รีวิวสวิตเซอร์แลนด์ : A Trip to Paradise on Earth “Switzerland”

“สวิตเซอร์แลนด์” คือประเทศที่เหมาะแก่การพาตัวเองไปลองใช้ชีวิตดี ๆ สักครั้ง เพราะนี่คือประเทศเล็ก ๆ ผู้ก้าวฝ่าทั้ง 193 ประเทศ จาก 6 ทวีป มายืนหนึ่งโบกมือรับมงว่าน่าอยู่มากที่สุดในโลกหลายปีซ้อน แบบไร้ข้อกังขา ประเทศที่อาจทำให้แกอยากหลั่งน้ำตาให้กับความสวยงามหมดจดในทุกก้าวเดิน เพราะอะไร ๆ ที่นี่ก็ดีไปหมด ระบบขนส่งดี ช็อคโกแลตอร่อย ประวัติศาสตร์แน่น ธรรมชาติก็ยิ่งใหญ่อลังการชวนขนลุก ซึ่งตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เราลัดเลาะขึ้นยอดเขาที่สวยราวกับเดินเล่นบนสวรรค์ ( ไม่เคยไป เดาเอา ) ลงเรือลอยลำบนทะเลสาบสีครามที่ทำให้เราลังเลใจว่านี่คือท้องน้ำหรือท้องฟ้า เดินชมวิวทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดสายตาที่ชวนหลงไหลชวนหายใจให้เต็มปอด จิบกาแฟชั้นดีในคาเฟ่ที่แสนอบอุ่น ถ่ายรูปมาให้ทั้งเท่ทั้งละมุนจนเมมเต็ม ตั้งแต่เมือง Luzern – Interlaken – Zermatt – Zurich เราก็บอกได้เลยว่ามันดีจริง ๆ และไม่ว่าแกจะชอบเที่ยวสวย ๆ สะบัดกระโปรงพริ้วยาวสีขาวเดินร่อนรอบเมืองกับแฟน ขึ้นป่าเขาเทรคกิ้งแบบลุย ๆ กับแก๊งค์เพื่อน หรือเที่ยวข้ามเมืองตามหาจุดไฮไลท์ต่าง ๆ แบบสบาย ๆ กับครอบครัว สวิสเค้าก็มีให้แกครบ บอกได้เลยว่าหากได้มาเที่ยวสักครั้งจะทำให้แกจำมิรู้คลาย ตายอย่างสงบศพสีชมพูแน่นอน

อันที่จริงสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้แบบสังคมไร้เงินสดที่แท้ทรูอยู่แล้ว แต่เราจะมาเพิ่มความปลอดภัย สะดวก ประหยัด และง่ายดายอีกระดับด้วย PLANET SCB บัตรใหม่ล่าสุดที่ออกมาเพื่อเอาใจสายท่องเที่ยวกันโดยเฉพาะ เพราะนอกจากจะสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรทุกสกุลเงินทั่วโลกโดยไม่ชาร์จ 2.5% แล้ว เรายังสามารถแลก 13 สกุลเงินยอดนิยม ได้ทุกที่ทุกเวลาราวกับมีตู้แลกเงินติดตัว เรทที่ได้ก็ดีงามเทียบเท่าร้านแลกเงินชั้นนำ แต่เหนือตรงที่สะดวกกว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อแถวแลกเงินให้เมื่อย แถมทุกธุรกรรมการเงินสามารถทำได้ง่ายผ่าน SCB EASY APP ตลอด 24 ชั่วโมง จากทั่วทุกมุมโลก ดังนั้นไม่ว่าแกจะอยู่ที่ไหนก็สามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ จะรูดจ่ายที่ร้านค้า หรือช้อปออนไลน์ก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเหมือนบัตรวีซ่าอื่น ๆ ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวของเราไม่จำเป็นต้องพกเงินสดให้เยอะแยะ และอันตรายอีกต่อไป เรียกได้ว่าบัตรใบเดียวเที่ยวคุ้มทั่วโลก อ้อ!!! แล้วอย่ารอช้านะเพราะตอนนี้ SCB เค้าใจดีแจกบัตรให้ใช้ฟรีโดยไม่มีค่าออกบัตรและค่าธรรมเนียมตลอดชีพยาวจนถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น

DAY 1 : Zurich – Luzern – Titlis – Luzern

บินตรงลงซูริคแบบเลิศ ๆ เชิดๆ ในช่วงเช้า เราก็นั่งรถไฟผ่านวิวทิวทัศน์ที่สวยงามจนไม่อาจหลับลง เพื่อมายัง Luzern ที่ซึ่งเป็นหัวเมืองมาแต่สมัยโบราณ พร้อมพรั่งทั้งตำนานและประวัติศาสตร์มากมายกว่า 100 ปี รวมถึงเป็นบ้านของเทือกเขาแอลป์ที่สูงเสียดฟ้าจนได้ชื่อว่าหลังคาแห่งทวีปยุโรป ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นสายลุยที่อยากมาตะกุยหิมะ สัมผัสความสวยงามจนเกินจินตนาการบนเทือกเขาแอลป์กันแบบทั้งโหด ทั้งมันส์ ทั้งสวรรค์บนดิน หรือจะเป็นสายหวานที่อยากจะควงแขนคนรักมาเดินชมประวัติศาสตร์สุดคลาสสิคและโรมันติก เพื่อเพิ่มน้ำตาลในสายเลือดก็เหมาะสม แม้แต่สายซิตี้ ที่หลงรักในแหล่ง Shopping หลงใหลในงานสตรีทอาร์ต และหลงเลยกับแบ็คกราวน์ถ่ายรูปที่ชวนให้ลั่นชัตเตอร์แบบไม่มีหยุดก็ต้องโดนใจ เรียกได้ว่าครบรสสมบูรณ์แบบเป็นเมืองที่เหมาะกับการท่องเที่ยวทุกสาย ทุกสไตล์จริง ๆ

