ถ้าหากจะพูดถึงประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์แล้วล่ะก็ เชื่อมั้ยว่าเราไปได้บ่อยกว่าที่คิด เพราะเกาะแห่งนี้ยังคงสร้างสรรค์ที่เที่ยวและกิมมิคใหม่ ๆ มาล่อใจสายเที่ยวไม่ว่าจะไปต่อเครื่อง หรือปักหลักค้างคืน ครั้งนี้เราขอพาทุกคนไปสอดส่องสิงคโปร์แบบอินไซด์ ไปชมทั้งที่เที่ยวใหม่ที่ห้ามพลาด และที่เที่ยวเก่าที่ยังเก๋าไม่สร่าง ก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ไล่ตั้งแต่ไปเดินเล่นที่ห้างเปิดใหม่ Jewel Changi Airport, ล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกที่มารีน่าเบย์กับมุมใหม่ที่ไฉไลกว่าใคร, ทัวร์เวสป้าที่เราจะได้นั่งเท่ ๆ ตระเวนแวะถ่ายรูปตามแลนด์มาร์คสุดชิค, ทานอาหารท้องถิ่นสุดฟิน รวมถึงที่เที่ยวอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทางเราการันตีได้เลยว่าครั้งหน้าแกจะเลือกต่อเครื่องที่สิงคโปร์ให้นานกว่าเดิมอย่างแน่นอน และยิ่งเดินทางกับ Singapore Airlines ก็จะได้สิทธิพิเศษในการซื้อบัตร Singapore Explorer Pass บัตรที่จะพาเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในสิงคโปร์ได้มากกว่า 20 แห่ง คุ้มสุด ๆ บอกเลยว่าสิงคโปร์ครั้งนี้จะมีมุมมองใหม่ ๆ กว่าที่เคย
ทริปนี้เรานั่ง Business Class ของ Singapore Airlines บนเครื่อง ที่นั่งสามารถปรับเอน
หลังจากนั่งเอนหลังสบาย ๆ ได้เพียง 2 ชั่วโมง Singapore Airlines ก็ได้พาเราแลนด์ดิ้งสู่เกาะแห่งนี้อย่างนุ่มนวล สำหรับใครที่มาต่อเครื่องที่สนามบินชางงีนั้นสามารถไปแลกรับบัตรกำนัลมูลค่า 20 เหรียญสิงคโปร์ และหากรอต่อเครื่องเกิน 5 ชั่วโมงครึ่งแต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงสามารถเลือกไปร่วมทัวร์สิงคโปร์ฟรีได้ด้วย โดยมีทัวร์ให้เลือกหลายโปรแกรม หนึ่งในนั้นมี Jewel tour พร้อมพาเข้า Canopy Park ฟรีอีกต่างหาก
แต่ถ้าใครอยากพักค้างคืนเที่ยวสิงคโปร์เองแบบเราก็ทำได้ เพราะลูกค้า Singapore Airlines สามารถซื้อแพคเกจ Singapore Stopover Holiday ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,400 บาทต่อคน ก็จะได้ที่พัก 1 คืน บริการรถรับส่งจากสนามบินไปโรงแรมฟรี 1 เที่ยว และได้ซิมการ์ด StarHub มูลค่า 10 เหรียญสิงคโปร์อีกต่างหาก หากต้องการซื้อแพคเกจ สามารถติดต่อกับตัวแทนจำหน่ายของสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส ได้ที่เบอร์ 02-652-2000 หรือ 02-308-2104 หรือ 02-123-5050 โดยต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 72 ชั่วโมงก่อนถึงวันเดินทาง
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับแพคเกจ Singapore Stopover Holiday สามารถดูได้ที่นี่ คลิก
เรามาเริ่มต้นกันที่ Jewel Changi Airport ไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดใหญ่ติดสนามบินชางงี ที่จัดเต็มทั้งธรรมชาติ เทคโนโลยี ร้านอาหาร และสถานที่ช้อปปิ้งมาไว้บนพื้นที่ 135,700 ตารางเมตร เป็นสถานที่ ๆ จะเปลี่ยนทุกประสบการณ์การต่อเครื่องของแกทุกคนให้หรูหราเลิศเลอไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งจุดฝากกระเป๋า, เคาน์เตอร์เช็คอินล่วงหน้า, เล้าจ์ และห้องอาบน้ำ นอกจากนี้สามารถเชื่อมไปยังทุกเทอมินอล จนต้องขอยกนิ้วยอมรับไอเดียของเค้าที่สามารถดึงดูดนักเดินทางจากทั่วสารทิศได้ขนาดนี้
จุดแรกที่เหมาะที่สุดสำหรับคนที่ต้องมาต่อเครื่องและมีเวลาไม่มากนัก แต่ก็อยากพักแบบชิว ๆ หาที่นั่งดื่ม กิน อาบน้ำอาบท่า หรืองีบสักหนึ่งตื่น เราขอแนะนำ Changi Lounge เลาจ์ของสนามบิน Changi ที่อยู่ใกล้ Terminai 1 ในห้าง Jewel Changi Airport สนนราคาเริ่มต้น 38 เหรียญสิงคโปร์ (สำหรับ 3 ชม.)
