หลงรักซ้ำ ๆ ซาก ๆ กับประเทศญี่ปุ่นที่ไปกี่ทีก็ไม่เบื่อ จนคิดว่านี่แหล่ะเนื้อคู่เราแน่ ๆ
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี … ที่มีวันหยุดให้ใช้กันมากมาย หากร่างกายเริ่มต้องการอากาศที่หนาวเย็น อยากไปเดินกุมมืออุ่น ๆ กับแฟน ไปหาอาหารดี ๆ เด็ด ๆ กับผองเพื่อน หรืออยากเป็นลูกกตัญญูพาพ่อแม่ไปแช่ออนเซ็นสักหน่อย เชื่อว่าประเทศญี่ปุ่นก็คงจะเป็นที่หมายตาต้องใจของใครหลาย ๆ คน แต่จะเที่ยวเมืองไหนละ ? ที่จะไม่ซ้ำ และสะดวกสบาย เด็กเที่ยวได้ผู้ใหญ่เที่ยวดี ถ้าถามเรา ณ เวลานี้ คงไม่มีเมืองไหนมาแรงเท่า “เซนได” เมืองที่ตั้งอยู่ตอนเหนือของภูมิภาคโทโฮคุแล้วล่ะ ที่นี่จะทำให้ทุกคนได้พบกับความวาไรตี้ของที่เที่ยวไม่ซ้ำใคร พร้อมกับเมืองเล็ก ๆ รอบ ๆ เซนไดที่จะทำให้จิตใจเราสุข สงบ และผลิบาน กับความน่ารักเป็นกันเองของผู้คน ผังเมืองโบราณที่ผสมผสานสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ คอยบริการให้เราได้ผ่อนคลายอย่างลงตัว ถ้าได้ตามเรามา เราเชื่อว่าเธอจะหลงรักไม่รู้จบกับเมืองนี้แน่นอน
รอบนี้เราขอเดินทางด้วยการบินไทยสายการบินที่รู้ใจคนไทยมากที่สุด ยืนหนึ่งเรื่องฟูลเซอร์วิส และมีเส้นทางบินตรงจากไทยสู่ญี่ปุ่นแทบจะครบทุกภูมิภาคเหนือจรดไต้ ยิ่งตอนนี้มีเปิดเส้นทางใหม่ อย่าง กรุงเทพฯ สู่เซนได ก็ยิ่งตอบย้ำว่าเขาใส่ใจ Japan Lover อย่างเราจริง ๆ สำหรับเที่ยวบิน สุวรรณภูมิ – เซนได จะมีเฉพาะไฟลท์ 23:50 น. วันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์เท่านั้น มาถึงก็เช้าพอดีเที่ยวได้ทันที ส่วนขากลับจะเป็นไฟล์ท 11:15 น. วันจันทร์ พุธ และศุกร์ กลับถึงไทยเย็น ๆ นอนเอาแรงรอทำงานต่อสบาย ๆ งานนี้สะดวกเพิ่มขึ้นมากเว่อร์ เพราะถ้าใครมีเวลาน้อยก็สามารถบินตรงไปเที่ยวที่เซนไดได้เลย แต่ถ้ามีเวลาเที่ยวเยอะหน่อย จะเที่ยวหลาย ๆ เมือง ลงเครื่องที่เซนได แล้วกลับจากโตเกียว ก็เลอเลิศเช่นกันจ้า
แน่นอนว่าปกติไปญี่ปุ่นแต่ละทีเราเน้นความคุ้มค่า เที่ยวเต็มโควต้าวีซ่า ไปหลายเมืองสุดเท่าที่จะไปได้ ครั้งนี้ก็เหมือนเดิมคือเราขอบินลงนาริตะแล้วค่อยนั่งชินคัน เซ็น ไปเชิดฉายต่อที่เซนได แต่ที่เพิ่มเติมคือบินแบบ First Class เพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเองในช่วงสิ้นปีสักหน่อย อยากลองดื่มด่ำความที่สุดของบริการจากสายการบินนี้ดูบ้าง ซึ่งการบินไทยก็สร้างความประทับใจให้เราตั้งแต่เช็คอินที่สนามบินเลย มีเลานจ์ ของว่าง อาหาร เครื่องดื่ม และสปา บริการเราระหว่างรอขึ้นเครื่อง และเมื่อขึ้นเครื่องมาก็ต้องอมยิ้มเมื่อเห็นที่นั่งกว้างขวาง สามารถยืดขา นอนเหยียดกายได้สุดตัว อาหารบนเครื่องเสิร์ฟอย่างพิถีพิถันเหมือนนั่งทานอยู่ในโรงแรมหรู ส่วนเรื่องการบริการของแอร์นั้นพี่ ๆ เขายิ้มแย้ม น่ารัก คอยถามไถ่เรื่อย ๆ ซึ่งจะนั่ง Business Class หรือ Economy แอร์เขาก็น่ารักแบบนี้กับเราเหมือนกัน ที่สำคัญรสชาติอาหาร จะเลือกนั่งแบบไหนก็รับรองว่าถูกปากคนไทยแน่นอน สะดวกแบบไหนก็เลือกได้หมด ยังไงก็ได้รับบริการที่ดีทั้งนั้น ดูเส้นทางและรายละเอียเพิ่มได้ที่ https://www.thaiairways.com นะทุกคน
[ Yamakata ]
Day 1 : Ginzan Onsen — OHSYO Fruits Farm — Koshikakean
เริ่มทริปกันที่ Yamakata จังหวัดเล็ก ๆ แสนน่ารักที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติสุดเพอร์เฟค ณ Ginzan Onsen จุดเช็คอินแรก ที่เราคิดว่าควรค่าแก่การเริ่มต้นมากที่สุด หมู่บ้านโบราณกว่าห้าร้อยปี แต่เดิมเป็นเหมืองแร่เงินที่เจริญรุ่งเรืองมาก และพัฒนาจนกลายเป็นหมู่บ้านออนเซ็นสุดวิเศษ ถึงกับติด 1 ใน 15 Top Hot Spring ในฤดูหนาว ที่ทางญี่ปุ่นเขาแนะนำเลยทีเดียว นอกจากน้ำแร่ที่อัดแน่นไปด้วยแร่ธาตุกำมะถัน ที่ช่วยในเรื่องการไหลเวียนเลือดลมแล้ว สถาปัตยกรรมหรือสิ่งปลูกสร้างสไตล์ยุคเอโดะที่นี่ยังเป็นของเก่าเก็บ แบบออริจินัลแท้ ๆ ทำให้ความงามของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเที่ยวที่หมู่บ้านนี้ทำได้ทั้งแบบพักค้างแรม ในเรียวกัง ญี่ปุ่นแท้ ๆ แช่ออนเช็นทั้งวันทั้งคืน หรือแวะเที่ยวเช้าเย็นกลับแบบเรา ซึ่งเขาก็มีที่แช่สำหรับขาจรเช่นเดียวกัน ราคาก็ไม่แรงมาก
