นานิ ซารางเฮ อีกหนึ่งประเทศดี๊ดีที่ไปกี่ทีก็หลงรัก ที่ ๆ สามารถเที่ยวได้แบบไม่พัก รักได้แบบไม่หน่าย ถ่ายรูปได้แบบไม่เบื่อ คาเฟ่มีเหลือเฟือทุกสารทิศ ภูเขา ต้นไม้ ประวัติศาสตร์ก็ครบทุกทาง ไม่ว่าจะเรื่องกิน เที่ยว ช้อป ประเทศที่ป๊อปขึ้นมาในใจเรา แน่นอนว่าต้องมี “เกาหลีใต้” แดนโสมที่มีที่เที่ยวให้นวยนาดได้ทั้งปี แต่คราวนี้เราจะพาออกบินไปฟินฉบับ 4 วัน 3 คืน กับเมืองทางใต้ของเกาหลีใต้ ไล่มาตั้งแต่ ปูซาน เมืองตากอากาศสีพาสเทลยอดฮิต ที่พิชิตใจนักท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลก ถัดไปที่อันดง เมืองประวัติศาสตร์ที่ถูกโอบล้อมจากภูเขา และทัศนียภาพสุดสวยงาม ก่อนจะไปจบที่ จินจู เพื่อเข้าเมืองไปดูเทศกาลลอยโคม และเทศกาลหน้ากากที่รำลึกถึงการประกาศอิสรภาพของเกาหลี จบรีวิวนี้บอกได้คำเดียวว่า จองตั๋วด่วน!!!!
Day 1 : Jangnim Port – Ha Yeon Nok – Jinju Golden Tulip Namgang Hotel
• Jangnim Port
เริ่มต้นทริปกันแบบหวาน ๆ ทานตะวันร้อยดอกก็สู้ไม่ได้กันที่เมืองปูซาน กับจุดหมายแรก Jangnim Port สถานที่สุดแสนหวาน อดีตท่าเรือที่ห่างไกลจากความสนใจของผู้คน ที่เดิมทีเอาไว้เป็นที่ผลิตสาหร่ายทะเลเพียงเท่านั้น จนเมื่อปี 1970 ที่นี่ได้ทำการเปลี่ยนที่ผลิตสาหร่ายอันแสนจืดชืดให้กลับมามีชีวิตชีวาด้วยการทาสีพาสเทลลงไปทุกหย่อมหญ้า ทำให้ ณ บัดดี้ สีม่วง ฟ้า ชมพู เหลือง ถูกทาทับความซีดเซียวจนออกมาหวานซ่าก๋ากั่น จนหลายคนกล่าวขวัญให้มันเป็นเวนิชแห่งปูซาน ทำให้ใคร ๆ ก็เลยพากันมาที่นี่ตลอดทั้งปียังไงล่ะแก๊
• Ha Yeon Nok
ตามแพลนเราต้องเที่ยวที่เมืองปูซานอีกหลายที่ แต่เนื่องด้วยฟ้าฝนไม่เป็นใจเท่าหน้าใสใสของเรา พวกเราเลยพาร่างกายและหัวใจที่เสียดายเล็ก ๆ เดินทางต่อไปที่ เมืองจินจู เพื่อหาที่ปาดน้ำตา เติมพลังงานให้ร่างกายกับร้านอาหารท้องถิ่นที่นามระบืออย่าง Ha Yeon Nok ร้านอาหารอันหอมกรุ่น ที่มีเมนูเด็ดเป็นบะหมี่เย็น และข้าวยำแสนหน้าหม่ำในชามโต เสิร์ฟมาแต่ละทีต้องมีร้อง โอโห้!! ในความใหญ่ เครื่องเยอะ และกลมกล่อม ส่วนเมนูที่มาแล้วควรสั่งคือจินจู มุลแนงมยอน หรือเรียกง่าย ๆ ว่าบะหมี่เย็นจินจูแบบน้ำนั่นเอง โดยความพิเศษของร้านนี้คือเค้าจะใส่หยุกจอน หรือแพนเค้กสไตล์เกาหลีแบบหั่นบาง ๆ ลงไปในน้ำ ทำให้เวลากินบะหมี่จะมีความกลมกล่อมยิ่งขึ้น และได้กลิ่นหอมของแพนเค้กไปพร้อม ๆ กัน
อีกหนึ่งเมนูแสนพิถีพิถันที่อร่อยเด็ดในเจ็ดย่านน้ำจนเราต้องขอยกนิ้วให้คือ ทลพัน โซ ชัม คัลบี หรือ ซี่โครงวัวตุ๋นย่างกระทะร้อน ที่แค่ชื่อก็มีความซับซ้อน โดยเจ้าเมนูนี้เค้าจะเอาซี่โครงวัวไปตุ๋นกับน้ำซุปให้อ่อนนุ่มเข้าเนื้อ แล้วค่อยยกมาเสิร์ฟโดยมีพนักงานคอยย่าง และหั่นให้เราถึงที่โต๊ะ อยากได้สุกแค่ไหนก็บอกเค้าได้ตามใจชอบ แต่ละคำเลยอร่อยล้ำ ฉ่ำซุป ยิ่งกินยิ่งเพลินยิ่งเพลินก็ยิ่งกินต่อแบบไม่หยุด เพราะนาทีนี้ถ้าไม่หมดกระทะคงไม่มีใครยอมวางตะเกียบแน่อนอน อร่อยแค่ไหนอ่ะคิดดูสิแก
