รีวิวหลวงพระบาง : Quick Guide to Luang Prabang

พูดถึง หลวงพระบาง เราเชื่อว่าหลายคนคงจะรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นเคย สำเนียงก็คุ้นหู ภาษาก็คุ้นตา เพราะนี่คือเมืองมรดกโลกใกล้บ้านที่แซ่บเหมือนยกส้มตำปูปลาร้าพริกหมดสวนมากองอยู่ตรงหน้า และถ้าหลวงพระบางคือส้มตำ เราบอกเลยว่าส้มตำจานนี้ไม่ว่าแกจะชอบแบบหวานมากพริกน้อย หรือหวานน้อยพริกมาก เปรี้ยวนำ เค็มตาม หวานปลาย แกก็เลือกได้ตามใจสั่ง เพราะเมืองมรดกโลกแห่งนี้ช่างครบเครื่องแซ่บนัวและยั่วยวน เราเลยจะขอพาพวกแกไปพักเบรค ใช้ชีวิต 72 ชั่วโมงแบบสโลวไลฟ์ เพื่อเติมแพชชั่นวันหยุดสุดสัปดาห์ให้ชีวิตรื่นรมย์ไปกับพระราชวังโบราณสุดปราณีต วัดเก่าที่แสนสดใส น้ำตกสีฟ้าที่แสนจะชื่นใจ ร้านคาเฟ่และร้านอาหารที่มีทั้งเผ็ดถึงใจและใส ๆ แต่ซาบซ่า เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อมเพราะทริปสุดชิวนี้จะเนื่องแน่นไปด้วยความสุข !!!!

Day 1 :

แม้จะเป็นทริปแบบชิว ๆ แต่ถ้าใจพร้อมแต่กายไม่พร้อมก็หมดสนุกได้เหมือนกัน และแน่นอนว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง เพราะถ้ามันร้องคงหมดสนุก ดังนั้นทุกครั้งที่เราจะเริ่มต้นทริปในตอนเช้าเรามักหาอะไรรองท้องอยู่เสมอ และโชคดีที่ทริปนี้เราได้รู้จักกับ Ensure Drink ตัวช่วยที่ทำให้เราจัดเต็มกับทุกเรื่องของชีวิตได้แบบง่าย ๆ เพราะเขาออกแบบมาให้ขนาดเล็กกระทัดรัดพกพาง่าย เติมพลังได้ทุกที่ทุกเวลา สะดวกรวดเร็วแต่ได้สารอาหารครบ ก่อนการเดินทางเราจึงขอปักหลอดจัดเต็มกับเอนชัวร์ดริ้งค์ จะได้พร้อมจัดเต็มกับทุกเรื่องของชีวิต ต่อจากนี้จะบินไฟลท์เช้าแค่ไหน จะในไทย หรือต่างประเทศก็ไม่ต้องกลัวเสียงท้องจะลั่นกลางอากาศ นอกจากจะเหมาะกับวันที่เร่งรีบหรือวันที่อยากได้สารอาหารดี ๆ แบบครบ ๆ แล้ว ยังเหมาะกับคนที่ทานหนักก่อนขึ้นเครื่องไม่ได้เป็นที่สุด

เครื่องแลนดิ้งพร้อมท้องที่อิ่มทางเราก็พร้อมเดินทางเพื่อไปเช็คอินเก็บของเข้าที่พัก แต่งองค์ทรงเครื่องเพิ่มความน่ารักอีกนิดนึง ทางเราก็พร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบสุด ๆ โดยเริ่มด้วยการปั่นจักรยานพาหนะคู่ใจที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้กันแพร่หลายในหลวงพระบาง ลัดเลาะเที่ยวล่องท่องเมืองไปยังจุดแรกของทริปกันที่ วัดเชียงของ วัดโบราณริมน้ำโขงที่มีอายุกว่า 60 ปี หนึ่งในจุดไฮไลท์ที่ชาวโซเชียลต่างตกหลุมรัก กับสีสันสดใสที่ทั้งสวยแถมยังมีมีสตอรี่ให้เล่าในคราวเดียวกัน วัดชั้นเดียวจวดสูงยอดแหลมที่มีสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากวัดโลกโมฬีในจังหวัดเชียงใหม่ของไทยเรานั่นเอง