ตั้งแต่ก้าวเท้าแรกลงสู่เขตของ Ginzan Onsen ไม่รู้ว่าหิวหรืออะไร เราได้กลิ่นหอมของขนมเตะจมูกเด่นกว่าสิ่งอื่นใด เพราะตลอดสองข้างทางของหมู่บ้านนั้น มีร้านขนมพื้นเมืองเต็มไปหมด แต่ร้านที่เรารีเสิร์ชมาแล้วว่าอร่อยจริง ควรค่าแก่การเติมเต็มท้องว่าง ๆ คือ Meiyuan Ginzan เป็นร้านแรกที่เราจะเจอตรงทางเข้าหมู่บ้านเลย มีเมนูขนมมากมายให้เลือก ทั้ง Hot spring Vuns, Fried Buns และ Seasoned Konjac ส่วนเมนูที่เราภูมิใจนำเสนอที่สุด คือ โมจิไส้งาดำ และไส้เกาลัด เป็นหนึ่งในขนมขึ้นชื่อของร้าน ถ้าไม่รีบมาสอยก่อน ก็อดแน่นอนเพราะของหมดไวมาก ด้วยความหอมละมุนเข้มข้น ของทั้งไส้งาดำ และเกาลัค ที่เพิ่มความหวานเล็กน้อยดูธรรมชาติไม่บาดคอ เคี้ยวหนึบ ๆ กับแป้งโมจิเหนียวนุ่มกำลังดี คือความดีงามของขนมชิ้นนี้ แล้วพอนั่งทานในร้านหลบลมหนาว พร้อมชาหอมร้อน ๆ ก็คือฟิน คือดี น้ำตาไหลเลยจ้าแม่
จากร้าน Meiyuan Ginzan เดินข้ามสะพานมาไม่กี่ก้าวเราก็เจออีกร้านที่เป็น The must ของที่นี่ Nogawa Tofu ร้านขายเต้าหู้โชยุ ที่เขาทำสดใหม่ทุกวัน เต้าหู้นุ่ม ๆ ที่แค่เอาใส่ปากก็ละลายจนเราอมยิ้ม กลิ่นเฉพาะของเต้าหู้หอมละมุน ราดกับโชยุแสนธรรมดาแต่รสชาติเมื่อรวมกันแล้ว เหมือนของว่างแสนโอชะ ที่เรากินคนเดียวก็หมดอย่างรวดเร็ว เราเห็นนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนซื้อแล้วไปนั่งแช่เท้า ที่เป็นจุดบริการฟรีด้วยล่ะ ดูชิลดีเหมือนกันนะ แกต้องไปลองเด้อ
หมู่บ้านไม้โบราณโทนสีเรียบ ๆ ดูอบอุ่นมีแม่น้ำเล็ก ๆ ไหลตัดกลางหมู่บ้านเป็นแนวยาวทำให้หมู่บ้านนี้ดูมีชีวิตชีวา แม้จะมีนักท่องเที่ยวมากมายเรากลับได้ยินเสียงน้ำไหลผ่านอย่างชัดเจน ยิ่งช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอย่างนี้ ทุกสีสันของต้นไม้ขับความเรียบง่ายของหมู่บ้านให้โดนเด่นขึ้น เมื่อไหร่ที่เราหลุดไปในโซนคนน้อย ๆ ก็รู้สึกสุขสงบไปแบบไม่รู้ตัวเลยแหละ ถ้าได้มาเดินจูงมือกับคนรู้ใจคงดีต่อใจไม่น้อยเลยเนอะ
เมื่อเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้านเราจะเจอกับทางเดินเขา เทรลเบา ๆ ชื่อว่าสวน Shirogane เป็นสวนสวยในหุบเขาที่เดินง่าย ๆ ท่ามกลางแมกไม้สีเหลือง แดง เขียวแบบนี้ เงยหน้ามามองเมื่อไหร่ก็หายเหนื่อยทันทีเลยจริง ๆ ตรงที่ว๊าว.. สุด คือ ตรงทางเข้าเราจะเจอน้ำตก Shirogane เป็นน้ำตกเล็ก ๆ มีความสูงเพียง 22 เมตร แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางสีของฤดูใบไม้ร่วงนี้ กลับดูสวยงามดั่งภาพสีน้ำมัน จากจิตรกรมือหนึ่งเลยทีเดียว เราใช้เวลาเดินรอบ ๆ ประมาณ 1 ชม. เท่านั้น ถือเป็นระยะเวลาที่กำลังพอดี ในการดื่มด่ำกับธรรมชาติ และความสงบที่เรารับรู้ได้ทุกโสตสัมผัส
เดินเพลินจนกลับมาที่หมู่บ้าน ก็ต้องมาหยุดชะงักเพราะกลิ่นกาแฟหอม ๆ ที่ลอยมาจากคาเฟ่เล็ก ๆ ลาเต้ร้อนที่ไม่ต้องเทอาร์ตบนหน้ากาแฟ มันก็ดูเรียบง่ายดีเหมือนกัน ที่สำคัญรสชาติก็ไม่ได้แตกต่างจากร้านชิค ๆ ทั่วไปเลย ร้านกาแฟของประเทศนี้เขามาตรฐานดีจริง ๆ มันเหมาะกับคนดื่มกาแฟอ่อน ๆ เน้นกลิ่นอโรม่าอย่างเรามาก ๆ อะแก
ถ้าถามว่าควรใช้เวลาที่นี่นานเท่าไหร่ ความจริงเราใช้เวลาได้ทั้งวันเลยนะ ยิ่งถ้าใครได้มานอนเรียวกังสักคืนจะยิ่งฟิน แต่ขอแอบบอกไว้หน่อยว่าช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือช่วงฤดูหนาวที่หิมะขาว ๆ เข้าปกคลุม ต้องสำรองห้องกันมาก่อนแบบหลายเดือนนะ เพราะช่วงไฮซีซั่นของเขานอกจากนักท่องเที่ยวขาจรจากต่างแดนแบบเรา ๆ จะแห่กันมาแล้ว คนญี่ปุ่นก็มาพักผ่อนกันอย่างเนืองแน่นเด้อ เรียกว่าฮิตกับทุกคนทุกชนชาติของจริง แล้วแบบนี้ก็จะไม่มาเช็คอินได้หรอ ถามจริ๊งงงงงง!!!!
