อิรัชชัยมาเสะ แหม นึกคำขึ้นต้นอยู่นานสองนาน เพราะกลัวทุกคนจะไม่ตื่นเต้นกับการชวนไปญี่ปุ่นรอบที่ล้านของเรา แต่เชื่อเถอะว่าโตเกียวครั้งนี้ช่างดีงาม ครบเครื่องเรื่องกินเที่ยวเหมือนเช่นเคย เพราะทริปนี้เราจะพาไปทั้งรอบใน และขอบของโตเกียว เอาให้เฟี้ยวเงาะ คุ้มค่า ไล่ตั้งแต่เมืองเก่าอย่างคาวาโกเอะ ที่จะทำให้แกได้ย้อนเวลาไปบนถนนสมัยเอโดะ แล้วไปต่อที่คามาคุระ เมืองเก่าแสนเก๋ที่ดูเท่ตามยุคสมัยแต่ยังคงไว้ซึ่งหัวใจของคำว่าคลาสสิค ยังไม่พอขอลัดเลาะเที่ยวล่องท่องโยโกฮาม่า เมืองท่าริมทะเลที่เก๋ไปทุกมุม ทั้งสถาปัตยกรรมที่น่าเอามาทำเป็นแบคกราวถ่ายรูป ทั้งมิวเซียมที่ชวนให้ท้องร้อง ทั้งย่านไซน่าทาวน์ที่เต็มไปด้วยของอร่อย แล้วค่อยไปเดินอ่อย ๆ ณ ย่านยาเนะเซน ที่เงียบสงบไม่วุ่นวาย ได้กลิ่นอายญี่ปุ่นแบบแท้ ๆ สุดท้ายถ้าเงินเหลือ ๆ เราจะพาไปล้มละลายในย่านกินซ่า ที่เหล่านักช้อปไม่ควรพลาดดด จะเก๋ไก๋ คุ้มค่า Around Tokyo ขนาดไหน อยากรู้แล้ว ก็รีบตามมาให้ว่องไวกันเลยจ้า
กระซิบแบบดัง ๆ ไว้ก่อนเลยว่าทริปนี้ เราไม่ได้ไปแต่ตัว แต่จะไปทัวร์ยกแก๊งค์แบบคุ้มสุดในญี่ปุ่นพร้อมกับบัตรกรุงศรี บัตรเดียวที่แม้แต่คนญี่ปุ่นยังแนะนำ!!!! นั่นก็เพราะความคุ้มค่าดีงาม เป็นตัวจริงเรื่องญี่ปุ่นแบบไร้ข้อกังขา เนื่องจากเค้าได้ผนึกกำลังกับ MUFG สถาบันการเงินอันดับ 1 ที่ญี่ปุ่น ทำให้จะใช้บัตรเดบิต เครดิต บัตรไหน ๆ ของกรุงศรีก็ไม่ต้องคิดมากให้ลำบากในการตัดสินใจ เพราะทุกใบใช้ได้จริงและใช้ได้ดีในญี่ปุ่นแบบไม่มีจกตา สิทธิพิเศษแน่น ๆ ทั้งกิน เที่ยว ช้อป แถมถ้าใครถือบัตรเครดิต กรุงศรี เจซีบี แพลทินัม หรือ บัตรเครดิต สยาม ทาคาชิมายะ เจซีบี ก็เตรียมตัวรับเครดิตเงินคืน 1% ไปเลย เมื่อมียอดใช้จ่ายครบทุก 4,000 บาท/เซลล์สลิป ที่ประเทศญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์ บอกเลยว่าเรื่องญี่ปุ่นยกให้กรุงศรีแบบหมดใจไปเลยจ้า ถ้าอยากรู้ว่าดีงามขนาดไหน ขอให้เลื่อนลงไปอ่านจนจบทริป งานนี้อ่านจบรับรองได้ว่าใครยังไม่มีบัตรของกรุงศรีจะต้องรีบหยิบบัตรประชาชนออกไปทำด่วน ๆ ส่วนใครมีบัตรอยู่แล้วก็คงอยากจองตั๋วไปรับความคุ้มค่าที่ญี่ปุ่นแบบคุ้มจุกเสียตอนนี้
Kawagoe
เริ่มต้นทริปกันด้วยฟีลย้อนยุคสุดคลาสสิคกันที่ลิตเติ้ลเอโดะ ในจังหวัดไซตามะ ณ เมืองคาวาโกเอะ งานนี้เราจะเปิดไฟเลี้ยวหันหัวกลับสู่อดีตย้อน จากโตเกียวไป 30 นาที จากตึกสูงเสียดฟ้าก็กลับกลายเป็นย่านโกดังสินค้าชั้นเตี้ยสีเข้มทำจากไม้ จากเสียงจอแจของผู้คนก็กลายเป็นเสียงระฆังบอกเวลาประจำเมือง จากย่านที่โก้เก๋ก็กลายเป็นถนนสายลูกกวาดที่เต็มไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็ก ๆ งานนี้จะใส่ชุดเก๋ไก๋สมัยนิยมก็ออกมาสวยโดดเด่น หรือจะใส่ชุดย้อนยุคอย่างกิโมโนลายดอกสีหวานก็น่ารักกลมกลืน
เพียงไม่กี่นาทีจากสถานี JR การเดินทางก็พาเราย้อนกลับมาสู่บรรยากาศแบบเก่า ๆ บนถนน คุระซุคุริ : Kurazukuri ที่ทำให้เหมือนข้ามประตูกาลเวลากลับไปในสมัยเอโดะ สองข้างทางบนถนนที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนล้วนเรียงรายด้วยโกดังสินค้าโบราณในยุคเอโดะ ที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นรสชาติดี ร้านขายของฝาก ร้านขนมโบราณหาทานยาก อย่างขนมปังเหนียวญี่ปุ่น เซมเบ้สีน้ำตาลอ่อน ฯลฯ แต่ถึงแม้จะให้บรรยากาศแบบโบราณก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีความทันสมัยผสมอยู่ เพราะถ้าแกยังอยากนั่งในคาเฟ่จิบเอสเปรสโซ่เย็น ๆ หรือลาเต้ร้อน ๆ ชิมซอฟเสิร์ฟหลากรส แกก็ยังคงหาทานได้บนถนนเส้นนี้
บนถนนหลักเส้นโกดังเก่าเราจะพบเห็นไฮไลท์ประจำเมืองที่มีอายุกว่า 400 ปี ตั้งตระหง่านด้วยความสูง 16 เมตรอยู่ไม่ไกล มันคือหอระฆังไม้ Toki no kne ที่มีหน้าที่ส่งเสียงเป็นสัญญาณบอกเวลาในทุก ๆ วัน วันละสี่เวลา คือ หกโมงเช้า เที่ยงตรง บ่ายหนึ่ง และหกโมงเย็น เพราะฉะนั้นถ้าแกอยากได้ยินเสียงระฆังที่ดังมายาวนานกว่าสี่ร้อยปี ก็กะเวลาและเงี่ยหูเอาไว้ให้ดี ๆ ตามเวลาที่เราบอกได้เลย
และจากหอระฆังหากเราเดินเข้าไปอีกนิดก็จะพบกับศาลเจ้าจิ้งจอกเล็ก ๆ ที่ทำจากหินแกะสลักและมีเสาแดงตั้งอยู่ข้างหน้า โดยศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของการขอพรที่เกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพที่เกี่ยวกับดวงตา ดังนั้นสายไม่เชื่อและไม่ลบหลู่อย่างเราขอลองเดินย่างสามขุมเข้าไปดู ๆ แล้วแอบขอพรกันสักหน่อย