แต่ความพิเศษของวัดแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่เพียงการมีสถาปัตยกรรมอันเป็นสุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมแบบลาวล้านช้างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีกำแพงของโรงเมี้ยนโกศหรือโรงเก็บพระราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตสว่างวัฒนากษัตริย์ของชาวลาว ที่ตัวพื้นของผนังจะถูกทาด้วยสีส้มและแต่งแต้มด้วยสีฟ้าสดใส โดยเป็นเรื่องราวภาพแกะสลักจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ในตอนต่าง ๆ เช่นตอนนางสีดาลุยไฟ ตอนที่พิเภกบอกความลับที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์ให้กับพระราม หรือตอนพระรามต่อสู้กับทศกัณฑ์ มุมนี้บอกเลยว่าเด็ดมาก ใครมาหลวงพระบางแล้วไม่ควรพลาดเด็ดขาด

ถ่ายรูปกันจนฟินก็ได้เวลาหาที่นั่งพักเพื่ออัพรูปบอกทางบ้านกันสักนิดว่าทางเรากำลังใช้ชีวิตช้า ๆ ที่หลวงพระบาง เราเลือกร้านขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสเจ้าดังที่มีชื่อว่า La Beneton Cafe ร้านขนมปังเล็ก ๆ แต่คุณภาพคับแก้วที่ส่งกลิ่นหอมมาไกลจนเราต้องหยุดจักรยานให้ไว และขอพุ่งตัวเพื่อเข้าไปสั่งครัวซองต์แบบ Original มาทานคู่กับลาเต้ร้อน และครัวซองต์อัลมอนด์มาทานคู่กับน้ำส้มเย็น ๆ เป็นเครื่องเคียงที่ทำให้การอัพรูปของเราในตอนนี้รู้สึกดีขึ้นได้เป็นกอง ก็เรามีครัวซองต์ร้อน ๆ ที่ให้รสชาติเหมือนกำลังนั่งทานอยู่ในปารีสแต่ราคาถูกกว่าและใช้ชีวิตได้เชื่องช้ากว่าอยู่ในมือนี่หน่า

เพลิดเพลินกับคาเฟ่จนได้ที่ เราก็พร้อมปั่นจักรยานต่อไปยังพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง พระธาตุพูสี ที่มีจุดเด่นคือไม่ว่าแกจะอยู่ส่วนไหนของหลวงพระบาง ไม่ว่าจะมองมาจากทิศเหนือ มองมาจากทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก หรือแม้แต่มองมาจากบนฟ้าแกก็สามารถมองเห็นพระธาตุพูสีได้จากทุกทิศ ด้วยความสวยงามที่แสนพิเศษขนาดนี้ มีหรอ!!!! ที่เราจะพลาดไม่เดินทางเพื่อไปจับจองหาพื้นที่นั่งมองพระธาตุในช่วงที่สวยที่สุดในตอนพระอาทิตย์ตกดิน

แม้จะต้องก้าวย่างผ่านบันไดที่นำเราสู่ยอดเขาถึง 328 ขั้น ที่สูงพอให้กระดูกหัวเข่าลั่นเป๊าะ ๆ จนอยากจะถอดใจ แต่พอได้เห็นแสงของพระอาทิตย์ที่เปลี่ยนเป็นสีส้มกำลังสะท้อนยอดของพระธาตุ บ้านเรือน และภูเขาที่อยู่เบื้องหลัง เราก็รู้สึกว่าช่างเป็นเวลาที่คุ้มค่าเสียเหลือเกิน และเชื่อว่าความรู้สึกของเรานี้ก็ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือแม้แต่ชาวลาวอีกหลาย 10 คน ที่พร้อมใจกันเดินขึ้นเขาเพื่อมารอคอยความสวยงามของแสงสุดท้ายเช่นกัน

