รีวิวโตเกียว : 5 Neighborhoods You Must Explore in Tokyo

“ที่ที่ใช่ มากี่ทีก็ชอบ”​ เป็นมั้ย เวลาที่เหนื่อยล้า อ่อนแรง เรามักจะมีวิธีเยียวยาในแบบฉบับของตัวเองเสมอ บางคนเล่นกีฬา อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง ซื้อของเล่น ฯลฯ แต่สำหรับเราคือการท่องเที่ยวนี่แหละ และต้องเป็นประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นด้วยนะ !! เวลาท้อ ๆ เหนื่อย ๆ นิ้วเจ้ากรรมก็เผลอไปกดจองตั๋วเครื่องบินเป็นประจำ รอบนี้ เรามาหายใจทิ้งแบบฟิน ๆ กับ 5 ย่านสุดชิลในโตเกียว ที่ครบเครื่องทั้งเรื่องกิน เที่ยว รวมถึงช้อปของมือสองคุณภาพ ถ้าถามว่าแมสมั้ย ก็มีบ้าง เพราะทุกซอกซอยในเมืองนี้ มันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ใช้เวลาเจาะลึกได้เท่าเรา ? มามะ มาดูกัน แล้วจะรู้ว่าโตเกียวยังมีอีกหลายมุมที่เธอยังไม่เคยเห็น …

นอกจากย่านเฟียต ๆ เลิฟ ๆ ทั้ง 5 ที่คัดสรรมาแนะนำแล้ว ก็ยังมีอีกอย่างที่เราอยากหยิบยกมาบอกต่อความดีงาม นั่นก็คือ K PLUS แอปที่คนมีบัญชีธนาคารกสิกรไทยควรมีไว้ติดเครื่อง หรือถ้าใครไม่มีลองสมัครใช้ดูก็ได้นะ แล้วจะติดใจ เพราะนอกจากสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินเบื้องต้นแล้ว นางก็ถือเป็นอีกหนึ่งแอปที่ทำให้คนชอบเที่ยวอย่าเราสะดวกสบาย ไร้กังวลมากขึ้น ด้วยสามฟีเจอร์เด็ด ข้อแรก คือ การปิ๊บจ่ายเงินด้วย QR Code ที่ญี่ปุ่น และสิงค์โปร์ได้ง่าย ๆ ปลอดภัย ไม่มีขั้นต่ำ ไม่มีค่าธรรมเนียม ที่สำคัญ รู้อัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอน และเห็นยอดเงินที่ต้องชำระในสกุลเงินบาท และสกุลเงินเยนหรือดอลลาร์สิงคโปร์ก่อนยืนยัน แถมตอนนี้พิเศษยิ่งกว่า เพราะปิ๊บครบ 100 บาท/รายการ ที่ญี่ปุ่นสิงคโปร์ก็ได้ จะได้รับคืน 20 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 29 ก.พ. 63 ข้อต่อมา คือ เราสามารถขอเพิ่มวงเงินชั่วคราวบัตรเครดิตได้ถึง 30% ของวงเงินปกติ พร้อมทราบผลทันที และข้อสุดท้ายก็คือการซื้อประกันการเดินทางระหว่างประเทศได้ง่าย ๆ มีให้เลือกหลากหลายแพ็คเกจตามงบประมาณ สามารถซื้อให้ตัวเองหรือซื้อให้เพื่อนก็ได้ ตัวกรรมธรรม์จะส่งตรงเข้าอีเมลทันที ซึ่งนอกจากทั้งสามข้อเด่น ๆ แล้ว ที่เราชอบมากสุด คือความง่ายของแอป ใช้ง่าย อ่านง่าย สบายตา ไม่ซับซ้อน เหมาะกับคนคิดไวทำไวอย่างเราเป็นที่สุด

01 ย่าน Shibamata, Katsushika City

ขอเร่ิมต้นกันที่ Shibamata ย่านเรโทรที่จะทำให้เราหลงรักไปกับการย้อนยุคไปเมื่อสมัยพ่อแม่เรายังเป็นวัยใส สมัยญี่ปุ่นยังต้องทำวีซ่า ยังไม่ป๊อปปูล่าอย่างทุกวันนี้ ใครอยากเที่ยวโตเกียวแบบไม่ต้องหายใจรดต้นคอ แบบไม่เจอเพื่อนชาติเดียวกัน ไม่เจอพี่จีน ไม่เจอฝรั่งตาน้ำข้าว เจอแต่คนญี่ปุ่นก็ต้องมาย่านนี้เลย ตอบโจทย์สุด ๆ ซึ่งย่านนี้ตั้งอยู่ในเขต Shitamachi (ชิตามาจิ) ที่แปลว่าย่านกลางเมือง ซึ่งสมัยก่อนก็เป็นที่อยู่ของเหล่าพ่อค้า และช่างฝีมือ  ทำให้กลิ่นอายของความเจริญของย่านการค้าในแบบเก่า ๆ ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้ จนทำให้เราหลงรักตั้งแต่นาทีแรกที่ย่างก้าวเข้ามาเลย ที่หน้าสถานีเราจะเจอกับรูปปั้นหนึ่งยืนหล่ออยู่ คือคุณโทระ (Tora San) ตัวเอกจากซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง “Otoko wa Tsurai yo” ที่ถือเป็นซีรีส์ที่ยาวนานที่สุดในโลก (1960-1995) และถ่ายทำที่ย่านนี้เป็นหลัก จนทำให้โด่งดังในหมู่คนญี่ปุ่น ซึ่งย่านชิตามาจินี้ก็อยู่ไกลจากอุเอะโนะเพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้น ยังงงอยู่ว่ารอดสายตาโตเกียวฮอปปิ้งอย่างเราไปได้ไง

ออกจากสถานีมา จุดเช็คอินแรกที่เราอยากให้เราทุกคนแวะก่อนเลยคือ ร้านขนมย้อนยุคไฮคาระ โยโกะโจ (Haikara Yokocho) และพิพิธภัณฑ์ของเล่นชิบามาตะ (Shibamata Toy Museum) ที่เหมือนพาเราหลุดไปอยู่ในยุคโชวะ เหล่าขนมหน้าตาวินเทจที่แทบไม่มีขายแล้วตามท้องตลาดทั่วไป เรากลับพบได้จากร้านนี้ เหมาะสำหรับการหาซื้อของฝากมากกว่าขนมกิน เพราะแต่ละอย่างดูเป็นของหายาก และยังอยู่ในสภาพดีทั้งนั้น ชอบตั้งแต่ตู้น้ำที่เป็นรูปหุ่นยนต์โบราณหน้าร้าน ป้ายโฆษณาตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว ตู้พินบอลโบราณที่ยังเล่นได้จริง และบนชั้นสองของร้านก็เป็นพิพิธภัณฑ์ของเล่น ที่เราจ่ายแค่ 200 เยน สามารถขึ้นไปเพลิดเพลินกับของเล่นยุคเก่าได้แบบไม่มีใครกวนใจด้วย

