รีวิวอเมริกา :: The Ultimate Road Trip Guide ” From San Francisco to Yosemite National Park “

เราเชื่อว่าการเดินทางรอบโลกเป็นความฝันของใครหลายคน

และแม้ทางเดินจะยาวหลายร้อยไมล์ ที่สิบไมล์แรกอาจเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเดินทางต่อไปรับรองได้ว่ามันส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นเส้นทางหลายร้อยไมล์แบบ Road Trip ที่เริ่มต้นจาก San Francisco เมืองที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้น สู่ Yosemite อุทยานแห่งชาติที่จะทำให้ทุกสิ่งเล็กลงในพริบตา บอกเลยนะว่าทริปนี้คือการขายฝัน ฝันที่จะได้เห็นอุทยานแห่งชาติที่อยู่ใน Bucketlist ฝันที่จะได้ขับรถผ่านเมือง ผ่านป่าเขาลำเนาไพร ฝันที่จะไปยืนมองสิ่งที่ฝันแบบลืมเวลา ฝันเพื่อที่จะฝันต่อ เอาล่ะ คัดเพลงที่ชอบลงลิสต์ ตุนเสบียงไว้ให้พร้อม เพราะเรากำลังจำจะพาทุกคนโลดแล่นบนถนน กระโจนออกความฝันสู่ความจริงกัน ณ บัดนี้

ยังคงเป็นปลื้มและใช้งานต่อเนื่องกับ PLANET SCB บัตรที่ออกมาได้ตอบโจทย์และตรงใจสายเที่ยวอย่างเราเป็นที่สุด กับความสะดวกสบายในการไม่ต้องพกเงินสดมากมายออกไปเที่ยว เพราะเราสามารถรูดผ่านบัตรได้กับทุกสกุลเงินทั่วโลกแบบไม่โดนชาร์จ 2.5% รวมถึงรูดในไทยได้ด้วย แถมสะดวกยิ่งขึ้นกับการกดแลกเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา งานนี้ 13 สกุลเงินไหนร่วง เรทดี ทางเราก็พร้อมเข้า SCB EASY App กดแลกเก็บไว้ไม่ว่าอยู่ตรงไหนของซีกโลก อย่างทริปอเมริการอบนี้เราก็แลกไว้ล่วงหน้าในราคาที่สุดคุ้ม จนเราแทบจะลืมเงินสดไปเลย เพราะไม่ว่าจะเที่ยวในเมืองยันเข้าอุทยานแห่งชาติต้องบอกว่าบัตรเดียวเอาอยู่จริง ๆ แถมยังรู้สึกปลอดภัย อุ่นใจ และจากที่ได้ลองใช้จริง ๆ ด้วยตัวเองมาแล้ว 4 ทริป ทางเราก็กล้าการันตรีว่าเป็นบัตรที่ดี ทุกคนควรมี ออ!! แล้วอย่าลังเลให้เสียเวลา เพราะสมัครบัตรก่อนสิ้นปี ฟรีไปเลยค่าธรรมเนียมตลอดชีพจ้า

San Francisco

ทริปนี้เราเริ่มต้น Road Trip กันที่ San Francisco เมืองที่ครบเครื่องไปซะทุกด้าน แบบทุกด้านจริง ๆ ที่นี่เป็นเมืองใหญ่โตโอ่อ่า สุดทันสมัย แต่มันก็ไม่ได้วุ่นวายจนทำให้จิตใจไม่สงบ กลับกันมันเนืองแน่นไปด้วยความสุขแบบครบครัน เป็นสวรรค์ของนักเดินทางที่อยากจะพบกับความหลากรสในหนึ่งทริป ทั้งมิวเซียมเก๋ ๆ ให้เดินเท่ได้ทั้งวัน ทั้งคาเฟ่ชิค ๆ ที่ทำให้เราอยากกาแฟได้แบบไม่มีหยุด ทั้งจุดเช็คอินตามรอยหนัง ทั้งแลนด์มาร์คมากมายที่เราเห็นผ่านตามาตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งภูเขาลูกโต ทั้งสายน้ำในทะเล เพราะมันมีภูมิประเทศแบบเขา และมีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ช่วยส่งเสริมให้ความครบเครื่องทุกอย่างอยู่ในบรรยากาศที่ดีเลิศ น่าเที่ยวตลอดทั้งปี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงชวนฝันนักสำหรับนักเดินทาง อ่ะ ปิดประตูให้สนิท เราจะพาไปขับรถชิว ๆ ชม 9 จุดเช็คอินที่บอกเลยว่าเด็ด!!!