DAY 2 : Najeonchilgi Craft Museum – Skyline Luge – Geoje Windy Hill – Jinju Namgang Yudeung Festival
• Najeonchilgi Craft Museum
เช้าวันใหม่หัวใจเบิกบานกับฟ้าสวยใสไร้เมฆหมอก เราออกเดินทางต่อไปยัง เมืองทงยอง เมืองท่าริมทะเลที่มีวิวทิวทัศน์สวยงาม และยังมีชื่อเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของการนำเปลือกหอยท้องถิ่นมาตัดแต่งติดบนข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ และโลเคชั่นแรกที่เราเลือกก็คือ พิพิธภัณฑ์งานฝีมือนาจอลชิลกี เพื่อเข้าร่วม workshop ตกแต่งกระจกพกพาจากเปลือกหอย โดยในขั้นแรกเจ้าหน้าที่จะให้เราเลือกลายที่ชอบ แล้วเอาเปลือกหอยมาให้เราประดับตกแต่งตามลวดลายตัวอย่างที่บอกเลยว่ายากมากกว่าที่คิดหลายเท่า เพราะนอกจากจะต้องใจเย็นแล้วมือก็ยังต้องนิ่งเป๊ะ เพราะหอยแต่ละชิ้นมันเล็กจิ๋วจนยากในการควบคุม ตกแต่งเสร็จเขาก็จะเอากระจกของเราไปทากาวเคลือบเพื่อให้หอยติดทน ก่อนจะนำส่งกลับมาสู่อ้อมอกอ้อมใจที่เต็มไปด้วยความภูมิใจของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าการได้มาเรียนรู้ และลองทำอะไรที่คนท้องถิ่นที่นี่ทำมันก็เป็นเสน่ห์อย่างนึงของการท่องเที่ยวเหมือนกันนะแก
ตั้งอกตั้งใจใช้พลังงานไปมากกว่าที่คิด เราเลยหิวไวกว่าที่คาดไว้สักหน่อย งานนี้มาถึงถิ่นเมืองท่า ถ้าพลาดไม่ทานอาหารทะเลก็คงต้องกลับไปนั่งเสียใจนอนน้ำตาตกในเป็นแน่แท้ เราเลยขอฝากท้องมื้อกลางวันในร้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อว่า Gollido Sashimi House ร้านที่ดูภายนอกเหมือนจะเรียบง่าย แต่พอเดินเข้าไปข้างในกลับพบกับความเก๋ไก๋ เพราะบนผนังแทบทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยตัวอักษรภาษาเกาหลี คาดว่าน่าจะเป็นคอมเม้นต์ดี ๆ ให้กับร้านอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับกระดานสื่อความรู้สึกที่กว้างใหญ่ ที่ให้ความรู้สึกถึงความน่ารัก และเป็นกันเองในสไตล์เกาหลีมาก ๆ เลย
ส่วนเมนูแนะนำที่อยากบอกต่อของร้าน เราขอยกให้เป็นเมนูข้าวยำหอยเม่น Sea Urchin Bibimbap เมนูข้าวยำหนึ่งในอาหารหลักของชาวเกาหลีที่ในเมนูนี้เค้าจะใส่เครื่องเยอะเยอะตามปกติเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือหอยเม่นสด ๆ แบบแน่น ๆ จุก ๆ เวลากินเราต้องทำตามประเพณีข้าวยำ ด้วยการคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วค่อยตักเข้าปากอ้ามมมมคำใหญ่ ๆ เพื่อสัมผัสความสดของหอยเม่นที่เหมือนตักจากท้องทะเล และเอามาใส่ลงจานนี้ในทันที เอาเป็นว่าใครเลิฟหอยเม่นก็ลองมาทานกันดูนะน่าจะชอบ