ความแกรนด์ในวันแรกยังไม่หมดแค่เพียงเท่านี้ เมื่อเรายังเหลือเวลาช่วงบ่าย ร่างกายก็ยังต้องการความหวาน และอากาศบริสุทธิ์แบบเน้น ๆ เพิ่มขึ้นอีก เราจึงไปกันต่อที่ OHSYO Fruits Farm ฟาร์มผลไม้ตามฤดูกาลที่ใหญ่ที่สุดในยามากาตะ ถ้าใครชื่นชอบการกินผลไม้เป็นชีวิตจิตใจ เธอจะได้พบกับผลไม้ที่สดใหม่ ชนิดว่าเด็ดแล้วทานเลย ความกรอบชุ่ม นุ่มลึกของรสชาติผลไม้ที่นี่ หาไม่ได้ง่าย ๆ นะบอกก่อน ถ้ากินลูกเดียวมันไม่จุใจ เขาก็มีจัดบุฟเฟ่ต์ผลไม้ให้ทานไม่อั้นถึง 30 นาที ซึ่งช่วงที่เรามาจะเป็นหน้าของแอปเปิ้ล เขาให้เราลงไปเดินสวนที่แบ่งโซนอย่างเป็นระเบียบ และได้ความรู้ใหม่มาว่า แอปเปิ้ลถ้าเด็ดมาเกินชั่วโมงรสชาติก็เปลี่ยนไปนิดหนึ่งด้วยล่ะ เราเลยลองชิมผลที่เด็ดสด ๆ จากต้น ถึงกับต้องอุทานว่า “อุไม!!” อร่อยมาก กรอบ หวาน ฉ่ำจนน้ำตาลขึ้นตามาก ๆ เธอเอ้ย แอปเปิ้ลญี่ปุ่นสด ๆ นี่อร่อยกว่าซื้อตามซุปเปอร์เยอะเลย
ถ้าใครไม่เชี่ยวเรื่องกินจุ อยากแค่ลองชิมพอจุบจิบน่ารัก ๆ เขาก็มีคาเฟ่คอยบริการ โซนนี้ตกแต่งแบบสดใส สบาย ๆ พร้อมวิวดีระดับสิบ เป็นฟาร์มกว้าง โล่งตา ที่นั่งนานขนาดไหนก็มองไม่เบื่อสักนิด และเมนูที่พลาดไม่ได้เลยก็คือพาเฟ่ต์หน้าผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งหน้าที่เราไปก็คงจะต้องเป็น Apple Parfait แอปเปิ้ลพันธุ์ต่าง ๆ กับซอฟครีมหวานนุ่มลิ้น ตัดกับเนื้อแอปเปิ้ลเปรี้ยว ๆ ได้ดีเลยเธอเอ้ย หวานเย็นฟินจนคำสุดท้าย แต่ถ้าแอปเปิ้ลใช่ทาง คาเฟ่นางนี้ก็มีพาเฟ่ต์อีกหลายหน้าให้เลือกเหมือนกันทั้งองุ่น มัฉฉะ ช็อคโกแล็ต และผลไม้อื่น ๆ ที่เปลี่ยนไปตามฤดู
ก่อนกลับเข้าไปนอนในเมือง เรายังคงตามหาซิกเนอเจอร์ดิช มาฝากกันแบบไม่หยุดยั้ง เพราะนาน ๆ มาทีแหละเนอะ ต้องเอาให้คุ้มสักหน่อย Koshikakean ร้านนี้เป็นเลิศเรื่องขนมวาราบิโมจิมาก เพราะนางเปิดมาตั้งแต่ปี 1990 และใครจะเชื่อว่าตึกเล็ก ๆ สไตล์ญี่ปุ่นของร้านนี้ สร้างมากว่า 120 ปีแล้ว ถือเป็นบ้านโบราณที่ยังคงสภาพ และใช้ได้ดีมากอยู่เลยนะ ที่สำคัญขนมของร้านนี้ก็เป็นที่หมายตาต้องใจของเหล่านักท่องเที่ยว และคนพื้นที่ตลอดเวลา เพราะวาราบิโมจิของเขาจะ Fluffy นุ่ม เหนียวน่าสัมผัสทุกจุด ไม่มีกลิ่นแป้งมัน เพราะเขาใช้แป้งเฉพาะสำหรับทำวาราบิเท่านั้น เมื่อเข้าปากจะละลายจนเรารับรสได้ทั้งลิ้น พร้อมผงคินาโกะรสชาติหลากหลายให้เราเลือก ความหวานอ่อน ๆ แบบธรรมชาติมาพร้อมกลิ่นถั่วของคินาโกะสูตรออริจินัล คือตัวที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อกลับไปกินเพิ่มอีกสักชุดสองชุดเลยแหละ
Day 2 : Yamadera — KOUB — Nanokamachi
เช้าวันนี้เราจะเอาฤกษ์เอาชัยด้วยการพาไปไหว้พระบนยอดเขา แต่ก่อนที่เราจะขึ้นไปขอแวะเติมพลังสักหน่อย เพราะแถวถนนตรงตีนบันไดทางขึ้นนั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมาย ซึ่งของขึ้นชื่อในย่านนี้ที่ต้องทานเลยก็คือโซบะ และ Yamagata Konnyaku (ยามากาตะ คอนยัคกุ) ที่หน้าตาเหมือนลูกชิ้นยักษ์นี่แหละ แต่ความจริงแล้วมันทำมาจากหัวบุก อาหารโลวแคลกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เราอาจจะคุ้นเคยกับบุกที่เป็นเส้น กินในร้านชาบู แต่ที่นี่เขาเป็นลูกจ่ะ ต้มกินแบบโอเด้ง ต้มด้วยน้ำซุปโชยุจนเข้าเนื้อ พอเราได้ลิ้มชิมรสตอนมันร้อน ๆ แค่กัดไปน้ำซุปหอม ๆ รสเค็มอ่อน ๆ ก็ซึมออกมาจากเนื้อที่เด้งกรุบ เหมือนกินลูกชิ้นปลาไร้กลิ่นมากกว่าหัวบุกซะอีก แต่รสชาตินี้สำหรับบางคนอาจจะจืดไปหน่อย แนะนำให้เติมมัสตาร์ดเราว่าช่วยได้เยอะเลยนะ
ท่ามกลางร้านมากมาย เราเลือกนั่งทานมื้อเช้าที่ Maidoya Shokudo (まいどや食堂) ร้านที่ดูเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น แสงโปร่ง ๆ ดูอบอุ่น อีกด้านของทางเข้าร้านเป็นกระจกบานยาว ที่ให้เราเห็นทิวทัศน์ชนบทภายนอก แน่นอนเราสั่งเซ็ตเมนูอาหารเช้าเบา ๆ กาแฟดำ และคอนยัคกุ มานั่งละเลียดท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ ที่วิวด้านนอกเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง ถือเป็นการเริ่มวันที่มีสุขสมไม่แพ้วันแรกเลย