จากยอดพระธาตุพูสีเราเดินตรงลงบันไดมายังจุดกึ่งกลางของ “ตลาดมืด” ตั้งแต่ยังไม่มืดมากนัก … แบบไหว้พระปุ๊บก็ลงมาช้อปต่อได้เลย ซึ่งตลาดมืดก็ไม่ใช่ตลาดค้าของเถื่อนอะไรนาจา แต่คนลาวเค้าก็เว้าซื่อ ๆ ตลาดมืดก็คือตลาดกลางคืนนั่นเอง ในตลาดที่ใหญ่ประมาณหนึ่ง นับก้าวเดินก็คงพอ ๆ กับขึ้นลงพระธาตุพูสีสองรอบแค่นั้นเอง ที่นี่ก็มีของมากมาย ทั้งฝาก ของกิน ของท้องถิ่นให้ช้อปกันแบบเพลิน ๆ ท่ามกลางผู้คนที่น่ารัก เราก็เดินไปช้อปไปยิ้มไป ปล่อยตัวปล่อยเวลาไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องรีบร้อนไปไหน ก็บอกแล้วว่าเนี่ยเรามาเพื่อสโลไลฟ์จริง ๆ

Day2 :

เช้าวันถัดมาแบบไม่ต้องเสียเวลาให้มากความเรารีบเหมารถไปน้ำตกแบบไวที่สุดและเช้าที่สุด เพราะเราอยากได้ภาพน้ำตกที่แสนจะโด่งดังแบบเงียบสงบที่สุด และน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลาชัดที่สุด รีบขนาดนี้เวลาจะทานอาหารเช้าก็คงต้องลืมไปเลย แต่ถ้าไม่ทานอะไรรองท้อง วันนี้ทั้งวันก็คงจะกลายเป็น Bad Day ตั้งแต่เริ่มแน่ ๆ แต่เพราะความฉลาดและน่ารักของเราที่ไม่ลืมจะหยิบ Ensure Drink กลิ่นวานิลา ที่อร่อย ดื่มง่าย แต่ให้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี่ต่อกล่องติดมือมาเป็นมื้อเช้าแบบจัดเต็มทั้งโปรตีน ทั้งกรดอะมิโนจำเป็น ทั้งโอเมก้า 3, 6, 9 ทั้งวิตามิน ทั้งเกลือแร่ ทั้งแคลเซียม ทั้งวิตามินดี ทั้งวิตามินบี12 ครบถ้วนในกล่องเดียว เรียกว่าจัดเต็มแบบรวบรวมสารอาหารที่หลากหลายไว้ครบถ้วนทุกหยด จะรีบแค่ไหนแค่ดื่มก็พร้อมลุยพร้อมเที่ยวแบบจัดเต็มได้ง่าย ๆ ทุกสถานการณ์แล้วววว

และแล้วก็สมดังหวัง น้ำตกตาดกวางสี ที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง ที่มี 4 ชั้นและความสูงรวมกว่า 75 เมตรนี้ มันทั้งสวย ทั้งใส ทั้งเงียบสงบตามที่เราคาดไว้ คุ้มค่ากับการตื่นเช้าแล้วรีบออกมามากจริง ๆ ทำให้เรามีเวลาดื่มด่ำกับเสียงน้ำตก และเสียงนกที่ตื่นเช้าแบบสบาย ๆ ได้อย่างอิสระ และนี่คือหนึ่งในเคล็บไม่ลับสำหรับการเที่ยวที่ป๊อบ ๆ ให้คนไม่เยอะในแบบของเรา

พอเริ่มจะสายหน่อยจากเสียงนกร้อง ความเงียบสงบของผืนป่า ก็เริ่มมีเสียงคนหัวเราะคิกคัก และเสียงกระโดดน้ำตูมตามเข้ามาเสริมเพิ่มความสนุกสนาน และอาหารตาชั้นยอด ทั้งซิกแพคจากฝั่งตะวันตกที่ขาวผ่องเป็นยองใย ทั้งความขาวเนียนจากตะวันออกในชุดดบิกินี่ตัวแจ๋ว เริ่มเรียงรายกันมาจนลูกกะตาปรับโฟกัสแทบไม่ทัน ยิ่งทำให้น้ำตกสีเขียวมรกตแห่งนี้ดูน่าลงไปแหวกว่ายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวทีเดียว

เผชิญความขาวจนตาลายขอมาพักสายตาด้วยความเขียวกันสักนิดที่ ปางช้าง สถานที่รวมน้องช้าง ทั้งพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หรือลูกของมันก็ยังมี ที่นี่เราจ่ายค่าเข้า 40,000 กีบ แล้วทำตัวสวย ๆ รวย ๆ เปย์อาหารให้ช้างได้แบบไม่ยั้ง เพราะราคาค่าเข้าเข้ารวมราคาอาหารช้างไปหมดแล้ว จะป้อนเยอะป้อนน้อยก็ป้อนวนจนกว่าจะได้รูปที่เรียกว่าเพอร์เฟคช็อตไว้ลงโซเชียลอีกสามวันเจ็ดวันก็ทำได้ ส่วนใครที่อยากจะแอดวานซ์เพิ่มความวาบหวามให้ชีวิต เค้าก็มีบริการให้ขึ้นขี่น้องช้างโดยจะต้องจ่ายเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นใครไหวก็ไปต่อ ส่วนใครไม่ไหวแบบเราก็เดินป้อนกล้วยป้อนอ้อยวนไปตามกำลังทรัพย์นาจา

หลังจากเที่ยวนอกเมืองเป็นที่เรียบร้อย ทางเราก็หอบท้องกลับมาทานมื้อเที่ยงกันที่ ร้านส้มตำป้าติ่ม ก็แหม!!! มาถึงที่แล้วถ้าไม่ได้ลองกินตำเด็ด ๆ เผ็ด ๆ จากร้านเจ้าดังเมืองหลวงพระบางสักหน่อยก็คงเหมือนกับว่าเรามาไม่ถึงน่ะสิ ไม่ต้องพูดเยอะมาถึงปุ๊บเราก็สั่งทีเด็ดอย่างตำหลวงพระบางพริกห้าเม็ด ซี่โครงหมู แหนม ไก่ย่าง ไข่เจียว ข้าวเหนียวและขนมจีนมาฟาดรัว ๆ ให้สมอยาก แต่ละอย่างต้องขอบอกว่าจัดจ้านในย่านนี้ แต่ที่อยากจะยกนิ้วโป้งให้ 2 นิ้ว แล้วกดหัวใจให้อีกหนึ่งครั้งก็ตำหลวงพระบางชื่อดังของเค้านั่นแหละ จุดเด่นของเมนูนี้ก็คือเส้นมะละกอที่จะถูกฝานมาแบบบาง ๆ ยาว ๆ บวกกับความแซ่บนัวของพริก น้ำปลา ปลาร้าและกะปิที่ทำให้ออกมาอร่อยเด็ดถึงใจ ใครจะมาเราบอกเลยว่าห้ามพลาด

อิ่มท้องแล้วก็ยกขาตั้งจักรยานออกไปชิวชิวแนวสโลว์ไลฟ์เก็บบรรยากาศสองข้างทางที่เก่าแก่ของเมืองมรดกโลก ที่มีจุดให้เราแวะพักถ่ายรูปตลอดทาง ทั้งบ้านไม้เก่าสุดคลาสสิค ตึกสีสดที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศส ร้านอาหารพื้นถิ่น คาเฟ่ชิคเก๋ ฯลฯ แต่หนึ่งสถานที่ที่เราไม่อยากให้ใครปล่อยผ่านก็คือพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง อดีตพระราชวังหลวงที่พำนักของเจ้ามหาชีวิต อาคารชั้นเดียวที่มีสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสและล้านช้าง ที่ให้ความรู้สึกแบบ east meet west ได้อย่างลงตัว แต่น่าเสียดายที่เขาห้ามไม่ให้ถ่ายภาพข้างในของพิพิธภัณฑ์ เราจึงมีมาฝากกันแค่รูปที่หน้าทางเข้า แต่ก็เอาเป็นว่ามันสวยงามและคุ้มค่าแบบที่ต้องมาดูเองยังไงล่ะ

พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน คงจะไม่มีสถานที่ไหนในหลวงพระบางจะทำให้เราชิวได้เท่า Upotia ที่นี่มันเป็นกึ่งบาร์กึ่งร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ ที่อยู่ริมน้ำ แม้จะกึ่งไปเสียทุกอย่างแต่ความชิวรับรองได้ว่าเต็ม ๆ ไม่มีก้ำกึ่ง สมชื่อยูโทเปียหรือโลกในอุดมคติเสียจริงๆ เบาะนั่งลายเดียวกับทางเหนือบ้านเรา ถูกปูอยู่กับพื้นหลายสิบเบาะ ผู้คนมากมายนอนบ้าง นั่งบ้าง กินดื่มบ้าง ตามแต่ใจตัวเอง ส่วนเราก็ทั้งกิน ดื่ม ถ่ายรูป และนอนชิวรับลมเย็น ๆ บอกเลยว่าทุกอย่างทุกกิจกรรมริมน้ำของที่นี่มันคือโลกในอุดมคติของจริง!!!  ซึ่งเราบอกได้เลยว่าถ้าแกมาหลวงพระบางแกต้องมาที่นี่นะ

