รีวิวกรุงเทพ ฯ : 5 สปาสุดหรูที่มีรางวัลกินรีเป็นเครื่องการันตี

เที่ยวยาว ทำงานนาน เผลอแป๊บเดียวก็เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปีมาแบบงงๆ ผ่านมาแล้วทั้งเดินป่า ขึ้นเขา ลงห้วย นวยนาดในคาเฟ่ ทำเท่ที่ริมหาด หาอะไรเข้าปากทุกสุดสัปดาห์ สรรหาแต่ที่เที่ยวใหม่ ๆ ตั้งใจทำการทำงาน และอื่น ๆ อีกมากมาย จนร่างร้าวอยากทิ้งดิ่งแบบผ่อนคลายให้คุ้มกับที่ใช้ร่างกายเปลืองยาวจนถึงปลายปีบ้างสักที วันนี้เราเลยจะมาชวนพวกเธอเปลี่ยนจากออกเดินทางไปพักผ่อนเป็นการออกเดินทางไปทิ้งร่าง เพื่อเพิ่มความสมดุลของร่างกาย เปลี่ยนจากจิบกาแฟร้อนเป็นชาหรือเครื่องดื่มสมุนไพร เปลี่ยนจากนอนเฉยๆ เป็นนอนพร้อมรับการปรนนิบัติให้ผ่อนคลาย กับ 5 สปาสุดหรูของไทยที่มีรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 12 หรือสัญลักษณ์กินรี ในสาขารางวัล Hall of Fame และ Kinnari Gold Award จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ช่วยการันตีคุณภาพ ไปแล้วไม่มีผิดหวัง มาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้เพื่อน ๆ ในการผ่อนคลายร่างกาย ขับไล่ความเมื่อยล้า ตั้งแต่หัวจรดเท้า เปลี่ยนทุกความไม่สดชื่นแล้วฟื้นคืนร่างแบบสบายอารมณ์ ผสมกับกลิ่นหอมแบบ Aroma จากน้ำมันหอมระเหย และความหรูหรา โดย Therapist มือดี มาเปลี่ยนวันพักผ่อนธรรมดาให้กลายเป็นวันสุดพิเศษ มอบของขวัญที่เรียกว่าการดูแลตัวเองให้ตัวเองแบบคุ้มทุกสตางค์ ถ้าพร้อมแล้วก็ล้างหน้าล้างตา แต่งตัวให้พร้อมเปลื้องผ้า ทาลิปแค่บาง ๆ กันคนเห็นแล้วตกใจ ไขกุญแจแล้วออกจากบ้าน ทอดน่อง ทอดกายให้สบายอุรา แล้วตามพิกัดของเราไปได้เลย

001 Oasis Spa

ที่แรกอยากนำเสนอคือ Oasis Spa” สปาใจกลางสุขุมวิท 31 ที่จะพาเราหลบร้อน หนีฝุ่น หยุดความวุ่นวายของตึกสูง เร้นกายเข้าสู่ “โอเอซิสกลางเมือง” ที่จะช่วยให้เราได้ดับกระหาย คลายเหนื่อย เพิ่มพลังกาย ปลุกพลังใจ เหมือนได้เจอโอเอซิสกลางทะเลทรายสมชื่อสปา เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่เขตของสปา เราก็เหมือนหลุดเข้าอยู่อีกโลกนึง จากแดดที่ร้อนเปรี้ยงก็กลายเป็นความสงบร่มเย็นด้วยต้นไม้สีเขียว จากพื้นลาดยางสะท้อนแดดชวนแสบตาเปลี่ยนเป็นสระบัวแสนสดชื่น จากกลิ่นของฝุ่นกลายเป็นกลิ่นหอมเย็นที่พร้อมจะช่วยผ่อนคลายร่างกายของคุณ ด้วยการบำบัดด้วยกลิ่นหอม และความสดชื่นอย่าง Aromatherapy  พูดง่าย ๆ คือ เหมือนกับเราเดินทะลุประตูข้ามจากใจกลางความวุ่นวายย่าน สุขุมวิท เข้าสู่ รีสอร์ตหรูบนยอดดอยของเมืองเชียงใหม่ยังไงยังงั้น

