และ อูลุกเบก ผู้ปกครองรุ่นหลาน ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาตร์ นักดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอิสลาม ความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบอุซเบกิสถาน ของสุสานนี้เต็มไปด้วยรายละเอียด ใหญ่โตและหรูหรามาก แสดงถึงความรุ่งเรืองเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้อย่างดี กลบความหดหู่ของความเป็นสุสานไปเลย

02 Shah I Zinda Complex

ความสวยงามยิ่งใหญ่ของที่นี่ เหมาะสมกับความหมายของชื่อเป็นอย่างมาก ชาห์ อิ ซินดา มีความหมายว่าที่อยู่ของกษัตริย์ สถาปัตยกรรมรูปทรงอาคารอิสลามสูงใหญ่ ถ้าจะมองให้เห็นทั้งตึก เราต้องแหงนหน้าจนคอแทบเคล็ดอะ ถึงจะเห็นยอด บวกกับพื้นผนังสะท้อนระยับจนแสบตา ตกแต่งด้วยแผ่นกระเบื้องโมเสกสีฟ้า ลวดลายละเอียดสวยงามจนทำให้ตาพร่ามัวเพราะความฟิน ซึ่งที่นี่เขาตั้งใจสร้างเพื่อเป็นสุสานของเหล่าผู้มีชื่อเสียงในเมืองนี้ จนเวลาล่วงเลยมากว่า 900 ปี อาคารแบบเดียวกันก็เริ่มเยอะขึ้นเรียงเป็นแนวยาว จนเกิดเป็นถนนเล็ก ๆ คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยว ถนนเส้นนี้ได้รับสมญานามว่า “Avenue of the Death (ถนนของผู้วายชนม์)” กว่าที่เราจะเดินไปถึงด้านบน จะต้องขึ้นบันไดยาวพอสมควรเลยแหละ ซึ่งเขาก็มีความเชื่อว่า หากเรานับขั้นบันไดขาขึ้นไว้ แล้วขากลับสามารถนับได้เท่าเดิม คำอธิฐานที่ขอไว้จะเป็นจริง

03 Registan Square

สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแลนด์มาร์กหลัก เห็นจนชินตาตามหน้าเว็บไซต์ และหน้าปกหนังสือท่องเที่ยวอุซเบกิสถาน อยู่บ่อย ๆ คือจตุรัสเรกิสถาน ที่ที่ห้อมล้อมไปด้วยโรงเรียนสอนศาสนาอันยิ่งใหญ่ถึง 3 แห่ง เริ่มจากด้านซ้ายมือ ถือเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่ และสวยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียกลาง ชื่อว่า Ulugh Beg Madrassah สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 ในยุคนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยอิสลามที่ดีที่สุด รองมาคือด้านขวามือ Sher-Dor Madrasah และตรงกลาง Tilya-Kori Madrasah ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ถือเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนอิสลามของโลกยุคกลางเลยก็ว่าได้ อีกจุดเล็ก ๆ ที่เราอยากชี้เป้าให้ทุกคนสังเกตคือลวดลายตรงซุ้มประตูของอาคาร Tilya-Kori Madrasah ที่เราถ่ายมาให้ดู บอกเลยว่าลายสวยมากเวอร์ เหล่าคนรักอาร์ตเวิร์คโมเสคจะต้องหลงรักแน่นอน

และอีกไฮไลท์ของจตุรัสแห่งนี้คือความแปลกของลายหน้าซุ้มประตูอันด้านขวา ที่มีรูปเสืออยู่ หาดูได้ไม่กี่แห่งบนโลกเท่านั้น เพราะมัสยิดส่วนใหญ่จะไม่ตกแต่งรูปสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตไว้บนผนังเลย และปัจจุบันก็ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าทำไมจึงมีรูปเสืออยู่ตรงนั้น มีเพียงข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์ตามพื้นฐานทางโหราศาสตร์เท่านั้น ว่าเป็นพระอาทิตย์ และเสือภาพนี้เป็นการแสดงอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และความงดงามของเมืองซามาร์คันด์นั่นเอง

เมืองนูราตา ( Nurata )

เดินทางมาทางเหนือของเมืองซามาร์คันต์ประมาณ 4 ชั่วโมง เราก็จะได้พบเจอกับเมือง นูราตา เมืองที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย และมีเทือกเขาสูงถึง 2,169 เมตร เป็นที่เที่ยวสำหรับคนที่ชอบการท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศ ถ้าเที่ยวในเมืองส่วนใหญ่จะมีแค่เช็คอินตาม ป้อมปราการ มัสยิด เดินเทรคกิ้ง และนอนโฮมสเตย์ ทำกิจกรรมกับชาวบ้าน แต่ด้วยความที่เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องทะเลทราย เขาจึงขอหยุดทุกกิจกรรม แล้วขับไปนอกเมืองนิดหน่อยเพื่อไปนอนแค้มป์ ขี่อูฐกันแทน โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยวคือเดือน มีนาคม พฤษภาคม และกันยายนถึงตุลาคม อากาศจะเหมาะสมที่สุดนะจ๊ะ