หลังจากเช็คอิน เก็บข้าวของเข้าที่พัก แต่งตัวให้ดูน่ารักเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาลุยกันแบบรัว ๆ ให้สมกับสิบกว่าชั่วโมงที่นั่งกักเก็บพลังงานกันมา เพื่อขึ้นรถไฟไปยังโลเคชั่นแรกที่ Titlis เทือกเขาที่สวยสง่า ขวัญใจของนักเล่นสกีชาวสวิสและนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ตั้งอยู่ในเมือง Engelberg ซึ่งตลอดสองข้างทางบนรถไฟวิวที่ค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านตาเราไปก็ชวนมองจนน้ำตาเกือบซึม เพราะซึ้งในความสวย และยังไม่ทันหายตื่นเต้นกับวิวแปลกตาเราก็มาถึงสถานี Engelberg ที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งรถบัสฟรีหรือเดินกินลมชมวิวฟังเสียงนกเสียงกาและสายน้ำที่ไหลผ่าน เพื่อไปยังสถานีสำหรับขึ้นกระเช้าสู่ยอดเขา Titlis

หลังจากพาร่างกายผ่านวิวทิวทัศน์อันสดชื่นเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำเราก็มาถึงจุดขึ้นกระเช้า โดยไม่ลืมโชว์สวิสพาสเพื่อรับส่วนลดค่าตั๋ว 50% และใช้บัตร PLANET SCB รูดจ่ายส่วนที่เหลือแบบสบาย ๆ ส่วนการขึ้นสู่ยอดเขานั้นเราจะต้องนั่งกระเช้าถึงสามสถานีด้วยกัน ซึ่งถ้าใครอยากใช้เวลาเดินเล่นชมความงามบนเขาลูกนี้อย่างใกล้ชิด หรือถ่ายรูปเล่นแบบชิล ๆ ก็สามารถเลือกเดินระหว่างสถานีแรกและสถานีที่สองได้ตามสะดวก ส่วนไฮไลท์หลักที่ทำให้หลายคนต้องอึ้งตะลึงงัน และใช้คำว่าสวยได้สิ้นเปลือง จะอยู่ที่สถานีที่สามที่เค้าใช้กระเช้า Rotair ที่สามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับการหมุนแบบ 360 องศา ไปพร้อม ๆ กัน งานนี้แม้แต่จีนก็ยังต้องถอย แม่ลูกเกดก็ยังต้องยอม เพราะวิวระหว่างทางคือสวยราวกับหลุดออกมาจากนิยายขายฝัน คือทุกอย่างดูสวยเพอร์เฟก ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าเตี้ย ๆ สีเขียว ต้นสนที่เรียงรายไปตามความชันของภูเขา ไอหมอกที่ลอยอย่างแผ่วเบาตามลม หรือแม้แต่ยอดเขาที่ถูกเมฆบังก็ยังแผ่รังสีความสวยออกมาจนเราได้แต่อ้าปากค้างแบบเผยอนิด ๆ ให้พองาม

และแล้วกระเช้าก็พาเราแลนด์ดิ้งทิ้งตัวบนยอดเขาที่มีความสูงถึง 3,238 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนตลอดทั้งปี แม้ในยามฤดูร้อน ที่นี่จึงมีกิจกรรมให้เราเล่นกับหิมะให้เลือกทำอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสกีสำหรับสายแอดเวนเจอร์เอกซ์ตรีม การนั่ง Ice Flyer กระเช้าห้อยขาที่เปิดโล่งทั้ง 360 องศาให้เราชมวิวแบบสุดเสียวเพื่อไปสไลด์ตัวพร้อมห่วงยางลงเขาแบบเบา ๆ ที่ Glacier Park สำหรับสายแอดเวนเจอร์ปานกลาง และสำหรับสายชิลเค้าก็มีจุดชมวิวที่สะพานแขวน Titlis Cliff ให้เราเดินเล่นชมวิวกันแบบเพลิน ๆ อีกด้วยจ้า

เก็บภาพจนพอใจและสูดอากาศจนเต็มปอด ขากลับเราจึงเลือกแวะลงกระเช้าที่สถานี Truebsee เพื่อชมทะเลสาบสีฟ้าครามนามว่า Truebsee ผู้มีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านคล้ายบอดี้การ์ดส่วนตัวที่คอยคุ้มครองทะเลสาบแสนสวยนี้ไว้ และเดินเล่นทอดน่องใช้เวลาสัมผัสบรรยากาศของยอดเขา เฝ้ามองผู้คนที่กำลังพายเรืออย่างเอื่อยเฉื่อย ฟังเสียงกระดิ่งที่ดังพร้อม ๆ กับการก้าวเดินของน้องวัว ไล่จับสัมผัสของสายลมที่ไม่มีตัวตน และเก็บภาพที่เราไม่อาจลืมเลือนไว้ด้วยตาของตัวเอง นี่บอกเลยว่า … ถ้าแกได้มายืนอยู่ตรงนี้นะ เราเชื่อว่าหลายคนอาจต้องหยิกตัวเองว่ากำลังฝันหรือตื่นอยู่กันแน่ เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันสวยเกินพรรณนาจริง ๆ

ลงจากกระเช้าทางเราก็กลับมาเที่ยวต่อกันในเมืองลูเซิร์น เพื่อเดินสำรวจและเช็คอินตามแลนด์มาร์คดัง ๆ โดยเริ่มจาก Chapel Bridge (Kapellbrucke) and Water Tower (ชาเปิลบริดจ์ และวอเตอร์ทาวเวอร์) สะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป เส้นทางที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมโรงละครลูเซิร์นและโบสถ์เซนต์ปีเตอร์เข้าด้วยกัน โดยระหว่างทางเดินสะพานหากแกชำเลืองมองขึ้นด้านบน ก็จะเห็นรูปวาดสีเข้มที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์น ตำนานเทพ Maurititus และ นักบุญ Leodegar ผู้สร้างเมืองนี้ และหอคอยแปดเหลี่ยมอายุกว่า 670 ปีสัญลักษณ์ของเมือง

แลนด์มาร์คถัดมาที่เรามาหยุดยืนอยู่ก็คือ Dying Lion of Lucerne Monument อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น ของขวัญที่รัฐบาลฝรั่งเศสสร้างให้เป็นเกียรติแก่ทหารรับจ้างชาวสวิสจำนวน 786 นาย ที่ได้เข้าร่วมการปราบจราจลร่วมกับกองทัพฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ปี 1792 สิงโตตัวนี้จึงมีใบหน้าที่เศร้าโศกคล้ายกับกำลังร้องไห้ โดยสองขาหน้าของมันกำลังกอดหอกและโล่ที่มีตรากากบาทสัญลักษณ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กลางลำตัวมีหอกปักอยู่ แสดงถึงความซื่อสัตย์ที่พร้อมยอมตายในหน้าที่ เป็นรูปแกะสลักที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกได้ดีจนเรารู้สึกเศร้าไปด้วยทีเดียว

