ดินแดนแห่งนิยายแฟนตาซีในฝัน Arabian Nights หรืออาหรับราตรีที่กล่าวถึงการผจญภัยในอาณาจักรทะเลทราย ภูเขาสวยงามตระการตา ท้องทะเลสีฟ้าแซฟไฟร์ โอเอซิสยิ่งใหญ่ และหมู่บ้านดินอายุกว่า 400 ปี ความสวยงามของธรรมชาติที่ซ่อนไว้เป็นเหมือนเพชรเม็ดงามแห่งตะวันออกกลาง ไม่อยากจะโม้ว่า … ที่ทางเราสาธยายมานั้นหวยล็อคไปออกที่ “โอมาน” ดินแดนอะลาดิน ประเทศเศรษฐีน้ำที่ผู้คนเป็นมิตรและใจดีมาก ๆ ตามอินโทรปั๊วะ ๆ ที่เล่า Road Trip โอมาน 5 วันเต็มในฤดูหนาว คลุกเคล้าอุณหภูมิ 20 องศาต้น ๆ ขับรถเปิดเพลง Folk แกล้มวิวภูเขาบนดินแดนสุดแปลกตาและทะเลทรายตัดต้นอินผาลัม จึงเริ่มต้นขึ้นนนน …
นอกจากข้อมูลเบื้องต้นของประเทศ ทั้งเรื่องสิ่งที่ควรทำไม่ควรทำ วัฒนธรรม ภาษา ศาสนา รวมถึงสภาพอากาศ สิ่งที่ละเลยไม่ได้สำหรับคนที่เดินทางบ่อยอย่างเราก็คือ การเตรียมตัวเรื่องสุขภาพ ตัวช่วยที่จะสร้างความมั่นใจในการท่องโลกมากยิ่งขึ้น และประกันภัยสุขภาพที่เราอยากบอกต่อก็คือ Elite Health จากเมืองไทยประกันชีวิต ที่ครอบคลุมแม้ต้องการไปรักษาที่ต่างประเทศตามพื้นที่ความคุ้มครองที่เราเลือก ด้วยวงเงินสูง เลือกได้ตั้งแต่ 20 – 100 ล้านบาท/ปี งานนี้ไม่ว่าจะแพ้อากาศ อาหารเป็นพิษ เจ็บป่วยฉุกละหุกเล็กน้อยไปจนถึงขั้นแอดมิทนอนโรงพยาบาล ก็สามารถเข้ารับการรักษาได้แบบไม่ต้องวุ่นวายกับงบเที่ยวของเรา ซื้อแล้วสิ้นปียังใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย เชื่อเราเถอะ!!! ประกันภัยสุขภาพทำแล้วไม่ได้ใช้แต่ก็ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี เข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย ***สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ ต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ใหม่เท่านั้น โปรดศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครองและข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
Day 1 : Bimmah Sinkhole — Wadi Shab — Sur
เริ่มต้นทริปโอมานด้วยเวลาที่ช้ากว่าไทย 3 ชั่วโมง กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจที่สนามบินก็ค่ำแล้ว คืนนี้ขอไม่นับ เรามาเริ่มนับ Day 1 ที่เช้าแรกในโอมานแล้วกัน โดย Road Trip วันแรก เราขับรถเรื่อย ๆ ผ่านภูเขา เหล่าต้นอินผลัม มาจนถึงถนนริมทะเลที่เชื่อมต่อระหว่างเมือง Bimmah และเมือง Dibab อันเป็นสัญญาณบอกเราว่าใกล้ถึงโลเคชั่นแรกที่มาร์คไว้แล้ว นั่นก็คือแอ่งน้ำขนาดใหญ่ หรือ Sinkhole ที่เกิดจากการทรุดตัวของแผ่นดิน
Bimmah Sinkhole ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ Hawiyat Najm Park ถ้ายืนมองจากปากหลุมลงไปข้างล่างก็เจอกับน้ำที่ทั้งใสทั้งเขียวทั้งสะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ท่ามกลางบ่อดินสีส้มอ่อน ๆ ไม่แปลกที่ใคร ๆ เคยเชื่อว่านี่คือหลุมอุกาบาต เพราะมันอลังการเกินกว่าที่จะคิดว่ามันเกิดขึ้นเพราะแผ่นดินยุบตัว หลังจากยืนกดชัตเตอร์บนปากบ่อกันจนหนำใจแล้ว ทางเราก็ต้องกลั้นใจเดินลงบันไดไป เพื่อเอาเท้าจุ่มน้ำกันสักนิด ด้านล่างก็เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เล่นน้ำโดดน้ำกันตูมตาม ใครมีเวลาจะเอาห่วงยางแฟนซี โพนี่ โดนัท เป็ดน้อย มาเล่นในบ่อก็ไม่มีใครว่า เพราะที่นี่เปิดให้บริการฟรี ตลอด 24 ชม.