เดินชิลมาอีกหน่อย เราจะมาเจอกับถนนเส้นโบราณที่มองยังไงก็คล้าย Old town shopping Street ตามต่างจังหวัดมาก ๆ ถนนเส้นนี้ชื่อว่า Taishakuten Sando เป็นถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านค้าสองข้างทางยาว 200 เมตร เราจะได้เห็นทั้งร้านค้าเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่นที่บางร้านเปิดมากว่าร้อยปี พร้อมกับสถาปัตยกรรมไม้โบราณที่ยังถูกเก็บรักษา และใช้งานอย่างดี ซึ่งย่านนี้เป็นย่านที่โชคดีมาก ๆ เขารอดพ้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้แบบหวุดหวิด ทำให้สภาพทุกอย่างในนี้ยังคงสมบูรณ์ ส่วนของขึ้นชื่อที่นี่คือขนมเซมเบ้ และดังโงะ ขนมญี่ปุ่นโบราณที่อยู่คู่บ้านเมืองมาช้านานนั่นเอง และดังโงะประจำถิ่น ของที่นี่มีชื่อเรียกว่า Kusa dango ดังโงะก้อนเล็ก ๆ สีเขียวเสียบไม้ที่มีถั่วแดงหนึบ ๆ เข้มข้นหวานพอดีโปะอยู่ด้านบน เป็นซิกเนอเจอร์ที่ใคร ๆ ก็ต้องมาลอง ส่วนจะไปร้านไหนนั้น เราก็มีมาแนะนำด้วยเช่นกัน

เกริ่นมาซะขนาดนี้แล้ว สายหวานอย่างเราจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง จะกินให้ดูตั้งแต่ต้น ยันท้ายถนนเลยคอยดู เริ่มร้านแรกที่ Takagiya Roho ร้านดังโงะที่มีชื่อเสียงยาวนาน และเป็นร้านโปรดของเหล่านักแสดงในซีรีส์ดังที่เราบอกข้างต้นไปแล้ว Kusa Dango ที่นี่เป็นดังโงะสีเขียว เพราะทำจากพืชตระกูลเซเลอรี (Celery) ซึ่งมีรสขมเล็กน้อย แต่มีกลิ่นหอมชื่นใจมาก เมื่อมาทำเป็นของหวาน เขาจึงนำถั่วแดงบดที่มีรสชาติหวานนิด ๆ มาโปะไว้ข้างบน กลายเป็นของหวานซิกเนอเจอร์ของย่านชิบามาตะ รวมถึงร้านนี้ด้วยเช่นกัน แต่มาทั้งทีก็อยากลองหลาย ๆ รส เราเลยเลือกมาสามไม้ สามรส คือ Kusa Dango, ดังโงะสีขาวธรรมดาที่ราดซอสหวาน และดังโงะโรยสาหร่าย สามไม้นี้คือให้ความอร่อยที่แตกต่างกัน และอิ่มแบบจุก ๆ มาก หิวแหละ.. สั่งมาเยอะขนาดนี้แล้วยังกินคนเดียวหมดอีก

เดินอิ่มมาเรื่อย ๆ ก็ต้องสะดุดตากับอะไรเขียว ๆ  ที่อยู่เต็มหน้าร้าน Mizuiro-no-Amagaer ร้านขายของที่ระลึก ของจุกจิก คิขุตามสไตล์ญี่ปุ่นที่มีแต่กบ !! ปรายตาไปทางไหนก็มีแต่สินค้าที่เป็นกบจากทุกแบรนด์ ทุกศิลปิน ทั้งเครื่องประดับ ของใช้ ของทำมือ ตามแต่ที่เขาหามาได้ คาดว่าน่าจะเป็นความชอบส่วนตัวของเจ้าของเองแหละ แต่บอกเลยว่าคนกลัวกบยังต้องร้องกรี๊ด เพราะความน่ารัก ยอมใจญี่ปุ่นเขาจริง ๆ ทำอะไรออกมาก็ดูดี ดูน่าซื้อไปหมด

เมื่อเดินไปสุดถนนเราจะเจอแลนด์มาร์กสำคัญของย่านคือ Shibamata Taishakuten วัดเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี สร้างเมื่อปี 1629 ความสวยงามของวัดแห่งนี้ ทำให้ได้เป็นฉากในซีรีส์เรื่องดัง Otoko wa Tsurai yo และในหนังสือนิยายหลายเล่ม ซึ่งคนส่วนใหญ่เดินทางมาเพื่อขอพรเรื่องสุขภาพเป็นหลัก และวัดนี้ยังขึ้นชื่อว่าเป็น “วัดแห่งการแกะสลัก” ด้วยไม้แกะสลักแสนวิจิตรอันเป็นส่วนประกอบแสนโดดเด่นของตัววัด ที่เรากำลังจะพาทุกคนไปดู และเดินเข้าไปอีกหน่อยเขามีจัดสวนญี่ปุ่น เพื่อเปิดประสบการณ์นักท่องเที่ยว ในการกินขนมโบราณหวาน ๆ ตัดด้วยการจิบชาเขียวเข้มข้นกลางสวนญี่ปุ่นสวย ๆ สักครั้งในชีวิตด้วย