และที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์อันดับหนึ่งของ Jewel Changi Airport ก็คือน้ำตก HSBC Rain Vortex ที่สวยกระชากใจ จะมองมุมไหนก็ชวนว้าว เพราะตั้งอยู่ใจกลางอาคาร ด้วยความสูงกว่า 40 เมตร จนครองตำแหน่งน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งน้ำตกแห่งนี้ก็มีความสวยงามแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา จะมาช่วงไหนก็รับลองว่าได้ภาพสวย ๆ กลับไปแน่นอนจ้า
หมุมตัวหามุมจนปวดคอก็ขอเดินไปพักผ่อนต่อกับอีกหนึ่งจุดที่อลังการไม้แพ้กัน นั่นคือ CANOPY PARK พื้นที่พักผ่อนในร่มที่ใหญ่โตโอ่อ่ากว่า 14,000 ตารางเมตร เรียกได้ว่าจะวิ่งเล่น นั่งเล่น เดินเล่น นอนเล่น ก็มีพื้นที่จัดสรรไว้ให้แบบเต็มเหนี่ยว ทั้งสวนสีเขียวสุดร่มรื่นและเป็นธรรมชาติ เพราะเขานำเอาต้นไม้และดอกไม้กว่า 1,400 ต้น มาเพิ่มสีสัน และยังมี Discovery Slides สไลเดอร์ดีไซน์สีเหลืองสดใสที่จะสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หัวใจเด็กเลยล่ะ
อีกจุดเช็คพ้อยก็คือ Changi Experience Studio มิวเซียมที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีแบบดิจิตอล ซึ่งจะพาเราออกจากความธรรมดาไปสู่โลกของสนามบินระดับโลก ผ่านการเล่นเกมแบบอินเทอร์แอคทีฟ ที่เราจะมีส่วนร่วมในการปั่นจักรยานสร้างพลังงานให้กับเครื่องบินแบบลุ้นตัวโก่ง และสนุกจนลืมหายใจ ก่อนจะไปพักหายใจกันในห้องนิทรรศการ ที่รวบรวมประวัติความเป็นมาตั้งแต่การเริ่มสร้างสนามบินจนกลายเป็นสนามบินระดับโลกอย่างทุกวันนี้
เล่นสนุกกันมาทั้งวันก็ได้เวลารับประทานอาหารเย็นแบบเปอรานากันสไตล์ อาหารที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและมาลายู ภายในร้าน Violet Oon บางจานก็มาแบบ Original เปอรานากัน บางจานก็มาแบบฟิวชั่นร่วมสมัย แต่จานไหนจะอร่อยถูกใจแกหรือไม่ เราก็คงบอกได้แต่ว่าให้มาลองเองถึงจะรู้
ทานอาหารจนอิ่มหนำ เวลาสำคัญก็มาถึง กับการแสดงโชว์ Light Up ของน้ำตก HSBC Jewel ที่จะจัดแสดงทุกชั่วโมง ครั้งละ 15 นาที ตั้งแต่ 19.30 น. จนถึงเที่ยงคืนครึ่งในทุก ๆ วัน แกเอ๊ย ตอนแรกเราคิดว่ามันคงจะเป็นอารมณ์การแสดงแสงสีร่วมกับน้ำพุและดนตรีแบบที่เราเคยชมทั่วไป แต่ไม่จ้า … นางมาเหนือกว่าที่คาดด้วยการฉายภาพเล่นแสงสีเป็นเรื่องราวและเปลี่ยนเป็นรูปต่าง ๆ ผ่านสายน้ำตกที่สูง 40 เมตร อลังการจนเหล่าคนดูที่เฝ้ามองต่างร้องหูว หา เสียงหลงไปกับความสวยงามตาม ๆ กันเลย