แช่เท้าให้พอหอมมีรูปลงโซเชียล ก็เดินขึ้นบันไดกลับไปที่รถ แล้วขับต่อเพื่อไปยัง Wadi Shab อีกหนึ่งไฮท์ไลท์ของทริป จอดรถไว้ใต้สะพานแล้วเดินไปขึ้นเรือข้ามน้ำไปอีกฝั่ง (ค่าเรือ 1 เรียล) จากนั้นก็เดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 1 ชม. ระหว่างทางมันช่างวู้ว้าอู้หูเสียจริง ผ่านทั้งภูเขาใหญ่ โขดหิน หน้าผา ช่องแคบ ที่ขนาบข้างด้วยสายน้ำสีเขียวมรกต ใจหนึ่งเราก็นึกถึงการผจญภัยในป่ายุคจูราสิค อีกใจหนึ่งเราก็แอบมโนว่าเรากำลังเดินเข้าไปในโลกดวงจันทร์แน่ ๆ
สำหรับ Wadi Shab นั้น ถ้าแปลง่าย ๆ ก็คือ Oasis นั่นแหละ เพราะ Wadi หมายถึง แหล่งน้ำหรือลำธารในดินแดนที่แห้งแล้ง พอพูดถึงโอเอซิสแห่งทะเลทราย Wahiba ที่เคยเห็นแค่ในรูป มาเจอของจริงยิ่งใหญ่ตระการตาสมกับคำร่ำลือจริง ๆ อีกทั้งยังมีน้ำตก และสระน้อยใหญ่สีมรกตซอกซอนตามหุบเขาถึง 7 สระด้วยกัน การเดินเท้าเข้าไปชมความยิ่งใหญ่ของ Wadi Shab เราแนะนำอีกอย่างคือควรใส่รองเท้าที่ save หน่อย เพราะไม่เพียงแค่เดินไกล แต่ทางเดินยังเป็นหินและกรวดอาจเจ็บเท้าได้
เดินมาเหนื่อย ๆ เป็นชั่วโมง จะไม่เตรียมผ้าผ่อนมากระโดดน้ำก็คงกระไรอยู่ จุดพีคของ Wadi Shab ที่ห้ามพลาดคือน้ำตกที่อยู่ด้านใน แต่ต้องใช้พละกำลังว่ายน้ำเข้าไป ต้องลอดถ้ำใต้น้ำ ใช้เวลาอีกราว 30 นาที มาถึงตรงนี้ก็อยากให้ทุกคนระมัดระวังกันหน่อยเพราะแค่เดินเข้าไปใน Wadi Shab ทั้งไกลและค่อนข้างเหนื่อย หากจะดำน้ำเข้าไปที่น้ำตกก็ใช้แรงเยอะและเสี่ยง อยากให้ประเมินตัวเองให้ดีก่อนหากมีปัญหาเรื่องสุขภาพหรือไม่แข็งแรง แม้แต่คนปกติอย่างเรา เดินเข้าไปร้อน ๆ แห้ง ๆ แล้วต้องลงน้ำหนาว ๆ ก็แทบป่วยเหมือนกัน เห็นไหมว่าเรื่องเจ็บป่วยในต่างประเทศมันเป็นเรื่องเหนือการควบคุม เพราะฉะนั้นการมีประกันภัยสุขภาพดี ๆ อย่าง Elite Health จากเมืองไทยประกันชีวิตมันจึงสำคัญมาก ๆ เพราะถ้าเจ็บหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล เราก็สามารถ Save เงินค่าหมอค่าโรงพยาบาลส่วนนี้ไว้เที่ยวอีกหลาย ๆ ทริปในอนาคตได้
Day 2 : Sur — Wadi Bani Khalid — Desert Nights Camp
เช้าสดใส หลับเต็มตื่น บิดขี้เกียจซ้ายขวา ขยี้ตามาแล้วเห็นวิวเป็นเมืองริมทะเลอย่างกับวาร์ปได้ เพราะเมื่อคืนเราพักกันที่ Al Ayjan Plaza Hotel ในเมือง Sur เมืองตากอากาศของชาวโอมาน เราลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา จัดมื้อเช้าจนอิ่ม แล้วเดินขึ้นเนินด้านหลังจากโรงแรมเพียงนิดเดียว ก็เจอกับจุดชมวิวแลนด์สเคปโอมานที่เห็นบ้านเรือนทรงสี่เหลี่ยมสีพาสเทล ตัดกับถนนสีขาวสะอาดตา ท้องฟ้าและน้ำทะเลสดใส มีเรือนานาลอยล่องไปมา รวมถึงสะพานที่มาเติมเต็มให้มันยิ่งสวยเข้าไปอีก