พอบอกว่ามาวัด หลายคนชอบเบือนหน้าหนีใส่เรา แต่คงไม่เป็นกับที่นี่แน่นอน เพราะตั้งแต่หน้าวัดที่เห็นก็สวยมากแล้ว ด้านในยังมีอะไรที่เด็ดกว่านั้นอีก หลังจากไหว้พระเสร็จ เราก็หันไปเห็นว่าเขามีขายตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ด้วย Choukoku Gallery เป็นที่จัดแสดงงานไม้แกะสลักจาก 400 ปีก่อน หลายสิบภาพวางไว้รอบ ๆ ตัวโบสถ์ไทซาคุโด แค่ยืนมองก็ถึงกับทึ่ง แต่ละงานดูพริ้วมาก แกะรูปก้อนเมฆยังรู้สึกว่าไม้ชิ้นนี้ต้องนิ่มเหมือนปุยเมฆแน่ ๆ ไล่มิติของภาพได้ดี ไม่ได้มีแค่ชั้นเดียว แต่แกะเป็นสิบ ๆ ชั้น เพื่อให้เห็นความลึกของฉาก ขับตัวเด่นในภาพ บอกเลยว่าค่าเข้าแค่ 300 เยนนี้คุ้มค่าแน่นอน

ถ้าถามหามื้อเที่ยง หรืออาหารหนัก ๆ ที่อยากนั่งกินแบบจริงจัง คงเลือกได้ยากมาก เพราะที่นี่มีร้านเก่าแก่เต็มไปหมด แต่ถ้าเธอมาตรงกับวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดพิเศษ เราอยากแนะนำให้มากินร้าน Nichiyoan ร้านโซบะที่เปิดขายแค่สามวันต่อสัปดาห์เท่านั้น รู้ได้จากชื่อร้านที่แปลว่า ‘วันอาทิตย์’ เลยแหละ ท่าทางจะชอบวันหยุดเอามาก ๆ เดินตามหมุดใน google maps ถ้ามองผ่าน ๆ เราดูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นร้านอาหาร มองจากภายนอกเหมือนบ้านคนที่ปิดทึบซะมากกว่า แต่พอเดินเข้าไปในร้านก็ค่อยโล่งใจหน่อย ว่าไม่ได้หลงเข้าไปในบ้านใคร ร้านภายในเป็นโทนขาว ไฟส้มอุ่น ๆ มีโต๊ะวางเรียงชิด ๆ กัน ดูน่ารักอบอุ่น มีคุณลุงคุณป้าวิ่งวุ่น ทำครัว เสิร์ฟอาหารกันอยู่สองคน และนอกจากอาหารแล้ว เขายังมีขายเครื่องถ้วยเซรามิกรูปร่างไม่ซ้ำใคร กับตะเกียบไม้ธรรมชาติที่ลายไม้สวยมาก! รู้เลยว่าเป็นงานแฮนเมดแน่นอน

เมนูที่วางอยู่แทบทุกโต๊ะคือโซบะเย็น แบบออริจินอล เราก็เลยลองสั่งมาบ้าง บอกเลยว่าชอบตั้งแต่การจัดจานที่ดูมินิมอล แต่มีรายละเอียด คุมโทนสีได้ตั้งแต่ถาดไม้จนไปถึงสีเส้นโซบะเลยทีเดียว แต่ก็ขัดใจความไร้ซึ่งเนื้อสัตว์ ถ้าใครเป็นสายโปรตีนไม่เน้นผัก เราขอแนะนำให้สั่งเนื้อสัตว์มากินเคียงด้วยจะฟินมาก เพราะเส้นโซบะของเขา เหนียวนุ่มเหมือนเส้นสด ไร้กลิ่นแป้ง จุ่มกับซุปสูตรพิเศษของทางร้าน รสออกเค็ม ๆ มีกลิ่นหอมแล้วถือว่าอร่อยกว่าโซบะตามท้องตลาดหลายเท่าตัวเลย ส่วนเมนูที่เป็นซิกเนอเจอร์ของที่ร้าน เขาก็แนะนำ sobagaki เป็นแป้งโซบะลูกกลมโตเท่ากำปั้น ลอยอยู่ในน้ำซุปร้อน ๆ เสิร์ฟพร้อมวาซาบิ หรือโซบะที่ให้เท็กเจอร์เหมือนซุปข้าวต้ม ดูมีความคิดสร้างสรรค์มาก ถ้าใครมาก็ลองกินหลาย ๆ แบบแล้วมาเล่าให้เราฟังด้วยนะ

อีกหนึ่งที่ที่ไม่ควรพลาดเลยสำหรับย่านนี้คือ Tora-Sam Museum พิพิธภัณฑ์สำหรับคนรักการทำหนัง และโปรดักชั่น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากเรื่อง Otoko wa Tsurai yo ทั้งอุปกรณ์ และฉากมีวางไว้ให้ชมมากมาย นอกจากนั้นยังมีการจำลองย่านชิบามะตะสมัยปี 1955 ให้เราได้ดูความเป็นอยู่ ลักษณะผู้คน การแต่งกาย ร้านค้า สินค้าที่นิยมในสมัยนั้น เล่นเอาคิดภาพออกเหมือนเดินอยู่บนถนนสมัยโชวะจริง ๆ เลย ซึ่งราคาค่าเข้าอยู่ที่ 500 เยนเท่านั้น เข้าไปถ่ายรูปสามสี่มุมก็คุ้มแล้วเนี่ย ทำออกมาดีมาก

ขณะที่เราเดินเอ้อระเหยอยู่ตามถนนระหว่างทางกลับ ก็แอบคิดในใจว่า ถ้ามีคาเฟ่น่ารัก ๆ อีกสักร้านก็คงจะดีแหละเนอะ เดชะบุญ เดินมาสะดุดตากับ Cafe Sepia ร้านคาเฟ่ฟีลเรโทรที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี ด้วยสีสันที่ดูสดใส รวมกับป้ายร้าน ป้ายโฆษณาที่ดูโบราณ ทำให้เรารีบปรี่ข้ามถนน ด้วยใจอยากค้นหาขึ้นมาทันที ซึ่งภายในก็น่ารักอย่างที่ใจเรานึกฝันจริง ๆ การตกแต่งอยู่ในช่วงยุค 1950 – 1980 ตอนที่เรายังไม่เกิด สร้างความแปลกใหม่เป็นอย่างมาก มองไปทั่วร้านตั้งแต่เดินเข้าไปจนนั่งที่โต๊ะ ก็ยังละสายตาไม่ได้ ร้านเล็ก ๆ แต่อัดแน่นไปด้วยของตกแต่งสมัยก่อน ของเล่น โปสเตอร์ ปกหนังสือการ์ตูนตาหวาน ของใช้จุกจิกสีสันสดใสที่เหมือนจะตีกันมั่วไปหมด แต่พออยู่ด้วยกันกลับลงตัวจนไม่กล้าไปหยิบจับ เคลื่อนย้ายเลย