Day 3 ::

เช้าวันสุดท้ายของเราในทริปนี้ ก็ยังเป็นอีกหนึ่งวันที่เราจะต้องตื่นกันตั้งแต่เช้า เพราะพลาดไม่ได้กับอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ของเมืองหลวงพระบางนั่นก็คือ ตักบาตรข้าวเหนียว และแน่นอนว่าเราเลือกรองท้องด้วย Ensure Drink อีกครั้ง ตัวช่วยที่จะทำให้ให้เช้านี้ของเราเริ่มต้นดี พร้อมสารอาหารที่จัดเต็ม จะได้มีแรงจัดเต็มกับทุกเรื่องของชีวิต ใครอยากจัดเต็มได้แบบเรา เดินทางครั้งหน้าลองหาซื้อมาลองกันได้นะ แบบกล่องพกง่ายหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป หรือที่ 7-11 ก็มี ส่วนใครที่สะดวกช้อปแบบออนไลน์ก็มีขายทั้งใน Lazada และ Shopee นาจา

เราตื่นมา ตักบาตรข้าวเหนียว กันตอนตีห้าครึ่ง!!!! นี่ตอนพิมพ์ยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองตื่นมาได้ไงเช้าเบอร์นี้ อาจเพราะมันเป็นวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบางที่เรียลไม่ประดิษฐ์จริงๆ และมันไม่ได้เซทขึ้นมาเพื่อให้เป็นจุดขาย ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งคนหนุ่มคนสาวชาวหลวงพระบางก็ตื่นมากใส่บาตรกันเยอะเว่อร์ เราเลยรู้สึกว่าการตักบาตรครั้งนี้มันคืออีกหนึ่งเสน่ห์ของหลวงพระบาง ที่ทำให้เราสามารถดีดตัวเองจากที่นอนอันแสนนุ่มนิ่ม และภวังค์อันแสนดูดดื่มเพื่อลุกขึ้นมารับบุญในวันนี้ได้

อิ่มท้องอิ่มบุญกันตั้งแต่ช่วงเช้า เราก็มีแรงกำลังออกไปเดินเล่นกันต่อที่ ตลาดเช้า ซึ่งตลาดของที่นี่มันก็คือตลาดจริง ๆ วิถีชีวิตของคนที่นี่จริงๆ ไม่ใช่ตลาดปลอมที่ขายของเหมาโหลเหมือนที่อื่น ๆ เราเดินดูกองผัก กองผลไม้ ของป่า อาหาร สิ่งละอันพันละน้อยที่ชาวบ้านนำมาวางขายอยู่บนพื้น พร้อม ๆ กับฟังเสียงสำเนียงของชาวบ้านที่ทักทายกันบ้าง ต่อราคาซื้อขายบ้าง ต่าง ๆ นานาที่ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างอย่างสุขใจ นี่แหละเสน่ห์ของตลาดบ้าน ๆ

จบจากตลาดเช้าเราก็ตั้งหมุด เพื่อไปยัง ร้านประชานิยม ร้านสุดฮิตที่ใครมาใครไปในหลวงพระบางก็มักจะแวะมาทาน เพราะอาหารของเค้าอร่อยชวนลิ้มลองและน่าบอกต่อเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมนูประจำร้านอย่าง โจ๊กเตาถ่าน ที่ได้จากข้าวเรียวยาวเต็มเมล็ดที่ถูกเคี่ยวให้ข้นจนหอม เสิร์ฟพร้อมกับปาท่องโก๋สีเหลืองทองตัวอ้วน เพิ่มความฟินอีกสักนิดด้วยไข่ต้ม โดยไม่ลืมที่จะเพิ่มหอมเจียวสูตรเด็ดของร้าน ก่อนตบท้ายด้วยโอวัลติน หรือชาแบบจีนสักแก้ว ก็จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมื้อเบา ๆ ที่หอมกรุ่น