เติมพลังเรียบร้อยก็ถึงเวลาเตรียมขา เตรียมเข่า และน้ำดื่มให้พร้อม เพราะเราจะเดินขึ้นไปที่ Yamadera Temple ณ บัดนี้ ขอเตือนไว้ก่อนว่า กว่าจะถึงจุดหมายต้องเดินขึ้นบันไดไปถึงพันขั้นเลยนะ ซึ่งทางเดินง่ายมาก ๆ คนที่ไม่ชอบเดินอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่เรารับรองความสวยว่ามันต้องตะลึงกระแทกตาแน่นอน ที่นี่ถือเป็นจุด Check-in ที่ใครมา Sendai-Yamakata ก็ต้องลิสไว้ในแพลนกันทั้งนั้น วัด Yamedera หรือที่เรียกกันว่า วัดโฮจุซัง ริชชาคุจิ (Houjusan Risshaku-ji Temple) มีอายุกว่า 1,000 ปีมาแล้ว เกิดขึ้นจากจักรพรรดิเซวะ ได้ส่งพระสงฆ์ Jikaku Daishi ไปยังชายแดนของโทโฮคุ จึงได้สร้างวัดแห่งนี้ไว้ และเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เมื่อมีการพรรณนาถึงความสวย สงบจากนักกวีชื่อดัง มัตสึโอะ บาโช ทำให้ผู้คนหลั่งไหลมาสักการะมากขึ้น จุดเด่นของวัดยามาเดระ นอกจากความเก่าแก่แล้วก็คงจะเป็น เส้นทางเดินขึ้นที่เต็มไปด้วยธรรมชาตินับพันปี ต้นสน พันธุ์ไม้ใหญ่โตที่ใช้คนสองคนโอบยังไม่มิด ความสูงเสียดฟ้าจนเรามองไม่เห็นยอด เดินไม่ถึงครึ่งทางเราก็ตื่นตะลึงจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว ความเหนื่อยอ่อนที่ต้องเดินขึ้น มักจะถูกเติมเต็มด้วยทิวทัศน์สองข้างทางเสมอ แค่ได้นั่งพักนิดหน่อย ใจก็จดจ่อถึงยอดเขาแล้วล่ะ รู้สึกอยากจะเห็นความงามเบื้องบนนั้นให้ไวที่สุด
กว่าจะถึงยอดเขาเราต้องผ่านประตูไม้โบราณ อาคาร ศาลเจ้า หินยักษ์มากมาย ซึ่งใช้เวลาไปประมาณ 30 นาที จนมาถึงจุดที่เราอยากแนะนำให้มามากที่สุด คือ วิหารโกะไดโด (Godaido Hall) วิหารที่ตั้งยื่นออกมาเหนือผาหินสูงใหญ่ ถือเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของวัดนี้ ทำให้เราเห็นทั้งหุบเขา และเมืองเล็ก ๆ เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน ยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ภูเขาทั้งลูกจะกลายเป็นสีแดง ส้ม เหลือง ไล่เฉด สร้างความสดใส เหมือนมีประกายแทงตาเราแบบไม่ยั้ง ทำให้เราหยุดรัวชัตเตอร์ไม่ได้เลยทีเดียว
ความสนุกที่ทำให้เรารักการเที่ยวศาลเจ้าและเที่ยววัดในญี่ปุ่น คือนอกจากจะได้รู้ความแตกต่างของแต่ละพื้นที่แล้ว เครื่องรางของขลังที่ออกแบบอย่างน่ารักน่าเก็บสะสม ก็ทำให้เราไม่เบื่อเลย เพราะทุกที่จะมีเครื่องรางซิกเนเจอร์ของตัวเอง ไม่ใช่สายมู-สายดำแต่อย่างใด แต่เป็นสายอธิษฐานตั้งแต่เรื่องทั่วไป จนไปถึงเรื่องแบ๊ว ๆ กลายเป็นว่าเราซื้อเครื่องรางญี่ปุ่นเป็นของฝากให้เพื่อนบ่อยกว่าซื้อขนมอีก ยิ่งบางที่ต้องตามล่าหาแสตมป์ หรือตราประทับจากจุดต่าง ๆ ในพื้นที่นั้น ๆ เรายิ่งเพลิน
เดินลงมาเห็นเพลิน ๆ ก็เหนื่อยระดับซำแฮกอยู่เหมือนกันนะ เพราะตอนเช้าเรากินแบบผอม ๆ สวย ๆ ไร้เนื้อสัตว์ ตอนนี้เลยหิวไส้กิ่วจนแทบกลายร่างเป็นเดอะฮักได้เลย หลังจากนี้เราขอเดินทางตามกลิ่นอบขนมปังสด ๆ ยั่ว ๆ มาที่ร้าน KOUB ร้านขนมปังอาคารสุดน่ารักเหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูน บ้านสีขาวหลังคาสูง มีเพียงชื่อร้าน และประตูไม้เท่านั้นที่โดดเด่นขึ้นมา ถือเป็นร้านสไตล์มินิมอลที่แท้ทรูจริง ๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปข้างในเราถึงกับหน้ามืด เพราะความหอมของกลิ่นขนมปังอบสด ๆ นั้นเตะจมูกเขาอย่างจัง มีขนมหลากหลายชนิดที่วางเรียงกันให้เรายืนเลือกจนตาลาย ทั้งครัวซองต์ พาย บันไส้ต่าง ๆ ขนมปังหลากรส ขนมปังฝรั่งเศส ฯลฯ เยอะแยะไปหมด