เซ็ตที่เราสั่ง เป็นเมนูเลียนแบบคนที่เช็คอินในอินสตาแกรมนั่นแหละ คืออิตาเลี่ยนโซดาท๊อปด้วยไอศกรีมวนิลลา เสิร์ฟคู่กับพุดดิ้งเด้งดึ๋ง เมื่อพนักงานเอามาวาง ตาเราก็มีประกายเหมือนตัวละครในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย พรีเซ้นท์ของจานน่ารักมาก ทั้งรูปร่าง และสีสันเหมือนหลุดมาจากอนิเมะสมัยเราเด็ก ๆ เป๊ะ!! พอกัดพุดดิ้งเข้าไปคำแรกคือหอมอร่อยมาก ความหวานที่กำลังดี กินตัดกับความซ่าของโซดากลิ่นพีช เหมือนเสิร์ฟความสดใสมากกว่าขนมอะ กินแล้วรู้สึกร่าเริง เซ็ตนี้ราคาอยู่ที่ 1,160 เยน อิ่มแบบจุก ๆ จนรู้สึกพอแล้วสำหรับของหวานในวันนี้

และต่อให้จะเป็นประเทศที่ปลอดภัย เที่ยวง่าย จ่ายคล่อง แค่ไหน … สิ่งที่เธอมองข้ามไม่ได้กับการเดินทางทุกครั้ง ก็คือการเลือกซื้อประกันการเดินทาง ยิ่งช่วงหน้าหนาว กับมนุษย์เมืองร้อนอย่างเรา ๆ บางคนป่วยถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล บางเคส เดินทางไกล รถไฟติดหิมะ ตกเครื่องบินก็เรื่องใหญ่ใช่ย่อย เราเลยอยากแนะนำให้ป้องกันปัญหาไว้ ดีกว่ามานั่งแก้ทีหลัง เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้น มันไม่คุ้มแน่นอน ซึ่งใน K PLUS นี้ ก็มีประกันการเดินทางให้เราเลือกหลากหลายเช่นกัน เบี้ยประกันถูกมาก เริ่มต้นตั้งแต่ 360 บาทขึ้นไป มีให้เลือกหลายฟังก์ชั่น อันเบี้ยถูกสุดก็ประกันให้ถึง 5 ล้านบาทแล้ว เงื่อนไขอ่านผ่านแอปก็ดูง่ายเพราะเขาลิสต์ให้เป็นข้อ ๆ อย่างละเอียดเลย จะซื้อก่อนเดินทางหลายวันหน่อย หรือซื้อก่อนบินก็ทำได้รวดเร็วทันใจ แถมซื้อให้เพื่อนก็ได้นะ

02 ย่าน Koenjikita, Suginami City

ย่านต่อมาเราขอพาทุกคนมารู้จักกับ Koenjikita หลายคนอาจจะเคยคุ้นชื่อคุ้นหูกันมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครรู้อยู่ดี ว่าเขามีอะไรเด็ดบ้าง งั้นเราจะมาบอกให้ฟังก็ได้.. ย่านนี้อยู่ห่างจากแหล่งช้อปปิ้งป๊อบ ๆ อย่างชินจุกุ แค่สิบนาที แต่กลับมีความสงบเงียบ เหมือนช้อปปิ้งแถบชานเมืองจนเรารู้สึกชอบย่านนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มา เพราะเหมือนเป็นที่อยู่ของคนท้องถิ่นจริง ๆ คนส่วนใหญ่สัญจรกันด้วยจักรยาน คือมันเยอะมาก แต่ไม่ได้ดูขวักไขว่จนเกินไป มีความเงียบสงบไม่โฉ่งฉ่างเหมือนแหล่งช้อปอื่น ๆ แถมมีร้านค้า คาเฟ่ ที่ทำให้เราเดินเพลินจนเกือบหมดวัน และที่นี่ถือเป็นสวรรค์ของนักสะสมเลยก็ว่าได้ เพราะมีร้านขายของมือสองคัดอย่างดีเต็มไปหมด ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้าแนววินเทจ รวมถึงร้านขายยา เครื่องสำอาง แบบ tax free แถมเรายังเอาใจเพื่อน ๆ ที่ไม่อยากช้อป หาที่นั่งรอในคาเฟ่เก๋ ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาให้ด้วย

อะ.. ถ้าถามว่าของมือสองที่ดีที่สุดอยู่ตรงไหน ก็ขอแนะนำให้เดินมาที่เส้น Koenji Pal Shopping Street ถนนคนเดินเส้นยาวที่มีหลังคาโปร่งแสงห่อหุ้มเอาไว้ตลอดเส้นนี่แหละ คือแหล่งร้านค้ามือสองราคาดี ที่ตั้งเรียงรายให้เราได้วิ่งเข้าวิ่งออกอย่างเมามัน ทริคการช้อปที่นี่คงไม่มีอะไรมาก แค่ท่องไว้ว่า “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” เพราะของแต่ละอย่างมีชิ้นเดียวเท่านั้น แม้เขาจะตรวจเช็คสภาพให้แล้ว แต่เราก็อยากให้ทุกคนพลิกหน้าหลังดูให้ดี ๆ ก่อนซื้อ เราคิดว่าถ้าใช้เวลาเลือกซื้อของจริง ๆ ก็คงใช้เวลาทั้งวันแหละ บางคนไม่อิน ก็ขอแยกตัวแอบเลี้ยวเข้าตามซอกซอยเล็ก ๆ หน่อยก็จะเจอค่าเฟ่เก๋ ๆ โดน ๆ แทรกตัวอยู่เพียบ บอกเลยว่าย่านนี้ เรารับประกันความเพลิน

อีกเป้าหมายหลักของเรา นอกจากการจับจ่ายซื้อของแล้ว ก็คือการมุ่งตรงมาที่ร้าน Floresta Nature Doughnuts แอบแวะจิบกาแฟเบา ๆ พร้อมโดนัทคิ้วท์ ๆ มองดูผู้คนสัญจรไปมาในอากาศหนาว ๆ แบบนี้กันสักหน่อย ความแกรนด์ของโดนัทที่นี่คือ เป็นงานศิลป์รูปสัตว์น้อยหน้าตาน่ารัก งานละเอียดไม่ไก่กา น่ารักชนิดที่เราไม่กล้ากัดให้มันเสียทรงเลยทีเดียว ที่สำคัญวัตถุดิบที่ใช้ทำนั้น คัดมาอย่างดี เป็นแบบออร์แกนิค ไม่ร่วน ไม่อมน้ำมัน มีความกรอบนอกนุ่มใน และหวานอ่อน ๆ อร่อยมาก ก่อนซื้อเขามีให้ลองชิมตัวแป้งด้วยนะ ถูกใจก็จัดไป เพราะมีขายทั้งแบบแยกชิ้น ธรรมดา ลายการ์ตูน และตั้งเป็นเซ็ต ราคาอยู่ที่ช่วง 140 – 500 เยน เท่านั้นเอง