จบจากโจ๊กเบา ๆ ทางเราก็กลับไปงีบแก้ง่วงอีกสักหน่อย ค่อยตื่นมาเช็คเอาท์ฝากกระเป๋า แล้วออกไปทานมื้อเที่ยงกันที่ ร้านข้าวซอยหน้าวัดแสน ที่มีเมนูเด็ดคือเฝอและข้าวซอย แน่นอนว่าเราจัดมาทั้งสองเมนูแบบเบา ๆ จะได้ลองชิมให้รู้เขารู้เราว่ารสชาติมันเป็นยังไง ใครถามก็จะได้เม้าท์ถูก ในส่วนของเมนูเฝอต้องบอกว่าน้ำซุปหอมอร่อยกลมกล่อม พอบีบมะนาวเพิ่มอีกนิดปรุงพริกเพิ่มอีกหน่อยแซ่บซ่าถึงใจถูกปากไทยอย่างเราเป็นที่สุด ส่วนเมนูข้าวซอยนั้นต้องบอกว่ามีความแปลก เพราะแทนที่จะเป็นข้าวซอยแบบที่เราคิดไว้มันกลับคล้ายน้ำเงี้ยวของบ้านเราซะมากกว่า มันจึงเป็นความอร่อยซึ่งต่างจากที่คิดไว้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของการเดินทางเหมือนกันนะ ที่เรามักจะเจอกับเรื่องไม่คาดฝัน หรือเรื่องที่เราคิดว่าเรารู้แต่สุดท้ายกลายเป็นไม่เคยรู้มาก่อนอยู่หลายเรื่อง

และแล้วก็มาถึงสถานที่สุดท้ายของเราในทริปนี้ กับความสดใสสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่ทำให้เรารู้สึกซู่ซ่าไปกับสีสัน ทั้งเหลือง ส้ม ฟ้า ที่ถูกจัดมาแบบไม่เกรงใจใคร ณ Popolo ร้านชั้นเดียวที่มีสีสันกระแทกตานี้มีทีเด็ดทั้งของคาวและของหวาน ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่าเตาถ่าน สลัดผัก หรือแม้แต่เมนูพาสต้า แต่เราที่ยังอิ่มอยู่จึงขอข้ามไปยังเมนูของหวานอย่างทิรามิสุ ที่ทั้งหวานเย็น และกลมกล่อม กับเครื่องดื่มม็อกเทลสูตรพิเศษสีส้มเหลืองแสนจะชื่นใจ เป็นสองเมนูที่ช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้ประเปร่า กินไปเพลิน ๆ ภายใต้บรรยากาศที่ร่มรื่น ทำให้รู้สึกสบาย ๆ นั่งชิวหลบร้อน มันจึงเหมาะแก่การเปิดหนังสือเล่มโปรดอ่านเพิ่มความรู้ หรือดู Netflix สักเรื่อง หรือจะใส่หูฟังเลือกเพลย์สิลต์โปรดก็เข้า ถือว่าดีงามจบทริปได้สมมงเมืองแห่งความสโลวไลฟ์ ก่อนไปขึ้นเครื่องกลับไทย พร้อมสตอรี่มากมายที่นำมาเล่าเรื่องให้ฟังในคราวนี้แบบฉ่ำ ๆ

เอาล่ะ!!! อย่ามัวแต่จมอยู่กับความน่าเบื่อและความวุ่นวายในแต่ละวันที่แสนจะจำเจ มาออกเดินทางสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่ขึ้นชื่อว่าแซ่บบบบบถึงใจ ที่ซึ่งจะมอบชีวิตสโลวไลฟ์แบบจริง ๆ ให้แกได้เรียนรู้ มอบความสุขที่ไม่ขึ้นกับเวลาให้แกได้ลองใช้ มอบความสดใสให้แกแบบไม่ต้องตอบแทน ไปเถอะ ไปเติมไฟให้ชีวิตกับมรดกโลกที่งดงาม และประวัติศาสตร์ที่มากคุณค่า ไปสลัดทุกความคิดที่ซ้ำซาก จะได้กลับมาพร้อมกับความสุขที่เต็มกระเป๋า และความแซ่บนัวที่ทำให้อยากออกเดินทางต่อ เพราะงั้นเตรียมกายและใจให้พร้อมแล้วออกไปใช้ชีวิตให้เต็มที่จัดเต็มไปกับทุกความฝันกันเล้ยยย