ถัดมาไม่ไกลคือย่านหวานใสที่ทำให้ใคร ๆ ต่างร้องกรี๊ดเพราะความน่ารัก Candy Alley ถนนลูกกวาดที่พร้อมจะมาขโมยหัวใจใครต่อใครด้วยน้ำตาลก้อนสีสันน่ารักชวนกิน เพราะนี่คือหนึ่งในย่านที่หวานสุดในเจแปน ที่มีร้านรวงมากมายขายลูกกวาดสีสันสดใส ไอศครีมรสมันหวาน และขนมที่มีพื้นฐานจากน้ำตาล ให้เราได้ย้อนวันวานกลับสู่วัยเด็กผ่านรสชาติของลูกกวาดหลากชนิดตลอดสองข้างทาง งานนี้ฟันผุไม่กลัว กลัวไม่ได้กิน กับคติที่ว่าโตแล้วจะกินอะไรก็ไม่ต้องกลัวแม่ตีจ่ะพี่จ๋า
ม้วนตัวเลี้ยวเข้าร้านแรกแบบรวดเร็วเพื่อไปสำรวจความหวานให้อะดรีนาลีนพุ่งพล่านปานจรวดกันที่ร้านแรก ณ หัวโค้งของตรอกนี้ ที่นี่เป็นร้านชั้นเดียวที่เต็มไปด้วยลูกกวาดแบบชั่งน้ำหนัก ขนมโบราณ ของเล่นไขลาน หน้ากากคาแรคเตอร์เก่า ๆ และความฝันกับจินตนาการอีกหนึ่งกระบุง นอกจากเด็ก ๆ จะเบิกบานเป็นพิเศษแล้ว ผู้ใหญ่แบบเราก็ยังพลอยอมยิ้มตลอดเวลาที่ค่อย ๆ ตักลูกกวาดเหล่านี้ลงถุงรอการชั่งน้ำหนักแบบเบิกบานด้วยเหมือนกัน เพราะร้านนี้กำลังพาเรากลับสู่วันเวลาแห่งความสุขอีกครั้งนึงจริง ๆ
กินแต่ของหวาน ๆ จนร่างกายต้องการคาเฟอีนแบบเร่งด่วน เราจึงขอส่งท้ายย่านที่น่ารักแห่งนี้กันที่ Glin Coffee คาเฟ่สองชั้นสไตล์มินิมอลล์ ที่ตั้งอยู่บนหัวมุมถนน สัญลักษณ์ตัวจีในแก้วกาแฟสีฟ้าทำให้เราอยากจะเดินเข้าไปสั่งลาเต้เย็นหวานน้อยกินนี่ แล้วเดินขึ้นชั้นสองไปลองชิม ลาเต้แก้วนี้ที่ผลิตจากเมล็ดกาแฟชั้นดีในประเทศ บอกเลยว่าไม่ทำให้เราผิดหวังจริง ๆ เพราะมันหวานน้อยแบบกำลังดี มีกลิ่นหอมของกาแฟและรสนุ่มนุ่มของนม สมแล้วที่ร้านนี้มีสาขากระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง ส่วนใครไม่ใช่สายแฟเค้าก็มีเครื่องดื่มทั้งชา น้ำผลไม้ และน้ำเลม่อนสด ๆ ให้ได้ดื่มด่ำกันอีกหลายแบบจ้า
ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่นต่อให้อิ่มอกอิ่มใจในทุกอย่าง ถ้าไม่ได้ช้อปมันก็คือไม่ใช่ อย่างเราไปเที่ยวทีไรก็คือต้องเผื่อเวลาช่วงบ่ายแก่ ๆ หรือช่วงเย็นของทุกวันไว้ช้อปปิ้งทุกที คือเราจะเป็นพวกที่ช้อปเรื่อย ๆ ช้อปทุกวัน ไม่ไปจัดหนักทีเดียววันสุดท้าย เพราะกลัวขนของกลับห้องไม่ไหว 555 คงไม่ต้องบอกเนอะว่าช้อปดุช้อปเก่งขนาดไหน ยิ่งมีบัตรเครดิตกรุงศรีอีกด้วยแล้วล่ะก็ พูดได้เลยว่าเพลิน และวันแรกเราก็ขอจัดเบา ๆ ในย่านกินซ่า ณ Matsuya Ginza ห้างที่จะมอบสิทธิพิเศษ เป็นคูปองส่วนลด 5% และคืนภาษีอีก 8% ให้กับลูกค้าที่ถือบัตรเครดิตและบัตรเดบิตกรุงศรีทุกประเภท เพียงแค่ก่อนช้อปให้เราไปที่เลานจ์ ชั้น 2 ณ อาคารลานจอดรถที่ 1 แสดงบัตรเดบิตหรือเครดิตของกรุงศรี เพื่อรับ Guest Cardก่อนซื้อสินค้า แล้วเอาไปช้อปแบบเพลิน ๆ กับสิทธิประโยชน์ที่เกินหน้าเพื่อน ๆ ที่ใช้บัตรอื่นแบบสวย ๆ ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 27 ธ.ค. 62
เดินซื้อนั่นนิดซื้อนี่หน่อย จนสุดท้ายเราก็มาล้มละลายที่ร้าน Margaret Howell แบรด์เสื้อผ้าสุดชิคมินิมอลสไตล์แบบฉบับที่คนญี่ปุ่นชอบใส่กัน จิ้มเลือกกันเพลินมากกับคอลเลคชั่นใหม่รับหน้าหนาวที่เก๋ เท่ ดูดีมีสไตล์ ที่สำคัญใส่แล้วได้ส่วนลดจากบัตรกรุงศรี โอ้โห!! ดี๊ดีขนาดนี้ ต้องยกมือขอตระกร้ามาช้อปเพิ่มแล้วจ้า ช้อปจนลืมเวลา แต่ไม่ลืมว่าได้ลดราคาแน่นอน เพราะแค่ยื่น Guest Card พร้อมบัตรกรุงศรี แล้วรูดจ่ายปุ๊บก็ได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 5% ปั๊บ ตามใบเสร็จที่โชว์เลยจ้า คือเอาจริงร้านเกือบทุกร้านไม่ใช่เฉพาะแบรนด์ที่เราซื้อ ล้วนร่วมรายการเกือบหมด ออ แล้วไม่ใช่แค่ห้างนี้นาจา มีห้างอีกเพียบทั้งในโตเกียว เกียวโต โอซาก้า ที่ร่วมรายการกับบัตรกรุงศรี บางห้างก็ให้ส่วนลดเยอะ บางร้านก็ได้สิทธิ์แลกรับของที่ระลึก สมแล้วที่กรุงศรีนางคือเดอะเบสท์ในการใช้จ่ายญี่ปุ่นแบบตัวจริง
จบหนึ่งวันแบบคาวาอี้คลาสสิคสุด ๆ จากเมืองคาวาโกเอะ และฟินจุก ๆ จากการช้อปกระจายจนสาแก่ใจ ทางเราก็พร้อมกลับไปนอนหลับฝันดี กับที่พักแถวชินจุกุ ทำเลทองที่จะทาให้เราเดย์ทริปไปเมืองเล็ก ๆ รอบต่อเกียวในวันต่อ ๆ ไป ได้สะดวกไม่ต้องย้ายกระเป๋าให้วุ่นวาย และแน่นอนว่าครั้งนี้เราจองที่พักผ่านเอ็กซ์พีเดียเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือได้เงินคืนถึง 10% เพียงจองและจ่ายผ่านบัตรเครดิตของกรุงศรีทุกแบบ โอ้โห!!! ง่าย สบาย ไม่ยุ่งยากขนาดนี้ลองสำรวจกระเป๋าตัวเองเลยว่ามีบัตรกรุงศรีอยู่ในอ้อมใจแล้วหรือยัง ถ้ามี … เดินทางครั้งหน้าจะได้ไม่พลาด ออ และถ้าใครไม่ได้ใช้บุ๊คกิ้งเป็นประจำ เค้าก็มีส่วนลดในอโกด้า และบุ๊คกิ้งด้วยนา เพียงแต่เงินคืนอาจจะได้เปอร์เซ็นแตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
Kamakura