หลังจากจิบ Welcome Drink จนขื่นใจ เราก็ตัดสินใจเลือกแพคเกจ  Signature Massage ที่ชื่อว่า “The Voyage of Golden Lanna” สนนราคา 5900++ ที่เราจะได้รับการนวดตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้ายาวนานถึง 90 นาที โดยใช้ Therapist ถึง 2 คน มาบรรจงเทน้ำมันหอมที่ infused ด้วยทองคำบริสุทธิ์ลงบนผิวอย่างแผ่นเบา แล้วนวดต่อด้วยการนวดผ่อนคลายสไตล์ล้านนา ที่เชื่อว่าการใช้ลีลาท่าทางการนวดประกอบไปพร้อม ๆ กับเสียงดนตรีที่สุภาพนุ่มนวล จะช่วยนำร่างกาย และจิตใจให้กลับมาสู่ความสมดุลได้อีกครั้ง และก็จริงมากจ้า เราสามารถปล่อยใจฟังเพลงที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและรับรู้ความสบายจากการนวดที่หนักแน่นแต่ไม่เจ็บไปพร้อม ๆ กัน เป็น 90 นาที ที่รู้สึกดีมากกกก ไหล่ที่ยกตึงก็คลายลง หัวที่หนักก็เบา เท้าที่เมื่อยก็ผ่อนคลาย พร้อมเดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกเหมือนได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจแบบเต็มที่จริง ๆ

เดินตัวเบาสบายออกจากห้องมาปุ๊บ สปาก็จัดเซ็ตผลไม้หวานๆ พร้อมกับเครื่องดื่มร้อน ๆ มาให้เรานั่งจิบเพลิน ๆ กลางสวนที่ร่มรื่น ที่แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม แต่ทำไมไม่รู้ .. เรารู้สึกว่าได้กอบโกยความสุขต่ออีกแบบไม่เร่งรีบ ตอนนี้ได้ฟีลเหมือนหนีกรุงมาทำ treatment ให้ตัวเองที่ต่างจังหวัดแบบชิว ๆ เลยทีเดียว และก็ถึงเวลากลับ อีกหนึ่งความประทับใจ คือ ตอนจะออกไปเค้าก็มีรถไปส่งเราที่ BTS พร้อมพงษ์เหมือนตอนที่รับเรามาด้วย คือไม่ว่าจะสถานที่ การบริการ พนักงาน การนวด ทุกอย่างคือดีงาม และเพอร์เฟ็กต์มาก รู้สึกได้ถึงความใส่ใจในทุกอย่างจริง ๆ สมแล้วที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยครั้งที่ 12 ในประเภท Hall of Fame ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับสปาที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม 3 ครั้งติดต่อกัน

002 Banyan Tree Spa

นอกจากโรงแรมบันยันทีจะเป็นโรงแรมระดับห้าดาวแล้ว เค้าก็ยังมีทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งคือ บันยันทรีสปา เป็นอีกหนึ่งสปากลางกรุง ที่ตั้งอยู่บนตึกระฟ้าของโรงแรม ที่มีความหรูหราซู่ซ่าไม่แพ้กับชื่อเสียงของโรงแรมเลย ด้านในสปามีการตกแต่งแบบไทยคลาสสิคที่ผสมผสานความร่วมสมัยของตะวันตกและตะวันออก ผ่านการใช้แสงและสีที่สร้างความอบอุ่นผ่อนคลายแต่ยังคงความหรูหราชวนให้เราก้าวขาเข้าไปเปลืองผ้าปล่อยกายปล่อยใจไปกับท่วงทำนองของเพลงที่เปิดบรรเลงอยู่ตลอดเวลาได้เป็นที่สุด สรรพคุณขนาดนี้ เราก็ไม่แปลกใจนะ ที่ที่นี่ เค้าได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 12 ประเภท Hall of Fame ที่ต้องได้ยอดเยี่ยมมาก่อนหน้านี้แล้ว ถึง 3 ครั้งติดต่อกัน

ท่ามกลางแพคเกจที่มีให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ วันนี้เราขอเลือก Banyan Tree Signature ที่ชื่อว่า Tropical Rainmist ที่มีระยะเวลานวดถึง 120 นาที สนนราคา 8000++ เป็นตัว Signature Treatment พูดง่าย ๆ คือตัวเด็ดดังของที่นี่เค้าล่ะ เพราะรวมเอานวัตกรรมใหม่ ๆ ไว้กับเอกลักษณ์การนวดแบบบันยันทรี อย่างลงตัว และที่มาขอของคำว่า Rainmist ก็คือการผสมผสาน สปาทรีทเม้นท์ การอบไอน้ำ และกระแสน้ำจากฝักบัวเข้าด้วยกัน เพื่อมาช่วยคืนความสดชื่น บวกกับการนวดบำรุงผิวพรรณแบบหนักแน่นทุกซอกทุกมุมจนผ่อนคลายแบบสุด ๆ ถือเป็นอีกหนึ่งความแปลกใหม่ที่สุดที่เคยเห็นมาในการทำสปาอีกครั้ง