ใครเดินจนหิว หน้ามืดตาลายแล้วบ้าง ยกมือขึ้น!! แต่ก่อนเดินจ้ำมาร้านนี้ ขอกระซิบหน่อยว่า หาของรองท้องมานิดนึงจะดีมาก เพราะถ้ามาช่วงเที่ยง ๆ คนจะเยอะมากจ้า วันนี้เราใช้เวลาต่อคิวประมาณ 1 ชั่วโมงแหนะ แต่รับประกันความฟินที่ Tensuke ร้านข้าวหน้าเทมปุระเล็ก ๆ ที่มีที่นั่งตรงบาร์แค่เพียง 12 ที่ รายล้อมพ่อครัวที่พร้อมเสิร์ฟเมนูเด็ดอย่าง ไข่ทอดเทมปุระ มายาวนาน ตั้งแต่ปี 1987

เราสั่งเซ็ตแนะนำของร้านแบบชุดใหญ่มาเลยจ้า คือข้าวหน้าไข่เทมปุระ เคียงด้วยเทมปุระกุ้ง ปลาหมึก และผัก แต่ก่อนที่จะได้กิน มันมีอีกสิ่งที่น่าสนใจคือ การทำอาหารของพ่อครัวตรงหน้าเรานั่นเอง ตั้งแต่ลีลาการตอกไข่ลงกระทะ พร้อมโยนเปลือกทิ้งแบบโปร ๆ ใช้ตะเกียบทอดไข่ให้ได้เป็นไข่มะตูม ชุบแป้งชิ้นเนื้อทีละอย่างลงทอดด้วยเสียงฉี่ ๆ ฉ่า ๆ ค่อย ๆ ทำอย่างพิถีพิถัน มันสร้างอรรถรสในการกินได้มากจริง ๆ หลังจากที่ได้กัดไปคำแรกแล้ว คำที่สอง สาม สี่ ก็ตามมาติด ๆ เพราะแป้งกรอบที่เพิ่งทอดนี้ไม่อมน้ำมัน แถมยังกรอบกรุบกำลังดี เนื้อกุ้ง ปลาหมัก ผัก ไข่ สด และสุกกำลังดี กินกับซอสเทมปุระมีรสชาติกลมกล่อมแล้วยิ่งฟินเข้าไปอีก รอ 1 ชม. กิน 10 นาทีอะเอาจริง เพราะอร่อยจนหยุดกินไม่ได้เลย

อีกหนึ่งร้านคาเฟ่เก๋ ๆ ที่เท่เอามาก ๆ ด้วยวิธีการเสิร์ฟ และหน้าตาของเมนูที่ไม่เหมือนใครของ Coffee Cone Tokyo ร้านกาแฟที่ไม่เสิร์ฟกาแฟในแก้ว แต่เสิร์ฟในโคนไอศกรีมเคลือบช๊อคโกแล็ต โรยเกร็ดน้ำตาลดูฟรุ้งฟริ้ง ซึ่งเมนูในโคนมีทั้ง Espresso, Cappucino, Latte, Matcha Green Tea และ HojiCha มีอาร์ตลาเต้หน้าตาน่ารักอยู่ด้านบน ให้เราลงรูปอวดชาวโซเชียลกันด้วยนะ ถือเป็นกิมมิกหลักของร้านเลยแหละ

03 ย่าน Tsuruma, Machida City

ย่านชานเมืองโตเกียวที่แต่ก่อนเคยเงียบเหงา เพราะเป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยของคนเมืองนี้เท่านั้น กลับคึกคักขึ้นมาถนัดตาเมื่อมี Grandberry Park อเวนิวแห่งใหม่ ที่นี่เป็นศูนย์รวมความบันเทิงทั้งหลายไว้ในที่เดียว มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ ร้านค้า Outlet ราคาดีสำหรับขาช้อป และยังเป็นที่ตั้งแห่งใหม่ของ Snoopy Museum ที่ทุกคนรอคอย ความน่ารักคือในหลาย ๆ พื้นที่ของ Grandberry Park นี้เต็มไปด้วยสนูปี้กระจายตกแต่งอยู่ทั่วให้เราได้ถ่ายรูปกันเพลิน ๆ ด้วย

มาถึงการจับจ่ายใช้สอยแบบสังคมไร้เงินสดกันบ้าง ซึ่งที่ Grandberry Park แห่งนี้เราสามารถใช้การจ่ายด้วย QR Code กับ K PLUS ได้แบบง่าย ๆ สำหรับเรา การจ่ายแบบนี้มันทำให้รู้สึกช้อปสนุกขึ้นจริง ๆ เพราะไม่ต้องพกเหรียญ ที่สำคัญคือไม่ต้องหยิบเงินสดขึ้นมาจ่าย ช่วยให้ไม่รู้สึกผิดเวลาจ่าย ฮ่า ๆ เกือบทุกร้านในอเวนิวแห่งนี้เราใช้แอปนี้ได้ทั้งหมด ทั้งแบรนด์โลคอลทั่วไป ยันแบรนด์ดังที่คุ้นหูอย่าง ABC-MART, Quicksilver, New Balance ร้านขายของฝาก ร้านอาหารต่าง ๆ ก็ใช้ได้หมด ถ้าไม่มั่นใจว่าใช้แอป K PLUS ได้มั้ย ก่อนซื้อ ก่อนจ่ายก็สังเกตป้ายที่มีโลโก้แอปตรงเคาน์เตอร์ก่อนแล้วกันนะ