เช้าวันที่สองอันแสนสดใส หลังจากทานอาหารเช้ารองท้องแบบกรุบกริบ เราก็พร้อมเดินทางจากโตเกียว 1 ชั่วโมง ออกไปแสดงความน่ารักให้โลกได้รับรู้กันที่ คามาคุระ เมืองริมทะเลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเกียวโตตะวันออก เพราะเป็นสถานที่ ๆ เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัดวาอาราม อย่างพระองค์ใหญ่ที่ใครหลายคนคงเห็นผ่านตามาไม่มากก็น้อย อ่ะ ๆ อย่าเพิ่งรีบเลื่อนหนีไปเพราะนอกจากพระองค์ใหญ่แล้ว เมืองนี้เค้ายังมีคาเฟ่แสนเก๋ มุมถ่ายรูปลับ ๆ ฉบับชาวโซเชียลให้หลงใหลได้ปลื้มกันอีกหลายแห่ง มาจ้า … มาร่วมเดินทางลบภาพจำแบบเดิม ๆ แล้วเพิ่มเติมความฮอตที่เมืองริมทะเลแห่งนี้กันดีกว่า
ญี่ปุ่นเป็นเมืองที่มากี่ครั้งก็ขึ้นชื่อเรื่องเดินเที่ยว แต่ครั้งนี้เราจะขอเปลี่ยนบรรยากาศพาทุกคนกระโดดขึ้นรถไฟแบบย้อนยุคสายเอโนะเด็น Enoden ที่จะพาเราออกจากเมืองหลวงเก่าคามาคุระผ่านเกาะเอโนะชิมะ แล้วไปหยุดที่สถานีฟูจิซาวะ แบบผ่านเมือง ลอดอุโมงค์ เลียบชายฝั่ง ที่ทำให้ระยะทาง 10 กิโลเมตรในวันนี้กลายเป็นเส้นทางที่น่าจดจำเส้นทางหนึ่ง ดังนั้นเราแนะนำให้พวกแกซื้อตั๋วแบบ Day pass จะคุ้มที่สุด เพราะนอกจากจะได้นั่งรถไฟเล่นแล้ว แต่ละสถานที่ที่เราจะพาไปเช็คอินก็ล้วนอยู่บนเส้นทางของรถไฟสายนี้ด้วย
เปิดโลเคชั่นแรกด้วยซีนในตำนานจากอนิเมชั่นเรื่องดังที่สถานี Kamakurakokomae Station ใช่แล้วแกมันคือซีนในตำนานกับฉากเปิดจากเรื่องสแลมดั้งค์ Slamdunk อนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมที่เกี่ยวกับบาสเกตบอล ซึ่งโด่งดังหลายสิบปี จนเรียกได้ว่าเป็นตำนานเรื่องหนึ่งของสายอนิเมชั่นเลยก็ว่าได้ งานนี้พอเสียงหวูดรถไฟดังเข้ามาใกล้สถานีทุกคนจึงพร้อมใจกันหยิบกล้อง หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพรถไฟที่กำลังเคลื่อนตัวพร้อมเสียงปู๊น ๆ ฉึกฉัก ๆ ไว้เป็นที่ระลึกอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ราวกับเป็นสัญลักษณ์เริ่มต้นฉากการเดินทางในชีวิตจริงของทุกคนในวันนี้เลยล่ะ
ได้ภาพแกรนด์ ๆ เปิดวันไปแล้ว เราก็กระโดดขึ้นรถไฟย้อนกลับมาอีกหนึ่งสถานี เพื่อไปยังอีกหนึ่งจุดเล่นเซิร์ฟสุดฮอตของเมือง ที่มีคาเฟ่คาเฟ่ริมทะเลสุดคูลอย่าง Pacific DRIVE-IN แกเอ๊ยยยย ต่อไปนี้ใครมาบอกว่าเมืองนี้มีแค่พระใหญ่ให้ไหว้เท่านั้น เราจะเถียงขาดใจเลยแหละ ก็ที่นี่อ่ะคือ ร้านอาหารสไตล์ฮาวายเอียนที่จะทำให้แกได้ดื่มด่ำกับของคาวที่ส่งตรงมาจากทะเล ของหวานที่ส่งตรงมาจากใจ กาแฟดีสายพันธุ์พิเศษกว่า 27 ชนิด ในร้านอาหารที่ให้กลิ่นอายของบีชแวร์และบิกินี่แซ่บ ๆ ตั้งแต่ทางเข้า และเมื่ออาหารหน้าตาดีกับกาแฟแก้วโปรดมาอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งทำให้ ภาพของชายหาด เกรียวคลื่น และนักเซิร์ฟแซ่บ ๆ พร้อมบอร์ด ที่อยู่ถัดออกไปดีต่อใจขึ้นอีกเป็นกอง
แต่ถึงแม้เราจะมีความชิคความคูลเพิ่มขึ้นมา เราก็ไม่อาจพลาดสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับหนึ่งที่ใครไปใครมาต่างก็ต้องแวะได้ เราจึงขอไปต่อกันที่ Kotokuin Temple เพื่อสักการะพระไดบุทสึองค์ใหญ่ ที่ใหญ่เหนือภูเขาด้านหลังองค์พระ ด้วยความสูง 11.312 เมตร ที่ถูกสร้างขึ้นมานานกว่า 776 ปี จนทำให้เนื้อสำริดและทองแดงขององค์พระเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ายหยกดังที่เห็นในปัจจุบันนี่แหล่ะ
แม้เราจะไม่ใช่สายวัดวาอาราม แต่พอได้มาถึงวัดแห่งนี้กลับรู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูก เพราะแม้จะมีผู้คนหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ ที่นี่ก็ยังเต็มไปด้วยความสงบน่าเลื่อมใส ซึ่งหากมาที่วัดแห่งนี้ในฤดูกาลต่าง ๆ กัน วิวที่อยู่เคียงข้างและด้านหลังองค์พระก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นใบไม้สีส้มอมแดง ซากุระสีอมชมพู หรือแม้แต่หิมะที่ขาวโพลน ทำให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าเหตุใดวัดแห่งนี้ถึงโด่งดังไปทั่วประเทศทั่วโลก และมีผู้คนอีกจำนวนมากอยากจะเดินทางมาในช่วงเวลาที่ต่างกัน ไม่เพียงเท่านี้เราสามารถจ่ายเงินอีก 20 เยน เพื่อเข้าไปชมภายในองค์พระได้อีกด้วยนะ
นอกจากวัดแล้ว ทางเราได้ให้ความสนใจกับถนนบริเวณรอบ ๆ ที่เนืองแน่นไปด้วยร้านค้า ร้านขายของ ที่ทุกผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋าผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ไม้สอย ของฝาก ล้วนหยิบเอาพระใหญ่มาเป็นโลโก้ และสัญลักษณ์น่ารัก ๆ กลายเป็นไอเดียที่ดูเก๋ น่าสนใจ ชวนให้ช้อปเสียเงินเอามาก ๆ แต่ถ้าหากเหนื่อย ๆ อยากจะนั่งทานอาหาร หรือว่าจิบกาแฟ ใช้ชีวิตช้า ๆ ชื่นชมผู้คนที่เดินผ่านไปมา เก็บรูปถ่ายเท่ ๆ ที่มีกลิ่นอายบ้านเรือนสมัยเก่า ที่นี่ก็มีตรอกเล็กซอยน้อยให้เราได้นั่งพักผ่อนหามุมแบบไม่ซ้ำใครอยู่มากมาย โดนใจสายโซเชียลได้ง่ายแบบไม่ต้องเดา
เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย ๆ เราก็มาถึงยังอีกหนึ่งจุดแลนด์มาร์คที่ได้ปักหมุดเอาไว้แล้วนั่นก็คือ Hasedera Temple วัดประจำเมืองที่มีไฮไลท์คือรูปปั้นไม้เจ้าแม่กวนอิม 11 หน้า ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่ผู้คนนิยมมาอธิษฐานขอเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว แต่น่าเสียดายที่ทางวัดไม่อนุญาตให้เราเก็บรูปด้านในมาฝากพวกทุกคนได้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นรูปแกะสลักองค์นี้ก็คงต้องมาดูด้วยตาของแกเองแล้วล่ะ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีไฮไลท์อีกหลายอย่างที่น่าชม เช่น พิพิธภัณฑ์เจ้าแม่กวนอิม เส้นทางเดินชมธรรมชาติ หอพระสุรัสวดี ฯลฯ ทำให้ที่นี่ให้ฟิลลิ่งของสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าการเป็นวัดแบบธรรมดาทั่วไปซะอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามก็อย่าลืมที่จะรักษามารยาทไม่ส่งเสียงดังหรือสนุกจนเกินงามด้วยนะ
แต่ที่ทางเรายกให้ไฮไลท์สุดน่ารัก ก็คือระหว่างทางขึ้นไปบนวัดจะมีลานตุ๊กตาหินจิโซ (Jizo-do Hall) หรือตุ๊กตาพระจิโซ ที่หน้าตากลมกลมดูน่ารักและใจดี ผู้มีหน้าที่นำพาวิญญาณของเหล่าเด็กน้อยเดินทางกลับสู่สรวงสวรรค์นับ 1000 ตัว ตั้งเรียงกันเป็นแถวให้เราได้เก็บภาพ ส่วนด้านบนของวัดหากใครหิวเค้าก็มีร้านขายอาหาร ท่ามกลางบรรยากาศสงบ ๆ ให้เราได้เข้าไปหาอะไรรองท้อง ส่วนใครที่อยากจะชมวิวเมืองคามาคุระและทะเลที่โอบล้อมเมืองอยู่เค้าก็มีจุดชมวิว ที่เราสามารถไปยืนเอ้อละเหยลอยชายได้ด้วย
ปิดท้ายย่านนี้กับคาเฟ่ดี ๆ อย่าง Kannon Coffee Kamakura ร้านกาแฟที่เป็นสาขาย่อยจากเมืองนาโกย่า กับตัวร้านใช้เพียงสามสีคือสีขาว สีดำ และสีของไม้ตามธรรมชาติ ให้ความรู้สึกถึงความเรียบง่ายแบบชาวญี่ปุ่น แต่กลับปลุกความตื่นเต้นได้ดีจากผลิตภัณฑ์คุกกี้รูปพระพุทธรูปไดบุสึ ที่ถูกปักอยู่บนเครปที่มีชื่อว่า Daibutsu Crepe เมนูไฮไลท์ของทางร้านที่เอาแป้งเครฟมาสอดไส้ด้วยวิปครีมหวานเย็น ลูกพีชหวานหอม และลูกเกดหวานเปรี้ยว ก่อนจะปิดท้ายด้วยการปักคุกกี้รูปพระไดบุสซึ จนออกมาเป็นความอร่อยที่ชวนซื้อมาลองกินทั้งตัวเครปและพระพุทธรูปดูสักครั้ง
โลเคชั่นสุดท้ายก่อนกลับโตเกียว เราก็ไปละลายทรัพย์กันที่ Komachi Dori Street ถนนสายช้อปปิ้งที่บอกเลยว่าคือของจริงไม่กลิ้งกรอก แต่ละร้านล้วนออกแบบสินค้าออกมาได้น่าร๊ากกกกอ้ะ งานนี้รูดปรื๊ด ๆ ได้แบบคล่องตัว สบายกระเป๋า ไม่ต้องมาห่วงบวก ลบ คูณ หาร นับเงินทอน นับเหรียญให้เสียเวลา เพียงมีบัตรกรุงศรีใบเดียวก็พร้อมเที่ยว กิน ช้อป ได้คุ้มค่าสมเป็นตัวจริงเรื่องญี่ปุ่นมาก ๆ จ้า
บนถนนเส้นนี้เค้ารวบรวมร้านค้าไว้กว่า 250 ร้านค้า ทำให้ตลอดระยะทาง 350 เมตร ของถนนโคมาจิโดริ มีทั้งร้านขายของ ร้านแบรนด์เนม แบรนด์โลคอล ร้านเช่าชุด ร้านหนังสือ ร้านขนม ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ล้วนยกทัพกันมาเต็ม จนเราได้แต่โดดไปทางซ้าย เด้งมาทางขวา เดินเข้าร้านข้างหน้า ย้อนกลับมาช้อปที่ร้านด้านหลังจนมือเป็นระวิง แต่ก็ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องเงินเพราะแค่ส่งบัตรให้ปั๊บรับบัตรคืนปุ๊บก็ไม่มีอะไรให้ยุ่งยาก เสียเวลาอีกต่อไป
Yokohama
เช้าวันที่สาม … เราขอเอาตัวเองเข้าสู่เมืองท่าที่สำคัญอย่าง โยโกฮาม่า ในจังหวัดคานากาวะ เมืองที่มีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ ผสานกลิ่นอายของต่างชาติ เพราะเมืองท่าเรือแห่งนี้ได้ทำการค้าขายกับต่างประเทศมาอย่างยาวนาน ทำให้ได้รับวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมต่างชาติมาผสมกลมกลืนกับญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว จนออกมาเป็นกลิ่นอายฝรั่งในความเป็นญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แถมที่นี่ยังเดินทางง่ายดายเพราะเราสามารถซื้อตั๋วแบบเดย์พาส ในการขึ้นรถบัสและรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงินได้ในราคาเพียง 500 เยน สำหรับผู้ใหญ่ และ 250 เยนสำหรับเด็ก ๆ ที่สำคัญเขายังมีไกด์บุ๊คสำหรับท่องเที่ยวเป็นภาษาไทยไว้ให้เราด้วย
โลเคชั่นแรกแบบสดใสซาบซ่าเราขอตามกลิ่นหอม ๆ ไปที่ Shinyokohama Raumen Museum มิวเซียมราเมงที่จะพาเราโลดแล่นไปกับเส้นเหนียวนุ่มและน้ำซุปหอมหวาน ย้อนเวลากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของราเมง ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ความเป็นมา ชนิดของราเมง ชนิดของน้ำซุป ไปจนถึงชนิดของชามที่เอาไว้ใส่ราเมง เอาจริง ๆ แกอาจจะคิดว่ามันน่าเบื่อใช่ไหม แต่เราบอกได้เลยว่ามิวเซียมที่ญี่ปุ่นเค้าทำออกมาได้น่ารักน่าหยิกมองไปทางไหนก็มีเรื่องราวน่าสนใจให้เราได้เรียนรู้แม้กระทั่งประวัติศาสตร์ราเมงที่เราไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องราวจุดกำเนิดจุดหักเหที่น่าสนใจได้ขนาดนี้ ข้อเสียอย่างเดียวของที่นี่ก็คือเดินไปหิวไปก็เท่านั้นเอง