มาเที่ยวเมืองนี้ตั้งหลายวัน ไม่แวะย่านช้อปปิ้งก็กระไรอยู่ พอไม่ได้ใช้เงินมันก็เริ่มคันไม้คันมือจนทนไม่ไหว เลยลองหาที่ระบายเงินออกจากกระเป๋าสักหน่อย เรามาต่อกันที่ Nanokamachi ย่านการค้ากลางเมืองเล็ก ๆ ที่มีร้านคาเฟ่ชิค ๆ เยอะแยะไปหมด และร้านแบรนด์พื้นเมือง ดีไซน์เก๋ ๆ มากมาย ซึ่งจุดนี้เราชอบมาก เพราะของแต่ละชิ้นมันดูเป็น Hnadmade หาซื้อได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น ส่วนของแบรนด์แฟชั่นทั่วไปเราสามารถไปช้อปได้ที่ห้างโอนุมะ มีทั้งเครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า รองเท้า รวมไปถึงของฝากจากจังหวัดยามากาตะด้วย เลือกซื้อของเสร็จ ก็นำบิลที่ซื้อไปทำเรื่องปลอดภาษีที่เคาน์เตอร์เหมือนห้างทั่ว ๆ ไป เนี้ย.. พอได้ช้อปปิ้งก็กลับเข้าที่พักหลับได้สบายใจแล้ว
[ Miyagi ]
Day 3 : Zao Fox Village — KEYAKI COFFEE — BUZZ COFFEE&DONUT — Matsushima Island
เริ่มเช้าวันที่สามกับความน่ารักสดใส ที่อยากแนะนำให้ทุกเตรียมเสียงสอง เสียงสาม ไว้ใช้กับความสุดคิ้วท์ของ หมู่บ้านจิ้งจอก (Kitsune mura) สิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่มาต้อนรับพวกเราคือเจ้าหมาจิ้งจองขนฟู น่ากอดนี่แหละ ซึ่งช่วงเวลาที่น้อง ๆ จะขนปุยที่สุดคือช่วงฤดูหนาว ก่อนจะร่วงผลัดขนในช่วงฤดูร้อน (กรกฎาคม-สิงหาคม) เพราะฉะนั้น อยากเจอน้องร่างไหนก็เช็คให้ถูกช่วงด้วยนะจ๊ะ แม้ที่นี่จะเป็นสถานที่เลี้ยงหมาจิ้งจอก แต่เขาก็เลี้ยงแบบอิสระทำให้น้อง ๆ ดูไม่เครียด พบเจอคน มาเล่นมาทักทายได้อย่างไม่เหนียมอาย แต่ถึงอย่างไรหมาจิ้งจอกก็เป็นสัตว์ที่ไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้นะจ๊ะ เราสามารถเดินเข้าไปชมใกล้ ๆ ได้ แต่ไม่ควรยื่นมือหรือเข้าไปจับตัวเขาเด้อ.. เพื่อความปลอดภัยของเราเองและตัวน้องด้วย
อยู่กับน้อง ๆ ให้พอหอมปากหอมคอ เราก็ขอกลับมาสวมวิญญาณคาเฟ่ฮอปเปอร์ โดยเริ่มต้นที่ร้าน KEYAKI COFFEE ในบรรยากาศเบาสบายจากการตกแต่ง ที่วัสดุส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ ไล่โทนสีอ่อนเข้มอย่างลงตัว มีแสงลอดจากหน้าต่างบานใหญ่ทำให้ร้านดูปลอดโปร่ง เหมาะกับการนั่งใช้เวลาช้า ๆ เป็นที่สุด นอกจากกาแฟที่อัดแน่นกลั่นออกจากเครื่องกาแฟแสนแพงแล้ว ยังมีอีกหลายกรรมวิธีในการชงให้เราเลือก ไม่ว่าจะเป็น การสกัดเย็น, coffee drip พร้อมเมล็ดแบบต่าง ๆ จะอ่อน จะเปรี้ยว มีให้เลือกหมด
เราเลือกดื่มกาแฟดริป เพราะญี่ปุ่นถือเป็นประเทศแรก ๆ ที่ทำให้กาแฟดริปเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ทุกอย่างใช้การตวงและวัดอย่างดี เหมือนกาแฟทุกแก้วเป็นเพชรที่ต้องใช้การเจียระไนก่อนเสิร์ฟ สั่งพร้อมเค้กชิ้นหน้าตาน่ารัก ๆ มาทางคู่กัน ทุกอย่างดูอ่อนละมุนไปซะหมด กาแฟถูกขับกลิ่นให้เด่นกว่ารส พร้อมกับขนมหวานอ่อน ๆ นี้ มันช่างลงตัว เหมาะกับคนหวาน ๆ อย่างเรามากที่สุด
นอกจากคอกาแฟแล้ว เรายังเป็นมิตรรักของหวานด้วย วันก่อน ๆ พาไปกินแต่ขนมพื้นเมือง วันนี้เลยพามากินโดนัท ขนมยอดฮิตติดใจกันทั่วโลก ที่ BUZZ COFFEE & DONUT ร้านฮิป ๆ แทรกตัวอยู่ในตึกริมถนนใหญ่ ใจกลางเมืองเซนได แม้ขนาดร้านจะไม่ใหญ่ เน้นการขายแบบ Take away แต่เมนูเขาเด็ดดวงมากเลยนะ โดยเฉพาะโดนัท ความพิเศษของโดนัทร้านนี้ แปลกตาตั้งแต่รูปทรง ที่ไม่ได้กลมเหมือนทั่วไป มันเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมีรูตรงกลาง มีรสชาติให้เลือกหลากหลาย แต่เราเลือกโดนัทเคลือบน้ำตาล และมีเบคอนโรยอยู่ด้วย ซึ่งก็เป็นได้ทั้งของหวานและของคาวได้ในเวลาเดียวกัน เนื้อโดนัทของที่นี่มีความเหนียวนุ่มไม่บาดคอ และหอมมาก ไม่รู้ทอดยังไงให้เหมือนขนมอบ พร้อมเบคอนเค็มนิด ๆ ตัดความหวานกำลังดี และที่ชอบพอ ๆ กับโดนัทคืออเมริกาโน่แก้วนี้ อร่อยมากกกกกก หอมเข้มข้นกว่าเจแปนนีสสไตล์ขึ้นมานิดนึง
อีกหนึ่งเหตุผลที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนได้มาเซนไดคือ จากกลางเมืองเราสามารถออกไปเที่ยวนอกเมืองได้ไวมาก นั่งรถไม่ถึงชั่วโมงก็เจอภูเขา นั่งรถอีกแป๊ปก็เจอทะเล อย่างสถานที่ต่อไปนี้ เราจะพาไปอีกหนึ่งจุดเช็คอินสุดแกรนด์ของจังหวัดมิยากิ นั่นคือ Matsushima เมืองที่โดดเด่นด้วยที่เที่ยวติดริมทะเล ทิวทัศน์สวยเข้าตาชาวโลก ถึงขนาดติด 1 ใน 3 อ่าวที่สวยที่สุดในโลกเมื่อปี 2013 เลยทีเดียว ความที่อ่าวมัตสึชิมะแห่งนี้มีเกาะเล็ก ๆ กระจายอยู่ถึง 260 เกาะ ภาพที่ทุกคนมาแล้วจะต้องได้พบคือ ความกว้างใหญ่ของทะเล พร้อมหมู่เกาะที่ต่าง ๆ ที่สลับกับโดดเด่นตามขนาด และสีสันให้เราเพ่งมองไม่รู้จบ บริเวณโดยรอบยังมีวัด ศาลเจ้า โบราณที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในยุคสมัยดาเตะให้เราได้ศึกษา ส่วนมื้ออาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อมานี่คือการกินอาหารทะเล และหอยนางรมสด ๆ สดขนาดว่าขึ้นมาจากทะเลยังไม่ทันโดนอากาศก็เข้าปากเราไปแล้ว บอกเลยว่าฟินแน่นอน
การเดินทางมาที่มัตสึชิมะ ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วย นั่งรถไฟจากเซนไดมาเพียง 40 นาที ลงที่ Matsushima Station ก็เริ่มเที่ยวได้เลย โดยจุดแรกที่เราแวะไปที่ Entsuin Temple วัดแห่งนี้เป็นจุดชมใบไม้แดงที่ทางจังหวัดมิยากิ ย้ำนักย้ำหนาว่าควรค่าแก่การเยี่ยมชม และการเชิญชวนนี้ก็ไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะเหล่าใบไม้แดงต่างดาหน้าเข้ามาต้อนเรารับตั้งแต่ทางเข้า ลึกเข้าไปจนถึงตัววัดเลยทีเดียว เพราะด้านหน้านั้นเป็นสวนมอส และต้นเมเปิ้ลที่ทางวัดได้ปลูกไว้ และอีกส่วนเป็นสวนกุหลาบสไตล์ตะวันตก ที่เหมาะกับสาวหวาน ๆ เข้าไปถ่ายรูปเช็คอินกันอย่างมาก ขนาดนี่มาเดินแป๊ปเดียว ถ่ายจนแบตกล้องแทบหมดเลยอะแก
พอใกล้เที่ยงท้องน้อย ๆ ก็เริ่มโอดครวญ เรามาเดินตามหาของอร่อย ๆ แถวริมอ่าว ที่เรียงรายไปด้วยร้านขนม อาหาร และของฝากมากมาย แวะเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไปเรื่อย ซื้อชิมจนเกือบอิ่ม ก็เดินมาเจอร้าน Datena BBQ Matsu ร้านบุฟเฟ่ต์หอยนางรม ของขึ้นชื่อบนอ่าวมัตสึชิมะแห่งนี้ ความโด่งดังของร้านก็ไม่เท่าไหร่ แค่ขายหอยได้วันละ 400 กิโลกรัมเท่านั้นเอง ซึ่งราคาแบบทานไม่อั้นอยู่ที่ 2,000 เยน/40 นาที แต่เราก็แอบกินเล็กกินน้อยมาเยอะแล้ว เลยเลือกทานเป็นเซตแทน ซึ่งในเซตนี้เต็มไปด้วยหอยนางรมรูปแบบต่าง ๆ ทั้งสด ย่าง ทอด ราคาอยู่ที่ 1,240 เยนเท่านั้น ทั้งรสชาติและปริมาณเนี้ย เราว่าคุ้มเกินราคามาก ๆ เพราะรสชาติของหอยนั้นล้ำลึก เหมือนเราดำลงไปกินที่ก้นทะเลเลยทีเดียว น้ำทะเลเค็ม ๆ ยังกลั้วอยู่ในตัวหอยทำให้ไม่มีกลิ่นคาว และยังมีรสชาติที่กลมกล่อม จนน้ำจิ้มที่ให้มาไม่จำเป็นไปเลย
จากร้าน Datena BBQ Matsu เราเดินแค่ 2 นาทีก็มาเจอ ตลาดปลามัตสึชิมะ (Matsushima sakana ichiba) ที่นี่เราสามารถซื้ออาหารทะเลแบบสด ๆ และแบบแห้งเป็นของฝากได้ หรืออยากกินทะเลหลาย ๆ อย่างก็ซื้อมาแชร์กันได้เช่นกัน ทางตลาดเขาจัดโซนที่นั่งไว้ให้เรียบร้อย นอกจากหอยนางรมแล้ว ที่นี่ยังเด่นเรื่อง อะนะโกะ หรือปลาไหลทะเล สาหร่ายโนริที่ขึ้นในทะเลอีกด้วย ใครอยากซื้อกลับไปกินที่บ้าน แนะนำให้ซื้อแบบอบแห้งแล้วกลับไปทำกินนะ เชื่อว่ารสชาติกลมกล่อมไม่แพ้กินที่นี่แน่นอน
อีกจุดที่เป็นไฮไลท์ของอ่าวนี้คือวัด Godaido Temple จุดชมวิวที่มองเห็นอ่าวมัตสึชิม่าได้ทั้งหมด เนื่องด้วยความเก่าแก่ของวัดที่ถูกค้นพบเมื่อปี 807 ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเกาะอีกด้วย แต่ด้วยวัดมีการบูรณะใหม่ สถาปัตยกรรมที่เราเห็นจึงเป็นแบบโมโมยามะ เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1604 เท่านั้น พูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปโกะไดเมียวโอ ซึ่งผู้คนนิยมมากราบไหว้ พอพรเรื่องโชคลาภ และเดินทางปลอดภัย ซึ่งเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมทุก ๆ 33 ปีเท่านั้น ปีล่าสุดที่เปิดคือ 2006 เพราะฉะนั้นเขาจะเปิดให้ชมอีกครั้งในปี 2039 นับวันรอได้เลยฮะ