ความง่ายแรกของการจ่ายด้วย K PLUS คือไม่ต้องคุ้ยหากระเป๋าตังค์ให้เหนื่อย เพราะควักมือถือออกมาเปิดแอปให้ร้านค้าสแกนก็จ่ายเงินได้เลย ที่ชอบมาก ๆ คือมีการโชว์อัตราแลกเปลี่ยนเงินที่เราใช้ ณ เวลานั้นขึ้นมาให้เรายืนยันการทำรายการก่อนด้วย เอาให้เห็นเลยว่าจ่ายหมื่นเยน คิดเป็นเงินไทยเท่าไหร่ หลังจากปิ๊บจ่ายเสร็จเราก็ได้รับ e-Slip ทันที ดีมากแม่ .. รู้สึกปลอดภัย ไม่มีขั้นต่ำ และค่าธรรมเนียมเลย แถมวงเงินให้มากถึงหนึ่งแสนบาทต่อวัน ช้อปเพลินไม่มีเงินรั่ว ซึ่งแอปจ่ายเงินผ่าน QR นี้สามารถใช้ทั้งที่ญี่ปุ่น และสิงคโปร์กับร้านค้าที่ร่วมรายการ พิเศษตอนนี้คือ ปิ๊ปครบ 100 บาท/รายการ รับเงินคืน 20 บาท ให้คุ้มแบบเห็น ๆ ตั้งแต่วันนี้ – 29 ก.พ. 63 เท่านั้นนะ

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ทำให้ที่นี่คึกคัก ก็ต้องยกให้ Snoopy Museum​ แห่งใหม่บนพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่า ภายในมีการจัดแสดงงาน Peanuts และ Snoopy แบบน่ารักมุ้งมิ้งตามแบบฉบับ Schulz Museum ที่ถอดแบบมาจากแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่มีการผสมกิมมิกแบบเจแปนนิสสไตล์เข้าไป ให้เข้ากับวัฒนธรรม และจริตของชาวเอเชียอย่างเราเข้าไปเพิ่มด้วย การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่นี่ เขาจะเปิดให้ชมเป็นรอบ ๆ มี 5 รอบต่อวัน เราจึงขอแนะนำให้จองออนไลน์มากันก่อน เพื่อเป็นการการันตีว่าเธอจะได้เข้าชมแน่นอน ราคาตั๋วอยู่ที่ 1,800 เยน/คน

แค่เดินเข้าไปก็ร้องกรี๊ดจนเป็นเสียงสองเลยทีเดียว การปล่อยรอบชมพิพิธภัณฑ์นั้น เขาจะให้เราขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นสามก่อน แล้วเข้าไปชมวีดิทัศน์แบบโปรเจคเตอร์ ลงผนังห้องสีขาวทั่วห้อง โดยมีเหล่าตัวละครของเรื่องแสนน่ารักวิ่งวุ่นรอบตัวเราไปหมด เหมือนมาคอยต้อนรับแฟนคลับตัวน้อย จนไปถึงตัวโตแบบไม่ขาดตกบกพร่อง หลังจากนั้นเราก็ออกมาเจอกับโซนที่เล่าถึงประวัติความเป็นมา ที่ทำได้แบบไม่น่าเบื่อ เหมือนเดินอ่านการ์ตูนไปเรื่อย ๆ และเมื่อมาลงมาชั้นสองเราก็เริ่มกึ่งวิ่งกึ่งเดินด้วยใจเบิกบาน เพราะเห็นสนูปี้ตัวโตนอนขี้เกียจอยู่กลางห้อง พร้อมกับอีกหลาย ๆ ตัวให้เราเข้าไปถ่ายรูปคู่ เดินทะลุมาก็เจอภาพวาด และห้องสมุดให้เดินดูเพลิน ๆ ลงมาชั้นล่างใกล้ ๆ กับทางออกก็ถึงจุดละลายทรัพย์ที่มีหมื่นหมดหมื่น กับร้านขายของที่ระลึกดูน่ารักน่าซื้อไปหมดเลยจริง ๆ

หลังจากซื้อของแบบพอหอมปากหอมคอ ก็ได้กลิ่นหอม ๆ ลอยฟุ้งออกมาจากโซนคาเฟ่ ที่ร้าน Peanuts Cafe’ ตอกย้ำความเป็นธีมสนูปปี้ด้วยเซ็ตอาหารน่ารัก ๆ ที่เหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูน ซึ่งเซ็ตที่เราสั่งคือชุดปิกนิก มีเสต็กเป็นจานหลัก และมีตะกร้าของทอดเสิร์ฟเป็นจานเคียง พร้อมกาแฟดำ และผลไม้สดที่จัดมาแบบน่ารักมุ้งมิ้งมาก ถึงแม้เซ็ตที่เราสั่งจะดูยิ่งใหญ่อลังการ รสชาติอร่อยแบบเด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี กินคนเดียวอิ่มถึงคอแล้ว แต่ก่อนกลับเราก็ไม่พลาดไอศกรีมแบบแซนวิชพิมพ์ลายสนูปปี้ ซื้อมาเดินกินเท่ ๆ ท่ามกลางอุณหภูมิเลขตัวเดียวช่วงฤดูหนาวนี่ก็ฟินเหมือนกัน

04 ย่าน Asakusa, Taito City

ย่านที่เปล่งเสียงพยางค์แรกออกมาก็ร้องอ๋อออออ.. กันแล้วแหละ เพราะใคร ๆ มาเที่ยวโตเกียวครั้งแรกก็ต้องมี Asakusa อยู่ในแพลนทั้งนั้น สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ที่ถือเป็นพระเอกของย่านคือ วัดเซ็นโซจิ วัดโคมแดงขนาดใหญ่ที่คนทั่วโลกต่างแห่กันมาถ่ายรูปคู่ พร้อมกวักควันธูปจากกระถางที่ตั้งอยู่กลางวัด เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต เชื่อว่าสามารถรักษาโรคภัย และทำให้ชีวิตพบเจอแต่ความโชคดีได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้กันแค่นั้น ไม่ได้ลงลึกว่ารอบ ๆ ย่านนี้มีอะไรให้เราค้นหาอีกตั้งเยอะแยะ สำหรับเราที่นี่ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำส่วนตัว ในโตเกียวเลยนะ เพราะตามตรอก ตามซอย จะมีร้านอาหารราคาถูกรสชาติดีเยอะแยะไปหมด และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เราได้เจาะลึกลงไปอีกนิด เพื่อใช้เวลาทำความรู้จักกับย่านนี้ ในแบบฉบับคนรักประเทศญี่ปุ่นกันได้ด้วย

ที่แรกไม่พูดถึงเลยคงเป็นไปไม่ได้ กับ Sensoji Temple : วัดเซ็นโซจิ วัดเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 628 กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งย่านอาซากุสะด้วยโคมแดงที่ตั้งอยู่หน้าประตู คามินาริมง (Kaminarimon Gate) โคมยักษ์ที่เห็นนี้มีน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัม ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1971 และจะเปลี่ยนทุก ๆ 10 ปี โดยไม้ที่ใช้ทำโคมนี้ก็ต้องเป็นไม้ไผ่จากเกียวโตเท่านั้น กระดาษญี่ปุ่นก็ต้องมาจากต้นโคโซ 100% แล้วยังใช้ช่างฝีมือจากญี่ปุ่นล้วน ๆ อีกด้วย ที่ใต้ฐานของโคมมีรูปแกะสลักของมังกร ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นว่ามังกรคือเทพที่เรียกเมฆเรียกฝนได้ คอยปกป้องวัดแห่งนี้จากอัคคีภัย

เดินออกมาจากตัววัดก็จะเป็นเส้น Nakamise Shopping Street ย่านร้านค้าที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความยาวกว่า 200 เมตร มีทั้งร้านขายของที่ระลึก สตรีทฟู้ดมากมายกว่า 90 ร้านเรียงรายกันอย่างหนาแน่น ไม่แพ้นักท่องเที่ยวที่เดินเบียดแบบไหล่ชนไหล่ ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวเหล่านั้นที่อยากมาตามหาร้านเด็ด ๆ เอาไว้เป็นท็อปลิสต์ในใจสำหรับย่านนี้เช่นกัน

ร้าน Asakusa Kokonoe คือร้านที่เราต้องมาแวะเช็คอินทุกครั้งที่มาย่านนี้ เพราะเห็นว่าคนต่อแถวกันเยอะ เลยอยากไปร่วมต่อด้วยแบบอุปทานหมู่ คิดว่ามันต้องอร่อยแน่ ๆ ร้านนี้ขายขนมที่ชื่อว่า “อะเกะมันจู” เรียกเป็นไทยง่าย ๆ ว่า ซาลาเปาทอด นั่นเอง ซาลาเปาทอดไส้ต่าง ๆ ที่ทอดกันแบบสด ๆ ขายกันแบบคล่องมือ ทำให้เราได้ซาลาเปาทอดร้อน ๆ มาอยู่บนมือเสมอ ด้วยความสดใหม่ ไส้ร้อน ๆ แป้งกรอบ ๆ ที่เพิ่งทำเสร็จ ทำให้ขนมชิ้นนี้อร่อยมาก อร่อยจนเรายอมนั่งรถไฟมากินทุกครั้งที่มาโตเกียวอะ

Daikokuya Tempura : ไดโคคุยะ ร้านเทมปุระ 100 ปีแห่งโตเกียว!! อันนี้เป็นสมญานามที่ใคร ๆ ก็รู้กันสำหรับร้านนี้ ซึ่งเขาจะเปิดร้านตอน 11 โมง เราแนะนำให้มาต่อแถวตั้งแต่ 10 โมงครึ่งจะดีมาก เพราะหลังจากร้านเปิดต้องรอนานกว่าเดิมแน่นอน เมนูแสนดีงามของร้านนี้คงหนีไม่พ้นเทมปุระนั่นแหละ การใช้วัตถุดิบที่คัดอย่างดี กุ้งสด ๆ ตัวแน่น ๆ ขนาดเท่ากันแทบทุกตัว กับการทอดด้วยแป้ง และน้ำมันอย่างชำนาญ ราดกับซอสเข้มข้นนัว ๆ ของทางร้าน บนข้าวสวยเม็ดอูมร้อน ๆ เคียงกับผักดองแก้เลี่ยน ที่เราแทบไม่ได้แตะ เพราะอาหารในจานมันลงตัวจนเผลออีกทีก็แทบเลียจานแล้ว อร่อยมากเธอเอ้ย..

ถ้าให้พูดถึงย่านนี้แบบยาว ๆ สามวันก็ยังพูดไม่หมดหรอก เพราะมันมี้ร้านตามถนนเส้นเล็ก ๆ อีกเยอะมาก เราหยิบยกมาก็เป็นแค่น้ำจิ้ม ที่เราอยากชวนให้ทุกคนได้ลองมาลัดเลาะแล้วเจออะไรดี ๆ เหมือนกัน ความ Local ของเมืองใหญ่อาจจะซ่อนเร้นอยู่ตามมุม ของแหล่งท่องเที่ยวที่คับคั่งไปด้วยผู้คนก็ได้ ยิ่งตอนกลางคืน เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตที่แตกต่างไปของคนเมือง สีสันของโตเกียวที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราหลงรัก เรารับรองว่า ย่านนี้จะเผยมุมมองสนุก ๆ ที่น่าจดจำของญี่ปุ่นได้อีกมุมหนึ่งจนเธอลืมไม่ลงเลย

05 ย่าน Daikanyama, Shibuya City

ย่านสุดท้ายขอเอาใจสายชิค สายสตรีทแบรนด์กันหน่อย ด้วยความที่อยู่ห่างจากชิบุย่าแค่สถานีเดียว ทำให้ความชิคเก๋ และไฮแฟชั่นนั้นไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ แต่ความสงบนี้ ชิลกว่าหลายเท่าตัวเลยทีเดียว ด้วยความเจริญบวกกับความชิลนี้ ทำให้ที่นี่ได้รับขนานนามว่าเป็น “Little Brooklyn” ที่มีทั้งเสื้อผ้าแบรนด์ชั้นนำ แบรนด์วัยรุ่น และแบรนด์ศิลปินประจำถิ่น แถมยังมีคาเฟ่แบบ Open air สวย ๆ ชิค ๆ รอให้เธอมาเช็คอิน ตึกสวย ๆ เรียบ ๆ ทางแสงงามให้เราได้มุมถ่ายรูปแนวสตรีทมากมายมาลงไอจียาวไปถึงปีหน้า ซึ่งวันนี้แหละ เราจะมีร้านกาแฟ ร้านแผ่นเสียง กับร้านเสื้อเก๋ ๆ เป็นตัวอย่างมาให้ยลความกิ๊บเก๋ของย่านนี้กัน!!!!