ผ่านจากประวัติศาสตร์ในชั้นที่หนึ่ง เราก็ก้าวลงสู่ชั้นล่างที่มีการจำลองย่านราเมงแบบโบราณมาไว้แบบสมจริงจนเรารู้สึกเหมือนได้เดินย้อนกลับไปอยู่ในบรรยากาศที่คนกำลังค้าขายและนั่งทานราเมงภายในร้านไม้สีน้ำตาล ที่มีบาร์แบบยาวบนเก้าอี้หัวกลม ไว้คอยรับแขกของย่านชิตามาชิ (Shitamachi) ทำให้เราเพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูปหาแบคกราว เปลี่ยนฉาก เปลี่ยนฟิลลิ่งไปเรื่อย ๆ จนเมื่อยนิ้ว
เดินชมเดินถ่ายรูปจนทั่ว ท้องก็ร้องหิวไส้ก็กิ่วอยากได้ราเมงร้อน ๆ มาช่วยทำให้จิตใจผ่องใส และหัวใจเบิกบานสักชามสองชาม ซึ่งแน่นอนว่าเราสามารถหาทานได้ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นี่ล่ะ เพราะเขาได้รวบรวมเอาสุดยอดร้านรางเมงจากทั่วสารทิศในญี่ปุ่นมารวมไว้ในที่เดียวถึง 8 ร้าน ให้เราได้ลองลิ้มชิมรสความอร่อยที่ได้รับการคัดสรรแบบเพลิด ๆ ในบรรยากาศที่เหมือนอยู่ในย่านราเมงไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งพอได้ลองชิมหลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ของราเมงเป็นที่เรียบร้อย เราก็รู้สึกว่าราเมงตรงหน้าของเรามีความลึกซึ้งในรสชาติ และในด้านความรู้สึกขึ้นมากจริง ๆ สงสัยเรามันจะเป็นสายอินเก่ง 555
จากมิวเซียมที่โดนใจคนรักราเมงมากเว่อร์ เราไปต่อกันที่ ย่านไชน่าทาวน์ (Chukagai) ใช่แกที่นี่ก็เป็นหนึ่งใน China Town เพียงไม่กี่แห่งของญี่ปุ่นที่เนืองแน่นไปด้วยของกิน ไม่แปลกถ้าแกเดิน ๆ อยู่ แล้วจะรู้สึกหิวตลอดเวลา เพราะกลิ่นมันตลบอบอวลชวนน้ำลายสอเอามาก ๆ ก็ตามสไตล์คนจีนอ่ะนะ ที่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเรื่องกินคือเรื่องใหญ่เสมอ หลังจากเดินผ่านซุ้มประตูสีน้ำเงินที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเราเข้าสู่ไชน่าทาวน์เป็นที่เรียบร้อย บรรยากาศของที่นี่ก็ต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ของญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง เหมือนเราเดินข้ามจากโตเกียวสู่ซัวเถายังไงยังงั้น
และท่ามกลางร้านอาหารแบบสตรีทฟู๊ดหลายร้านกับหลายสิบเมนูที่มีมาให้เลือกฟิน เมนูห้ามพลาดในใจที่เราอยากจะบอกต่อก็คือ Sheng Jian Bao ซาลาเปาก้อนกลม ๆ ที่ข้างในเป็นไส้หมูผสมกับเครื่องเทศ ซึ่งเค้าจะเอาไปทอดบนกระทะแบน ๆ แทนการนึ่ง เวลาทานจะมีน้ำซุปไหลออกมาจากด้านในคล้าย ๆ กับเสี่ยวหลงเปา แต่ตัวแป้งจะมีความหนากว่า ไส้ก็เยอะกว่า เพราะชิ้นโตกว่า การทานไม่ต้องจิ้มคู่กับซอสอะไรก็อร่อยได้แบบเต็มคำ รับไปเต็ม ๆ ทั้งเทคเจอร์ที่กรอบ นิ่ม ฉ่ำ หอม ได้หลากหลายที่เจอในหนึ่งคำ คุ้มมากเว่อร์ค่ะแม่ ไปโดน!!!!
กินติดติดกันจนกระเพาะขอยกธงขาว ทางเราเลยขอแวะพักเดินย่อยกันสักนิดที่ตึกแดง Yokohama Red Brick Warehouse อดีตโกดังเก็บสินค้าสำหรับท่าเทียบเรือในโยโกฮาม่า ซึ่งปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต และชิคเกินกว่าใคร เพราะมองมุมไหนก็สวยใสสไตล์ยุโรป จะแต่งตัวแบบเก๋ ๆ โก้ ๆ มาเดินก็ได้หลายมุม จะแต่งตัวหวาน ๆ ก็ได้ภาพใส ๆ ไม่ซ้ำใคร จะเที่ยวฤดูไหนก็ออกมาดูดีทุกฤดูเลยขอบอก
ด้านในก็มีความดีงามไม่แพ้กัน เพราะมีร้านอาหาร ร้านขายของกระจุกกระจิกมากมายหลายสิ่งในสไตล์ญี่ปุ่นแบบจริง ๆ ให้เลือกหา ทั้งเสื้อผ้าที่ออกแบบมาโดนใจ กระเป๋าหนังแบบโฮมเมด ตุ๊กตา เครื่องหอม ของฝากต่าง ๆ อีกมากมาย แม้แต่ร้านที่ขายเฉพาะน้องกวางมูส เจ้ากระต่ายก็มีให้เลือกแบบละลานตา จะหาซื้อให้ตัวเอง เป็นของขวัญให้คนที่รัก ซื้อของฝากให้คนที่บ้านก็ควักบัตรใบเดียวจ่ายได้เฟี้ยว ๆ ทั่วทั้งตึกแดง แต่โซนที่ทำให้เราใช้เวลาไปมากที่สุดก็คือโซนนิทรรศการหมุนเวียนที่เค้าจะมีการปรับเปลี่ยนเอาเรื่องราวทั้งศิลปะ และไอเดียต่าง ๆ มาจัดไว้ที่นี่ให้เราได้แวะมาชมตามฤดูกาล เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจหากเห็นใครไปโยโกฮาม่าแล้วก็ต้องมาเช็คอินที่ตึกแดงแห่งนี้ เพราะมันดีจริง ๆ จ้า