01 Yurt Camp “Qizilqum Safari”

อะไรจะดีไปกว่าการใช้ชีวิตแบบคนพื้นเมืองท่ามกลางทะเลทรายห่างไกลผู้คน เหมือนในละครที่เราเคยเห็นแค่บนจอทีวี และในจินตนาการ คืนนี้เราจะได้สัมผัสด้วยตัวเองสักที ถ้าพูดถึงที่พักแบบแค้มป์ แถบนี้ดูจะมีเยอะมาก ๆ แต่จากการหาข้อมูล และความถูกจริตแล้ว เราเลือกที่จะพักที่ Yurt Camp “Qizilqum Safari” เพราะที่นี่เขาทำออกมาดูโลคอล แต่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ตามความจำเป็นในการใช้ชีวิตท่ามกลางทะเลทราย ยิ่งตอนกลางคืนที่มีรอบกองไฟเบา ๆ เคล้าแสงดาวบอกเลยว่าฟินมาก คิดว่าถ้าใครได้มา ขอให้จัดชุดกระโปรงพริ้ว ๆ มาหมุนตรงกลางลาน รับรองว่าไอจีแตกเพราะยอดไลก์แน่นอน

02 Aydarkul Lake (ทะเลสาบไอดาร์คุล)

อีกแลนด์มาร์กที่เราจะได้วิวปัง ๆ กับกิจกรรมสวย ๆ ณ ทะเลสาบไอดาร์คุล ทะเลสาบที่มีความยาวถึง 250 เมตร ท่ามกลางทะเลทรายสีแดงเรียกว่า Kyzyl Kum Desert ทิวทัศน์พร้อมแมกไม้ที่ขึ้นอยู่รอบ ๆ รวมกัน ได้ผลลัพธ์ที่คำว่า สวยมากกกกกก!!! ถ้าให้เดินชมเฉย ๆ คงจะคลิเช่ไป เขามีบริการขี่อูฐชมวิวรอบทะสาบด้วย บอกเลยว่ามุมบนหลังอูฐสูง ๆ แบบนี้ลมตีหน้า อากาศดีกว่าเดินอีก ความจริงทะเลสาบแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินะ ถูกสร้างโดยนักวิศวกรชาวโซเวียต ตั้งใจจะทำเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จากแม่น้ำซีร์ดาร์ยา แต่กลับมีรอยรั่วทำให้น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีรสเค็ม เหมือนน้ำในทะเลเลยทีเดียว ด้วยความกว้างใหญ่นี้ทำให้แหล่งน้ำมีความหลากหลายทางชีวภาพ ปลาหลายชนิด เต่า เป็ด ฯลฯ เปรียบเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายเลยแหละ และในช่วงหน้าร้อนนักท่องเที่ยวก็นิยมลงไปเล่นน้ำกันด้วย

เมืองบูคาร่า ( Bukhara )

อีกหนึ่งเมืองบนเส้นทางสายไหม ที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย และเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งในเอเชียกลาง ซึ่งแต่ก่อนเมืองนี้ถือเป็นจุดแวะพักของเหล่าพ่อค้ามุสลิมที่เดินทางข้ามเมือง เพื่อทำการค้า ซึ่งความปังกว่านั้นคือ เมืองนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาตั้งแต่ปี 1993 แล้ว เพราะทั้งสภาพบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง รวมไปถึงการแต่งกายของผู้คนยังเหมือนสมัย 500 ปีก่อนอยู่เลย และในปัจจุบันก็ยังมีความสำคัญในการประกอบพิธีทางศาสนา มีโรงเรียนมุสลิม มัสยิด อนุสาวรีย์อยู่มากมาย เราเชื่อว่าแต่ก่อนนี้พื้นที่ของเมืองน่าจะใหญ่กว่านี้มาก แต่ด้วยความเนื้อหอม ทำให้มีหลายกองทัพผลัดกันมาแย่งอาณานิคม ใครชนะก็เผาของเก่า สร้างใหม่ทับที่เดิมไม่รู้กี่รอบ จนในปัจจุบันเหลือสถานที่ออริจินอลใหญ่ ๆ ไม่กี่จุดเท่านั้น จนในช่วงศตวรรษที่ 16-18 ก็มีการสร้างอาคารหลังใหม่ ๆ ขึ้นบ้าง และเก็บรักษายาวนานมาถึงปัจจุบัน จะเก่าหรือจะใหม่ถ้ามาถึงตอนนี้ได้ อายุมันก็หลายร้อยปีอยู่ดี เรารับรองความแกรนด์ว่ามองยังไงก็เพลิน และสวยงามแน่นอน