วันต่อมาเราใช้บัตร Singapore Explorer Pass เพื่อใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวในสิงคโปร์กว่า 20 แห่ง อันนี้ต้องเดินทางกับสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส หรือซิลค์แอร์ ถึงจะมีสิทธิ์ซื้อนะ โดยบัตรแบบ 1 วันจะใช้ได้ 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นที่ 1,790 บาทต่อคน หากใครวางแผนดีๆ สามารถใช้ได้ถึงสองวัน และเที่ยวได้แบบคุ้มสุดๆ เลยนะ โดยสามารถซื้อบัตรได้จากตัวแทนจำหน่ายของสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส ที่เบอร์ 02-652-2000 หรือ 02-308-2104 หรือ 02-123-5050 แต่ต้องซื้อบัตรล่วงหน้า 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับบัตร Singapore Explorer Pass สามารถดูได้ที่นี่ คลิก
เราไม่รอช้า เพราะต้องทำเวลาใช้ให้คุ้มค่าสมราคา ซึ่งเอาจริง ๆ มันคุ้มตั้งแต่ 2-3 กิจกรรมแรกแล้วล่ะ แต่ก็นะเราชอบแบบคุ้มจุก!!! จึงขอเริ่มต้นแบบตื่นเต้น ปลุกพลังชีวิตกันตั้งแต่เช้าที่เกาะ Sentosa เราใช้บัตรเข้า Sentosa 4D AdventureLand ต่อด้วย Gogreen Segway ที่ใช้การขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าให้เราได้ลองทรงตัวไปข้างหน้า เลี้ยวซ้ายขวา หลบหลีกสิ่งต่าง ๆ ได้ตามใจ เลียบหาด Palawan ต่อด้วยเข้าชมโลกแห่งท้องทะเลที่ S.E.A. Aquarium
ใช้เวลาที่เซ็นโตซ่าเกือบครึ่งวัน ก่อนจะเข้ามาในเมืองเพื่อใช้ Singapore Explorer Pass ต่อที่ National Museum of Singapore พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสิงคโปร์ ที่จัดมาได้สวยงาม ผสานเทคโนโลยีได้อย่างน่าตะลึง จนอยากร้องเพลงแบบเจอาร์ วอย ตะลึง ตะลึง ตะลึง!!! โดยเฉพาะนิทรรศการหมุนเวียนตัวล่าสุด ที่ใช้ผู้จัดทีมเดียวกับ TeamLab อันโด่งดัง มาเปลี่ยนฉากสีดำให้กลายเป็นธีมป่าไม้ ที่สวยจนเรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปสู่โลกแห่งจินตาการที่แสนจะสุขสำราญเลยล่ะ งานนี้ใจของเราก็ได้เต้นระส่ำเพราะความตื่นเต้น พร้อมรอยยิ้มที่เบิกบานจากความประทับใจ
ออกจากมิวเซียม เราก็มาเดินเที่ยวกันต่อที่ Gardens by the Bay ที่ซึ่งใช้ธรรมชาติผนวกกับเทคโนโลยีจนออกมาเป็นสวนพฤกษศาสตร์ธรรมชาติขนาดใหญ่ บนพื้นที่กว่า 101 เฮคเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยสามโซนหลักที่แต่ละโซนหลักก็จะถูกแยกย่อยลงไปอีก แต่เราจะเข้าเพียงสองโซน ซึ่งรวมอยู่ใน Singapore Explorer Pass นั่นก็คือ Flower Dome เรือนกระจกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊คว่าใหญ่ที่สุดในโลก และ Cloud Forest อีกหนึ่งเรือนกระจกที่ยกป่าดิบชื้นมาไว้บนน้ำตกขนาดยักษ์ที่แต่เดิมเคยรั้งตำแหน่งน้ำตกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนจะร่วงลงมาเป็นอันดับสองตามหลังให้กับน้ำตก HSBC Rain Vortex แห่งห้าง Jewel
ออกมาจากสวนพฤกษศาสตร์พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดิน เราขอวาร์ปไปทำอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ นั่นก็คือเดินเล่นริม Marina Bay แต่รอบนี้เราขอชมวิวแบบไม่เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความโก้เก๋ ด้วยการนั่ง Floating Donut เรือวงกลมรูปโดนัทสุดทันสมัย (ไม่รวมใน Singapore Explorer Pass) ที่จะพาเราลอยล่องชมพระอาทิตย์ทอดกายจากยอดตึกร่วงลงสู่ผืนน้ำ สะท้อนแสงสีส้ม สนนราคาเพียงคนละ 35 เหรียญสิงคโปร์ กับเวลา 30 นาที พร้อมรับฟรี 1 ดริงค์ไว้จิบเบา ๆ ให้สดชื่น บอกเลยว่ามารีน่าเบย์มุมนี้ยังไม่ค่อยแมส จงรีบใส่ชุดกรุยกรายมาเก็บภาพลงอวดเพื่อนให้ไว
เพลินตากับบรรยากาศยามเย็นท้องก็ชักเริ่มจะหิว เราจึงหิ้วกระเพาะอันหิวโหยไปฝากท้องที่ Jing Seafood Restaurant ร้านอาหารทะเลสุดพรีเมี่ยมสไตล์ไชนีส เพื่อจัดเต็มทั้งขนมจีบกุ้ง ขนมจีบปูเนื้อเด้ง เป็ดย่างหนังกรอบสุดชุ่มฉ่ำ ตามด้วยปูยักษ์รสเข้มข้น ตบท้ายด้วยหมั่นโถสีน้ำตาลอ่อน และจบลงด้วยชาร้อนสักแก้วล้างปาก แค่คิดย้อนกลับไปยังอิจฉาตัวเองที่ได้กินอาหารดี ๆ แบบนั้นอ่ะคิดดู
ก่อนจะหมดวัน กิจกรรมที่เราวางไว้ก็ยังไม่หมดง่าย ๆ เราใช้บัตร Singapore Explorer Pass ขึ้น Singapore Flyer ชิงช้าสวรรค์ที่สูงและใหญ่ที่สุดในเอเชียได้อี๊ก คุ้มไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้วจ้าแม่ ไม่นงไม่นอนไม่พักไม่ผ่อน เอาเวลา 30 นาที มานั่งชมวิวสิงคโปร์ยามค่ำ เก็บภาพประทับใจที่แม้จะไร้แสงดาวแต่ก็สุกสกาวจากแสงไฟ ที่ส่องสว่างจากตึกสูงและถนนหนทาง จนเราอดไม่ได้ที่จะชื่นชมประเทศเล็ก ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เพราะที่นี่ทำให้เราได้เห็นว่าศักยภาพของมนุษย์ หากคิดจะทำอะไรแล้วทุกอย่างก็ย่อมเป็นไปได้ และหากเราใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากพอ ต่อให้มีพื้นที่จำกัด หรือทรัพยากรน้อยนิดขนาดไหนเราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เบียดเบียน
และแล้วเช้าวันสุดท้ายก็มาถึง หลายคนคงแทบไม่เชื่อเลยใช่ไหมหละว่า ณ สิงคโปร์แห่งนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวให้เราเที่ยวกันได้แบบสองสามวันติดกันไม่มีเบื่อ สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดเราจึงขอทิ้งทวนด้วยการเลือกเวสป้าทัวร์ (ไม่รวมใน Singapore Explorer Pass) สนนราคา 160 เหรียญสิงคโปร์ต่อชั่วโมง ในการพาเราไปเที่ยวชมแลนด์มาร์คสำคัญต่าง ๆ ของเมืองที่มีให้เลือกหลายเส้นทาง แต่เราเลือกเส้นทางที่จะพาเราผ่าน Marina Bay Sands อีกหนึ่งสัญลักษณ์สุดยิ่งใหญ่ของประเทศที่ออกแบบเป็นรูปไพ่สามสำรับเรียงกันและวางทับด้วยเรือด้านบน เพื่อมาจอดริมแม่น้ำแถว Clarke Quay ย่านแสงสียามค่ำคืนที่คึกคักมากที่สุดแห่งหนึ่ง
ก่อนจะไปปิดท้ายบนถนน Haji Lane ถนนสายสตรีทอาร์ตสุดแนว ที่ทางสิงคโปร์เค้าจงใจให้ศิลปินทั้งในประเทศ และนอกประเทศมาร่วมละเลงสีเติมความสดใสและความอาร์ตให้กับถนนเส้นนี้ อ่านแล้วอย่าคิดว่าเขาจะแค่ขับพาเราเที่ยวชมวิวแบบเปล่า ๆ เท่านั้นนะ เพราะมันคงจะผิดเทรนการท่องเที่ยวของยุค 2019 ที่จะดีจะร้ายยังไงก็ขอให้ถ่ายรูปได้ไว้ก่อน ทางเวสป้าทัวร์เค้าก็รู้ใจสายท่องเที่ยวเป็นอย่างดี คนขับทุกคันสามารถหามุมถ่ายรูปออกมาได้เป๊ะปังทุกองศา แถมยังถ่ายให้อย่างจุใจอีกด้วย
ทั้งที่นั่งเฉย ๆ โพสท่าไม่กี่ 10 รูป แต่ก็รู้สึกเหมือนใช้พลังงานไปเยอะกับการเก็บภาพร่วมกับเวสป้าทัวร์ มื้อเที่ยงของวันนี้เราจึงต้องการอาหารแบบจัดหนัก เราเลยเลือกร้าน Lokkee ในห้าง Plaza Singapura ที่เสิร์ฟอาหารจีนแบบพรีเมี่ยมมากระแทกปากแบบจุก ๆ ซึ่งจุดเด่นของเค้านอกจากจะเป็นรสชาติอาหารที่จัดจ้านถูกปากคนไทยอย่างเราแล้ว อีกสิ่งที่ถือว่าชวนว้าว และชวนถ่ายรูปเก็บไว้ลงในโซเชียลมากที่สุดก็คือการพรีเซนต์อาหารแต่ละเมนูที่ล้วนแล้วแต่มีสตอรี่ และความแปลกใหม่
โดยเริ่มตั้งแต่ผ้าเช็ดปากที่มาในแพคเกจจิ้งชวนให้คิดไปไกลว่านี่จะให้เช็ด ให้สอด หรือให้ใส่อยู่พักนึง มาตั้งสติได้อีกทีก็ตอนที่เมนูแนะนำอย่างสลัดเบคอนถูกเสิร์พร้อมดรายไอซ์ที่พวยพุ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเนื้ออบสับปะรดที่ต้องพ่นไฟโชว์ก่อนเสิร์ฟกันสด ๆ และร้อน ๆ จากไฟของจริง ปิดท้ายกันแบบบันเทิงเริงรมย์ด้วยเมนูปลาคอลลาเจนที่จัดเต็มความเด้งดึ๋งทั่วทั้งถาด ชนิดที่ถ้ากินหมดแล้วเดินออกจากร้านผิวหน้าผิวกายรับรองความกระจ่างใสอย่างแน่นอน
แม้จะมีเวลาเพียงน้อยนิด แต่สายชิคผู้รักคาเฟอีนเป็นชีวิตจิตใจอย่างเรา ก็ต้องขอจัดไปเบา ๆ กับกิจกรรมคาเฟ่ฮอปปิ้งมาปิดท้ายทริปนี้ให้สมบูรณ์แบบ ด้วยการเลือกเช็คอินที่ร้านเล็ก ๆ แต่อบอุ่นอย่าง Curious Palette ที่ตกแต่งสไตล์วินเทจมินิมอล เมนูที่ต้องจัดมาในบรรยากาศแบบนี้คงหนีไม่พ้นเค้กโฮมเมดรสช็อกโกแลตชิ้นโตกับกาแฟลาเต้ร้อน ๆ และโกโก้เย็นหวานน้อย
งานนี้ก่อนจะโบกมือลาสิงคโปร์ ก็อยากจะขอชื่นชมจากใจอีกสักครั้งหนึ่งว่าบนพื้นที่เล็ก ๆ แห่งนี้ กลับมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และหลากหลายแบบ ตอบโจทย์นักเดินทางทั้งที่มาแค่ต่อเครื่องหรือตั้งใจมาเที่ยว จากนี้ไม่ว่าจะต้องไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์นานแค่ไหน แทนที่จะหาเวลาเลือกหนังเรื่องโปรด วรรณกรรมเรื่องเยี่ยม หรือบทเพลงที่โดนใจ เราคงต้องเปลี่ยนเป็นหาเวลาเลือกร้านอาหารร้านโปรด กิจกรรมที่ยอดเยี่ยม และพื้นที่ที่โดนใจแทนซะแล้วล่ะ เพราะสิงคโปร์ยังมีกิจกรรมรอต้อนรับให้เราไปทำอยู่อีกเพียบ หมดทริปนี้คงไม่มีคำพูดไหนจะเหมาะไปกว่าเยี่ยมจริง เยี่ยมจริง เยี่ยมจริง แล้วล่ะ…ว่ามั้ย??
สุดท้ายนี้ใครที่เดินทางกับ Singapore Airlines มาสิงคโปร์สามารถแลกรับอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณ WiFi แบบพกพาสำหรับ 3 วัน 2 คืนจำนวน 2 GB ฟรี จนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ได้อีกด้วยนะ