รับลมชมวิวอยู่ที่ Sur พอหอมปากหอมคอ เราก็ปักหมุดไปต่อที่ Wadi Bani Khalid Parking Area ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอเอซิส ที่เราอยากเน้นย้ำหากขับรถกันมาคือต้องปักหมุดตามที่เราบอก แล้วจะเจอกับทางเข้า Wadi Bani Khalid ไม่อย่างนั้นพวกแกจะหลงไม่รู้ด้วยล่ะ มาถึงที่นี่แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเดินไกลเป็นชั่วโมงแบบ Wadi Shab เพียงเดินแค่ 10 นาที แกก็จะพบกับวิวแอ่งน้ำสีฟ้าตัดเขียวสดใสกลางหุบเขา ซึ่งตลอดแนว Wadi จะมีคนเล่นน้ำและนั่งแช่เท้าทำสปาปลา แล้วถ้าใจยังไหว แนะนำให้เดินขึ้นไปสำรวจข้างบน ลัดเลาะหน้าผาหินที่ด้านล่างเป็นลำธารไปเรื่อย ๆ จะเจอน้ำตกและถ้ำ อยากเล่นน้ำเอามัน หรืออยากจัดบิกินี่ไปอวดความแซ่บโชว์ความเฟียสก็ได้หมดจ้า
นั่งพักแช่เท้าให้ปลาตอดเล่นจนหนำใจ ดูนาฬิกาก็นึกได้ว่าถึงเวลาต้องมุ่งหน้าไปทะเลทรายวาฮิบา (Wahiba Sands) ระหว่างทางเราแวะเติมน้ำมัน เข้าห้องน้ำและเติมเสบียงพอกรุบกริบ แต่ไม่กรุบกริบอย่างที่คิด เพราะความน่ารักจนอยากมอบรางวัลโนเบลสาขามิตรภาพให้คนโอมาน เมื่อเจ้าของมินิมาร์ทและลูกค้าที่นั่นรู้ว่าพวกเราคือนักท่องเที่ยว ก็พากันแถมนั่น แจกนี่ ซื้อผลไม้ และขนมขนกันมาวางให้ที่ท้ายรถเยอะชนิดที่ว่าอยู่โอมานเป็นเดือนได้แน่ ๆ แถมยังอาสาขับรถนำทางเราไปยังจุดนัดพบคล้าย ๆ กับ Lobby และ Reception พอร่ำลากับพี่สุดใจดี ทางเราก็นั่งรถ 4WD เพื่อเข้าไปยัง The Legend Of Dunes – By Alreem Camp ที่เราจองไว้ ให้ตายเถอะ นี่เราอยู่แคมป์เล็ก ๆ กลางทะเลทรายสีแดงน้ำผึ้งที่กว้างกว่า 100 กม. พร้อมกับสต๊าฟชาวบังคลาเทศ 2 คน ที่ดูแลเราประดุจเป็นเจ้าชายแห่งดินแดนอาหรับราตรี
สำหรับเราที่นี่เป็น must see อันดับต้น ๆ ในโอมาน และกิจกรรม must do ที่แนะนำคือ dune bashing เป็นการนั่งรถโฟวิล ดริฟไปกับเนินทราย พี่โชเฟอร์จะพาเราออกไปเที่ยวไปรอบ ๆ ทะเลทราย แล้วเพิ่มความตื่นเต้นด้วยการดริฟรถไต่ไปไต่มา ขึ้นเนินทรายสูงเสียดฟ้า ยิ่งสูงยิ่งสนุก สนุกยิ่งกว่าเล่นรถไฟเหาะล้านเท่า นั่งรถตะลุยทะเลทรายที่ให้อารมณ์คล้ายกำลังนั่งรถไต่ถัง สร้างความหวีดและตื่นเต้นให้เราจนฉี่แทบแตก เปิดประสบการณ์ใหม่สุด ๆ พอผ่านประสบการณ์สุดเหวี่ยงไปแล้ว โชเฟอร์ก็พาเราไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตก นั่งฟิน เก็บมุมประทับใจ เดินเล่นเหม่อ ๆ แอ๊คท่าถ่ายรูปอัพลงโซเชียลก็เฟี้ยวจนเพื่อนต้องกดเลิฟ สำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในทะเลทรายสามารถติดต่อจองกับโรงแรมที่เข้าพักได้เลยจ้า