DAY 2 : Luzern – Mt.Rigi – STANSERHORN – Luzern

เช้าวันที่สองอันสดใส เราตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่แสนจะเย็นสบายในช่วงซัมเมอร์ของสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้มนุษย์ใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างเราอยากจะเก็บอากาศใส่กระป๋องเอากลับไปไว้ที่บ้าน 555 คิดได้ไม่ทันไรก็ต้องรีบหยุดมโน เพราะวันนี้เรามีโปรแกรมไปล่องเรือที่ Luzern Lake ทะเลสาบขนาดใหญ่ ศูนย์กลางเชื่อมต่อระหว่างเมือง และเส้นทางเดินเรือในทะเลสาบที่ยาวที่สุดในทวีปยุโรป ที่ซึ่งจะพาเราไปยัง Queen of the Mountains ไฮไลท์หลักของเราในวันนี้ ซึ่งเอาเข้าจริงเราว่าไฮไลท์ของวันมันเริ่มต้นตั้งแต่ที่เรือแล่นออกจากท่าแล้วล่ะ เพราะน้ำในทะเลสาบแห่งนี้เป็นสีฟ้าอมเขียว เขียวอมฟ้า ตามแต่ความลึกและแร่ธาตุในบริเวณนั้น ๆ ที่สว่างใสจนมองเห็นพื้นด้านล่าง มองเลยขึ้นมาอีกนิด ถัดไปจากสาว ๆ ที่ขาวสวยก็คือวิวภูเขาสลับซับซ้อนที่เปลี่ยนฉากไปเรื่อยเรื่อย นี่แหละอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เพิ่มขึ้นมาโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

หลังจากยืนรับลมและกดชัตเตอร์ตั้งแต่เรือออกจากท่าก็ได้เวลาที่เราจะเพิ่มคาเฟอีนในตอนเช้ากันสักนิด เพราะภายในเรือลำนี้มีห้องอาหารที่ให้บริการเครื่องดื่มหลากหลายชนิด และขนมอบใหม่ให้เราไปหาที่นั่งหลบมุมจิบกาแฟที่ทั้งหวานและขม ชิมขนมที่ทั้งกรอบและชุ่มเนย อย่างครัวซองค์ และแน่นอนว่าทุกอย่างที่เราสั่งบนเรือลำนี้สามารถจ่ายได้ด้วยบัตร PLANET SCB ที่ทำให้ชีวิตเราสะดวก เพราะจ่ายได้รวดเร็ว ปลอดภัย เพราะไม่ต้องพกเงินสด และคุ้มค่า เพราะเราได้แลกเงินเก็บไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ คุ้มแบบนี้ไปไหนก็หายห่วงเด้อออออ

สำหรับเส้นทางการล่องเรือนี้หากใครจะนั่งชมวิวทิวทัศน์ไปจนถึงเมือง Brunnen และ Fluelen เลยก็ได้ แต่เพราะไฮไลท์ของเราในวันนี้คือราชินีภูเขาเราจึงต้องขอโดดลงที่กลางทาง ณ เมือง Vitznau เพื่อต่อรถไฟไต่เขา RIGI – BAHN ขึ้นไปด้านบนของของยอดเขา Mt.Rigi ที่ในระหว่างนี้ก็ยังมีวิวสวย ๆ ให้เราดูกันแบบไม่รู้จักเบื่ออีก ดังนั้นเราขอแนะนำให้แกเลือกนั่งฝั่งซ้ายมือ เพราะจะเป็นฝั่งที่สามารถชมวิวพาโนราม่าของทะเลสาบที่อยู่ระหว่างทางได้แบบเต็มตามากที่สุด

สำหรับ Mt.Rigi แห่งนี้ คือหนึ่งในยอดของเทือกเขาแอลป์ ที่มีความสูงระดับกลางคือสูงเพียง 1,798 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้จุดเด่นของมันไม่ได้อยู่ที่ความสูง แต่อยู่ที่สภาพภูมิประเทศที่รายล้อมมัน นั่นก็คือเหล่าทะเลสาบ ไม่ว่าจะเป็น Luzern Lake, Zug Lake, และ Lauerz Lake ทำให้มันมีจุดชมวิวชวนว้าวถึง 9 จุด เริ่มตั้งแต่จุดชมวิวแบบชิล ๆ ที่เดินง่ายไปง่าย ไปจนถึงจุดชมวิวที่ต้องใช้อุปกรณ์ปีนเขาเพื่อขึ้นไปชมกันเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าคนที่รักหมูกระทะมากกว่าการออกกำลังกายอย่างเรานั้น ขอเลือกแต่งตัวจัดเต็ม แล้วไปเดินชิล ๆ เล่น ๆ แอ็คติ้งถ่ายรูปในลุคลุยน่าจะเหมาะกว่า

อ้อ!!!! แล้วเผื่อใครที่กำลังคิดว่าการเดินทางขึ้นเขาสูงมาขนาดนี้ จะต้องแบกเสบียงขนน้ำท่าขึ้นมามากมายก่ายกอง เพราะเกรงจะหาซื้อยาก เราขอให้คิดใหม่ ที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่ว่าจะสูงแค่ไหนเค้าก็มีตู้อัตโนมัติให้เรากดน้ำดื่มน้ำกินได้แบบสะดวกสบาย ไม่ต่างจากด้านล่าง เพื่อเป็นการลดใช้แรงงานคนในงานที่ไม่ต้องใช้ฝีมือ ที่สำคัญตู้เหล่านี้ยังสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าได้ด้วย แล้วมีหรอที่เราจะไม่หยิบบัตร PLANET SCB ขึ้นมากดซื้อช็อกโกแลตหวาน ๆ น้ำแร่ฉ่ำ ๆ มาทานเสริมบรรยากาศที่แสนจะสบายตรงหน้า

และเพราะเวลากลางวันในช่วงของซัมเมอร์ของที่นี่จะยาวนานกว่าฤดูอื่นค่อนข้างมาก และการเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาดัง ๆ ก็มักจะมีบริการกระเช้าให้ขึ้นไปถึงได้แบบง่าย ๆ ทำให้เราสามารถแวะทานมือเที่ยงบนยอดเขาหนึ่ง แล้วไปจิบอาฟเตอร์นูนทรีที่อีกยอดเขาหนึ่งเป็นเรื่องง่ายดาย เพราะฉะนั้นจบจากภูเขา Rigi ทางเราก็ไปต่อที่ Stanserhorn ทันที ด้วยนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Stans แล้วเดินไปต่อรถราง Funicular เพื่อไปขึ้นกระเช้าสุดคูลแบบ Double desk หรือกระเช้าแบบสองชั้น ที่ชั้นบนเป็นที่แบบ Ope air ให้เราสัมผัสบรรยากาศระหว่างกระเช้าเคลื่อนที่แบบเรียล ๆ ใกล้ชิดธรรมชาติแบบแกรนด์ ๆ ไม่เหมือนใคร ปั๊วะ ปัง จนต้องรีบส่งรูปอวดที่บ้าน และอัพลงโซเชียลทุกช่องทางเพื่ออวดเพื่อน

สำหรับจุดเด่นของยอดเขา ชตันเซอร์ฮอร์น คือเราสามารถมองเห็นทะเลสาบลูเซิร์นได้อย่างชัดเจนแทบจะทุกส่วนและยังสามารถชมวิว 360 องศาจากยอดเขาสีเขียวชะอุ่มไปจนถึงยอดเขาสีขาวโพลน ทำให้ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็ออกมาสวยถูกใจไม่ต้องแย่งชิงเพียงมุมเดียว ด้านบนมีร้านขายของฝาก รวมถึงร้านอาหารให้เราได้นั่งสบาย ๆ กินดื่มไปพร้อมกับรับลมชมวิวที่แสนจะสวยงาม วันไหนอยากชิล ๆ จำลองตัวเองเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ซักหนึ่งวัน แกก็สามารถพกหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาสักเล่มแล้วสั่งช็อกโกแลตร้อนสักหนึ่งแก้ว ปล่อยเวลาให้ไหลเรื่อยไปแบบไม่เร่งรีบ แค่นี้ก็เป็นการสร้างหนึ่งวันธรรมดาที่แสนจะไม่ธรรมดาได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบง่าย ๆ

DAY 3 : Luzern – Interlaken – Schilthorn – Interlaken

อิ่มเอมจากบรรยากาศธรรมชาติของเมืองลูเซิร์น ก็ได้เวลาที่เราจะย้ายที่นอนไปยัง Interlaken เมืองที่ถูกขนาบข้างด้วยสองทะเลสาบคือ Thun Lake และ Brienz Lake แต่เดิมอาชีพหลักของคนที่นี่คือการทำอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ เครื่องนุ่งห่ม และนาฬิกา แต่เมื่อความสวยงามของที่นี่ถูกแพร่กระจายออกไปอาชีพหลักจึงเปลี่ยนมาเป็นการทำโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวด้วยความน่ารักเป็นหลักแทน ใครที่หลงใหลในการ Shopping และการดื่มกินในคาเฟ่ เราฟันธงเลยว่าแกจะต้องหลงรักเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อย่างแน่นอน ส่วนใครที่อยากลองทำกิจกรรมแปลกใหม่ที่นี่ก็มีพาราไกลดิ้ง เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตที่เห็นได้บ่อยจนชินตา ให้แกได้ลองลอยละล่องท่องนภาชมผืนฟ้าอย่างใกล้ชิดก่อนจะแลนด์ดิ้งลงตรงสนามหญ้าที่กลางเมือง

ก่อนจะเริงรื่นชื่นชมเมือง เราขอเช็คอินเก็บกระเป๋าแล้วก็โดดขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขาที่มีชื่อว่า Lauterbrunnen เพื่อนั่งกระเช้าสู่ยอดเขา Schilthorn โดยเราเริ่มนั่งจากสถานีเคเบิ้ล Lauterbrunnen BLM ไปยังสถานี Grutschalp จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟไต่เขา นั่วชมวิวสุดว้าว เพื่อไปต่อกระเช้าที่สถานี Mürren แต่ก่อนจะไปต่อเราขอแวะเดินชิลในหมู่บ้าน มือร์เริน แห่งนี้ ที่นี่มีความโดดเด่นและแตกต่างจากที่อื่นด้วยกระท่อมไม้สไตล์ชาเลต์ ที่อยู่เรียงกันตามเนินเขา อีกทั้งยังมีลานสกี และโรงเรียนสกี ให้คนที่สนใจสามารถมาพักค้างคืนและเรียนอัพสกิลในช่วงฤดูหนาวอีกด้วย ส่วนใครที่แค่อยากแวะพักเค้าก็มีร้านอาหารวิวดี ร้านคาเฟ่น่านั่ง ร้านขายของฝากชวนเสียตังค์ให้เราได้แวะซื้อของติดไม้ติดมือมาแบบเบาเบา โดยทุกร้านที่แม้จะอยู่บนเขาสูงก็ล้วนรับบัตรวีซ่าด้วยกันทั้งนั้น เราสามารถใช้จ่ายผ่านบัตร PLANET SCB ที่จะซื้อน้อยซื้อมากก็สามารถรูดจ่าย ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ตอบโจทย์คนที่รักความสะดวกสบายแบบเรามาก ๆ

Shopping ให้จิตใจเบิกบาน เราก็นั่งกระเช้าอีกสองต่อมุ่งสู่จุดหมาย ณ ยอดเขา Schilthorn ที่คนรัก James Bond จะต้องรู้จัก เพราะที่นี่คือสถานที่ถ่ายทำในตอน On Her Majesty`s Secret Service ใครที่มาตามรอยรับรองไม่ผิดหวัง เพราะเค้ามีนิทรรศการ James Bond จัดแสดงด้วย ส่วนใครเริ่มหิวและอยากลองทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศที่จะเปลี่ยนไปทุก ๆ นาที!!! ก็สามารถตรงไปที่ร้านอาหารสุดแกรนด์อย่าง Piz Gloria ห้องอาหารหมุนได้ ที่แกสามารถกินอาหารพร้อม ๆ กับรับชมวิวรอบ ๆ ได้แบบ 360 องศาไปพร้อม ๆ กัน หรือถ้าแกอยากชมวิวเพียว ๆ ยอดเขา Jungfraujoch และยอดเขาสามเกลออย่าง Mounch, Eiger และ Titlis ก็ตั้งตระหง่านอวดโฉมรอแกอยู่ไม่ไปไหน

DAY 4 : Interlaken – Zermatt – Interlaken

แม้จะเข้าสู่วันที่สี่แต่ไฮไลท์ของสวิสก็ยังไม่หมดลงง่าย ๆ เพราะวันนี้เราจะมุ่งตรงสู่ดรีมเดสตินี่ชั่นจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลาย ๆ คน เพราะมันคือยอดเขาแสนหวานที่เราเห็นผ่านตามาหลายสิบปีบนกล่องช็อคโกแลตชั้นดีที่อร่อยไม่เคยเปลี่ยน นั่นก็คือยอดเขา Matterhorn ที่ใครอยากจะมาพักเพื่อดูมันสักคืนที่เมือง Zermatt ก็เหมาะ หรืออยากจะมาแบบเช้าเย็นกลับจาก Interlaken แบบเราก็ทำได้ เพราะอย่างที่บอกไปในช่วงซัมเมอร์ที่พระอาทิตย์เข้าข้างนี้ทำให้เรามีเวลากลางวันที่ยาวนานมากขึ้น  ขอเพียงตื่นเช้าอีกนิดก็สามารถประหยัดเวลาในการย้ายของเปลี่ยนโรงแรมได้อีกมาก ดังนั้น 6 โมงเช้าเราก็พร้อมที่จะก้าวขึ้นสู่รถไฟขบวนแรกและใช้เวลาอีกประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อเดินทางสู่ Gornergrat แบบเวลาเหลือ ๆ ที่ตอนแรกเราคิดว่าจะมางีบเอาแรงต่อบนรถไฟ แต่กลายเป็นถูกปลุกให้ตื่นพร้อมความตื่นเต้นจากวิวของสองข้างทางจนไม่อาจหลับลง นี่ล่ะ คือสวิตเซอร์แลนด์ดินแดนที่สวยจนไม่อยากละสายตา

ก่อนขึ้นสู่ยอดเขาเราก็ไม่ลืมที่จะโชว์สวิสพาสเพื่อใช้ลดค่าตั๋ว และใช้ PLANET SCB รูดจ่ายในส่วนที่เหลือแบบไม่ต้องนับเงินให้เสียเวลา สะดวกจนแพลนแลกเงินอีก 13 สกุลที่เหลือรอแล้วจ้าแม่ อ้ะ หลังรูดจ่ายแบบว่องไว เราก็พร้อมก้าวเข้าสู่รถไฟไต่เขาที่เราบอกเลยว่าแกรนด์ที่สุด ฟินนาเล่ที่สุด จนเรานั่งไม่ติดเบาะ เพราะตรงฝั่งซ้ายก็มุมดี ฝั่งขวาก็วิวสวย มุมกดก็เป๊ะ มุมเงยก็ปัง จนเราไม่แน่ใจว่าระหว่างขาเรากับชัตเตอร์อันไหนรัวกว่ากันละแม่จ๋า

ขณะรถไฟค่อย ๆ เคลื่อนขึ้น ภาพของยอดเขา Matterhorn ที่ตั้งอยู่ขนานกับยอดเขา Gornergrat นี้ก็ค่อย ๆ ชัดขึ้นเช่นกัน เหมือนภาพในการ์ตูน ที่สายตาทุกคนในรถไฟนี้ เป็นประกายระยิบระยับ เม้มปากเพื่อกดอาการอยากกรีดร้อง ตื่นตันจนน้ำตาแทบไหล ขอบคุณพระเจ้าที่สร้างโลกนี้ออกมาได้อย่างสวยงาม ยังไม่ทันได้ซับน้ำตาเสียงลั่นชัตเตอร์ก็ดังแบบไม่ต้องนัดหมาย หากเป็นปืนกลยอดเขา Matterhorn ที่ยืนหล่ออยู่เป็นพัน ๆ ปี บนความสูง 4,478 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ที่โด่งดังเพราะมียอดเรียวแหลมนี้ คงลงมากองขวางทางรถไฟแล้วแน่ ๆ

พอยอดเขา Matterhorn เริ่มเผยตัวตรงหน้าเราชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะไม่มีอะไรอยู่ในปากแต่รสหวานและกลิ่นหอม ๆ ก็ดูเหมือนจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นั่นก็เป็นเพราะจิตใต้สำนึกเราคงรู้สึกเหมือนมีช็อคโกแลต Toblerone แท่งโตรอให้เราแกะเปลือกเอาเข้าปากมาตั้งอยู่เบื้องหน้าล่ะมั้ง หลังจากเดินหามุมเหมาะ ๆ เราก็รีบควักช็อคโกแลตในตำนานมาเป็นพร้อบเก๋ ๆ แบบไว ๆ ก่อนจะเอาเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับให้หนำใจแบบถึงถิ่น

เช่นเดียวกันกับยอดเขาอื่น ๆ ที่นี่ก็ยังมีกิจกรรมให้เลือกทำอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเล่นสกีในช่วงฤดูหนาว ปีนเขาหรือเดินเทรลในช่วงฤดูร้อน หลากหลายเส้นทางที่สามารถใช้เวลาอยู่ได้แบบเป็นสัปดาห์ แต่เราที่เป็นสายเที่ยวกันพองามจึงขอเลือกเช็คอินเฉพาะจุดห้ามพลาดเพียงกรุบกริบ นั่นก็คือ Riffelsee-Lake จุดชมวิวที่เราสามารถเห็นยอดเขา Matterhorn ได้ถึง 2 ยอดในคราวเดียว คือแบบตัวจริงและแบบที่เป็นเงาสะท้อนในน้ำ บอกเลยว่าใครที่แต้มบุญสูงได้เจอวันแดดดีฟ้าใส ตรงนี้คือจุดต้องมาในต้องมาจริง ๆ เพราะจะมาถ่ายยอดเขาเปล่า ๆ ก็เด็ด หรือจะให้เผ็ดด้วยการหามุมยืนโพสท่าทำหน้าจิกจนกล้องแตกก็เหมาะสม วิธีการมาจาก Gornergrat สามารถเลือกได้ 2 ทาง คือเดินลงเขามาตามป้าย ชมวิวแบบเรื่อย ๆ ในเวลา 1.30 ชั่วโมง หรือจะนั่งรถไฟมาลงสถานี Rotenboden แล้วเดินต่อไปอีก 10 นาที ก็ได้เช่นกัน

หลังจากอิ่มกับวิวทิวเขาที่เราใช้เวลาดื่มด่ำไปเกือบครึ่งวันแล้ว ทางเราก็ลงเขามาเที่ยวกันต่อที่หมู่บ้าน Zermatt หมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในหุบเขา Mattertal บนความสูง 1,620 เมตร ที่ค่อนข้างจะคึกคัก เพราะแม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็เป็นสถานที่ ๆ เหมาะกับการพักผ่อนตากอากาศ นอนค้างสักหนึ่งคืน เพราะตลอดสองข้างทางมีโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของฝากให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ถ้ามาวันเดียวแบบเราก็สามารถมาเดินเล่น หาอาหารอร่อย ๆ มุมถ่ายรูปสวย ๆ กลับไปได้ไม่น้อยหน้าหมู่บ้านอื่นเลยล่ะ

DAY 5 : Interlaken – Suspension Bridge Over Rotten – Oeschinen Lake – Blausee – Zurich

แม้ว่าจะเป็นวันที่ห้าแล้ว เราก็ยังยืนยันที่จะพูดเช่นเดิมแบบทุกวันว่าไฮไลท์ของสวิตเซอร์แลนด์ยังไม่หมดลงจริง ๆ วันนี้เราจะพาไปเจาะสามสถานที่ที่เป็นเหมือน Hidden Gems ของทริปนี้ โดยที่แรกคือ Suspension Bridge Over Rotten สะพานแขวนสำหรับข้ามแม่น้ำที่เราสามารถเดินข้ามยอดต้นสนสีเขียว และสายน้ำที่เกี้ยวกราดสีฟ้าอ่อน เป็นมุม Top ที่ Top ทั้งความสูงและความสวย เพื่อไปยังหมู่บ้านลับในทิวสนที่เหมาะแก่การจิบกาแฟยามเช้าเป็นที่สุด แกเอ๊ย ถ้านี่คือบทเพลง มันก็คือท่อนฮุคที่แสนจะกังวานและติดหู ถ้านี่คือน้ำหอมมันก็คือท้อปโน๊ตที่ชวนให้จดจำ ถ้ามันคือนิยายรางวัลมากมายก็ต้องการันตีอ่ะแก๊

หลังจากตะลึงในความสวยอยู่พักใหญ่ เดินเที่ยวกันแบบอิ่มอกอิ่มใจ ทางเราก็พร้อมเดินทางต่อด้วยรถไฟ นั่งกินลมชมวิวอัพรูปพร้อมแคปชั่นชวนหมั่นใส้ว่า “ถ่ายจากสะพานหลังบ้าน” ก่อนจะลงที่สถานี Kandersteg โดยจากสถานีเราก็เดินตามป้ายไปยัง Godelbahn Kandersteg Oeschinensee จุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์ เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปของเรา ระยะทางก็จะราว ๆ 1 กิโลเมตร ด้วยอากาศเย็นสบาย ๆ และวิวตามหมู่บ้านที่เห็น ทำให้ระยะทางดูสั้นเหมือนเดินเพียง 1 ช่วงตึกเท่านั้นเอง ก็เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ … ใช่มั้ยล่ะ … สวิสฟินทุกย่างก้าวจ้าบอกเลย

หลังจากจ่ายตั๋วด้วยบัตร PLANET SCB แบบง่าย ๆ เหมือนเช่นทุกครั้งเรียบร้อย จากนั้นก็เดินดิ่งขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปแบบสวย ๆ พอถึงด้านบนเราต้องเดินเท้าต่ออีกราว ๆ 30 นาที เพื่อไปยังจุดหมายของเรานั่นก็คือ Oeschinen Lake ทะเลสาบสีฟ้าที่ไหลอย่างสงบนิ่ง อยู่เคียงข้างกับภูเขาที่มียอดเป็นน้ำแข็งประปราย ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และท้องฟ้าที่ดูละมุมละไม มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นด้วยเท้าเปล่าส่งเสียงสดใส วัยรุ่นที่กำลังพายเรือ และครอบครัวที่กำลังปิคนิค เอาจริงทั้งหมดนี่เป็นธรรมชาติที่ไม่เป็นธรรมชาติเอามาก ๆ  ทุกอย่างดูสวย ลงตัวเหมือนถูกจัดฉากไว้อย่างดี ดีงามขนาดนี้ ต้องมาละป่ะแก

และแล้วก็มาถึง Check Point ที่ 3 สถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายในวันนี้ที่ Blausee หรือแปลตรงตัวว่า ทะเลสาบสีฟ้า หลังจากผ่านป่าเล็ก ๆ เราก็มาถึงทะเลสาบที่ฟ้าสมชื่อ จนอดไม่ได้ที่เราจะแหงนมองท้องฟ้าเพื่อเช็คว่ามันยังอยู่ดีหรือย้ายที่ลงมาอยู่ในน้ำแทนแล้วกันแน่ น้ำที่นี่ใสจนมองเห็นพื้นด้านล่างได้แบบสบาย ๆ ทั้งปลาที่ว่ายไปมา เหล่าพืชใต้น้ำนานาพรรณที่เรากวาดตามองได้ทุกต้น ยามพระอาทิตย์สาดแสงลงมากลางทะเลสาบ สีฟ้าที่เราเห็นนั้นจะส่องประกายสะท้อนเข้าตา เหมือนอัญมณีเม็ดงามที่เราอยากหยิบฉวยมาเก็บไว้ชื่นชนแต่เพียงผู้เดียว กิจกรรมภายในนี้จะเป็นไปทางพักผ่อนหย่อนใจซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะแค่นั่งปิคนิค ทานข้าวที่โรงแรม เดินเล่นรอบทะเลสาบ ชมธรรมชาติโดยรอบ ถ้าใครอยากล่องเรือก็มีบริการให้นักท่องเที่ยวเช่นกัน

DAY 6 : Zurich – Wasserauen – Zurich

สองวันสุดท้ายนี้เราปักหลักอยู่ที่เมืองซูริค เมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลิมมัต (Limmat River) และทะเลซูริค ทำให้มันเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศมาแต่โบราณ บ้านเรือนในแถบนี้จึงมีกลิ่นอายของยุคกลางค่อนข้างมาก มีโบสถ์เก่าแก่ มีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของเมืองนี้เอาไว้ รวมถึงร้านรวงสมัยใหม่เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว มันจึงมีความคึกคักและคึกครื้นต่างจากเมืองอื่นอย่างเห็นได้ชัด

แต่ก่อนที่เราจะเริ่มเที่ยวในตัวเมืองซูริค เราก็ขอนั่งรถไฟแว๊บออกจากตัวเมือง 2 ชั่วโมง เพื่อไปที่ Wasserauen เมืองทางผ่านของใครหลายคน แต่ไม่ใช่สำหรับเรา เพราะที่นี่มีเที่ยวอย่าง Berggasthaus Aescher–Wildkirchli ร้านอาหารบนเชิงผาที่ชวนหลงไหลตั้งอยู่ การจะขึ้นไป ณ ร้านอาหารแห่งนี้ มีให้เลือกด้วยกันสองวิธีคือ เดินเทรคกิ้ง หรือนั่งกระเช้า แน่นอน หน้าง่วง ๆ แบบเราต้องเลือกกระเช้าอยู่แล้วแหละเนอะ โดยสถานีขึ้นกระเช้า Ebenalpbahn จะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเพียงแค่ 100 เมตรเองจ้า ออ กระเช้านี้จะเปิดเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น ถ้ามาช่วงอื่นก็เตรียมขา บำรุงเข่าไว้ให้พร้อมด้วยนาจา

เมื่อถึงสถานีปลายทาง ทางเราก็เดินตามป้ายบอกทางเลาะลงเขาตามทางเดินที่เป็นบันไดมาเรื่อย ๆ ระหว่างทางเราจะพบกับวิวโล่งกว้างของหุบเขาเขียวชอุ่มของฤดูร้อน โบสถ์เก่าแก่ริมหน้าผา ทางเดินลอดถ้ำ เพียงไม่กี่สิบนาทีเราก็จะเห็น Berggasthaus Aescher–Wildkirchli อดีตที่พักสำหรับชาวไร่บนเชิงผาที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1805 ซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นร้านอาหารหน้าตาดีค่อย ๆ ปรากฎตัวขึ้น ยิ่งเข้าไปใกล้เรายิ่งรู้สึกดีใจที่เลือกมาที่นี่เพราะบ้านไม้เก่าแก่สูง 3 ชั้น ที่มีหน้าจั่วแบบสวิสอายุ 100 กว่าปีนี้ถูกจัดสรรให้เป็นที่นั่งทั้งโซนอินดอร์และเอาท์ดอร์แสนสบาย เหมาะแก่การจิบช็อคโกแลตร้อน ๆ และชมวิวหน้าผาที่โล่งสุดสายตาเป็นที่สุด ฟินนาเล่รอบที่ร้อยไปจ้าาาา

จากบ้านไม้เก่าที่เรารักหมดใจนี้ เราเดินลงเขาต่อไปยัง Seealpsee ที่ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์บนดินอีกแห่งของประเทศนี้เลยก็ว่าได้ ทะเลสาบขนาดน่ารักที่มองเห็นภูเขาลูกโตเป็นแบ็คกราวด์ และธรรมชาติที่ห้อมล้อมนี้ช่างสวยสะท้าน สีน้ำที่เป็นสีเขียวฟ้าไล่โทนขึ้นไปถึงทุ่งหญ้า จนถึงตีนเขานั้น ทำให้เราอยากเอาหลังไปเอนพิงที่ต้นไม้สักต้น หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบ พร้อมกับเปิดหนังสือเล่มโปรดเสียจริง ถ้านับจากตอนที่เราลงกระเช้าเส้นทางที่เดินลงมา ถือเป็นการเดินเทรลระยะ 5.4 กิโลเมตร ที่เดินเพลินจนลืมเหนื่อย ดังนั้นถ้าใครจะมาขอแนะนำให้หารองเท้าที่รัดกุม จะช่วยในการเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น

นอกจากธรรมชาติที่สวยจับใจแล้ว ความสะดวกที่นี่ก็ถือว่าครบ เพราะมีทั้งร้านอาหาร โรงแรม และเรือพาย ทุกอย่างดูลงตัว ไม่มากไม่น้อยเกินไป ดูเงียบสงบ แม้จะมีนักท่องหลั่งไหลมาแบบไม่ขาดสาย แต่ทุกคนพูดคุยกันเบา ๆ ราวกระซิบ บางคนนอนอาบแดดแบบไม่สนใคร เด็ก ๆ เล่นน้ำส่งเสียงหัวเราะพอให้บรรยากาศสดใส ครอบครัว กลุ่มเพื่อนมาปิคนิคจับจองพื้นที่กันแบบหลวม ๆ เราลองเดินเล่นรอบ ๆ นอกจากผู้คนแล้ว ก็มีน้องวัวนี่แหละ ที่เดินเล็มหญ้ากันอย่างมีความสุข จนแอบนึกอิจฉาวัวอยู่เบา ๆ ที่ได้มีคุณภาพชีวิตดีขนาดนี้

เรากลับเข้าเมืองซูริคในช่วงบ่ายแก่ ๆ ด้วยขาที่เปรี้ย และสมองที่เริ่มเบลอเพราะขาดคาเฟอีน ตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือการหาร้านกาแฟแจ่ม ๆ ชิค ๆ สักร้านให้เราได้นั่งเติมพลัง จนมาเห็นร้าน ‘MAME’ ร้านกาแฟที่มีชื่อมาจากภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า Beans และด้วยการตกแต่งที่เรียบง่าย และอบอุ่นนี้ทำให้เราเดินก้าวเข้าไปในร้านอย่างไม่รั้งรอ เคาน์เตอร์ชิล ๆ ที่มีเพียงอุปกรณ์ทำกาแฟ และที่นั่งเรียบง่าย แม้ไม่ได้ดูหรูหรา แต่กลับมีฝรั่งมากหน้าหลายตานั่งอยู่เต็มหน้าร้าน ทุกคนแต่งตัวแบบสบาย ๆ สไตล์มินิมอลบ้าง ซัมเมอร์บ้าง เป็นทางการบ้าง แต่ที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ ถ้วยกาแฟในมือ รีแอคชั่นของแต่ละคน ณ สภากาแฟแห่งนี้ ที่ทำให้ร้านดูมีชีวิตชีวาขึ้นจริง ๆ

ด้วยความที่เจ้าของร้านทุ่มเทศึกษาเกี่ยวกับกาแฟทำให้เค้าได้คัดสรรเมล็ดกาแฟมากเสิร์ฟให้ลูกค้าเลือกอยู่ 3 แบบ คือ Classic ที่จะออกช็อคโกแล็ตนิด ๆ, Adventure ที่ออกจะฟรุตตี้หน่อย ๆ และ Crazy ที่เขาว่ารสชาติจะสับสนน้อย มีกลิ่นดอกไม้ผสมอยู่บ้าง ถ้าเราไม่รู้จะเลือกอะไรก็ลองให้บาริสต้าเลือกให้ได้นะ แต่อย่างเราผู้รู้ใจตัวเองเลยขอ Classic มาลองเชิงก่อนว่าเป็นไง จิบไปคำแรกไม่เป็นไร จิบต่อไปไฟลุกวาว.. เหมือนเติมไฟให้ร่างกาย คาเฟอีนที่หลั่งเข้าร่าง ซึมเข้าเส้นเลือดอย่างเร็ว ทำให้เรากลับมาสดใสขึ้นทันที อร่อยมากกกกกกก.. จนเราต้องขอสั่งเย็นมากินอีกแก้ว มันสดชื่น เข้มหอมกำลังดี ไม่ขมปี๋ แต่เป็นขมละมุนตามคุณสมบัติที่กาแฟพึงมี กินคู่กับคุกกี้หวาน ๆ กรุบ ๆ ให้คะแนน 10 เต็มร้อยไปเลยเด้อ

DAY 7 : Zurich – Rhine Falls – Bangkok

วันสุดท้ายเราตื่นแต่เช้าเพราะคิดว่าทุกนาทีมีค่าที่ซู๊ดดดดดดดดด แล้วก็นั่งรถไฟไปเช็คอินทิ้งท้ายทริปกันที่ Rhine Falls ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Schaffhausen ทางตอนเหนือของประเทศ จากซูริคเราสามารถนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Schloss Laufen am Rheinfall ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชม. แก!!!! มันเป็นที่สุดอีกแล้ว เพราะนี่คือน้ำตกอายุหมื่นกว่าปีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยความสูง 23 เมตร และกว้างกว่า 150 เมตร นอกจากจะสามารถยืนหรือนั่งเรือชมน้ำตกจากระยะไกลได้แล้ว ใจกลางของน้ำตกก็ยังมีเกาะกลางขนาดใหญ่ให้นักท่องเที่ยวลงไปยืนใกล้ชิดสัมผัสตัวน้ำตกได้อีกด้วย ของจริงทุกอย่างคืออลังการมากเว่อร์มาก ๆ น้ำที่กระเด็นจากตัวน้ำตกคือเป็นฟองขาวดูนุ่มนวลเป็นมวลขนาดใหญ่ แต่แท้จริงคือสาดแรงจนหากอยากคุยกับเพื่อนต้องอาศัยการส่งข้อความแทน เพราะต่อให้ตะโกนก็ยังได้ยินไม่ชัดอ่ะคิดดู และเมื่อเทียบขนาดกับเรือท่องเที่ยวแล้ว เรือขนาดใหญ่ก็ยังดูเล็กจิ๋วลงในพริบตา อลังจนอยากจะโค้งคำนับให้เลยจ้า

และเพราะมันคือแลนด์มาร์คที่มีชื่อเสียง เดินทางมาง่าย ทำให้ที่นี่มีกิจกรรมให้เลือกทำอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเดินชิลชมวิว ปิคนิคกินข้าว อาบแดดรับไออุ่น ล่องเรือชมน้ำตก พื้นที่ตรงนี้จึงดูมีสีสันและชีวิตชีวาขึ้นจากผู้คนเช่นกัน ส่วนทางเราที่มีแต่บัตร PLANET SCB และหัวใจ เลยรูดเงินซื้อตั๋วลงเรือไป พร้อมไอศกรีมเย็น ๆ ไว้ล่องเรือแบบชิล ๆ ซึ่งการนั่งเรือนี้ หากต้องการฝ่าดงคลื่นนำ้ตกเข้าไปยังเกาะกลาง ก็จะต้องเพิ่มค่าบริการอีกนิดหน่อย แต่ก็แลกมากับเวลาที่เพิ่มขึ้น และเอาจริง ๆ ถ้ามาถึงแล้วก็ควรจะลงไปชมสักหน่อยนะ ไม่งั้นจะต้องมานั่งเสียดายทีหลังแน่ ๆ ลงไปเหอะ!!! อย่างน้อยก็ไปคุยได้ว่า “ฉันเคยเอาหน้าไปปะทะละอองน้ำ ของน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปแล้วนะแก

หมดเวลาสนุกแล้วสิ.. มือถือขึ้นเตือนเวลาไฟล์ทบินกลับกรุงเทพฯ เหมือนเป็นสัญญาณปลุกเราให้ตื่นจากดินแดนแห่งความฝันนี้ ถ้าเทียบแล้วถือว่าเป็นฝันดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตที่เราเคยมีมา ขณะที่พิมพ์อยู่เรายังจำกลิ่นของภูเขาหิมะ เสียงของน้ำตก ลำธาร บรรยากาศแสนสงบที่เราพบเจอมาตลอด 7 วันได้อยู่เลย เหมือนมันเพิ่งผ่านไปไม่นาน.. นี่สินะที่เรียกว่าจำไม่รู้ลืม ทุกอย่างชัดเจนกว่าภาพถ่าย ร่างกายยังคงรู้สึกได้ถึงความพิเศษเหล่านั้น ต้องขอบคุณทุกความสวยงามที่โลกนี้มอบให้เรา ความสะดวกสบายที่มนุษย์คิดค้นมาเพื่อการเดินทางที่ง่ายขึ้น การใช้จ่ายที่ทำให้เราไร้กังวลไม่ยุ่งยาก ถ้ามีโอกาสกลับมาอีก เราจะรีบเก็บเสื้อพกบัตร PLANET SCB มาใบเดียว แล้วเที่ยวอีกครั้งอย่างไม่ลังเลเลย