01 Poi-Kalyan Ensemble

มหาสุเหร่าโพลิ กัลยัน ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชางเมืองบูคาร่ามาช้านาน สร้างขึ้นในปี 1127 เราตะลึงตั้งแต่ซุ้มประตูด้านหน้าที่สูงใหญ่กว่าตัวเราหลายสิบ หลายร้อยเท่า พร้อมกับความสวยงามของลวดลายที่คุมธีมสีฟ้า ดูมีสไตล์ ซึ่งขนาดที่เราเห็นนี้ถือว่ายิ่งใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียกลางเลยทีเดียว และด้วยความใหญ่โตเหมือนชายถึก รวมกับศิลปะสวยละเอียดอ่อนช้อยเหมือนสาวงามจนน่าตะลึงนี่แหละที่ทำให้สุเหร่าแห่งนี้ รอดพ้นจากการถูกเผาของกองทัพเจงกิสข่านมาได้ เพราะผู้นำกองทัพก็หลงใหลเสน่ห์เช่นกัน แม้จะมีการถูกซ่อมแซมขึ้นใหม่บ้าง เพราะการทรุดตัวของหน้าดินเมื่อศตวรรษที่ 15 แต่ความคลาสสิคก็ยังคงอยู่ และในปัจจุบันตัวอาคารก็ยังสามารถใช้ประกอบพิธี และทำละหมาดได้อยู่ทุกวัน

อีกมุมถ่ายรูปจากมุมสูง ที่จะให้เราได้ภาพแกรนด์ของโพลิกัลยันแห่งนี้ ก็คือที่ร้านอาหาร “CHASHMAI MIROB RESTAURANT”  ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง เดินขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของโฮสเทล มาสั่งชา กาแฟเซ็ตสวย ๆ เป็นพร้อพ บอกเลยว่าได้มุมปังกว่าถ่ายข้างล่างแน่นอน และจากมุมนี้เราจะมองเห็นหอคอย Kalyan Minaret หอคอยที่สูงกว่า 48 เมตรเอาไว้ตรวจตราข้าศึก และคาราวานกลางทะเลทรายในสมัยก่อน ซึ่งถือว่าเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเมืองนี้เลยก็ว่าได้ นั่งพักชมวิวตรงนี้ มองคนพื้นเมือง นักท่องเที่ยวเดินไปเดินมาแบบช้า ๆ นี่คือชิลดีมากเด้อ

02 Citadel Ark

แค่เดินมาถึงก็อื้อหือออออ.. นี่เราอยู่ในเมืองยักษ์ หรือตัวเราเล็กเป็นมดกันแน่ ป้อมปราการขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้นที่กว้างกว่า 25 ไร่แห่งนี้ เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกว่าในอดีต เมืองนี้เคยเป็นมหาอำนาจแน่นอน ป้อมนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองบูคาร่า คือสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ภายในประกอบด้วยห้องบัลลังก์ กองตำรวจ คอกสัตว์ ห้องเก็บเครื่องแต่งกาย ห้องครัว ห้องสมบัติ โรงกษาปณ์ มัสยิด ไปจนถึงห้องขัง และลานด้านหน้าเราเรียกว่า ตุรัสเรจิสถาน เคยเป็นลานประหารมาก่อน เรียกว่าทุกอณูพื้นที่นี้เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์จริง ๆ ปัจจุบันป้อมปราการแห่งนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด และด้านบนของป้อมยังเป็นจุดชมวิวของเมืองอีกด้วย

เมืองชิมกาน (Chimgan)

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าประเทศในเอเชียกลางแบบนี้ เขาก็มีที่เล่นสกีเหมือนกันนะ!! ซึ่งก็คือเมืองชิมกานแห่งนี้ ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงแค่ 80 กิโลเมตรเท่านั้น เรียกว่าใครมาหน้าหนาว (เดือนธันวาคม-มีนาคม) มีเวลาเที่ยวไม่กี่วันก็แวะมาเล่นสกีสักคืนก่อน แล้วกลับไปขึ้นเครื่องกลับบ้านยังทัน ที่นี่มีรีสอร์ทขึ้นมากมาย และสวยงามจนถูกเรียกว่าเป็น “Uzbek Switzerland (สวิตเซอร์แลนด์แห่งอุซเบกิสถาน)” เลยทีเดียว เมืองนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขา Chatkal บนความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,200-1,600 เมตร และยอดเขาที่สูงสุด สูงถึง 3,390 เมตร มุมมองที่เราเห็นก็ต้องเป็นหุบเขาสลับทับซ้อน พร้อมหิมะที่ปกคลุม มันก็เดาได้ไม่ยากว่าคงจะสวยงามไม่แพ้ที่สวิตจริง ๆ อะแหละ ..