ทั้งดรีฟรถทั้งชมพระอาทิตย์ตกไปแล้ว อย่าคิดนะว่าความฟินจะจบลงแค่ตรงนี้ เพราะหลังจากดื่มด่ำกับมื้อค่ำที่สต๊าฟหนุ่มจัดไว้ให้เราจนอิ่มหนำแล้ว เราก็มานั่งล้อมรอบกองไฟเพิ่มความอบอุ่น จิบชา และกัดองุ่นชิล ๆ แคมป์กลางทะเลทรายวาฮิบาเป็นจุดชมดาวที่สวยที่สุดในโอมานเลยก็ว่าได้ ความสงบยามค่ำคืน ท่ามกลางหมู่ดาวนับล้าน มีแสงที่สว่างที่สุดคือกองไฟตรงหน้า บางทีก็แอบทำให้เราหวั่นไหวคิดถึงคนที่ไทยเหมือนกันนะเนี่ย ข้อแนะนำคือ กลางทะเลทรายลมจะแรง พัดฝุ่นทรายเข้าตาได้ง่าย อาจทำให้ระคายเคืองได้ ดูแลตัวเองกันด้วยนะ หรือหากเคืองตามาก ๆ อยากจะไปหาหมอที่โอมานก็จัดไปพร้อมประกันภัยสุขภาพ Elite Health ได้เลย
Day 3 : Desert Nights Camp — Bahla Fort — Jebel Shams
เช้านี้เราเดินยิ้มแป้นแล้นมาเปิดประตูแคมป์ทักทายแสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดกระทบเนินทรายด้านหน้า จนอดไม่ไหวที่จะเดินถ่ายรูปอีกสักเล็กน้อย ก่อนไปทานเบรกฟาสต์ แล้วจัดแจงเก็บของ พอสาย ๆ หน่อย รถของแคมป์ก็มาจอดรอรับ เป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาต้องไปต่อแล้ว และก่อนกลับสองสต๊าฟหนุ่มหน้ามนคนกันเองก็มารอโบกมืออำลา พร้อมมอบขวดจิ๋วบรรจุเม็ดทรายละเอียดสีน้ำผึ้งนวลให้เราเก็บไว้ดูยามคิดถึง
ร่ำลากันเสร็จ พวกเราก็ขับรถยิงยาวต่อไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่ Jebel Shams โดยระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะแวะเที่ยวที่ Bahla Fort ก่อน เพราะนี่คือป้อมปราการที่ถูกสร้างเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล มีความยาวถึง 12 กม. ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของโอมาน พร้อมการันตีคุณค่าจากยูเนสโกที่ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987
จอดรถปุ๊ปเห็นแค่ข้างนอกก็มองออกทันทีว่าเป็นศิลปะแบบตะวันออกกลาง เพราะด้วยสีน้ำตาลอ่อนของดินและปูน เข้ากับลักษณะภูมิประเทศแบบทะเลทราย ด้านในป้อมมีโซนสำหรับป้อมปืนใหญ่ ห้องเก็บเสบียง ห้องละหมาด ห้องประชุม และห้องสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย แต่ที่เด่นที่สุดก็เห็นเป็นหอคอยทรงกลมที่สูงโดด สามารถเดินขึ้นไปชมวิวบ้านเรือนรอบ ๆ ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาดินทรายสีน้ำตาลสูงใหญ่สุดลูกหูลูกตาได้ ที่นี่เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 09.00 – 16.00 น. ค่าเข้าชมเพียงแค่คนละ 1 เรียล ( ประมาณ 80 บาท ) เท่านั้น
จากนั้นก็ถึงเวลาแห่งความหวาดเสียวและต้องอาศัยสกิลการขับรถชั้นเลิศ เพราะเรากำลังขึ้นไปยังแกรนด์แคนยอนแห่งโอมาน บนเขาสูงกว่า 2,000 เมตร ข้อแนะนำของเราคือควรรีบออกเดินทางตั้งแต่กลางวันเพราะสำหรับคนที่ไม่ชินทาง มาเจอลักษณะภูมิประเทศแบบภูเขาสูงชันและคดเคี้ยวก็ต้องตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ฟีลลิ่งตอนนั้น บอกเลยว่าเปิดเพลงชิวฟังไม่ได้แล้ว ต้องเรียนเชิญพี่จินมาขับร้องเต่างอยให้เราได้ครื้นเครงกันทั้งคัน ขับไปเจอวิวข้างทางที่แปลกตา ผ่าน Ruins of Riwaygh As-Sufil เมืองร้างโบราณ ระหว่างทางคุยกันเฮฮา เหนื่อยก็จอด สวยก็แวะถ่ายรูป หิวก็หยิบเสบียงที่ซื้อติดรถมาทาน จนในที่สุดเราก็มาถึงยอดเขาที่เป็นเป้าหมายของเรา เราจองบ้านทั้งหลังเอาไว้แบบไม่ไกลจุดชมวิว ชื่อว่า Canyon Rest House Jabal Shams สมาชิกในทริป 4 คนกับบ้านหนึ่งหลังมีห้องเพียงพอสำหรับการนอนแยกห้องได้สบาย ๆ