• Skyline Luge
อิ่มหนำสำราญเบิกบานใจ เราก็ไปต่อกับกิจกรรมยามบ่ายของวันนี้โดยเริ่มที่ Skyline Luge เครื่องเล่นลูกผสมระหว่างโกคาร์ต และโทบกแกน (กระดานเครื่องเล่นชนิดหนึ่งของนิวซีแลนด์) ที่ได้ขยายสาขาจากนิวซีแลนด์มาสู่ประเทศเกาหลีใต้ในเมืองทงยองนี้ โดยเริ่มแรกเราจะต้องนั่งกระเช้า Skyline ขึ้นไปที่ยอดเขาด้านบนก่อน จากนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่มาสอนวิธีการบังคับ ซึ่งมันง่ายกว่าที่เราคิดไว้ตอนก่อนเล่นมาก ๆ เพียงแค่แกผลักหรือดึงแฮนด์ เพื่อหยุดและปล่อยให้รถลูจเคลื่อนตัวไปข้างหน้าก็เท่านั้น ส่วนจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็แค่ขยับแฮนด์เหมือนกับการบังคับจักรยานนั่นเอง
ซึ่งทางที่เรากำลังจะบังคับรถลูจ นี้มีความยาวทั้งสิ้น 1.5 กิโลเมตร ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยความสนุกของการเเล่นรถผ่านทั้งจุดชิว ๆ ที่มีวิวให้ดู กับเพลิน ๆ ที่เหมือนเดินเล่นอยู่กลางป่า และเสียว ๆ ที่จะทำให้รู้สึกเปรี้ยวแบบก๋ากั่น ส่วนวิวที่ว่ามานั้นก็มีทั้งวิวของภูเขาสีเขียว และทะเลสีเทอร์ควอยส์ที่สวยละมุนใจ แต่ก็อย่ามัวชมเพลินจนลืมล่ะว่าแกต้องมองทางข้างหน้า และรถข้าง ๆ ด้วย แต่ไม่ว่าจะมุมไหน หรือทำอะไรอยู่สิ่งที่แกควรคิดให้ดีคือการปั้นหน้าให้สวยตลอดทั้งทางเข้าไว้ เพราะบางจุดเค้าจะมีกล้องติดไว้ถ่ายรูปเราตอนเล่นอย่างเผลอ ๆ ด้วย ถ้าไม่อยากเผลอจนเหวอก็จำไว้ให้ดีว่ามีกล้อง!!! เอ้ายิ้ม 🙂 ส่วนใครสนใจตามลิ้งค์นี้ไปเบยจ้า https://www.skylineluge.com/en/tongyeong
• Geoje Windy Hill
ซิ่งรถลูจด้วยความมันส์กันพอกรุบกริบ แลนด์มาร์คถัดไปเราจะพาไปตามรอยซีรี่ส์เกาหลีกับโลเคชั่นที่คุ้นตานามว่า Geoje Windy Hill หรือชื่อน่ารักแบบไทย ๆ ว่าเนินเขาแห่งสายลม เนินเขาสีเขียวชะอุ่มที่ทอดตัวยาวเข้าไปในทะเลสีฟ้าคราม ที่เกือบจะปลายเขาลูกนั้นคือกังหันลมสีน้ำตาลที่หมุนวนไปตามกระแสลมทะเลที่พัดเข้ามา ทิวทัศน์นี้บอกเลยว่าเหมือนถูกแต่งแต้มขึ้นจากนวนิยายจนเราอดที่จะยิ้มให้กับวิวตรงหน้าไม่ได้จริง ๆ โลเคชั่นนี้กระโปรงควรจะพลิ้ว หมวกควรจะปีกกว้าง รอยยิ้มจะต้องฉีกออกสม่ำเสมอ รับรองว่าเธอจะได้ภาพที่ดีที่สุดไปแน่นอน
เก็บภาพจนพอใจ สูดอากาศสดชื่นจนเต็มปอด เราก็มาแวะหย่อนกายลงบนเก้าอี้ไม้ที่เค้าเตรียมไว้ให้ชมวิวบ้าง แล้วยังเป็นจุดที่ซีรี่ย์เกาหลีหลายเรื่องมาถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็น Eve’s Garden และ Merry-Go-Round หรือละครไทยแนวเลือดสาดอย่างเมียหลวงก็มาถ่ายทำที่นี่เช่นกัน เพราะฉะนั้นการนั่งพักผ่อนให้คลายเมื่อยล้าของเราที่นี้จึงได้ภาพดี ๆ กลับมาด้วยความบังเอิ๊ญ บังเอิญ อีกด้วย
• Jinju Namgang Yudeung Festival
เก็บลมชมวิวที่เนินเขาแห่งสายลมกันพอหอมปากหอมคอ เราก็ปักหมดมาหยุดต่อที่ เมืองจินจู เพื่อเข้าไปดูเทศกาล Jinju Namgang Yudeung Festival เทศกาลที่มักจะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคมของทุกปีในบริเวณแม่น้ำนัมกัง มาตั้งแต่ปี 1592 หรือตั้งแต่สมัยที่ยังมีสงครามเกาหลีรบกับประเทศญี่ปุ่น จึงมีการจัดงานนี้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เกาหลีได้นำเรือไฟมาเป็นกลยุทธ์ทางแม่น้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นเข้าโจมตีเสมือนป้อมปราการหลักของเมืองจินจู และสัญญาณอำลาครอบครัวของทหารที่ออกรบในสมัยนั้น
สำหรับเราที่นี่เป็นเหมือนเทศกาลใหญ่ของเมืองจินจู ที่ควรมาดูด้วยตาตัวเองสักครั้งเลยละแก ซึ่งภายในงานก็มีการประดับประดาไฟด้วยโคมต่าง ๆ ทั้งจากชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นคนทำ รวมถึงโคมไฟนิทรรศการจากทั่วโลกที่มาออกแบบดีไซน์ภายในงานนี้ด้วย จุดไฮไลต์ที่ชาวเกาหลีให้ความนิยมมาก ๆ คือ อุโมงค์โคมไฟที่เค้าจะให้คนเกาหลีมาเขียนคำอธิษฐานอวยพรพร้อมชื่อที่อยู่ได้ แถมรอบ ๆ งานก็มีทั้งไฟประดับตกแต่งสถานที่สำคัญ ๆ รวมถึงการจุดพลุเฉลิมฉลองด้วย น่ารักมากจริง ๆ แก แอบอยากให้ประเทศเรามีอะไรแบบนี้บ้างจัง
พอเราข้ามมาฝั่งมายังป้อมปราการเมืองจินจู ก็จะเจอกับงานจัดแสดงโคมไฟอีกเพียบให้เราเดินชม ทั้งพอข้ามฝั่งมายังป้อมปราการเมืองจินจู เราก็จะเจอกับการจัดแสดงโคมไฟที่มีทั้งไฟประดับอาคาร และไฟรูปร่างตัวคน สิ่งของต่าง ๆ ให้เราเดินชมอีกมากมาย ในบรรยากาศบ้านเกาหลีแบบโบราณที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของคนในยุคสมัยนั้น ใครที่ชอบแนวแสงสี หรือชอบเดินงานเทศกาลรับรองว่าฟินสุด ๆ แน่นอนจ้า นอกจากนี้ก็ยังมีร้านค้าต่าง ๆ ตั้งร้านขายโคมไฟเป็นที่ระลึก รวมทั้งอาหารพื้นเมือง ให้เลือกชมเลือกชิมกันตามใจชอบด้วย
DAY 3 : Andong Hahoe Folk Village – Seon Hwa Mak Jeok – Andong Mask Dance Festival
• Andong Hahoe Folk Village
หลังจากกลับไปด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมสุขที่ได้ชื่นชมงานเทศกาลที่เต็มไปด้วยแสงสี เช้าวันที่สามของทริปเราเลยเดินทางออกจากเมืองจินจูกันเร็วหน่อย เพราะเรากำลังจะไปเที่ยวท่องล่องให้ทั่วเมืองมรดกโลกอย่าง เมืองอันดง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงจากเมืองจินจู แล้วไปเช็คอินที่แรกกันที่ Andong Hahoe Folk Village หมู่บ้านประวัติศาสตร์ฮาฮเว หมู่บ้านเกาหลีโบราณอายุกว่า 600 ปี ที่มีการออกแบบบ้านตามหลักความเชื่อของลัทธิขงจื้อในสมัยราชวงศ์โชซ็อน ที่นิยมเลือกตำแหน่งบ้านให้ถูกโอบล้อมด้วยทิวเขาโซแบ๊กซันและแม่น้ำ ทำให้มีเอกลักษณ์ทั้งในแง่ของสถาปัตยกรรม และภูมิศาสตร์ จนได้รับการยอมรับจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในหมู่บ้านประวัติศาสตร์ที่มีที่เสี่ยงที่สุดแห่งหนึ่งของเกาหลี
และในช่วงกลางวันอันแสนเงียบสงบอย่างนี้ เราสามารถเดินทอดน่องชมนกชมไม้ เที่ยวชมบ้านโบราณที่เปิดให้ชมหลังนั้นทีหลังนี้ที และเดินสัมผัสวิถีชีวิตของคนในบ้านที่ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแบบชาวชนบทมาแต่โบราณได้ด้วย คือที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริงๆ นี่จึงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเมืองโบราณนี้ ส่วนไฮไลท์ภายในหมู่บ้านที่พลาดไม่ได้ก็คือ Goddess Samsin Tree ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เคียงข้างหมู่บ้านมากกว่า 600 ปี โดยนักท่องเที่ยว และผู้ที่มาเยือนสามารถเขียนชื่อพร้อมคำขอก่อนจะเอามาผูกไว้กับต้นไม้ ตามความเชื่อที่ว่าเทพเจ้าจะบันดาลให้ตามคำขอ นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านยังมีร้านขายของที่ระลึกที่ส่วนใหญ่เป็นของจักสาน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า หมวกตระกร้า และของใช้อื่น ๆ อีกมากมายให้เลือกช้อปกันด้วย
นอกจากบ้านเก่าโบราณจะเป็นเสน่ห์ของที่นี่แล้ว ภายในหมู่บ้านก็ยังมีแปลงดอกไม้สีม่วงน่ารัก ๆ ที่มีแบคกราวเป็นบ้านโบราณ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะเวียนมาถ่ายรูปกันเยอะมาก ๆ เพราะมันสวยแปลกตาเลอค่าน่าถ่ายโปรไฟล์ใหม่สุด ๆ ไปเลยน่ะสิ งานนี้ถ้าจะให้ดีอย่าลืมจัดชุดสวย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเดรสยาวแบบสากล หรือชุดฮันบกแบบประยุกต์น่ารัก ๆ ก็เข้ากันดีทีเดียวนะแก
• Seon Hwa Mak Jeok
และอีกหนึ่งของดีที่พลาดไม่ได้ในพลาดไม่ได้จริง ๆ ทุกครั้งที่มาเกาหลีก็คือ ปิ้งย่างเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นสามชั้น ลิ้น ไส้ สันคอ สันใน ฯลฯ ไม่ว่าจะส่วนไหนก็อร่อยไปซะหมด จนแอบสงสัยว่าเกาหลีเค้าเลี้ยงหมูต่างจากบ้านเรายังไง เที่ยงนี้เราเลยขอแวะฝากท้องกันที่ร้าน ซอนฮวา แม็กจ็อก Seon Hwa Mak Jeok หนึ่งในร้านปิ้งย่างที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองอันดง ซึ่งความพิเศษของร้านนี้คือเมนูซี่โครงหมูหมักที่มีรสสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น ฉ่ำซอส ยิ่งพอย่างร้อน ๆ กินคู่กับเครื่องเคียงอีกหลายชนิดที่จัดมาเต็มโต๊ะก็บอกได้เลยว่าฟินสุด ๆ ฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว ย้ำกันอีกทีตรงนี้ว่าใครไปเมืองอันดงห้ามพลาดร้านนี้นาจา