001 Golden Gate Bridge

ท่ามกลางความครบครันมากมาย เราขอเริ่มต้นกัน ณ ที่สุดแห่งซานฟราน Golden Gate Bridge สะพานแขวนสีแดงสีที่ทำจากเหล็กกล้ากำลังยืนท้าสายหมอก ทอดตัวอย่างอลังการและมั่นคง มุ่งหน้าตรง 1,600 เมตรจากฝั่งหนึ่งสู่อีกฝั่ง โดยไม่หวั่นไหวแม้เบื้องล่างคืออ่าวที่ลึกกว่า 90 เมตร มากว่า 80 ปี ที่ร้อยทั้งร้อยไม่มีนักเดินทางคนไหนไม่รู้จัก โดยมุม IG Shot ที่ห้ามพลาดของสะพานแห่งนี้ก็จะมีหลัก ๆ ด้วยกัน 5 จุด คือ Battery Spencer, Golden Gate Bridge Vista Point, Golden Gate Overlook, Marshall’s Beach และ Baker Beach แกเอ๊ยยยย!!!!! ก่อนไปแนะนำให้เปิดเพลงเก่าแต่คลาสสิคที่จะทำให้เห็นภาพซานฟรานได้สวยงามยิ่งขึ้นกับเพลง San Francisco ตั้งแต่สตาร์ทรถวนไปเลย รับรองพอจอดปุ๊บเนื้อเพลงที่ยังวนซ้ำในหัวจะทำให้ภาพตรงหน้ามีสีสันขึ้นอีกหลายเท่า มา … ร้องพร้อมกัน If you’re going to San Francisco be sure to wear some flower in your hair ……….

002 Pier 39

ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดอ่อน ๆ และลมเย็นพริ้วไหว นี่แหล่ะคือบรรยากาศที่ดีที่สุดสำหรับการไปชิวที่โลเคชั่นถัดมาอย่าง Pier39 อดีตท่าเรือที่เคยใช้สำหรับขนส่งสินค้าที่บัดนี้ได้ถูกยกเครื่องเปลี่ยนมาเป็นย่าน Shopping สุดฮิตของเมืองซานฟานซิสโกที่อยู่ตรงกลางระหว่างสะพานสะพานโกลเดนเกต และสะพาน Bay Bridge ที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่าง ๆ ทั้งร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ร้านขายของฝาก ที่ทำให้เหล่าบรรดาชาวเมือง และนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่อย่างไม่ขาดสาย และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราต้องขอพูดว่าที่นี่มันดีจริง ๆ และที่สำคัญการเดินทางในโลเคชั่นนี้ก็ทำให้เราหวนคิดถึงหนังอเมริกาสักเรื่องใน Netflix อยู่บ่อย ๆ ยิ่งทำให้เราอินกับป้ายโฆษณา ม้าหมุน เด็กน้อยผมบรอนซ์ ตาฟ้า ต้นปาล์มที่สูงชะลูด แม้แต่ตู้กดไอศกรีมก็ยังทำให้เรากดชัตเตอร์ลงได้ เราเชื่อว่าวัฒนธรรมอเมริกาที่ถูกฝังรากในใจเรา ผ่านหนัง และเพลงมาตั้งแต่เด็ก มีผลกับเรามากจริง ๆ

หลังจากเดินผ่านรวงร้าน ถ่ายรูปหลวย ๆ หลาย 10 ช็อต เพื่อเก็บความทรงจำไว้ในความทรงจำ เราก็ต้องมาหยุด ณ จุดที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ขวัญใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก บนหัวมุมปลายท่าเรือ ที่ซึ่งเปรียบเสมือนเตียงผ้าใบอาบแดดสำหรับเจ้าสิงโตทะเลสายพันธุ์ California Sea Lions สิงโตทะเลสีน้ำตาลเข้มที่ตัวเหลือบมะเมื่อม ซึ่งพร้อมใจกันว่ายน้ำมานอนพัก ส่งเสียงอุ๋ง ๆ โดดขึ้นลงน้ำ ตีกันบ้าง ดีกันบ้าง หลายสิบหรืออาจจะหลายร้อยตัวแบบไม่แคร์สายนักท่องเที่ยวสัญชาติมนุษย์ที่มายืนชม ยืนถ่ายรูป เหมือนตรงนี้เป็นพิพิธภัณฑ์แบบเอ้าดอร์ที่ใครผ่านไปต้องแวะมา