จุดมุ่งหมายของการเดินทางคือการได้ไปเห็น Jebel Shams ที่ได้รับฉายาว่า “ภูเขาแห่งอาทิตย์” เพราะภูเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาฮาจาร์และในประเทศโอมาน และเป็นอันดับที่สามในคาบสมุทรอาหรับ ที่มีความสูงกว่า 3,000 เมตร ไม่แปลกที่ยอดเขานี้จะได้รับแสงแรกจากดวงอาทิตย์เสมอ ตอนเย็นเราขับรถไปยังจุดชมวิวหุบเขาจีเบล อักห์ดาร์ หรือ แกรนด์ แคนยอน ออฟ โอมาน (Grand canyon of Oman ) ซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ที่ยิ่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งสวย และยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น
เรายืนขนลุกชมวิวเบื้องหน้าที่เป็นหุบเขากว้างใหญ่ ลึกลงไปชนิดที่ว่าหากเราตกเขา อาจจะใช้เวลาเป็นวันกว่าจะถึงก้นเหว เบื้องหลังเมื่อเราหันไปเป็นพระอาทิตย์ที่กำลังจะบอกลาลับขอบฟ้าไป สีชมพูแกมส้มสดใสสาดแสงมา ในฤดูหนาวแบบนี้ บนยอดเขาก็ยิ่งหนาวขึ้นไปอีก ทำให้เราไม่สามารถทนยืนชมวิวได้นานเท่าที่ใจอยากอยู่ได้ ต้องรีบกลับบ้านไปต้มมาม่าที่พกมาให้พอหายคิดถึงอาหารไทย พร้อมทั้งกินยาดักไว้เพราะอากาศเปลี่ยนแบบนี้อาจจะป่วยได้ง่าย เปิดเครื่องทำความร้อนทั่วบ้านแค่นี้ก็หลับสบายแล้ว
Day 4 : Jebel Shams — Misfat Al Abriyeen — Nizwa Fort — Muscat
ลงจากยอดเขาทางเราก็ไปต่อแบบไม่พักกันที่เมืองเก่าแก่ที่สุดในโอมาน Misfat al Abreyeen เราเริ่มต้นด้วยการขับรถไปฝั่งตรงข้ามหมู่บ้านตามล่าจุด IG Spot เพื่อให้ได้มุมในฝันอีกมุมที่ทำให้เราอยากมาโอมาน ได้ภาพสมใจอยากแล้ว ก็ขับรถอ้อมไปเดินเล่นในหมู่บ้านกันสักเล็กน้อย ความสุดยอดของที่นี่คือระบบชลประทานที่มีมานานมากว่า 400 ปี แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านบนภูเขาแต่ชาวบ้านก็สามารถลำเลียงน้ำ ด้วยภูมิปัญญา คิดค้นระบบชลประทานที่ดี ให้มีน้ำกินน้ำใช้ได้อย่างพอเพียงตลอด
ที่นี่เป็นเมืองโบราณที่ชาวพื้นเมืองสร้างบ้านดินอาศัยอยู่มายาวนาน ในหมู่บ้านมีร้านค้า ร้านขายเสื้อผ้า ร้านตัดเย็บ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมไปถึงโฮมสเตย์ หากต้องการสัมผัสความ Local อย่างถึงพริกถึงขิงก็ลองมาพักที่นี่สักคืน ส่วนเรานั้น มาถึงหมู่บ้านเก่าแก่ทั้งที จะกลับง่าย ๆ คงไม่ได้แน่ ๆ ขอนั่งจิบกาแฟด้วยด้วยท่าเหมอ ๆ แกล้มอินทผลัม ชมวิวให้สาแก่ใจอีช้อยหน่อยแล้วกัน