และกิจกรรมที่เรารอคอยก็มาถึง เอาไว้ทิ้งท้ายวันแบบสวย ๆ ด้วยการล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกดินของเกาะมัตสึชิมะ ซึ่งเราเลือกขึ้นเรือรอบสุดท้ายคือประมาณบ่ายสามโมง เส้นทางการล่อง มีสองแบบคือ ขึ้นเรือจากอ่าวมัตสึชิมะวนรอบอ่าวดูเกาะต่าง ๆ และขึ้นเรือที่เกาะมัตซึชิมะ ล่องตามโค้งของอ่าวไปจอดแวะเที่ยวเมืองท่าที่ท่าเรือ Hon-Shiogama ซึ่งเราเลือกอย่างแรกใช้เวลาล่องประมาณ 50 นาที ราคา 1,500 เยน คงเพราะเริ่มใกล้ฤดูหนาวแล้ว ทำให้พระอาทิตย์ตกไวกว่าปกติ เราเลยเจอแสงสีทองสะท้อนลงเกาะต่าง ๆ อย่างสวยงามดั่งที่เห็นนี่แหละ บนเรือมีทั้งโซน out-door และ in-door ถ้าใครขี้หนาว ข้างในเขามีฮีตเตอร์อุ่น ๆ ให้ และจัดที่นั่งหลาย ๆ แบบให้เราเลือกตามชอบ ทั้งแบบเคาน์เตอร์บาร์ หันออกนอกหน้าต่าง แบบสี่ที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน สะอาดสะอ้าน ห้องน้ำครบ เรียกว่าเป็นเรือสำหรับนำเที่ยวจริง ๆ
Day 4 : Sendai Castle — Gokoku shrine — Osaki Hachimangu Shrine — Ichibancho & Clis Road — Umami Tasuke Gyutan
วันสุดท้ายแล้ววันนี้ขอเที่ยวเป็นลูปรอบเมืองเซนไดด้วย Loople Bus รถบัสนำเที่ยวทรงโบราณสุดคลาสสิคที่จะจอดทุกสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของเซนได ค่าบริการต่อครั้งประมาณ 260 เยน แต่ถ้าจะให้คุ้มซื้อเป็นแบบ One Day Pass ไปเลยดีกว่า แค่ 620 เยนเอง ซึ่งเราสามารถขึ้นและลงกี่ครั้งก็ได้ในระยะเวลา 1 วัน รถเที่ยวแรกเริ่มเวลา 09:00 น. จนถึง 16:00 น. เรียกว่าเที่ยวเช้าจรดเย็นค่าเดินทางไม่ถึงสามร้อยบาทอะแก ถูกมาก
สำหรับใครที่มาเซนไดครั้งแรก เราอยากให้มาแลนด์มาร์คสำคัญ ๆ ก่อนคือ ปราสาทเซนได (Sendai Castel) หรือปราสาทอาโอบะ (Aoba Castle) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอาโอบะแห่งนี้ ขึ้นมาอาจจะงงว่าไหนล่ะปราสาท ? ความจริงคือตัวปราสาทและบริเวณโดยรอบได้ถูกทำลายลงด้วยระเบิด เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจึงเห็นเพียงซากหินกำแพงอยู่บนเขาลูกนี้เท่านั้น แต่จากประวัติศาสตร์ได้มีการจารึกไว้ว่า ปราสาทนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการ ป้องกันเมือง เมื่อปี 1600 โดยท่านดาเตะ สะมุเนะ ผู้ปกครองเมืองเซนไดคนแรก ซึ่งบริเวณนี้ก็มีรูปปั้นของท่านในท่าขี่ม้า ชูดาบ อย่างสง่างามเป็นอนุเสาวรีย์ให้เราได้ชื่นชมด้วย
เดินออกมาอีกนิดก็จะเป็นลานกว้างสำหรับชมวิว เพราะภูเขาอาโอบะลูกนี้ สูงจากเมือง 100 เมตร เราจึงมองเห็นเมืองเซนไดได้ทั้งเมือง ล้อมรอบด้วยภูเขาสวยงาม และที่ต้องขึ้นมาสร้างถึงบนนี้เป็นเพราะ รอบ ๆ เขามีแม่น้ำฮิโรเสะไหลผ่าน เป็นอุปสรรคสำหรับศัตรูที่จะมาบุกรุกนั่นเอง จุดที่เราอยากให้สังเกตนอกจากวิวพาโนราม่ากว้าง ๆ ของเมืองแล้ว จะเห็นองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอยู่ด้วย
ในบริเวณเดียวกัน ก็จะมีศาลเจ้าโกโคขุ (Gokoku shrine) ศาลเจ้าแบบชินโต สีแดงแรงฤทธิ์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เพื่ออุทิศให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตจากสงครามกลางเมือง และเป็นการแสดงความตั้งใจ ที่ต้องการให้บ้านเมืองมีความสุขสงบตลอดไป อีกนัยหนึ่ง ชื่อ Gokoku ยังหมายถึง การปกป้องประเทศ เป็นความหมายเพื่อเชิดชูผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรศาลเจ้าแห่งนี้ก็ไม่รอดพ้นจากระเบิดครั้งใหญ่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ดี ที่เราเห็นนี้จึงเป็นศาลเจ้าหลังใหม่ที่ทางการญี่ปุ่นพยายามสร้างคล้ายเดิมให้มากที่สุด
เอ๊า.. ดับกระหายกันหน่อย เพราะบนนี้ก็ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่คิดนะ ใกล้ ๆ ศาลเจ้าเขามีร้านค้า ร้านขายของฝาก และร้านขนมเช่นกัน ในส่วนของของหวานประจำจังหวัด เราก็หาข้อมูลมาอย่างดี นั่นคือ ซุนดะโมจิ (Zunda Mochi) โมจิถั่วแระที่มีเฉพาะเซนไดเท่านั้น ซุนดะคือถั่วแระบดละเอียด ผสมกับเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย แล้วค่อยนำไปประกอบขนมชนิดต่างๆ เช่น โมจิ โรลเค้ก พุดดิ้ง เต้าหู้ แพนเค้ก จนไปถึงโซดา แต่ร้านที่เรากำลังจะแนะนำนี้ เขาเด็ดเรื่อง Zunda Shake สมูตตี้ถั่วแระ รสชาติเข้มข้นที่มีเนื้อถั่วละเอียดบ้าง หยาบบ้างคละเคล้ากันไป กินคู่กับนมเข้มข้นรสหวาน ๆ คืออร่อยสดชื่นมากแก ถ้าไม่ชอบหวาน ให้บอกหวานน้อยด้วยนะ แก้วเดียวอิ่มไปถึงเที่ยงเลย