การนวดเริ่มจากการขัดเท้าด้วยชาเขียว และน้ำผึ้งที่มีกลิ่นหอมชวนผ่อนคลายมาก ๆ ขนาดแค่เริ่มขัดเท้า เราก็รู้เลยว่า Therapist ของที่นี่ฝีมือต้องดีมากแน่ ๆ เพราะน้ำหนักมือ รวมถึงวิธีการขัดของเค้า มันหนักหน่วงแต่ก็ผ่อนคลายเล่นเอาเคลิ้มกันเลยทีเดียว พอเช็ดเท้าจนแห้ง ก็เข้าสู่ขั้นตอนที่แฮปปี้แบบมากสุด ๆ นั่นคือ การนวดผ่อนคลายร่างกาย ไล่จากศีรษะจรดปลายเท้า จนเกือบหลับ แต่ก็ไม่กล้าหลับ ฝืนตัวเองสุด เพราะไม่อยากพลาดความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ไป หลังจากจบการนวดเซ็ทนี้ เค้าก็เพิ่มความผ่อนคลายให้กับเราอีก ด้วยการให้ลงไปแช่น้ำอุ่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกลีบกุหลาบ

ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะเราจะเข้าสู่ขั้นตอนเกือบสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ของแพคเกจนี้ นั่นก็คือ การที่เค้าจะพาเราเข้าไปที่ห้อง Rainmist อย่างที่บอกเป็นการเปิดน้ำจากฝักบัว มากระตุ้นการหมุนเวียนเลือด โดยใช้แรงดันน้ำพุ่งให้ออกมาพ่นให้ทั่วตัว เอาจริงเราไม่เคยเจอสปาที่ไหนทำแบบนี้มาก่อน และมันก็สบายมากกว่าที่คิดไว้มาก ๆ หลังจากนั้นปิดท้ายความสบายตัวไปพร้อม ๆ กับความสบายใจด้วยสุนทรียภาพขั้นสุด คือ การนวดตัวด้วยน้ำผึ้ งและน้ำนมวนทั่วตัวอีกหนึ่งรอบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เป็นอันครบกระบวนการความผ่อนคลายเต็มรูปแบบสุด ๆ ตั้งแต่เคยทำสปามา

ขึ้นจากน้ำมาด้วยความรู้สึกดีแบบสุด ๆ ทางสปามีเมี่ยงคำแสนอร่อยออกมาเสิร์ฟพร้อมกับเครื่องดื่มร้อน ๆ มาให้เราจิบกระตุ้นร่างกายอีกหน่อย แต่กระบวนการสปาในแพคเกจนี้ก็ไม่จบเพียงเท่านี้นะ เพราะสบายมาแล้วอยากมีความสนุกบ้าง ทางบันยันทรีเค้าก็มีกิจกรรมให้เราได้ Workshop ทำ Oil & Scrub เป็นกลิ่นหอมที่เราสามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาแบบเฉพาะของเราเองกลับบ้านไปฝากคนที่บ้าน ฝากตัวเองเอาไว้ไปผ่อนคลายต่อแบบต่อเนื่องด้วยตัวเองได้อีกด้วย

003 Rarinjinda Wellness Spa Ploenchit

อีกหนึ่งสปาที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยครั้งที่ 12 นี้ ก็คือ “ระรินจินดา เวลเนส สปา สาขาเพลินจิต” สปาสุดหรูที่ตั้งอยู่ในโรงแรม Grande Centre Point Ploenchit บนชั้น 30 และ 31 ซึ่งโลเคชั่นก็ดีมาก อยู่ติด ๆ กับ BTS เพลินจิต สำหรับสปาแห่งนี้ เค้าตกแต่งด้วยคอนเซปต์ “Rooftop Spa” ซึ่งนับว่าเป็นสปาบนดาดฟ้าแห่งแรกของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ เพื่อให้เราได้เพลินใจไปกับวิวพาโนรามาของตึกสูงกลางเมือง เปลี่ยนภาพของเมืองที่คับคั่งวุ่นวาย ให้กลายเป็นบรรยากาศที่ โปร่ง โล่ง สุดสายตา การตกแต่งภายในสปา ก็ถูกตกแต่งอย่างพิถีพิถันเลยทีเดียว โดยมีสีครีมอบอุ่นผสานได้ดีกับวัสดุจำพวกไม้สีเข้ม ในสไตล์ไทยคลาสสิค ที่ให้ทั้งความรู้สึกผ่อนคลายและหรูหราไปพร้อม ๆ กัน สมแล้วที่มีสาขามากถึง 3 สาขาทั่วประเทศ

ดื่มน้ำดื่มท่ามองวิวยังไม่ทันเบื่อ เราก็ตัดสินใจเลือกแพคเกจ Signature Experiences ที่ชื่อว่า Siamese Himalayan Salt Therapy ที่มีเฉพาะแค่สาขาเพลินจิตนี้เท่านั้น! ราคาเพียง 1,800++ โดยเจ้า Siamese Himalayan Salt Therapy หมายถึงห้องเกลือสปา โดยความพิเศษคือภายในห้องเกลือจะถูกสร้างบรรยากาศให้เหมือนเราได้นอนดูดาวท่ามกลางกาแล็คซี่ ระหว่างที่ปล่อยกายรับความผ่อนคลายโดยมี Therapist ค่อย ๆ บรรจงนวดคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอดทั้งปี โดยใช้เกลือหิมาลายัน เกลือสีชมพูที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าที่ได้รับความนิยมในระดับสากลมากกว่าเกลือชนิดไหน ๆ มาเป็นตัวช่วยปรับสมดุลร่างกายและจิตใจมาเป็นตัวเสริม

นอกจากนี้ เรายังได้ลองแพคเกจ Hot & Cold Stone Massage สนนราคา 3500++ เป็นการใช้หินร้อนและหินเย็นมาช่วยคลายจุดปวดเมื่อย เป็นเวลากว่า 120นาที ซึ่งนับเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเรา แปลกใหม่ แต่ก็รู้สึกดีและผ่อนคลายมาก ๆ จากความอุ่น และความเย็นของหินที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ และการไหลเวียนโลหิตของเราให้ดีขึ้น แบบรู้สึกได้จริง ๆ และขณะที่นวด เราจะได้ยินเสียงเพลงที่ทางสปาแต่งขึ้นมาใหม่โดยเป็นการผสมสานระหว่างดนตรีแบบตะวันออก ตะวันตก และดนตรีแบบไทยเข้าด้วยกัน ยิ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายและแตกต่างจากที่อื่นขึ้นไปอีก

เวลาผ่านไปแบบเปี่ยมไปด้วยความสุข จบจากการนวดเราก็ออกมารับของว่างจานเด็ด คือ ข้าวเหนียวมะม่วงที่หวานหอมหรูหรา รสดี จนอยากเชียร์ให้เปิดร้านข้าวเหนียวมะม่วงแยกไปเลยดีกว่า พร้อมกับจิบชามิ้นท์หอม ๆ ที่ตัวใบชาได้มาจากสวนของเจ้าของระรินจินดา ที่ปลูกเองกับมือแบบปลอดสารพิษเป็นการตบท้ายความฟิน เป็นการจบการนวดได้อบอุ่น หอมมัน น่าจดจำ เหนือระดับ สมกับที่ได้รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ในกลุ่ม Kinnari Gold Award หรือรางวัลยอดเยี่ยมในกลุ่มสาขาสปาซะจริง ๆ

004 Rarinjinda Wellness Spa Ratchadamri

อีกหนึ่งสาขาของระรินจินดา ที่ได้รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Kinnari Gold Award หรือ รางวัลยอดเยี่ยม สาขาสปา ที่เราอยากจะแนะนำก็คือ “ระรินจินดา เวลเนส สปา สาขาราชดำริ” ที่ตั้งอยู่บนชั้น 6 และชั้น 8 ของโรงแรม Grande Centre Point Ratchadamri ติดกับ BTS ราชดำริ โดยชั้น 8 ของที่แห่งนี้ถูกจัดสรรให้เป็นล็อบบี้ที่มีพนักงานต้อนรับคอยอธิบาย และแนะนำคอร์สต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับเรา ขณะที่ชั้น 6 ก็จะเป็นห้องที่ใช้สำหรับการทำสปาแต่ละแบบ ในส่วนของดีไซน์ สาขานี้ก็ยังคงการตกแต่งในแบบที่ผสมผสานกับความเป็นไทยอยู่ แต่เพิ่มความพิเศษ ด้วยสีสันที่ออกแดงส้มแนวสีอิฐที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น บวกกับเพดานสูงโปร่ง ให้ความรู้สึกหรูหราและทันสมัย ส่วนอีกหนึ่งความประทับใจที่ไม่ต่างจากสาขาแรกที่เราได้ไปลองทำก็คือ การบริการและความเชี่ยวชาญของพนักงานที่สามารถให้ข้อมูลเราได้อย่างละเอียดเป็นกันเองและใส่ใจมาก ๆ

สาขานี้เราได้มาทำแพคเกจ Elements of Life ที่มีระยะเวลา 90 นาที ราคา 2800++ โดยแพคเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการรักษาแบบไทย ที่เน้นคืนความสมดุลด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ หลังจากทำความสะอาดเท้าเป็นที่เรียบร้อยพนักงานก็จะพาเราไปยังห้องสปาที่อยู่บนชั้น 6 โดยเริ่มจากการนอนทอดตัวลงบนเตียงที่ปูด้วยทราย Quartz Sand อุ่น ๆ เม็ดละเอียด ซึ่งสื่อถึงธาตุดินและไฟ โดยทรายร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อแ ละกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดี ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าจะร้อนเกินไปนะ เราว่ามันอุ่น ๆ กำลังดี และก็ไม่ได้แข็งจนนอนลำบาก เพราะเค้าจะมีผ้ารองให้เราก่อนหนึ่งชั้น ถัดมาที่ธาตุลม เค้าจะใช้เสียงจากการเคาะขันทิเบตซึ่งเป็นจังหวะตามศาสตร์ของทิเบต โดยวางขันบนจุดต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ เพื่อลดอาการปวดเกร็ง และเพิ่มความผ่อนคลายด้วยเสียง เป็นอีกหนึ่งการนวดที่แปลกใหม่สุด ๆ ไปเลย แถมดีมาก ๆ จริง ๆ ด้วยเช่นกัน

สุดท้ายจบการนวดด้วยการสเปรย์น้ำแร่กุหลาบจนทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุน้ำ ที่ช่วย refresh และ relax ให้กับเรา ถือเป็นสิ่งที่ทำให้แพคเกจนี้จบอย่างสมบูรณ์ เป็นชั่วโมงครึ่งที่หลับสบายมาก บรรยากาศห้องเหมือนช่วยให้ได้ผ่อนคลาย และปรับสมาธิของเราให้เข้าที่อย่างดีทีเดียว เดินออกมาเหมือนกับสมองที่มึนงงวุ่นวายไปด้วยเรื่องต่าง ๆ มันถูกปลอบให้นิ่งมากขึ้น โฟกัสได้ดีมากขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการนวดปรับสมดุลมันจะทำได้ดีมากขนาดนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันดีคุ้มค่ากับราคาที่เสียไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ระรินจินดา ถึงได้รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย มาช่วยการันตีคุณภาพถึง 2 สาขาขนาดนี้

นอกจากนี้แล้ว … ที่สาขาราชดำริ เค้าไม่ได้มีแค่การดูแลร่างกาย เพราะยังมีเครื่อง Ultra Tone เป็นเทคโนโลยีระดับสูงของวงการสปา ที่เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าในการฟื้นฟูทั้งร่างกายและใบหน้าอีกด้วย ด้อม ๆ มอง ๆ เล็ง ๆ ไว้เรียบร้อย ก้าวเข้ามาครั้งหน้า ชี้เครื่องนี้เครื่องแรกแน่นอน

005 Divana Virtue Spa

ท้ายสุดกับอีกหนึ่งสปาที่การันตีคุณภาพด้วยรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 12 Kinnari Award หรือ รางวัลดีเด่น สาขาสปา อย่าง Divana Virtue Spa สปาที่มีสาขามากมายไม่ว่าจะทองหล่อ นานา เพลินจิต ชิดลม แต่วันนี้เราเลือกมาอยู่กันที่สาขาสีลม ซึ่งเป็นสาขาที่ได้รับรางวัล โดยจะตกแต่งมาในสไตล์บ้านคลาสสิคที่มีสวนสไตล์ยุโรป และบ้านสีขาวสองชั้นพร้อมมุกทรงครึ่งวงกลมที่แค่เห็นก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น ร่มรื่นและผ่อนคลายได้แล้ว โดยที่นี่จะถูกแบ่งเป็นสองส่วนคือมีทั้งส่วนของคลินิกและสปา

แพคเกจที่เราเลือกทำวันนี้มีชื่อว่า White Pearl Purity ใช้เวลาราว ๆ 150 นาที ราคา 4950++ เป็น Nurture Treatment เป็นทรีทเม้นท์แบบธรรมชาติที่จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสแบบจัดเต็มชุดใหญ่ไฟกระพริบ โดยทาง Therapist จะเริ่มจากการสครับขัดเซลล์ผิวเก่าทั่วทั้งร่างกาย ตั้งแต่คอไปจรดเท้า ซอกมือ แขน และขาที่เค้าก็ขัดได้ละเอียดถูกใจมาก ๆ ก่อนจะต่อด้วยการอบผิวด้วยที่นอนไฟฟ้าเพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดี และให้วิตามินเข้าบำรุงสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก หลังจากนั้นก็เป็นการใช้คอลลาเจนอุ่น ๆ ช่วยเพิ่มความสดใสให้ผิวอ่อนเยาว์ พร้อมการนวดคลายความเมื่อย เป็นการผสานศาสตร์และศิลป์ เพื่อความผ่อนคลายและความสวยงาม แบบตื่นตาตื่นใจ และที่สำคัญเห็นผลแบบทันตา สมกับเงินที่จ่ายไปเป็นที่สุด

ยังไม่พอ ก่อนจบมีการปิดท้ายด้วยการแช่น้ำนมพร้อมกลีบกุหลาบสีแดงหอม ๆ อาบไปก็นึกย้อนถึงสมัยเด็ก ๆ ที่ทุกครั้งที่เห็นนมอยู่ในตู้เย็นต้องนึกอยากเอามาอาบให้ผิวเด้ง ๆ นุ่ม ๆ เหมือนน้ำนม แต่ก็ต้องอดใจไว้เพราะขืนเอามาเทอาบล่ะก็ มีหวังโดนฟาดก้นเด้งก่อนแทนแน่นอน การนอนแช่น้ำนมครั้งนี้จึงเหมือนได้ย้อนเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำมานานแบบฟิน ๆ

หลังจากผิวนุ่มเด้งแล้ว ก็พร้อมออกมานั่งรับผลไม้ราดน้ำผึ้งเพิ่มวิตามินสู่ภายใน และซื้อผลิตภัณฑ์ของทางสปาหิ้วกลับบ้านเอาไปสร้างกลิ่นหอมต่อให้สดชื่นรื่นเริงใจ ซึ่งสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ขอบอกเลยว่าเกิดขึ้นท่ามกลาง Villa ที่แสน Luxury และบรรยากาศร่มรื่นจากต้นไม้โดยรอบ ประทับใจตั้งแต่ สถานที่ แพคเกจสปาที่เลือก และพนักงานที่ให้บริการ  เรารับรู้ได้ถึงความใส่ใจทุกขั้นตอนจริง ๆ ที่นี่ทำทุกอย่างอย่างละเอียด พิถีพิถัน ตั้งแต่เดินเข้ามาจนถึงเดินออกกลับบ้าน เป็นสองชั่วโมงครึ่งที่คุ้มค่าที่จะมาพักผ่อนร่างกาย เป็นของขวัญที่เลือกมอบให้ตัวเองได้อย่างไม่ผิดหวังจริง ๆ

และนี่คือ 5 สปาราคาแสนคุ้มค่า เมื่อเทียบกับคุณภาพและความประทับใจที่ได้รับ มีรางวัลชั้นดีอย่างรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นเครื่องการันตี หลังจากได้มาลองเราบอกได้เลยว่าทุกที่ไปนั้น เค้าบริการได้ดีสมรางวัลที่ได้รับแบบมาก ๆ เป็นการเปิดประสบการณ์การทำสปาของเราให้กว้างขึ้นอีกมาก และรู้เลยว่าสปาที่ดีของไทยมันก้าวหน้าไปมากกว่าที่เราเคยคิดมาก ๆ แต่ละที่ล้วนมีเอกลักษณ์และได้มาตรฐานเทียบเท่าสากลเลยทีเดียว ทำให้ทุกบาททุกสตางค์ที่เราจ่ายไป ไม่ทำให้เราเสียดายเงินเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นว่าเรายิ่งอยากเก็บเงินพาตัวเองมาให้รางวัลในสปาชั้นเลิศแบบนี้อีกบ่อย ๆ เลยล่ะ เพราะเงินน่ะหาใหม่ได้ แต่สุขภาพดี ๆ ของกายและใจมันหาไม่ได้ง่าย ๆ นะจ๊ะ