เสร็จมื้อกาแฟแล้ว เราก็ตรงปรี่ไปที่เมือง Nizwa เมืองประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของตะวันออกกลางที่มีชื่อเสียง วันก่อนเราแวะป้อมสำคัญของที่นี่ไปแล้ว 1 วันนี้เราจึงตั้งใจมาแวะที่ Nizwa Fort อีกหนึ่งป้อมปราสาทโบราณมีความคล้ายกับ Bahla Fort เป็นรูปทรงกระบอกให้มีลักษณะเฉพาะตัว และมีหอคอยหลักขนาดใหญ่ ซึ่งถูกใช้เป็นที่บังคับบัญชาของผู้ปกครองโอมาน ภายในมีการวางหลุมพราง และกับดักต่าง ๆ เพื่อป้องกันศัตรู ให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 09.00 – 16.00 น. และมีค่าเข้าชมคนละ 1 เรียล
ภายในป้อมจัดแสดงประวัติต่าง ๆ ทั้งลายลักษณ์อักษร รวมถึงสิ่งของต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นโอมาน มีมุมให้ถ่ายภาพเยอะมาก โดยเฉพาะความโดดเด่นของป้อมทรงกระบอกขนาดใหญ่ สลับกับวิวเมืองและภูเขา งานนี้โพสท่าจิกรัว ๆ เมมไม่เต็มห้ามหยุด หรือหากใครอยากนั่งอ่านหนังสือเพลิน ๆ ภายในป้อมก็มีคาเฟ่ให้นั่งตากแอร์ชิว ๆ ด้วยเด้อ
Day 5 : Oneday Trip Muscat City
สวัสดีวันเสาร์ซึ่งเป็นวันสุดท้าย วันนี้เราจะเที่ยวแบบเต็มวันในเมืองมัสกัต โดยเริ่มที่ Sultan Qaboos Grand Mosque มัสยิสสุดอลังการ กลางกรุงมัสกัต ที่ได้รับการการันตีว่าเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรอาหรับ จุคนได้ถึง 2 หมื่นคน สร้างจากหินทรายนำเข้าจากอินเดียหลายแสนตันโดยสุลต่านกาบูส ใช้เวลาสร้างถึง 6 ปี 4 เดือน สิ่งสำคัญ ขีดเส้นใต้ไว้เลยว่า ที่นี่ปิดวันศุกร์และต้องไปตั้งแต่เช้าเพราะเปิดถึงแค่ 11 โมงเท่านั้น และผู้หญิงจะต้องแต่งตัวมิดชิด ใส่กระโปรงยาวคลุมเท้า เสื้อแขนยาว คลุมผ้าโพกหัวให้เรียบร้อย แต่หากไม่ได้เตรียมชุดไป ที่มัสยิดมีบริการให้เช่าชุดในราคา 5 เรียล หรือประมาณเกือบ 500 บาทไทย
มัสยิดกาบูสก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบมัสยิดอิสลาม ยิ่งใหญ่ โอ่โถง สมศักดิ์ศรีโอมาน ดูจากด้านนอกจะเห็นโดมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมที่มั่นคง ท่ามกลางมวลหมู่ไม้ดอกไม้ประดับต่าง ๆ พอเดินเข้าไปด้านในห้องโถงภายในตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยกระจกสี พื้นปูด้วยพรมทอมือไร้รอยต่อทอเต็มผืนที่เค้าว่ากันว่าใช้เวลาทอกว่า 4 ปี ทำให้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก และแชนเดอเลีย(โคมไฟระย้า) ความสูง 14 เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แค่อ่านข้อมูลก็วู้วาอู้หูแล้ว ไปเจอของจริงจะยืนตะลึงงันแบบเราแน่นอน