• Andong International Mask Dance Festival
หนังท้องตึงแต่หนังตายังไม่หย่อน เราขอไปต่อแบบไม่พักกับจุดหมายที่ครึกครื้นชวนให้ขยับแขนขยับขาเต้นตามบทเพลง และความบันเทิงเริงใจ กลับเทศกาลประจำปีของเมืองอันดงนั่นก็คือ Andong International Mask Dance Festival เทศกาลหน้ากากสุดยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคมของทุกปี ที่จัดมาต่อเนื่องยาวนานถึง 48 ปีแล้ว ในงานจึงมีการแสดงระบำหน้ากากแบบดั้งเดิมของชาวเกาหลีที่สืบทอดมานานกว่า 100 ปี จนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศเกาหลี และระบำหน้ากากจากนานาชาติ ตลอดจนการประกวดหน้ากากต่าง ๆ ให้ได้ชมกันแบบจุใจ จนเราขอยกให้เมืองอันดงเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลที่สุดแห่งหนึ่งในใจเลย
นอกจากส่วนการแสดงระบำหน้ากากบริเวณลานกลางแจ้งแล้ว ภายในงานยังมี Mask Dance Theatre โรงละครในร่มที่โชว์ “ฮาฮเวบยอลชินกุดทัลโนลรี” การแสดงและการละเล่นเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีและขอพรต่อเทพเจ้าให้บ้านเมืองสงบสุขมีแต่ความรุ่งเรืองมาจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมความน่าตื่นตาตื่นใจนี้ด้วย ซึ่งนอกจากเสื้อผ้าที่สวยงามพริ้วไหวอลังการแล้ว ความคล่องแคล่วท่าทางอันกระฉับกระเฉง และบทเพลงที่เข้ากันมันชวนให้รู้สึกถึงพลังได้ตลอดการแสดง จนไม่มีนาทีไหนที่รู้สึกอยากละสายตาไปได้เลย
DAY 4 : Gyeongju Yangdong Village – Gyodong Sambap – Songdo Marine Cable Car- Gamcheon Culture Village
• Gyeonju Yangdong Village
เช้าวันสุดท้ายของทริปนี้เราจะขอพาพวกแกไปในอีกหนึ่งสถานที่ที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักมากนัก ณ หมู่บ้านโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่หมู่บ้านวัฒนธรรมยางดอง Gyeonju Yangdong Village อีกหนึ่งหมู่บ้านที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมพร้อมหมู่บ้านที่เราไปดูมาเมื่อวานนี้นั่นล่ะ ที่นี่คือหมู่บ้านโบราณที่มีขนาดใหญ่ และเก่าแก่มากที่สุดในเกาหลีใต้ ที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์โชซอน โดยในเมืองแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของทั้งขุนนาง ชนชั้นสูง และชาวนาชาวไร่ธรรมดา โดยจุดสังเกตที่ต่างกัน เราสามารถดูได้จากหลังคา โดยหลังคาของชนชั้นสูงจะถูกมุงด้วยกระเบื้องสีเทาอย่างดี ส่วนหลังที่มุงด้วยจาก และหญ้าก็คงไม่ต้องเดาว่าเป็นของชาวนาอย่างแน่แท้
และตามแบบฉบับของราชวงศ์โชซอน หมู่บ้านที่นี่จึงมีหลักฮวงจุ้ยที่ดี ทั้งภูเขาที่รายล้อมและแม่น้ำประจำหมู่บ้าน ทำให้มีทิวทัศน์ที่สวยงามและยังคงความมีชีวิตชีวาจากชาวบ้านที่ยังคงอาศัย และดำเนินชีวิต ตามปกติในสถานที่ประวัติศาสตร์นี้ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี แม้การเที่ยวหมู่บ้านโบราณจะไม่ได้หวือหวาน่าตื่นตาตื่นใจเหมือนเวลาที่เที่ยวในเมือง แต่เราว่าความสงบเงียบเรียบง่ายและเสน่ห์แบบดั้งเดิมก็ทำให้เราใจสั่นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ชที่สำคัญเราก็ยังได้มุมถ่ายรูปใหม่ ๆ ที่ไม่เหมือนใครกลับไปโพสต์ลงโซเชียลให้คนสงสัยเล่นว่าที่นั่นมันที่ไหนกันแน่อีกด้วย
• 별채반 교동쌈밥
หลังจากมื้อเมื่อวานที่ติดอกติดใจเนื้อย่างจนเราแอบเก็บเอาไปฝัน มือกลางวันของวันนี้เราเลยตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องหาปิ้งย่างอร่อย ๆ กินอีกสักมื้อก่อนกลับไทยให้ได้ เราจึงขอไปฝากท้องกันที่ร้านที่ชาวเกาหลีแนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็ด บยอลแชบัน คโยทงซัมปับ 별채반 교동쌈밥 พอได้ลายแทงปุ๊บ เราก็ไม่รอช้าลูบท้องเบา ๆ สามที แล้วรีบตรงดิ่งไปที่ร้านพร้อมกับสั่งอาหารแนะนำมาอย่างละหนึ่งแบบไม่รอช้าไม่ว่าจะเป็น คโยทง ซัมปับชุดหมู และชุดเนื้อฮันอู ที่เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงแบบจัดเต็ม ทั้งผักกิมจิ ซอสโคชูจัง และอื่น ๆ อีกมากมายตามสไตล์เกาหลีมาทานกันแบบจุก ๆ จนลุกแทบไม่ขึ้น สมแล้วที่เป็นร้านเด็ดที่ใคร ๆ ก็แนะนำ และเราก็อยากจะเอามาบอกต่อด้วยเช่นกันนี่ล่ะจ้า
พอท้องอิ่มเราก็ขอกลับเข้าไปเช็คอินต่อที่เมืองปูซานอีกสักเล็กน้อย โดยแวะไปจุดแรกที Songdo Marine Cable Car เคเบิลคาร์ข้ามทะเลแห่งแรกของประเทศเกาหลีที่จะเริ่มต้นพาแกออกตัวจากสวนซงนิม ข้ามน้ำข้ามทะเลผ่านวิวสวยสวยบนกระเช้ากระจกกับระยะทาง ระยะทาง 1.62 กิโลเมตร ซึ่งตลอดระยะทางแกก็จะได้เห็นวิวเมืองปูซานแบบเต็มสองตา รวมถึงมองเห็นวิวของหาดซองโดไปจนถึงเกาะยองโดเลยทีเดียว จะนั่งตอนกลางวันก็สวย หรือจะมานั่งชมวิวตอนกลางคืนแล้วกุมมือคนข้าง ๆ ก็สุดแสนจะโรแมนติกไม่แพ้กัน และเมื่อเจ้าเคเบิ้ลพาเราแลนด์ดิ้งถึงสถานีปลายทาง แกก็เจอกับดาดฟ้าที่เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์อีกจุดของเมือง นอกจากจะได้ชมวิวว้าว ๆ แล้วที่นี่ยังมีงานศิลป์เก๋ ๆ ไว้ให้เราถ่ายรูปได้หลายจุดอีกด้วย เป็นไงละนั่งเคเบิ้ลรอบเดียวแต่รับรองว่าได้รูปเป็นร้อยช็อตกลับไปแน่นอน
• Gamcheon Culture Village