เที่ยว Pier39 เสร็จ เราก็แนะนำให้เดินชิว ๆ กินลมชมวิว แวะดูนักดนตรีเปิดหมวกเต้นตามสักสองสามเพลง แล้วค่อยเดินต่อไปที่ Fisherman’s Wharf ฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ คอมมูนิตี้ริมน้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในซานฟรานซิสโก ที่ยังคงกลิ่นอายของยุคประวัติศาสตร์ และความคึกคักของปัจจุบันสายอย่างดีเยี่ยม และยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นอ่าวซานฟรานซิสโก สะพาน Golden Gate รวมถึงอดีต และปัจจุบันของเมืองซานฟรานได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยร้านอาหารที่แน่นไปด้วยของทะเลสด ๆ ฉ่ำ ๆ รสชาติแท้ ๆ และดั้งเดิมของเมืองไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยว ส่วนเมนูที่เราอยากจะแนะนำก็คือเบอร์เกอร์ยัดไส้กุ้งลอฟตอร์เนื้อแน่น รสชาติหวาน ๆ เด้งดึ๋ง หอม ๆ ครีมมี่ และชุ่มฉ่ำ กับซุปร้อน ๆ อีกสักถ้วยจะเป็นอันว่าฟินมากแล้วจ้าพี่จ๋า

003 California Street ( Powell St & California St )

และอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่อยู่คู่กับซานฟานซิสโกมาอย่างยาวนานนั่นก็คือรถราง ที่ยังเปิดบริการสำหรับการนั่งชมเมือ งซึ่งหากแกมีเวลาเราก็ขอแนะนำให้ลองขึ้นไปใช้บริการดู แต่ถ้าแกแค่อยากเก็บภาพรถรางในมุมสุด Popular เราขอแนะนำฃจุดที่ใคร ๆ ต่างก็มาหยุดถ่ายรูปนั่นก็คือจุดตัดของถนน Powell St และ California St มุมที่จะให้บรรยากาศเหมือนเรากำลังเดินทางย้อนยุคกลับไปสู่สมัยเริ่มแรกของเมืองซานฟราน ซักสองสามภาพก่อนจะหันหลังแล้วเดินตามถนนเพื่อกลับมาสู่ยุคปัจจุบัน

หากเราตาม California street เรื่อย ๆ ก็จะมาเจอกับ Union Square ที่แต่เดิมมันเป็นจุดชุมนุมเพื่อสนับสนุนกองทัพในช่วง Civil War มันจึงเป็นอีกหนึ่งจุด แลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และเมืองซานฟรานซิสโก แม้ว่าไฟของการสู้รบได้ดับลง การชุมนุมก็ยังคงมีต่อไป แต่แตกต่างออกไปตรงที่ไม่ใช่การชุมนุมเพื่อใช้กำลัง หรือเพื่อเอาชนะ แต่เป็นการรวมตัวชุมนุมกันของความสนุกสุขสันต์ตามสไตล์เมืองใหญ่ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านอาหาร ของกิน ของใช้ แหล่งช้อปปิ้ง แบรนด์เนม มุมถ่ายรูปแจ่ม ๆ เรียกว่าครบ จัดจ้าน มากที่สุดกับย่านนี้

004 Lombard Street

โลเคชั่นถัดไปคือถนนที่ขึ้นชื่อว่าคดเคี้ยวสุดในโลก! Lombard Street ที่อยู่ในย่านสุดไฮโซหรูหรา ถ้าแกคือคนที่ชอบความท้าทายถนนสายนี้ก็พร้อมจะตอบโจทย์สิ่งนั้น แต่หากแกคือสายถ่ายรูป หรือสายแฟชั่นในดงดอกไม้ ย่านนี้ก็จะไม่ทำให้แกผิดหวัง เพราะที่นี่มีสวนหย่อมกระจายตัว แบ่งกลุ่มบานสะพรั่งสลับกันไปตามแต่ละฤดูให้ได้เดินเล่น ให้ได้สมมุติว่าตัวเองเกิดให้ทุ่งลาเวนเดอร์ และถ่ายรูปกับสวนหลังบ้าน จัดเป็นอีกหนึ่ง โลเคชั่นคูล ๆ ที่ไม่อยากให้พลาด