และช่วงที่เราไปที่นี่เค้ามีงานเบียร์ Yokohama Oktoberfest 2019 ความคึกคักน่ารักเวลาลงเล่นมันจึงยิ่งทวีคูณ ลองคิดถึงอีเว้นท์หลากสีที่ได้กลิ่นอายอเมริกาจัดอยู่หน้าตึกสีแดงอิฐ ในบรรยากาศคาวาอี้แบบญี่ปุ่น รอบข้างมีร้านค้ามากมายมาขายเบียร์เย็นฉ่ำ ไส้กรอกชิ้นโต เฟรนช์ฟรายทอดใหม่ ๆ อากาศกำลังเย็นสบาย วัยรุ่นหน้าตาดึก็กำลังทยอยมา ไม่รู้จะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดยังไง นอกจากดีในดี เลิศในเลิศ เนี่ย!!! ยังไงทางเราก็เลิกรักญี่ปุ่นไม่ได้ เลิกมาไม่ได้จริง ๆ
เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามทางเราก็พับกบพบกับ Marine & Walk Yokohama คอมมูนิตี้สุดชิค ให้เราเดินเผลอเท่ ๆ แล้วให้เพื่อนเดินตามถ่ายรูป สลับกันไปมาแบบที่ใครมองมาก็ดูน่ารักน่าเอ็นดู ที่นี่ให้ฟิลแบบคอมมูนิตี้มอลล์ที่รวบรวมร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ร้านอาหาร รวมถึงคาเฟ่ ที่ชวนให้เรานั่งลงสัมผัสบรรยากาศริมน้ำพลางจิบกาแฟและแพนเค้กช็อกโกแลต แบบละเลียดอย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบเพลิดเพลินกับบรรยากาศและวิวอันเงียบสงบ
ไปเที่ยวเมืองไหนถ้าไม่ได้เข้าคาเฟ่ทางเราจะรู้สึกไม่สบายใจ ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนกินยาแล้วลืมเขย่าขวด ดังนั้นโลเคชั่นปิดท้ายวันนี้ที่โยโกฮาม่าเลยขอเลือกร้านที่ปักหมุดไว้นานแล้ว นั่นก็คือ Maeterlinck ร้านสีขาวร้านเล็ก ๆ มีที่นั่งโต๊ะเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลเพียงไม่กี่อัน กับกลิ่นหอมของขนมที่ตลบอบอวล เราสั่งลาเต้ร้อนหนึ่งแก้ว มาทานคู่เค้กหนึ่งชิ้น แต่ทีเด็ดเลยคือน้องหมาขนฟูสีขาวซิกเนอเจอร์ที่วัยรุ่นแห่กันมาเช็คอิน นี่เราไม่ได้กำลังพูดถึงหมาจริง ๆ กันอยู่หรอกนะ แต่เรากำลังพูดถึงเจ้าก้อนน้ำตาลรูปหมาที่ต้องซื้อเพิ่มอยู่ต่างหาก ทางเราที่ปกติดื่มกาแฟดำแบบไร้น้ำตาลก็ยังอดใจไม่ไหวที่จะเลือกน้องหมามาหนึ่งตัว เพื่อเอามาวางบนแก้วกาแฟแบบนี้ แล้วถ่ายรูปเช็คอิน เพิ่มความคาวาอี้ให้ตัวเองเลย คิดดูแก๊ …
กลับถึงชินจูกุในช่วงค่ำ ๆ เราก็ไปต่อแถวทานซูชิสายพานที่ร้าน Numazuko ที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายสว่างไสว โดยมีเชฟยืนทำอาหารกันแบบสด ๆ ที่หน้าเคาน์เตอร์ ตามแบบร้านซูชิสายพานทั่ว ๆ ไป แต่ความจัดจ้านนั้นต้องขอยกให้เรื่องของวัตถุดิบที่ได้รับการคัดสรรอย่างดี จนออกมาเป็นซูชิจานเวียนที่อร่อยเด็ดถูกใจการันตีง่าย ๆ จากรูปเชฟที่ยืนถือถ้วยอยู่หน้าร้าน และแถวของคนจำนวนมากที่มายืนคอยกันแบบจริงจังในทุก ๆ วัน ซึ่งพอได้ลองชิมจริง ๆ แล้ว ก็ต้องขอบอกว่าไม่ผิดหวังกับการรอคอยจริง ๆ โดยเฉพาะเมนูไข่หอยเม่นที่อวบอิ่มให้เยอะ หรือแม้แต่เมนูดูเรียบง่ายอย่างข้าวหน้าทูน่าก็รับรู้ได้ถึงความฉ่ำของไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อปลา และความหวานจากความสดใหม่ ทำให้ตอนนี้ที่เรากำลังเขียนถึงเกิดอาการหิวแบบไม่ตั้งใจอีกแล้วสิ
เพราะเรื่องเที่ยว เรื่องช้อป เรื่องกิน คือเรื่องเดียวกัน งานนี้ใครมีบัตรกรุงศรีก็ยิ้มรอกันได้เลยเพราะทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตกรุงศรีเจซีบีแพลทตินั่ม หรือบัตรเครดิตสยามทาคาชิมายะเจซีบี ก็รับไปเลยเครดิตเงินคืนถึง 3% เมื่อมียอดใช้จ่ายครบทุก 800 บาทต่อเซลส์สลิป ณ ร้านอาหาร ในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลกกันไปเลยจ้า เรียกได้ว่ายืนหนึ่งตัวจริงแบบไม่ต้องรอลุ้นกันตัวโก่ง ชิมช้อปใช้ที่ไหนก็คุ้มขนาดนี้ต้องมีแล้วป่ะ
A Yanesen Day : Tokyo
แม้โตเกียวจะได้ชื่อว่าเป็นมหานครที่มองไปทางไหนก็มีแต่ตึกสูงระฟ้า ความคึกคัก ย่านช้อปปิ้ง ต่าง ๆ มากมายให้เลือกทำเลือกเที่ยวแบบละลานตา แต่ถ้าวันไหนที่แกรู้สึกอยากมีมุมใหม่ ๆ ในโตเกียวที่เงียบสงบไม่วุ่นวาย ได้กลิ่นความเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่น เราขอนำเสนอ Yanesen ย่านการค้าที่เก่าแก่ใจกลางกรุงโตเกียวที่ประกอบกันด้วยยานากะ (Yanaka) เนสุ (Nezu) และเซ็นดางิ (Sendagi) ที่มีความครบเครื่องในตัวเอง ไม่ว่าแกจะอยากเข้าวัด ไหว้พระในศาลเจ้า แวะจิบกาแฟ ชิมอาหารรสชาติออริจนอล เดินดูของ จับจ่ายใช้สอยก็มีครบแบบสามารถอยู่ได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ
ไปลามาไหว้ เริ่มต้นแบบชาวพุทธที่น่ารักอย่างเรา พอก้าวออกจากสถานี Nippori ไม่กี่ก้าวทางเราก็พบกับ วัดเท็นโนจิ | Tennoji Temple ที่พอมองแล้วก็เอ๊ะ นี่มันพระไดบุสซึนี่หน่าแต่เล็กกว่า ก็ใช่น่ะสิ นี่พระพุทธรูปที่จำลองมาจากพระใหญ่เมืองคามาคุระที่เราไปสักการะมานั่นแหล่ะ โดยที่นี่เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในย่านนี้ทำให้มันดูแตกต่างจากสภาพแวดล้อมรอบข้างที่มีตึกสูง ตึกสไตล์โมเดิร์นต่าง ๆ เป็นความคอนทราสต์ที่สวยงามแห่งหนึ่ง และท่ามกลางต้นไม้ที่ร่มรื่นสีเขียวตรงหน้านี้ คือเจ้าต้นซากุระที่หากได้มาชมในช่วงที่กำลังบานสะพรั่งไอ้ความสวยที่เห็นอยู่นี้คงจะทีวีคูณเข้าไปอีกหลายเท่าตัวนัก
อิ่มอกอิ่มใจแต่ท้องยังไม่อิ่ม แล้วเช้า ๆ แบบนี้กาแฟในบ้านเก่าของย่านนี้คงทำให้เราได้ฟิลดี เราจึงไปที่ Kayaba Coffee ร้านกาแฟที่เก่าแก่ได้ใจเพราะติดป้าย Since1938 ไว้หรา จึงเป็นที่มาของความคึกคักแบบไม่ขาดสายตลอดทั้งวันของเหล่าชาวญี่ปุ่นที่หลงใหลในบรรยากาศแบบดั้งเดิม ภายในร้านสองชั้นที่ทำจากไม้แห่งนี้ ชั้นล่างจะถูกตกแต่งเพิ่มเติมให้เข้ากับยุคปัจจุบันมากขึ้นอีกนิดหน่อย แต่ด้านบนนั้นเรียกได้ว่าคงไว้ซึ่งความดั้งเดิมทุกกระเบียดนิ้วตั้งแต่เปิดร้านจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว
ประวัติเก๋ไก๊เอาไว้อวดเพื่อนได้ดีขนาดนี้ มีหรือที่เราจะไม่พาตัวเองขึ้นไปยังชั้นสองพร้อมกับลาเต้ร้อนและโทสต์ไข่หนึ่งชิ้น เพื่อไปนั่งกินบนเสื่อทาทามิที่เก่าแก่ เสพสุขจากกาแฟร้อนที่แสนจะละมุนและขนมปังที่หวานหอมกำลังดีแบบเข้าก๊านเข้ากัน ไปพร้อม ๆ กับนั่งดื่มดำในบรรยากาศของบ้านเก่าและเฝ้าสังเกตคนญี่ปุ่นที่เดินเข้าออกเปลี่ยนหน้าไปมาแบบไม่ซ้ำ ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำเพลินยามมาต่างประเทศแม้จะไม่มีสาระอะไรเลยก็ตามที แต่หากแกไม่ได้มีใจให้กับกาแฟเค้าก็ยังมีเมนูเครื่องดื่มอีกมากมายให้ได้ลองลิ้มชิมรสกัน
มีย่านเก่าที่ไหนงานคราฟท์ต้องมี ก็แหม ญี่ปุ่นเค้าขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องงานฝีมือ และย่านนี้เราก็อ่านเจอว่ามีร้านเด็ด เจ้าของน่ารักอยู่ที่ Kuu Home เป็น Traditional Embroidery ร้านขายของประดิษฐ์เล็ก ๆ ที่มากด้วยความตั้งใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นป้ายหน้าร้าน ม่าน หรือผ้าปูโต๊ะ ทุกชิ้นล้วนถูกผลิตออกมาจากเจ้าของร้านด้วยความปราณีตบรรจง เราจึงรู้สึกได้ถึงความกลมกล่อมยามกำลังไล่ดูของชิ้นเล็ก ๆ ในมือ ทั้งที่เธอทำเอง และที่รับมาจากศิลปินท้องถิ่น อย่างยางมัดผม จานรองแก้ว สมุด ผ้าปูโต๊ะ สร้อยคอ ฯลฯ จนทางเราได้ของฝากติดไม้ติดมือมาไม่น้อยทีเดียว
และความสนุกอย่างหนึ่งของการเที่ยวแบบไม่ตามแพลน และไม่มีแพลนให้ตาม รู้แค่ว่าจะเที่ยวย่านไหนแล้วเดินลัดเลาะซอกแซกไปตามหัวใจและเท้าที่ก้าวเดิน ก็มักจะทำให้เราได้เจอกับเรื่องบังเอิญที่น่ารักชวนยิ้มอยู่เสมอ และครั้งนี้ความบังเอิญก็ทำให้เราได้พบกับร้านกาแฟที่อยู่ด้านหลังของ Yanaka Ginza ที่มีชื่อว่า Accord Coffee ที่นี่เป็นร้านเล็ก ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบญี่ปุ่น เพราะเค้าเอาตึกสีขาวที่ดูโมเดิร์นมาผสมกับบานประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่นโบราณ จนออกมาเป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ชวนให้ใช้เวลาแบบนาน ๆ เพราะนอกจากร้านจะน่ารักชวนถ่ายรูปแล้วกาแฟแต่ละแก้วของเค้าก็ยังทำแบบดริปกันสด ๆ ใหม่ ๆ แก้วต่อแก้ว จนหอมตลบอบอวลไปทั่วร้าน
ทิ้งท้ายย่านนี้กันที่ Yanaka Ginza ยานากะกินซ่า หนึ่งในย่านการค้าเก่าแก่ที่ได้รวบรวมอาหารขนม และของฝากที่จะทำให้แกใจสั่นตลอดสองข้างทาง แถมพอมองไปในบรรยากาศแบบดั้งเดิมที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี ก็ทำให้ทั้งอยากจะหยุดช้อป หยุดถ่ายรูป สลับกับหาของกินคาวหวานทานเล่น จนทำให้เราใช้เวลาตรงนี้ไปมากกว่าที่คิดพอสมควร
ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของย่านนี้ก็คือแมว เพราะไม่ว่าแกจะมองไปทางไหนก็จะเจอกับร้านที่ขายของเกี่ยวกับแมวอยู่แทบทุกร้าน ไม่ว่าจะเป็นของใช้ ของฝาก หรือแม้แต่ของกินก็ยังเป็นรูปแมว แม้แต่รูปปั้นแมวก็ยังมี ดังนั้นใครที่เป็นคนรักแมวต้องระวังคอของแกให้ดี ๆ มิเช่นนั้นเป็นได้เดินร้องเสียงสองตลอดทาง เห็นอะไรก็พาลจะพูดเสียงสองจนเจ็บคอเป็นแน่ งานนี้ทาสแมวพลาดไม่ได้เลยนาจา
ทีเด็ดที่อยากแนะนำเลยก็คือทาโกะยากิของร้าน 谷中たこ坊 ร้านดังที่หลบอยู่ในซอย ที่ถ้ามาไม่ถูกขอให้ตามกลิ่นหอม ๆ ของแป้ง และปลาหมึกแห้งไปรับรองเจอ ถ้ายังไม่เจออีกแนะนำให้ถามร้านใกล้ ๆ แถวนั้น ก็คงไม่ยากเกินกำลัง ร้านนี้เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ขายแต่ทาโกะยากิอย่างเดียวเท่านั้น ภายในร้านจะมีบาร์ให้นั่งทาน หรือสะดวกจะยืนทานหน้าร้านก็ได้ ซึ่งเราขอเน้นตรงนี้ไว้เลยว่ามันเป็นทาโกะยากิที่อร่อยแบบมาก ๆ ขีดเส้นใต้สองเส้น ลงไฮไลท์สีเขียวอ่อนอีกรอบ เพราะ แป้งกรอบนุ่มกำลังดี ซอสเค็ม ๆ หวาน ๆ ก็ดี ปลาหมึกด้านในก็ตัวใหญ่แถมยังส๊ดสด กินได้เต็มปากเต็มคำ อร่อยแบบลืมไม่ลงเลยจ้า
ถึงยามเย็นย่ำค่ำมืดที่เราแพลนว่าจะกลับไปแถวที่พัก แล้วไปหาอะไรทานให้อิ่มหนำเหมือนอย่างทุกวัน แต่ด้วยโชคดีที่ท้องฟ้าเย็นนี้เข้าข้างแสงแดดส่องทะลุเมฆเป็นครั้งแรกของทริป เราเลยเปลี่ยนจากหาอะไรทานแล้วกลับห้องไปยัง Roppongi Hills – Tokyo City View เพื่อดูโตเกียวสกายทรี หอคอยที่สูงที่สุดในโลกที่มีความสูงถึง 634 เมตร แลนด์มาร์คของเมืองที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการส่งสัญญาณขึ้นโทรทัศน์แบบดิจิตอล พร้อมมองวิวเมืองยามค่ำ ดื่มด่ำไปกับแสงไฟในยามราตรี แบบ 360 องศา ไร้สิ่งรบกวนลูกตา
Last day in Tokyo
เติมพลังให้กับเช้าวันสุดท้ายกันที่ Coffee Wrights คาเฟ่ที่ตอนนี้มีสาขาเยอะมาก แต่วันนี้เรามาลองกันถึงร้านต้นตำรับในย่าน Sangenjaya ที่มาพร้อมคอนเซปท์เท่ ๆ อย่าง “THIS IS WHERE COFFEE WRIGHTS WORK” ที่นี่เป็นร้านสองชั้น ที่ประตู เฟอร์นิเจอร์ ผนังต่าง ๆ ทำมาจากไม้ เพิ่มลูกเล่นด้วยกระจกบานโตให้แสงส่องถึง พอมองรวม ๆ กับเหล่าเมล็ดกาแฟ ร้านนี้ก็ออกโทนน้ำตาลอบอุ่นไปทุกอณู ยิ่งชวนให้เรานึกถึงสีน้ำตาลเข้มของกาแฟ และควันร้อน ๆ ที่ลอยคลุ้งเหนือแก้ว มโนได้ไม่นานกาแฟร้อนในถ้วยเซรามิก และขนมปังอบก็ถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้าพอดี เราเลยวางมโนแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มเพิ่มความสดชื่นให้วันนี้เกือบรวดเดียวหมด
เสพความหวานขมจนพอใจเราก็พร้อมออกเดินทางต่อไปสู่ความคาวาอี้ กับรถไฟสาย Tokyu Setagaya Line (東急世田谷線) รถไฟท้องถิ่นที่วิ่งเพียงสิบสถานี สิริรวมความยาวเพียง 5 กิโลเมตร แต่มันกลับมีนักเดินทางมารอร่วมขบวนแบบไม่ขาดสา เพราะความคิ้วท์เสียงสองของขบวนที่ตกแต่งเป็นน้องแมวนั่นเอง และถึงจะเป็นสายเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูนะ เพราะเราสามารถลัดเลาะตามเส้นทางของขบวนนี้เพื่อแวะเที่ยวได้หลายที่เชียวล่ะแก
เรานั่งรถไฟแมวมาแวะที่สถานี Miyanosaka Station เพื่อไปเช็คอินที่ Gotokuji Temple หนึ่งในวัดที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียวที่มีชื่อเสียงมาจากแมวกวักนับ 100 ตัว หลายขนาด ที่ยกมือดักกวักมือเรียกอยู่เต็มวัด ทำให้เหล่านักท่องเที่ยวไม่ว่าจะวัยเด็ก วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ต่างหลงใหลเดิมตามมือที่กวักเข้ามาในวัดนี้อย่างไม่ขาดสาย จนทางเราเชื่อเลยว่าเทพเจ้าแมวกวักนี้เรียกคนได้ดีจริง ๆ
จบทริปเราขอทิ้งทวนกันที่ร้านคาเฟ่สุดคิ้วท์ ที่เราแวะมาเช็คอินนับครั้งไม่ถ้วน Shirohige Cream Puff Factory คาเฟ่สองชั้นที่ทำให้เราต้องพูดเสียงสองตลอดเวลาอีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะร้านนี้มีเจ้าขนมครีมพัฟสุดอร่อยที่อวบอ้วนในรูปร่างของเจ้าโตโตโร่ คาแรกเตอร์สุดโด่งดังของญี่ปุ่น ถึงสี่รสชาติให้เราได้เลือกทาน และในแต่ละวันคนก็เยอะมาก ๆ จนแทบจะหาที่นั่งไม่ได้ ถ้าไม่โชคดีหรือไปแต่เช้าตรู่จริง ๆ แต่ก็ไม่ต้องกลัวไปนะ เพราะเค้ามีบริการส่งน้องกลับบ้านในกล่องน่ารัก ๆ ให้เราเอากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยจ้าาาา
และการกิน เที่ยว ช้อป แบบสุดเหวี่ยง แต่คุ้มค่าของเราในทริปนี้ก็มีแต่เรื่องดี ๆ เพราะเราใช้บัตรกรุงศรีที่ใช้ง่ายจ่ายสะดวกตั้งแต่ไทยยันไปญี่ปุ่น สมคำเคลมที่ว่าเรื่องญี่ปุ่นต้องกรุงศรี แบบไม่มีข้อโต้แย้ง สำหรับเราที่ชอบมาก ๆ เพราะนอกจากจะได้สิทธิพิเศษมากมายจากการที่กรุงศรีผนึกกำลังกับสถาบันการเงินอันดับ 1 ที่ญี่ปุ่นแล้ว ก็คือความใช้ง่าย สะดวก เงื่อไขไม่เยอะ ตรงไปตรงมา ไม่ต้องหาดอกจันทร์อีกหลายสิบดอกมาอ่านให้วุ่นวายใจ ให้เป็นให้ ลดเป็นลด ขนาดคนญี่ปุ่นยังแนะนำให้ใช้แล้วคนไทยอย่างเรามีหรือจะพลาด
การเดินทางในโตเกียว รอบ ๆ โตเกียวของเราในทริปนี้ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่าโตเกียวยังมีที่เที่ยวอีกมากมายหลายสไตล์ให้เราได้เดินทางแบบไม่รู้จบเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมาโตเกียวอีกกี่ครั้ง ที่นี่ก็ยังคงมีสถานที่ใหม่ใหม่ให้เราได้ตามหาอยู่เสมอหรือแม้แต่จะไปเที่ยวที่เดิมๆแต่ต่างฤดู ต่างเดือนกันภาพของโตเกียวก็แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง นี่ละมั้งคืออีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครต่างตกหลุมรักญี่ปุ่นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ และหลงใหลตั้งแต่ครั้งที่สองเป็นต้นไป ฉะนั้นถ้าแกยังไม่ได้ลองมีครั้งแรกที่ญี่ปุ่น เราบอกได้เลยว่าช่วงใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงคืออีกหนึ่งช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของแดนอาทิตย์อุทัย ไม่ต้องรอข้ารีบหาเสื้อผ้าแล้วกำบัตรกรุงศรีมาเที่ยวให้ฟินกันดีกว่า