จากนั้นเราก็มาเสพวิวทิวทัศน์สวย ๆ กันต่อแบบไม่รอแล้วนะ ที่แลนด์มาร์คยอดฮิตของเมืองปูซาน ณ Gamcheon Culture Village หรือซานโตรินี่แห่งเกาหลี อดีตเคยเป็นที่พำนักพักพิงของเหล่าผู้อพยพในสงครามเกาหลี ที่บัดนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเหล่าศิลปินจากทั่วประเทศมาช่วยกันแต่งสีเติมความสร้างสรรค์ทำให้มันกลายเป็นไฮไลท์ของเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ และทั่วโลกได้ดีอีกแห่งหนึ่ง โดยมีแลนด์มาร์คสำคัญคือรูปปั้นเจ้าชายน้อยตัวการ์ตูนชื่อดังจากเรื่อง The Little Prince วรรณกรรมเยาวชนระดับโลกที่แม้ว่าจะต้องต่อแถวรอคิวถ่ายรูปนานสักหน่อยแต่ก็คุ้มค่าสมการรอคอยไม่น้อยทีเดียว
ท่ามกลางบรรยากาศสีพลาสเทลที่ชวนให้เราทำตัววิ่งเล่นเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์นี้ ก็ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารอร่อย ๆ ร้านขนมหวานที่น่ารัก ที่พักที่ดูแสนสบาย และจุดถ่ายรูปที่แสนจะเก๋ไก๋ ให้เราได้รัวชัตเตอร์กันแบบไม่ยั้ง ซึ่งใครที่อยากตามเก็บให้ครบทุกจุดปักหมุดก็สามารถเข้าไปซื้อแผนที่ Stamp Tour Maps ได้ใน Tourist Information ที่หากแกสามารถแสตมป์ครบทุกจุด ก็สามารถนำแสตมป์เหล่านั้นมาแลกเป็นโปสการ์ด หรือของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้านด้ด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งกินมิคสไตล์เกาหลีที่เราคิดว่าดี๊ดี
ก่อนจะจบทริปเราขออัพคาเฟ่อีนเข้ากระแสเลือดกันสักนิด กับร้านคาเฟ่สีฟ้าน่ารักที่เหมือนจับเอาท้องฟ้าบนนภามาอยู่ตรงหน้าเรา ซึ่งเข้ากันได้ดีกับชื่อร้าน Cloud Cafe คาเฟ่ชั้นครึ่งที่มีวิวน่าตะลึงอยู่ด้านบนตัวร้าน มีที่นั่งไม่มากนัก แต่ก็คึกคักตลอดเวลา เพราะบน Rooftop Bar คือสถานที่น่าอภิรมย์สำหรับการชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพร้อมกับเมนูเด็ดของร้านในน้ำฟ้าที่มาพร้อมกับสายใหม่สีขาวปุกปุย และเมนูสายใหม่สีขาวใหญ่ยาวราวเมฆยักษ์ที่รับกันได้ดีกับวิวมุมกว้าง และท้องฟ้าที่อยู่ด้านหน้า จนต้องขอกดคะแนนให้กับไอเดียสุดสร้างสรรค์ให้รัว ๆ ไปเลยจ้า
และแล้วการเดินทางในเกาหลีใต้ก็จบลง แม้ครั้งนี้เราไม่ได้เข้าไปโลดแล่นในเมืองใหญ่ปล่อยกายปล่อยใจไปกับตึกสูง แต่เราก็ได้ใจเต้นตึกตักตกหลุมรักให้กับเมืองโบราณและเทศกาลงานแห่งสีสัน ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันก็ยังคงความประทับใจเหนียวแน่นหนึบติดตาตรึง ทำให้ตลอด 4 วัน 3 คืนนี้ แสนจะสุดซึ้งหลากหลายอารมณ์ และหลายหลากมุมถ่ายภาพ จนต้องมานั่งคิดว่าควรลงยังไงไม่ให้เพื่อนเกลียด และเป็นทริปที่ทำให้เรารู้ว่าเกาหลีที่ไม่ได้อยู่ในโซลก็มีดีอยู่หลายที่เหมือนกันนะ จนเราต้องเอาเกาหลีใต้เก็บเข้าลิสต์ที่ควรตามเก็บมันทุกปีเป็นที่เรียบร้อย แล้วแกล่ะ พร้อมที่จะออกเดินทางสร้างความฝัน สานความสุข เก็บทุกรายละเอียดด้วยตัวแกเองหรือยัง ออกเดินทางกันเถอะ เพราะไม่มีตอนไหนที่เหมาะแก่การเดินทางเท่า “ตอนนี้” อีกแล้ว