005 Painted Lady

ถัดมาก็ยังคงเป็นแลนด์มาร์คที่ใคร ๆ ต่างต้องมาปักหมุดหยุดเช็คอิน ณ ที่ที่เค้าบอกว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองซานฟานซิสโกนั่นก็คือบ้านแบบ Painted Lady ซึ่งก็คือบ้านสไตล์ Victorian และ Edwardian ที่สร้างติดกัน และมีสีมากกว่า 3 สีขึ้นไป แล้วด้วยความที่มันเป็นย่านที่พักอาศัย มันก็เลยไม่ได้มีความตื่นตาตื่นใจอะไรมากนัก แต่มันก็เป็นสถานที่ชิว ๆ ที่ชวนมาเดินเล่นถ่ายรูปกันเพลิน ๆ ชมวิถีชีวิตของชาวซานฟรานแบบแท้จริงได้ดีเยี่ยมเลยล่ะ แต่ที่มันโด่งดังมากมายจนกลายเป็นแลนด์มาร์คขนาดนี้ก็เพราะว่าบ้านเหล่านี้ถูกฉายลงในภาพยนตร์แล้วกว่า 70 เรื่อง ทำให้ใคร ๆ ต่างก็อยากมีแบคกราวสุดป๊อบแบบนี้กันทั้งนั้น และใช่เราก็คือหนึ่งในนั้น

006 San Francisco Museum of Modern Art (SFMOMA)

แน่นอนว่าเมืองสมัยใหม่ ที่ดูทั้งอาร์ททั้งติสท์แบบซานฟราน ถ้าขาดมิวเซียมไปคงจะเป็นอะไรที่งง ซึ่งถ้าลองจิ้มเสิร์ชหาบอกเลยว่าเยอะมาก ๆ ตาแตก เที่ยวได้เป็นอาทิตย์เลยจ้าแม่ แต่ที่เด็ดดวงพวงมาลัย เดินมาง่าย ๆ จาก Union Square ทางเราก็ยกให้ที่นี่เลยจ้า San Francisco Museum of Modern Art พิพิธภัณฑ์ศิลปะสไตล์โมเดิร์นและ Contemporary ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ที่จะมีนิทรรศการทั้งถาวรและหมุนเวียนจัดให้เราได้ชมกันตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นศิลปะภาพวาด รูปถ่ายสถาปัตยกรรม การออกแบบ หรือแม้แต่มีเดียอาร์ต ก็สามารถหาชมได้ทุกแบบบนพื้นที่ 45,000 สแควฟีต

ซึ่งช่วงที่เราไปก็ได้เจอกับนิทรรศการ 3 สไตล์ ได้แก่ 1April Dawn Alison นิทรรศการหมุนเวียนที่นำรูปโพลารอยด์กว่า 200 ชิ้นของ April Dawn Alison ช่างภาพผู้มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี ที่บัดนี้ได้จัดแสดงผลงานรูปเซลฟี่ของตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขันในยามเศร้าหมอง ความสุขในยามโดดเดี่ยว และอิริยาบถอื่น ๆ ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนให้เราได้เห็นกัน

2Don’t Photography and the art of mistake ก็ตามชื่อของนิทรรศการนั่นแหละ เพราะเขาเชื่อว่าไม่มีความสำเร็จไหนไม่เคยผิดพลาดมาก่อน และคนที่รู้ดีที่สุดก็คือศิลปิน เขาจึงนำภาพที่ดูเหมือนจะเป็นความผิดพลาดไม่ว่าจะเป็น ภาพที่ถ่ายมาไม่ชัด ภาพที่มีแสงสว่างมากเกินไป หรือภาพที่มีแสงเข้าแบบแปลก ๆ ที่ทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่เรียกว่าดี และแย่

และสุดท้ายกับ 3 Stephen ESPO Powers ผลงานศิลปะที่นำเอาสื่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร หรือภาพตัดแปะ ที่เราเห็นในชีวิตประจำวันธรรมดามาแต่งแต้ม และนำมารวมกัน เพื่อพูดคุยกับจิตใต้สำนึกของเราผ่านศิลปะบนผนัง ต้องยอมรับเลยว่าการได้เดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยศิลปะ ก็เหมือนการค่อย ๆ ถูกปลุกอารมณ์ความรู้สึกลึก ๆ ภายในของเราให้ตื่นขึ้นมีชีวิตชีวา และพร้อมที่จะสื่อสารได้มากขึ้นกว่าเดิม

เที่ยวมากันแล้ว 6 โลเคชั่น ทางเราก็บอกเลยว่าไม่มีที่ไหนต้องใช้เงินสดเลย ความสะดวกสบายไม่ว่าจะจ่ายค่าโรงแรม ค่าที่จอดรถ ซื้อน้ำเปล่าหนึ่งขวด ยันนั่งกินข้าวในร้านหรู แทบทุกอย่างจ่ายผ่านบัตร แถมบางที่รับแต่บัตรอีกด้วยจ้า แล้วพอเรามี PLANET SCB ก็ต้องบอกอีกครั้งว่ามันดีจริง ๆ อยากให้ทุกคนไปสมัคร เพราะตอนนี้นอกจากฟรีค่าธรรมเนียมตลอดชีพเมื่อสมัครก่อนสิ้นปีแล้ว เค้ายังมีโปรโมชั่นออกมายั่ว ๆ เยอะมาก ทั้งรับสิทธิ์เข้า Miracle Lounge ฟรี, รับเงินคืนสูงสุดถึง 1,000 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมเป็นสกุลเงินต่างประเทศ รวมถึงลุ้นบินไปญี่ปุ่นฟรีพร้อมพ็อคเก็ตมันนี่อีกหนึ่งรางวัล สำหรับผู้ที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดตลอดแคมเปญ ตั้งแต่ 3 ต.ค. 62 – 31 ม.ค. 63 และโปรโมชั่นที่น่าสนใจอีกมากมาย สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมกันได้ที่นี่ คลิกเลย OMG ดีมากเว่อร์ขนาดนี้ ไม่มีไม่ได้แล้วป่ะ

007 Hayes Valley

ท่ามกลางย่านชิคเก๋ ตัวพ่อตัวแม่ของความอาร์ทมากมาย Hayes Valley ก็เป็นโซนที่แหวกทุกย่านมารับมงยืนหนึ่งอย่างไร้ขอกังกา ต้องบอกว่าเป็นย่านที่เราชอบมาก ๆ แนะนำว่าทุกคนต้องมา เป็นย่านดี ๆ ที่มีสนามหญ้าให้เรานั่งชิว มีงานอาร์ทเล็กน้อย พร้อมเก้าอี้ให้นั่งรับไอแดดพร้อมนั่งสือเล่มโปรด รอบ ๆ ก็ เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านรวงที่ตบแต่งดูดีมีสไตล์ ร้านจากศิลปินท้องถิ่น มีสตรีทอาร์ทที่น่าไปยืนถ่ายรูปคู่ และบรรยากาศชิค ๆ สำหรับคนมีเวลาว่าง อยากสัมผัสบรรยากาศสบาย ๆ สไตล์ท้องถิ่น เราว่ามาสิงอยู่ย่านนี้ได้ทั้งวันเลย

แม้ว่าจะมีร้านคาเฟ่มากมาย ที่จะให้เก็บครบอาจจะต้องใช้เวลาหลายวัน ร้านขวดสีฟ้าที่เชื่อว่าคอกาแฟหลายคนต้องรู้จักเป็นอย่างดีคือร้านที่ห้ามพลาด เพราะ Blue bottle ที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลก original เค้าอยู่ที่ซานฟรานนี่เอง ถึงจะไม่ใช่สาขาแรกทางเราก็ปริ่มเพราะได้มากินถึงถิ่นเค้าเลย ร้านนี้นั้นเค้าโด่งดังมาจากการเสิร์ฟกาแฟด้วยกรรมวิธีการชงแบบสุญญากาศทีละแก้วทีละแก้ว อย่างตั้งใจ เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟแท้ ๆ ที่บางเบาหอมกรุ่น ละมุนไปด้วยเอกลักษณ์ของกาแฟ จนถูกลิ้นถูกอกถูกใจของนักดื่มกาแฟทั่วโลก วันนี้เราเลยขอสั่งลาเต้ร้อนที่รสชาติละมุนมาถ่ายรูปพร้อมแคปชั่น รสชาติฟินเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมากินที่เมืองต้นกำเนิดให้เพื่อนเพื่อนหมั่นไส้เล่นจ้า

008 The Original Swensen’s San Francisco

ร้านต่อมาเราขอพาทุกคนย้อนเวลาไปในปี ค.ศ. 1948 เพื่อลิ้มลองไอศครีมจากร้านสเวนเซ่นส์ ใช่แล้วจ้า!!!! ณ เมืองซานฟรานซิสโกแห่งนี้คือที่ตั้งสาขาแรกของแบรนด์ โดยเจ้าของ Earle Swensen เขาตั้งใจว่าเมื่อพูดถึง Swensen’s คนจะต้องคิดถึงไอศครีมแสนพิเศษอันเอร็ดอร่อยที่โลกรู้จัก เขาตั้งใจจนสามารถสร้างรสชาติให้ไอศครีมได้มากกว่า 180 รสชาติ มีสาขาโด่งดัวไปทั่วโลกจริง ๆ ส่วนการตกแต่งร้านสาขาแรกยังเป็นสไตล์เดิม ทั้งสีสันและป้ายร้าน เพิ่มเติมคือดูใหม่สะอาดเหมือนสมัยเปิดครั้งแรกยังไงอย่างงั้น ส่วนเมนูจะเน้นใส่ถ้วยใส่โคนธรรมดาไม่เน้นแฟนตาซีเหมือนบ้านเรา แต่รสชาติถือว่าเด็ดจนหยุดกินไม่ได้ รู้สึกฟินกับความออริจินัลขั้นสุด

009 Mr. Holmes Bakehouse

ร้านนี้เราเจอมาใน blog ฝรั่ง ที่เขียนเครมไว้ดิบดีว่าครัวซองส์เด็ด อวยกันแบบว่าถ้ามาถึงไม่ได้มาต่อแถวกิน นางบอกว่าเหมือนมาไม่ถึงซานฟราน และหลังจากยังไม่ปักใจเชื่อแต่ก็เผลอคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์ของร้านนี้ เราก็จะแอบเชื่อ 99.99% แล้วล่ะว่ามันดีจริง เพราะไม่ว่าจะเป็น CNN TIME แม้แต่ VOGUE ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่เคยพูดถึงร้านนี้แล้วทั้งนั้น เราจึงต้องขออาสาพาพวกแกไปดูร้านนี้ด้วยตาของตัวเอง อืมมมม แล้วก็ไม่ผิดหวังจริง ๆเพราะที่นี่เป็นร้านเล็ก ๆ แต่บรรยากาศน่ารักมากเว่อร์  logo เป็นรูปนิ้วชูสองนิ้วสีชมพู ดูเรียบง่ายแต่แบบเท่อ่ะ ออ ร้านเปิดเช้าขายจนกว่าของจะหมด ซึ่งแน่นอนว่าคนมาต่อแถวกันแต่เช้า แล้วของก็หมดไวมาก สาย ๆ ของเหลือให้เลือกน้อย ทางเราแนะนำให้ไปเช้าหน่อย จะได้กินของที่อยากนะจ้ะ

ขนมปังทุกชิ้นถูกอบสดใหม่วันต่อวัน ทำให้แค่อยู่หน้าร้านก็ได้กลิ่นหอมของเนยสดนม และขนมปังอบลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งบรรยากาศ จึงเป็นอะไรที่ยากมาก ว่าเราควรจะเลือกชิ้นไหน ให้ลงมาอยู่ในกระเพาะของเรา แต่สุดท้ายหวยก็มาออกที่เมนูเด็ดตามที่ฝรั่งนางนั้นเขียนในบล็อก ซึ่งก็คือ Raspberry Rose Croissant ครัวซองต์สีเข้มชิ้นกำลังดีที่มีด้านหนึ่งถูกชุบด้วยซอสราสเบอร์รี่สีชมพูดูน่ารัก กัดคำแรกแป้งมีความกรอบนอกนุ่มใน หอม หวานแบบดีมากกก กัดทำที่สองพร้อมด้านที่มีราสเบอร์รี่ให้พอได้ความเปรี้ยวมา เพิ่มความหวาน และความสดชื่น โอ้ย!!! น้ำตาไหลมากแม่ ฟินจ้า แนะนำเลยว่าต้องมาโดน

ดื่มดำกับความเป็นเมืองที่มีส่วนผสมแสนจะลงตัวอย่างซานฟานซิสโกเป็นที่เรียบร้อย เราก็ขอสตาร์ทรถเพื่อออกเดินทางสู่ Yosemite National Park โดยครั้งนี้จะขอเลือกใช้เส้นทางที่อ้อมกว่าปกติสักหน่อย เพราะเราอยากจะไปลองสัมผัสถนนรอบชายฝั่งที่เค้าเคลมว่าสวยที่สุดในอเมริกาอย่าง Highway หมายเลข 1 Highway No.1 – Livingston สัก 1 ใน 4 ของเส้นทาง แวะเช็คอินที่ Panther Beach เพื่อขอออกไปมองชายหาดอันแสน กว้างใหญ่ที่มีทิวทัศน์สวยงามสวย จนทำให้มันเป็นขวัญใจของนักเดินทางได้ไม่ยาก

Yosemite National Park

ถ้าถามถึง Wishlist ในอเมริกาที่หลายคนตั้งใจไว้ว่าสักครั้งในชีวิตต้องไปให้ได้ เราเชื่อว่าจะต้องมี Yosemite National Park อย่างแน่นอน เพราะนี่คือมรดกโลกทางธรรมชาติของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกตกแต่งไม่ใช่จากน้ำมือของคน แต่เป็นธรรมชาติมาหลาย 1,000 ปี จนกลายมาเป็นอุทยานแห่งชาติกว่า 2,000,000 ไร่ ที่มีหุบเขาสลับซับซ้อน มีธรรมชาติอันหลากหลาย และมีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยอย่างอุดมสมบูรณ์ โดยมีภาพจำที่ตราตรึงในหัวใจของใครหลายคนคือหน้าผาหินแกรนิตที่แข็งแกร่งใหญ่โต ภาพน้ำตกที่ไหลรุนแรง และภาพของสัตว์ป่า และสิ่งเหล่านี้เองที่เป็นเรื่องราวเริ่มต้นที่ทำให้เราพาตัวเองมาอยู่ที่ตรงนี้

ท่ามกลางต้นสนที่ขึ้นสูงด้านล่างคือเต้นท์ขนาด 4 คน สีขาวที่มีประตูสีเขียวรอให้เราเปิดเข้าไปสัมผัสการใช้ชีวิตท่ามกลางมรดกโลกทางวัฒนธรรมเป็นครั้งแรก โดยมีเบื้องหลังคือยอดเขาอันสูงชัน ที่สูงพอ ๆ กับความดัน และความสุขในหัวใจของเรา ณ ขณะนี้ ไม่ต้องเสียแรงพูดถึงความฝันในวัยเยาว์ที่อยากมาใช้ชีวิตแบบนี้ดูสักครั้ง เพราะความจริงตรงหน้าค่อนข้างจะเกินฝัน หากตอนนี้เด็กชายในใจของเราตื่นขึ้น เค้าคงจะวิ่งไปมาแบบไม่หยุดหย่อน พร้อมโบกมือไปมาทักทายผู้คนโดยไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าอีโก้ หัวใจของเราสุดที่จะลิงโลดด้วยความตื่นเต้น แค่คิดถึงค่ำคืนที่กำลังคืบคลานมาว่าจะเป็นยังไงบ้างนั้นแพชชั่นในตัวก็พุ่งกระฉูดไปทั่วแล้ว นี่แหล่ะมั้งคือคำตอบว่าเราเดินทางทำไม

001  Tunnel View

เริ่มจุดไฮไลท์แรกของอุทยานกับภาพที่เราเห็นมานานบนจอ Macbook ที่ Tunnel View จุดชมวิวที่ฮอตฮิตติดลมบนยิ่งกว่ามุมไหน ๆ เพราะความลงตัวเป๊ะของมันที่ยืนปุ๊บก็เห็นแลนด์มาร์คของอุทยานครบปั๊บในคราวเดียว ทั้ง El Capitan, Half Dome และ Bridalveil fall โอ้โห้แม่ ครบเครื่องพร้อมหน้า พร้อมตายิ่งกว่า Family tree อีกจ้า ใครมาร้อยทั้งร้อยก็ต้องมายืนถ่ายรูปตรงนี้ แล้วแบบนี้เราจะพลาดได้ไง ว่ามั๊ย??

สำหรับเราที่นี่สวยทุกเวลา ชวนให้จ้องแบบไม่ล่ะสายตา แต่ถ้าให้เลือกเป็นที่สุดเราขอยกมงให้ช่วง sunset แสงสีส้มพาดผ่านยอดเขา ฟ้าอมชมพูอมม่วง และเงาก็เร่ิมทำให้บางส่วนมืดมิด ดูช่างเป็นศิลป่ะที่ถูกสร้างแบบไร้การปรุงแต่งที่ธรรมชาติมอบให้ ณ จุดนี้ต้องบอกว่าเราคอมพลีสมากแล้วกับที่นี่ ที่เหลืออื่น ๆ คือกำไรแล้วล่ะ

002 Mirror lake

อีกหนึ่งมุมคลาสสิคสุดแสนจะคุ้นตาในทุกการหาข้อมูลของ Yosemite ที่นี่เราจะสามารถเห็น Half Dome, Tenaya Canyon, Mount Watkins, Washington Column และวิวรอบข้างแจ่ม ๆ อีกหลายสิ่ง นี่คงเป็นความเยอะเดียวที่เรารัก และสายเทรลต้องไม่พลาดเพราะที่นี่มีเส้นทางเดินเทรลให้เลือกสองเส้นทางคือระยะ 3.2 กิโลเมตรที่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิด ๆ และระยะ 8 กิโลเมตรที่สามารถเดินเล่นชมธรรมชาติกันแบบจุก ๆ  ทำตัวคูล ๆ แบบคนท้องถิ่น แอ็คท่าเป็นสายลุยแบบเท่ ๆ ได้เลย

สำหรับ Mirror lake จริง ๆ แล้วมันจะเห็นภาพภูเขาสะท้อนน้ำสมชื่อนะ แต่ทางเรามาหน้าร้อนน้ำก็เลยแห้งไปนิ้สสสส 555 แต่เอาจริงมันก็ดีนะ แบบมันเหมาะมากกับการหอบขนมกรุปกริป มาปูเสื่อปิกนิกทานข้าวกับเพื่อนไรงี้ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมาปิกนิกกินอาหารกลางวัน และเล่นน้ำที่นี่กันนั่นแหล่ะ คือธรรมชาติอ่ะเนอะ เค้าสวยทุกที่ มีดีทุกเวลา เราอยากเห็นแบบไหนเราก็ต้องเลือกไปตามเวลาของเค้านะ

003 Olmsted Point

Olmsted Point แลนด์มาร์คสุดฮิตอีกจุดที่ต้องมาเพราะนอกจากจะมาง่าย อยู่ติดริมถนนไม่ต้องเดิน หรือเคลื่อนกายไปไหนให้เสียพลังงาน และสามารถมองเห็น Half domeอยู่ถัดจาก Clouds Rest และ Tanya Lake ในอีกทิศหนึ่ง บริเวณนี้จะเป็นภูเขาหินหรือเอาจริง ๆ เรียกว่าเนินหินน่าจะถูกกว่า เพราะมันไม่สูงมาก มีมุมให้ถ่ายรูปเก๋ ๆ อยู่พอตัว มีต้นสนขึ้นมาแซม ๆ แต่ถ้าอยากเดินเทรงสั้น ๆ สัก10 นาที ก็มีจุดชมวิวชิว ๆให้เดินขึ้นไปแบบเหงื่อยังไม่ทันตกด้วย

004 Lake Tenaya

ถ้าถามทะเลสาบไหนห้ามพลาดเมื่อมาอุทยานแห่งนี้ ทางเราก็ต้องขอยกมือสูง ๆ โหวตให้กับ Lake Tenaya ทะเลสาบที่อยู่บนความสูง 8150 ฟีต ทำให้มันมีสีฟ้าใสเหมือนถูกย้อมด้วยท้องฟ้า ใสเหมือนแกว่งด้วยสารส้ม นิ่งเหมือนกระจก จนมันได้รับการขนานนามว่าเป็นอัญมณีบนประเทศแห่งความสูง ที่ซึ่งเหมาะแก่การพายคายัก ว่ายน้ำ อาบแดด ปิกนิก ที่นี่จึงคึกครื้นไปด้วยเสียงหัวเราะที่ขับให้ความสวยงามนั้นสดใสขึ้นทันตาเห็น

อย่างที่บอกไปตอนแรกว่า Yosemite เป็นอุทยานที่ใหญ่มาก มี Trail ให้เดินเยอะมากกกกกกกกกกก เรียกว่าถ้าเป็นสายน้ำ สายเขา สายเดิน นี่เราก็เดาไม่ถูกว่าต้องอยู่กี่วัน กี่เดือน ถึงจะเที่ยวครบ แต่ถ้าเวลาจำกัดเอาแค่ 4 จุด กับนอนเต้นท์ในอุทยานสักคืนสองคืนก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามากแล้ว เพราะราคาของความฝันนั้นยากที่จะประเมินค่า ถ้าแกมีโอกาสควรชวนแก๊งค์เพื่อนรักมาสานฝัน สร้างโมเม้นท์ดี ๆ ด้วยกันที่นี่สักครั้งเถอะ ถือว่าเราขอร้อง 555

และนี่คือหนึ่งในทริปที่เราพูดได้เต็มปากเลยว่าสวยหมดจด ครบรส และสวยยิ่งกว่าความฝันทริปหนึ่ง เราไม่รู้ว่าความฝันของแกคืออะไร แต่เราเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน และทุกความฝันควรค่าแก่การออกตามหา และทำให้มันเป็นความจริงซะ แล้วแกจะรู้ว่าแกไม่อยากฝันอีกต่อไป เมื่อความจริงตรงหน้ามันดีกว่าความฝันเป็นไหน ๆ หรือถ้าแกยังไม่แน่ใจว่าความฝันของแกคืออะไร ลองออกเดินทางตามหาดูนะ บางครั้งแกอาจจะเจอว่าความฝันของแกมันอยู่แค่ก้าวแรกเท่านั้นเอง