แต่.. ในเมื่อเราไม่ได้มาหน้าหนาว เราก็ต้องหาที่เที่ยวอื่นมาให้พวกเธอเป็นตัวเลือกกัน อย่าเพิ่งตัดเมืองนี้ออกจากแพลน เพราะยังมีกิจกรรมมันส์ ๆ และที่แกรนด์ ๆ ให้เราไปชมอยู่เหมือนกันนะ โดยที่ฮิตสุดคือการนั่ง Chairlift ขึ้นไปชมวิวบนยอดเขา ซึ่งที่นั่งก็เป็นแบบเปิดโล่งไม่มีที่กั้น หวิว ๆ เสียวนิด ๆ แบบที่ลานสกีเขานั่งขึ้นไปเล่นนั่นแหละ แม้วิวที่เราเห็นจะไม่เป็นหิมะอย่างที่หวัง แต่ภาพหุบเขาที่เราเห็นก็น่าประทับใจไม่น้อยเลยเหมือนกัน ทั้งความทับซ้อนของเขา เส้นถนน และเมืองเล็ก ๆ เป็นภาพรวมที่ออกมาดูตรึงใจอยู่ไม่น้อยเลย

เมืองชาวัค (Charvak)

ใครว่าประเทศอุซเบกิสถานไม่มีทะเล!! แม้ภูมิประเทศจะถูกล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ติดกับชายฝั่งเลย แต่ก็ยังมีที่ที่เหมือนทะเลให้เราได้เที่ยวเล่นนะ จากชิมกาน เรานั่งรถข้ามเมืองมาที่ชาวัคเพียง 20 -30 นาที กับเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “ไข่มุกแห่งหุบเขาเทียนซาน” หุบเขาขนาดใหญ่ในเอเชียกลาง พาดผ่านเขตแดนในประเทศจีน คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และอุซเบกิสถาน ถือเป็นเมืองตากอากาศที่คนในประเทศนิยมมาพักผ่อน และท่องเที่ยวในฤดูร้อน มีที่เที่ยวทั้งทางน้ำ และทางบก อย่างขึ้นเขา Chimgan ไปชมวิวทิวทัศน์ของเขารอบ ๆ แต่เขาเราเที่ยวกันมาเยอะแล้ว ขอพาลงน้ำกันบ้างแล้วกัน

ไฮไลท์หนึ่งเดียวที่ทางเราคัดมาเสิร์ฟสำหรับเมืองนี้ก็คือ (Charvak Reservoir) ทะเลสาบน้ำสีฟ้าใสกิ๊งที่มองยังไงก็ทะเลชัด ๆ เพราะความยาวของแนวชายฝั่งเกือบ 100 กิโลเมตรนี่แหละ ยาวที่สุดในบรรดาอ่างเก็บน้ำที่เราเคยเห็นมาแล้วมั้ง อ่างเก็บน้ำนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1970 และพื้นที่เกือบครึ่งของชายฝั่งก็เป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ ที่พัก โรงแรม สถานที่ตั้งแค้มป์ ในช่วงหน้าร้อนผู้คนนิยมมาว่ายน้ำ อาบแดด ขี่เจ็ทสกี และพาราไกลดิ้ง (Paragliding) ให้เล่นแบบขำ ๆ พอหายอยากได้เป็นอย่างดี แต่ที่มากกว่ากิจกรรมเหล่านี้คือบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครนี่ต่างหาก ทะเลที่มีทิวเขาล้อมรอบแบบนี้ อันดามันก็ทำไม่ได้นะจ๊ะ ส่วนวันที่เรามา อากาศกำลังดีมาก ๆ เราลองล่องเรือชมอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ดู บอกเลยว่าบรรยากาศดีมากแม่ คนน้อย ๆ ชิว ๆ เหมือนมีแค่กรุ๊ปเราเท่านั้น ปิดหาดส่วนตัวเที่ยวกันเองสวย ๆ ไปเลยจ้า

เมืองทาชเคนต์ ( Tashkent )

เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่แห่งอุซเบกิสถาน ด้วยความที่เคยเป็นหนึ่งเดียวกับสหภาพโซเวียต ในสมัยก่อน เมืองนี้ถูกตั้งให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ได้รับการพัฒนามาเรื่อย ๆ จนถึงช่วงโซเวียตล่มสลาย ปีกแห่งอิสรภาพได้แผ่ขยายขึ้น เมืองที่ได้รับการพัฒนาด้านการค้าถึงขีดสุด ก็กลายเป็นประเทศเปิดจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นดี สำหรับคนที่มองหาความที่สุดแห่งเอเชียกลางอย่างเรานี่เอง สำหรับเราเมืองนี่ถือว่าเจริญสุดในแถบเอเชียกลางเลยแหละ ทั้งการเดินทาง และถนนหนทางเหมาะกับการเดินเที่ยว sightseeing แบบหนึ่งวันเต็ม ๆ มาก

01 Hast Imam Square

ใครที่ชอบบรรยากาศเก่า ๆ เราขอแนะนำให้มาเดินเที่ยวระแวก Old town นี้ จุดเช็คอินแรกคือศูนย์กลางทางศาสนา Hast Imam Square เป็นทั้งที่ตั้งหลุมฝังศพของโต๊ะอีหม่ามคนแรกของเมืองทาชแคนต์, โรงเรียนสอนศาสนามุสลิมแห่งเอเชียกลาง และอนุสาวรีย์สำคัญ ๆ อีกมากมาย จนเรียกว่าเป็นแหล่งรวมเอกลักษณ์ของเมืองเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าเมื่อปี 1966 ที่นี่จะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำลายเมืองนี้จนเสียหายอย่างหนัก แต่เขาก็สามารถซ่อมบำรุงให้กลับมาดีดังเดิมได้อย่างที่เห็น และในปี 2007 ก็มีการสร้างอาคารเพิ่มในรูปแบบโครงสร้างเดียวกับสมัยทศวรรษที่ 16 ด้วยกระเบื้องโมเสคสีฟ้าสดใส พร้อมงานไม้แกะสลักที่สวยงาม บอกเลยว่างานประณีต ใหญ่โตไม่แพ้งานสมัยก่อนแน่นอน

02 Chorsu Bazaar

โดมสีฟ้าหลังโตที่สูงถึงสามชั้นมองดูเผิน ๆ ใครจะคิดว่าเป็นตลาดสด ! เพราะความสะอาดสะอ้านที่เราไม่เคยเห็นตลาดไหนทำได้ดีขนาดนี้มาก่อน แต่ละร้านถูกจัดวางเรียงเป็นวงกลมตามทรงโดม ดูสวยงามเหมือนที่ทำการตลาดหุ้นชิค ๆ มากกว่า แต่สินค้าที่วางแผ่อยู่นั้นกลับเป็นของสด เครื่องเทศ แทบทั้งหมด ด้วยความไม่คุ้นชินทำให้ในใจรู้สึกย้อนแย้ง แต่ก็เถียงไม่ได้ว่าแอบประทับใจอยู่เหมือนกัน นอกจากบรรยากาศค้าขายสุดคึกคักแล้ว เรายังได้เห็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นจริง ๆ การหยอกล้อ การต่อราคาด้วยภาษาอุสเบกมันดูจอแจ เหมือนเราอยู่ในหนังแขกเลย ว่าแล้วก็ไปช้อปหาของฝากกลับบ้านกันบ้างดีกว่า

7 เมือง 7 เรื่องราวมหัศจรรย์ที่เราได้พบเจอ ตอนแรกที่เรารู้ตัวว่าจะต้องมาประเทศนี้ มีความกังวลมากมายแทรกเข้ามาในหัวตลอด ทั้งเรื่องกิน การเดินทาง ความปลอดภัย และสถานที่ท่องเที่ยว คือถ้ามันไม่ปังนี่เราคงเฟลน่าดู แต่ทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่เราคิดไปเองทั้งนั้น ไม่ว่าที่ใดบนโลกก็ตาม ทุกสถานที่มีเรื่องราว และเสน่ห์ของตัวมันเอง และยิ่งที่อุซเบกิสถาน มันเหมือนคูณสองไปซะทุกเรื่อง ทั้งความใหญ่โตอลังการของสถานที่ ความประณีตของศิลปะ-สถาปัตยกรรมชั้นสูง เรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายจนถูกบรรจุเป็นวิชาพื้นฐาน ความน่ารักของผู้คนที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คาด เมื่อได้มาสัมผัสกับตัวแล้ว มันคือประเทศที่น่าทึ่ง และอยากให้พวกเธอมาสักครั้งในชีวิตจริง ๆ