เช็คอินเริ่มต้นกับย่านนี้กันที่ Mocha Coffee ร้านที่เคลมว่าตัวเองเป็น “The Original mocha from Yemen” ซึ่งเยเมนถือเป็นประเทศที่ผลิตกาแฟเพื่อการค้ามานานที่สุดในโลก ซึ่ง Mocha เป็นกาแฟที่ปลูก และส่งมาจากเมืองมอคค่าอันเป็นต้นกำเนิดของมอคค่า (กาแฟผสมช็อกโกแลต) ในประเทศเยเมน ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกนั่นเอง อ๊ะ.. ถ้าให้พูดเรื่องประวัติ มันคงจะยาวเป็นหางว่าว เรามาโฟกัสที่ตัวร้าน และกาแฟกันต่อดีกว่า การตกแต่งร้านนั้น ทำแบบง่าย ๆ เน้นโทนขาว และไม้สีอ่อนที่ทำให้ร้านแคบ ๆ ดูโล่งขึ้นแบบถนัดตา เมื่อเขามั่นใจในเมล็ดกาแฟมอคค่าขนาดนี้แล้ว เราก็ลองสั่งเป็นกาแฟดำมาลอง พร้อมชีสเค้กเล็ก ๆ สักชิ้น เอาจริงคือ มันเป็นกาแฟอาราบิก้าคั่วอ่อน รสชาติ และกลิ่นค่อนข้างดีมาก เพราะมันแอบมีกลิ่นช็อกโกแลตซ่อนอยู่แบบจาง ๆ กินตัดเค้กที่อบเสร็จวันต่อวัน สด ๆ เฟรซ ๆ มันดีมากเลยจริง ๆ

bonjour records คือร้านเอาใจวัยรุ่นสายสตรีท ที่ขายทั้งเสื้อผ้า แผ่นเสียง และกาแฟ เหมือนเป็นแหล่งรวมมัลติแบรนด์ของญี่ปุ่นอีกร้าน ที่จัดตั้งมาเพื่อรวบรวมของชิคเก๋ แนวสตรีท อาร์ต ๆ ไว้ในที่เดียว ซึ่งในโตเกียวมีถึง 3 สาขาและอีก 1 สาขาที่ฟุกุโอกะ แม้สาขานี้ร้านจะไม่ใหญ่ แต่ของก็มีให้เลือกเยอะอยู่เหมือนกัน เดินเข้าไปเราจะเจอกับเสื้อผ้าเรียบ ๆ แต่สกรีนคำเก๋ ๆ ฟีลโอเวอร์ไซส์ สมกับวัยรุ่นตอนต้นอย่างเรา หันมาด้านซ้ายก็จะเป็นบาร์กาแฟ ซึ่งเป็นกาแฟดริปทั้งหมด มีบาริสต้าค่อย ๆ ดริปให้ทีละแก้วอย่างใจเย็น มองเข้าไปมุมในสุดของร้านคือโซนแผ่นเสียง ในขณะที่เรายืนรอเครื่องดื่ม ก็ฟังเพลงไปพลาง ๆ ทำให้รู้ว่าเพลงของร้านนี้มีความอินดี้น่าค้นหาอยู่เหมือนกัน ถือเป็นแก้วที่ใช้เวลา และสร้างความเพลิดเพลินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ปิดท้ายกันที่อีกร้านแนะนำในอาคารสุดคิ้วท์อย่าง Saturday NYC ร้านนี้ก็มีหลายสาขาในญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน เป็นร้าน Selected shop ที่มีสินค้าหลากหลาย แต่สวยเก๋ มีสไตล์ทั้งสิ้น และก็มีคาเฟ่ที่ส่งตรงจากนิวยอร์กไว้คอยบริการด้วย ซึ่งสินค้าก็จะแบ่งออกเป็นโซน ๆ คือคาเฟ่ เซิร์ฟบอร์ด เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับของแบรนด์ Saturdays เอง ด้วยการตกแต่งร้านที่ดูโล่งสบายมีแสงธรรมชาติส่องถึง เพราะเป็นตึกกระจกทั้งหมด ทำให้เราเดินอยู่ข้างในได้เพลิน และผ่อนคลายมาก ๆ ของจัดวางเรียงกันแบบหลวม ๆ สบายตา พนักงานไม่มายุ่งวุ่นวาย ไม่ฮาร์ดเซลใส่เรา ยิ่งทำให้รู้สึกอยากควักเงินซื้ออะไรสักอย่างกลับบ้านให้ได้เลย

โซนร้านกาแฟร้านนี้มีทั้งเครื่องดื่มและขนมคอยให้บริการ ซึ่งกาแฟก็จะเป็นแบบดริปเช่นกัน แต่ด้วยความดริปเก่งของบาริสต้าประเทศญี่ปุ่น ทำให้เราไม่เคยขัดใจกับรสชาติกาแฟดริปของเขาเลย สั่งมากินตัดกับไอศกรีมแซนวิช มานั่งกินมุม outdoor ของทางร้านก็ยิ่งฟินเข้าไปอีก เพราะร้านตั้งอยู่บนเนินสูงขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้เราเห็นวิวเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ พอกรุบกริบด้วย โดนแดดอุ่น ๆ พระอาทิตย์ใกล้ตกในฤดูหนาว พร้อมกาแฟและขนมแบบนี้คือดีมากแม่ อยากให้มาลอง

หมดเวลากับญี่ปุ่นสุดรักของเราอีกทริปแล้ว เห็นมั้ยว่ามากี่ทีก็มีอะไรใหม่ ๆ ให้ค้นหาตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งเมืองใหญ่ ที่ไม่เคยหลับใหลอย่างโตเกียวแห่งนี้ เที่ยวเป็นสิบรอบก็มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ทุกครั้ง ยิ่งอยู่นานยิ่งหลงรัก แถมบ้านเมืองนี้ยังยืนหนึ่งเรื่องความสะดวกสบายสำหรับการท่องเที่ยว ที่ทุกบริษัทพยายามป้อนช่องทางการบริการใหม่ ๆ ให้นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ใช้ไม่ขาดมือด้วย เราหวังว่าทุกคนคงชอบกับ 5 ย่านลับ ๆ และไม่ลับใจกลางเมือง รวมถึงบริการดีๆ จากแอป K PLUS ที่เราเอามาฝากกันนะ โหลดแอป ปักหมุด แล้วเที่ยวตามเราได้เลย ^^