หลังจากที่เติมพลังกันเรียบร้อย เราขึ้นรถบัสไปต่อกันที่ Osaki Hachimangu Shrine ศาลเจ้าเก่าแก่นิกายชินโต ประจำตระกูลของท่านดาเตะ ศาลเจ้าที่มีสีเข้มดูน่าเกรงขาม ฉลุลวดลายสวยงาม พร้อมปิดทอง และสีสันสะดุดตาหลังนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี 1609 และถูกเผาทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นกัน และถูกสร้างใหม่ในปี 1979 แต่ด้วยความสวยงามของไม้สลัก และมีสิ่งของโบราณล้ำค่าต่อประวัติศาสตร์อยู่ ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสมบัติของชาติที่ทางการญี่ปุ่นได้ขึ้นทะเบียนเอาไว้ด้วย ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเพื่อบูชาเทพฮะจิมัง (เทพแห่งสงครามของชินโต) ผู้พิทักษ์ประจำเมืองที่ดูแลเมืองเซนได และในวันที่ 14 มกราคมของทุกปี จะมีเทศกาลเดินพาเพรดเรียกว่า “เทศกาลมัทสึทาคิ (ดงโตะไซ)” จัดเพื่ออวยพรแก่ผู้คน ให้มีสุขภาพแข็งแรงและธุรกิจเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ ถ้าใครอยากมาร่วมงานก็อย่าลืมเช็ควันกันดี ๆ จองที่พักกันเนิ่น ๆ นะ เพราะเราว่าคนต้องเยอะแน่ ๆ เลย
จุดสุดท้ายเราแนะนำให้มาลงรถบัสแถว ๆ โจเซนจิโดริ ถนนใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยต้นเซลโคว่า เรียงรายยาวกว่า 700 เมตร ทำให้เราเห็นความสะพรึงของใบไม้สีเหลืองใจกลางเมือง ทอดตัวจากตะวันออกไปทางตะวันตก เรียกว่าพาดผ่านใจกลางเมืองเซนไดเลยทีเดียว ต้นไม้เยอะจนได้รับขนานนามว่า “City Of Trees” เมืองที่จัดสมดุลของตึกรามบ้านช่อง และธรรมชาติเข้ากันได้อย่างลงตัว
เดินชมนก ชมไม้ แวะถ่ายรูปทุก ๆ สามเก้ามาเรื่อย ๆ จนถึงย่าน Ichibancho & Clis Road ก็ช้อปปิ้งต่อได้เลย ย่านนี้เป็นย่านช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเซนได เดินไปจุดไหนก็หูตาฝ้าฟาง อยากหยิบของลงตะกร้าไปซะหมด ตั้งแต่แบรนด์แฟชั่นธรรมดา ไปถึงไฮเอน ร้านรองเท้า ร้านขายยา เครื่องสำอางค์ ตู้คีบ คาชาปอง คาเฟ่สวย ๆ ร้านฟาสฟู้ดแก้หิวก็มีให้เลือกเยอะแยะไปหมดเลยค่ะคู๊ณณณ
แอ๊.. เกือบลืม มาเซนไดถ้าไม่ได้กินลิ้นวัวย่างคราใดใจแทบขาดเลยนะ เพราะที่นี่เขาเป็นเลิศทางด้านนี้โดยเฉพาะ ค่ำคืนสุดท้ายนี้เราขอจบมื้อแบบแกรนด์ ๆ ก่อนที่ Umami Tasuke Gyutan ร้านปิ้งย่างเล็ก ๆ มีที่นั่งไม่กี่โต๊ะ มีบาร์นั่งอีกนิดหน่อย ล้อมรอบเตาหันหน้าหาพ่อครัว แบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น เมื่อนั่งแล้วเราจะได้เห็นกรรมวิธีการย่างลิ้นวัวอย่างบรรจง เห็นความสุกนอกนุ่มใน ฉ่ำ ๆ กำลังดี แค่นั่งมองก็กลืนน้ำลายกันดัง อึก! แล้ว เมื่ออาหารมาเสิร์ฟเราก็สังเกตว่าเป็นการเสิร์ฟที่ออริจินอลแท้ ๆ เซตลิ้นวัวย่างนี้ประกอบด้วย ลิ้นวัวแน่น ๆ ผัดดอง ซุปเนื้อ และข้าวญี่ปุ่น ง่าย ๆ แต่อร่อยเวอร์มาก เมื่อเรากัดเนื้อลงไปก็พบกับความจุ้ยซี่ น้ำหวาน ๆ จากเนื้อออกมาเล็กน้อย นิ่ม กรุบ ไม่มีคำว่าเหนียวเลย ซดกับซุปเนื้อสูตรพิเศษของทางร้านก็ยิ่งฟิน กินไปนั่งมองพ่อครัวย่างไปก็ยิ่งอิน มันรู้สึกสด ๆ เรียล ๆ จบทริปได้แบบสุโค้ย ได้ใจพี่มาก ๆ เลยจ้า
บางทีเนื้อคู่ก็อาจจะไม่ได้มาในรูปแบบของคนก็ได้นะ อาจจะมาในรูปแบบของประเทศ อย่างที่เรามโนอยู่นี่แหละ ใครจะมาแทรก ที่ไหนจะมาแรงเราก็ไม่สนใจเท่าญี่ปุ่นจริง ๆ เหมือนเป็นคนรักที่เราภักดี เมื่อไหร่ที่เศร้า เมื่อไหร่ที่เหงา เหนื่อยจากการทำงาน มาที่นี่ก็จะหายเป็นปลิดทิ้งทุกครั้ง เมื่อเรารักที่นี่ เราก็อยากให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความดีงามนี้เช่นกัน อย่างเมืองเซนได ที่เราได้มาค้นหารอบนี้ ทำให้เราเห็นอีกด้านของญี่ปุ่น เมืองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ และความสงบ รายล้อมด้วยเมืองเล็ก ๆ และอ้อมกอดของทะเลที่อุดมสมบูรณ์ มันทำให้เราตื่นมาชื่นชมอย่างมีกำลังใจ และคิดเสมอว่า ที่แห่งนี้ยังมีอีกหลายสถานที่ ให้เราต้องออกค้นหา.. พวกเธออยากมากับเรามั้ย ?