ไปเจอความยิ่งใหญ่ของมัสยิดก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวันกับการหามุมถ่ายรูป และตื่นตะลึงกับความอลังการ เดินชมจนเหนื่อย กระเพาะเราก็เรียกร้องมื้อเที่ยงขึ้นมา เราปิดท้ายมื้อเที่ยงด้วยร้านที่เลือกจากความสวยงามล้วน ๆ ที่ Kargeen Restaurant ร้านอาหารที่สาวโบโฮจะต้องพุ่งตัวมากดชัตเตอร์ ภายในร้านมีกระท่อมเก่า ๆ สไตล์โอมานตัดกับเลาจ์ที่ทันสมัย ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ มีข้าวของเครื่องประดับตกแต่งที่ไม่เป็นระเบียบแต่มีความลงตัวแบบภารตะ เมนูอาหารก็มีทั้งอาหารพื้นเมืองหนักเครื่องเทศ และอาหารทั่วไป เช่น พิซซ่า สปาเก็ตตี้ หรือน้ำผลไม้ปั่น
จัดมื้อเที่ยงจนท้องตึงเป่ง บวกกับช่วงบ่ายกำลังหนักหนังตา คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการจิบกาแฟตากแอร์เย็น ๆ ที่ %Arabica Qurum ร้านกาแฟสัญชาติญี่ปุ่นในดวงใจของเราที่มีสาขาที่มัสกัต เราเลือกสั่งลาแต้ กาแฟดำ คนละแก้วสองแก้ว แล้วนั่งชิว หลบแดด เม้าท์มอย แต่งรูปลงโซเซียล สลับกับมองชาวโอมานที่เดินเข้าออกตลอดทั้งวัน รอให้แดดร่มกว่านี้อีกนิดก่อนจะไปปิดท้ายทริปที่ Mutrah Fort
สุดท้ายปิดทริปแบบมุมสูงกันที่ Mutrah Fort ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับท่าเรือสำราญ Mutrah และตลาดท้องถิ่น Mutrah Souk ถูกสร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 16 สมัยที่โปรตุเกสครองมัสกัต บางช่วงก็เป็นคุกไว้คุมขังนักโทษด้วย เดินเพลิน ๆ เรื่อย ๆ มาจนถึงทางขึ้นป้อม ก็ต้องกัดฟันขึ้นบันไดไปหลายขั้นหน่อย แต่เอาหัวเป็นประกันเลยว่าข้างบนมองเห็นโค้งถนนริมเลที่ปังมาก นั่งมองวิวรถผ่านไปมาบนถนนที่คดโค้งฝั่งหนึ่งเป็นทะเลสีฟ้าคราม อีกฝั่งเป็นภูเขาใหญ่โต มองได้เพลิน ๆ จนตะวันตกดินหายวับไปกับน้ำทะเล
และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 วันจุก ๆ ในโอมาน ที่เรามั่นใจเลยว่าหากใครได้มาเที่ยว จะหลงรักตั้งแต่ไปยันกลับ ถึงกลับมาก็จะนั่งดูรูปจนเพ้อหาไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะโอมานเป็นประเทศที่ดียืนหนึ่งในดวงใจเราอีกแห่ง เพราะนอกจากเรื่องเที่ยวที่มีธรรมชาติสุดปัง ทัศนียภาพอลังการ ถนนหนทางดี ค่าครองชีพพองาม กิจกรรมให้ทำเยอะแยะมากมายแล้ว ยังดีทั้งเรื่องสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม นิสัยใจคอของผู้คน เป็นประเทศที่ให้เสรีเรื่องการนับถือศาสนาและให้โอกาสผู้หญิงได้ใช้ศักยภาพในการประกอบอาชีพมากที่สุดในอาหรับ รายได้ต่อหัวของประชากรก็เยอะ ทุกคนดูอยู่ดีกินดีไม่มีความทุกข์ เลยทำให้เมืองดูปลอดภัยไม่ต้องห่วงเรื่องอาชญากรรม และเนื่องจากเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษเลยทำให้ภาษาเค้าดีมากด้วย น่าเที่ยวหมดจดทุกหยดขนาดนี้ จองตั๋วบินไปให้เร็วรี่ แล้วอย่าลืมไปเที่ยวทั้งทีต้องดูแลสุขภาพให้ดีด้วย Elite Health จากเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยล่ะ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกเลย