แม้เส้นทางในการท่องเที่ยวของคนเราจะมีให้เลือกมากมาย ทั้งเส้นทางเก่าที่แสนอุ่นใจ เส้นทางใหม่ที่ใคร ๆ ก็ไปกัน หรือแม้แต่เส้นทางที่น้อยคนจะนึกถึง แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อเสมอคือทุกการเริ่มต้นล้วนมีเรื่องราวปลายทางและระหว่างทางที่น่าประทับใจแตกต่างกัน วันนี้ทางเราเลยอยากจะพาทุกคนไปปล่อยทุกความกลัว ออกเดินทางออกไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ บนเส้นทางที่ยังไม่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากนัก แต่รับประกันความตื่นเต้นที่ชวนฟิน ณ “เมืองบันดุง” เกาะชวาตะวันตกที่เย็นสบายตลอดปีของประเทศอินโดนีเซีย เราจะพาไปชมทัศนียภาพไม่เหมือนใครบนปากปล่องภูเขาไฟที่ชวนร้องว้าว ชิมอาหารพื้นถิ่นแบบหรูหรา ชมทิวทัศน์ป่าเขาที่น่าแปลกตา รื่นรมย์ชมนกชมฟ้า จิบชาจากไร่ให้ฮอร์โมนความสุขหลั่งไหลไปทั่วร่าง … กระชับเสื้อแขนยาวไว้ให้ดีแล้วตามกันมา เพราะที่นี่มีแต่ความเย็นและเรื่องราวสดใหม่ให้พบเจอ
DAY 1 : Bangkok – Jakarta – Bandung
แน่นอนว่าบินใกล้ บินไกล หากแอร์เอเชียบินไปถึง เราต้องเลือกบินกับเค้าแน่นอน ครั้งนี้ก็เหมือนกันแอร์เอเชียเค้ามีบินตรงจากดอนเมืองสู่จาการ์ต้าถึง 3 เที่ยวบินต่อวัน จองตั๋วปุ๊บเราก็เพิ่มแพ็กสุดคุ้มปั๊บ จะได้จ่ายคุ้ม บินสบายราวกับบินฟูลเซอร์วิส ทั้งได้เพิ่มน้ำหนักกระเป๋า เลือกที่นั่งได้ตามใจ มีอาหารร้อน ๆ ไว้ทานบนเครื่อง แถมยังมีประกันการเดินทางตบท้าย ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงครึ่งเท่านั้น บินสบาย ราคาถูก คุ้ม ๆ ครบ ๆ สายเที่ยวอย่างเรามีหรอจะนอกใจได้
ผ่าน ตม. รับกระเป๋า แลกเงิน ซื้อซิมกันที่สนามบินเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าสู่ใจกลางเมืองจาการ์ตา แวะเติมพลังให้ท้องอิ่มที่ Penang Bistro ร้านอาหารมาเลเซียใจกลางอินโด ก็แหม!!! เดี๋ยวได้กินอาหารอินโดกันอีกหลายมื้อ มื้อแรกเลยขอลองร้านดังที่เค้าว่ากันว่าถ้ามาจาการ์ตาแล้วต้องห้ามพลาดกันก่อนสักหน่อย เพราะนอกจากรสชาติอาหารจะอร่อยเหมือนนั่งกินที่ปีนังแล้ว บรรยากาศก็หรูหราชวนเพลิดเพลิน เพดานสูงโปร่ง ประดับด้วยใบไม้สีเขียว ยิ่งขับให้เฟอร์นิเจอร์สีอ่อนดูเพลินตา รับกับรสอาหารที่เพลินใจเข้าไปอีก
ท้องอิ่มเราก็มาเดินเล่นย่อยอาหาร ชมเมือง ถ่ายรูปส่งไลน์บอกทางบ้านกันที่สตรีทฟู๊ด ซึ่งอยู่ข้าง ๆ กับร้านอาหาร เพื่อรอเวลาขึ้นรถไฟไปบันดุงกันสักหน่อย บรรยากาศรอบข้างหากตัดเรื่องภาษา หน้าตาของคนที่อยู่รอบด้านออกไป ที่นี่ก็ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่นัก เพราะอาหารก็มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งเมนูต้ม ผัด แกง ทอด ปิ้งย่างก็หาทานได้ง่าย ซึ่งแน่นอนว่าหากใครกำลังตัดสินใจจะมาเที่ยวจาร์กาต้า เราขอการันตีตรงนี้เลยว่าเรื่องกินจะไม่ใช่ปัญหาของแกแน่นอน เพราะทางเราก็กินยากแต่ก็ฟาดเรียบมาได้เกือบทุกเมนู
เดินเล่นจนเวลาเกือบจวนตัวเราก็ย้ายตัวเองมาที่ Gambir Station สถานีใหญ่ที่มีเฉพาะรถไฟชั้น 1 กับชั้น 2 เท่านั้น ที่จะเทียบชานชลาของที่นี่ ภายในสถานีของเค้าบอกเลยดีงามมาก อินเตอร์ สากล สะอาดเรียบร้อย จะเข้าต้องตรวจตั๋วทำให้ไม่วุ่นวาย มีแยกโซนร้านอาหาร โซนสูบบุหรี่ มีป้ายบอกตารางเวลา บอกปลายทางชัดเจน ขึ้นรถไฟมาก็ยังไม่วายมีเรื่องให้ชม เพราะภายในสะอาดเรียบร้อยมาก เบาะหนังหรูหรา พร้อมจอทัชสกรีน มีขนม อาหาร ห้องน้ำสะอาด และแอร์เย็นฉ่ำจนหนาว กินข้าวอิ่มก็นอน นอนเบื่อ ๆ ก็ตื่นมาดูหนังฟังเพลง เรียกว่า 3 ชั่วโมงจากจาการ์ตาสู่บันดุงสะดวก สบาย เปิดประสบการณ์การนั่งรถไฟในอินโดครั้งแรกได้ประทับใจมากกกก สำหรับรถไฟไปบันดุงจะมีให้เลือก 3 แบบนะทุกคน คือ Economy class ราคา IDR 110.000, Executive class ราคา IDR 150.000 และ Priority class ราคา IDR 290.000 แน่นอนว่าดีกรีระดับเราก็ต้องจัดไปชั้น 1 จุก ๆ
รถไฟรอบค่ำเทียบชานชลา เราก็มุ่งหน้าไปยังที่พักที่เราจะฝากความฝันสองคืนไว้ที่ Fourpoints by Sheraton ที่พักสไตล์โมเดิร์นเน้นสีขาวดำและความสูงโปร่ง มองไปทางไหนก็รู้สึกถึงความหรูหราและทันสมัย นอกจากมีเตียงดูดวิญญาณแล้วยังมีกองทัพอาหารเช้าที่จัดมาเพียบทั้งอาหารอินโดนีเชีย อาหารฝรั่ง สลัดผัก ผลไม้สด น้ำดื่มต่าง ๆ แถมรอบข้างของโรงแรมก็รายล้อมไปด้วยร้านอาหารดัง ๆ และร้านอาหารพื้นบ้านให้เดินเล่นเดิมชิมเพียบ เพราะอยู่ในทำเลดีย่านใจกลางเมือง ใครมาบันดุงเราแนะนำเลยจ้า
DAY2 : White Carter – RANCABALI TEA PLANTATION – GLAMPING LAKESIDE – TRANS STUDIO BANDUNG – SUDIRMAN STREET
หลังอัดอาหารเช้าลงพุงจนอิ่มแปล้ ทางเราก็พร้อมเดินทางโดยมีจุดหมายแรกอยู่ทางใต้ของเมืองบันดุงที่ทะเลสาบบนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 2430 เมตร นามว่า Kawah Putih ส่วนหนึ่งของ Mount Patuha แม้ว่าภูเขาไฟในอินโดฯ จะมีจำนวนอยู่มากมายแทบนับไม่ถ้วน แต่มันกลับโดดเด่นกว่าที่อื่น เพราะใจกลางปล่องได้กลายเป็นทะเลสาบสีเขียวน้ำนมจากกำมะถัน ทำให้ภูเขาไฟที่สงบมากกว่า 400 ปีนี้ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และอากาศเย็นสบาย ประมาณ 10 องศาตลอดทั้งปี ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงค่ากำมะถันที่สูงมาก ๆ เพราะฉะนั้นนอกจากตอนแอคท่าถ่ายรูปแล้วก็ควรใส่หน้ากากปิดจมูกเข้าไปด้วย และห้ามอยู่เกิน 15 นาที ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
จุดเด่นของที่นี่ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากทะเลสาบสีเขียวน้ำนมที่นอนสงบนิ่งโดยมีภูเขาหินสีดำเข้มแข็งแกร่งเป็นฉากเบื้องหลัง แต่ภายใต้ความสวยงามที่นิ่งสงบนี้แหล่ะที่จูงใจนักเดินทางจากทั่วโลก จุดถ่ายรูปก็มีเพียบ ทั้งมุมริมทะเลสาบที่เหมาะแก่การยืนเหงา มุมเนินทรายที่เหมือนเป็นทางเดินลงไปริมน้ำที่เหมาะแก่การนั่งแอ๊ปทำเผลอ มุมก้อนหินที่สามารถปีนขึ้นไปถ่ายมุมบน และมุมสะพานไม้ยาวกลางทะเลสาบที่ต้องเสียค่าเข้า คนละ IDR 10.000 ก็เหมาะแก่การยืนยิ้มเผลอ ๆ ย้ำกันอีกครั้ง รีบถ่าย รีบหามุม แล้วรีบออกมาก่อนถูกทำร้ายจากกำมะถันจนเกินพอดีด้วยนาจา
จากเขียวน้ำนมก็ไปสู่ความเขียวเข้มแสนสดชื่น งานนี้ปลดหน้ากากสูดกายใจเข้าเต็มปอดแบบไม่ต้องกลัวมลภาวะอีกต่อไป เพราะที่นี่คือไร่ชาบนความสูง 1,628 เมตรเหนือจากระดับน้ำทะเลนามว่า Rancabali Tea Plantation ไร่ชาขนาดใหญ่อลังการงานภูเขาทั้งลูก ที่เจ้าของใจปล้ำเปิดไร่ให้เข้าไปถ่ายรูปได้แบบฟรี ๆ ใจดี ใจปล้ำขนาดนี้ทั้งที เราเข้าไปก็ต้องไม่ลืมกาลเทศะเดินเล่นอะไรก็ต้องระวังไม่เหยียบย่ำไร่ชาจนเสียหาย หรือบุกตะลุยถ่ายรูปจนลืมว่านี่คือที่ทำกินของคนอื่น
พอพระอาทิตย์ตรงหัว พวกเราก็มุ่งหน้ามาหาอะไรรองท้องกันที่ Glamping Lakeside ร้านอาหารที่ได้จำลองเรือไททานิกสุดโรแมนติก มาให้เราได้ชิวกันเหมือนนั่งดื่มด่ำอาหารรสดีบนทะเลกว้างใหญ่ ทางเข้าจะมีให้เลือกสองทางคือริมถนนที่สามารถเดินเข้าได้แบบฟรี ๆ และอีกทางที่เป็นสะพานแขวนยาวข้ามยอดไม้ไปยังตัวร้าน แน่นอนว่ามาถึงทั้งทีเสียเงินเล็กน้อยได้ไม่ว่า แต่เสียมุมถ่ายรูปนั้นไม่ได้ ว่าแล้วก็ยื่นเงินสับขาแอคท่ารัวเลยจ้า เลยจากสะพานไปใครอยากเป็นแจ๊คกับโรสก็ต้องไปยืนถ่ายกันที่หัวเรือก่อนทานอาหารสักแชะสองแชะ สำหรับอาหาร … ที่นี่จะมีทั้งแบบที่เราต้องไปสั่งอาหารแล้วจึงมานั่งทานที่โต๊ะแนวฟู๊ดคอร์ด กับโซนที่เป็นแบบบุฟเฟต์คือต้องตักอาหารเองแล้วมาหามุมดี ๆ ตามชอบ
และแล้วก็มาถึงตัวจริงที่เราจะมากินอาหารแบบจุก ๆ สไตล์อินโดที่ Saung Gawir ร้านอาหารแบบบังกะโลที่ทำมาจากไม้ไผ่ ให้ฟีลโลคอลมุ้งมิ้งน่ารักกลางไร่สตรอว์เบอร์รี ที่นอกจากวิวดีแล้ว อาหารก็จัดว่าปังมากแม่ ไล่ตั้งแต่ข้าวที่หุงกับสมุนไพรร้อน ๆ ปลาทอดกรอบเนื้อหวาน ไก่ทอดเครื่องหอมสมุนไพรอินโด ไก่ผัดซอสเครื่องเทศฉ่ำ ๆ และที่ขาดไม่ได้ของอาหารอินโดเลยก็คือ น้ำพริกซัมบัล ที่เป็นทั้งเครื่องเคียง ทั้งซอสกินกับอาหารต่าง ๆ ซึ่งตัวซอสของแต่ละร้านรสชาติจะไม่เหมือนกัน อย่างของร้านนี้เผ็ดมาก แต่อร่อยมากเช่นกัน กินคลุกกับข้าวก็อร่อยล้ำ ส่วนเมนูเครื่องดื่มทางเราก็ต้องจัดสตรอว์เบอร์รีปั่นสด ๆ จากไร่ หอมหวานชื่นใจ ใครที่อยากลองร้านอาหารโลคอลแต่ก็ไม่กล้าลองแบบโลคอลจ๋า ก็มาลองร้านนี้ก่อนก็ได้ อร่อย กินง่ายแน่นอนจ้า
หลังจากทานข้าวกลางวันกันเสร็จแล้ว เราก็กลับเข้ามายังตัวเมืองบันดุง เพื่อเอาตับ ไต ไส้ พุง มาเคลื่อนไหวให้ไม่เป็นจังหวะที่ Trans Studio Bandung ธีมปาร์คและสวนสนุกในร่มที่ตั้งอยู่ในห้างกลางเมือง ที่แบ่งเป็น 3 โซนที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป เริ่มที่ Studio Central ที่ยกฮอลีวู๊ดมาไว้ตรงหน้าเราด้วยเหล่าหุ่นขี้ผึ้งของนักแสดงมากหน้าหลายตาสุดโด่งดัง ทั้ง มาลีรีน มอลโล ไมเคิ้ล แจคสัน ฯลฯ ก่อนจะไปเผชิญหน้ากับการผจญภัยสุดมหัศจรรย์ที่จะช่วยเสริมให้การเดิมทางของแกมีสีสันมากยิ่งขึ้นในธีม Lost World แล้วไปปิดท้ายด้วยบรรยากาศของเวทมนต์ที่ทำให้แกรู้มึนงงว่านี่จริงหรือว่าฝัน!!! ใครอยากลองเพิ่มเรื่องราวให้การเดินทาง ที่นี่ล่ะถือว่าเหมาะที่จะมาลองเปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางให้มีสีสันและประสบการณ์ให้แตกต่างจากครั้งไหน ๆ เห็นไหมว่าบันดุงเค้าครบเครื่องมีทั้งธรรมชาติ ไปจนถึงสวยสนุกก็ยังมี!!!
ในส่วนเครื่องเล่นสุดมันส์ที่อยากนำเสนอก็คือ Pemburu Badai เครื่องเล่นแนวไจแอ้นท์ดรอปที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้า พร้อมยกเราขึ้นไปอย่างช้า ๆ ก่อนทิ้งลงมาแบบไม่อ่อนโยน โอ๊ย!!!! บอกเลย กรี๊ดจนคอแทบแตก ร่างแทบแยกออกจากกัน ตาตุ่มแทบกลับขึ้นหัว หัวแทบลงไปอยู่แทนตาตุ่ม และอีกเครื่องเล่นหนึ่งที่เสียวซ่านไม่แพ้กันก็คือ Yamaha Racing Coaster รถไฟเหาะที่มีรางยื่นออกไปนอกตัวตึก ด้วยความเร็วกว่า 100 km./hr. มากระชากขวัญให้เตลิดเปิดเปิง ใครไหวก็ไปต่อได้เลยจ้า ส่วนเราไม่ไหวขอนั่งทำใจฟังเสียงกรี๊ดต่อไปเงียบ ๆ ก็แล้วกัน แต่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้มีแต่ของเล่นชวนหวาดเสียวนะ สายซอฟเค้ากีมีเครื่องเล่นน่ารัก ๆ กรุบกริบกำลังสนุกให้เล่นอยู่หลายอย่าง แถมยังมีขบวนพาเหรด ที่จัดเต็มทั้งแสง สี เสียง สุดอลังให้ชมกันทุกวัน
ตื่นเต้นจนอาหารหมดไปค่อนกระเพาะ เราเลยต้องแวะเติมความอิ่มหนำกับมื้อเย็นที่ Warung Sate HM Harris ร้านโลคอลที่คนโลคอลแนะนำว่าถ้ามาบันดุงต้องมาร้านนี้!!! สายกินอย่างเรามีหรอจะพลาด หูผึ่ง ปักหมุดแล้วมุ่งหน้ามาแบบสมาธิไม่สั่นคลอน ตัวร้านเป็นห้องแถวธรรมดาชั้นเดียว เข้ามาปุ๊บรูปดาราคนดังก็ติดอยู่เต็มผนัง กับกลิ่นเครื่องเทศที่อบอวล เป็นเครื่องการันตีที่ดีว่าอร่อยแน่นอนไปแล้ว 50% ละ ส่วน 50% ที่เหลือเราก็ต้องสั่งอาหารมาลองพิสูจน์กันดู ซึ่งทางร้านเค้ามีแค่เมนูเดียวคือสะเต๊ะ มีให้เลือกทั้งไก่ เนื้อ แกะ การสั่งจึงไม่ยุ่งยาก ไก่ 10 เนื้อ 10 แกะ 10 ไม่พอเดี๋ยวสั่งเพิ่ม โดยตอนเสิร์ฟเค้าจะเอาสะเต๊ะวางมาบนกะทะร้อน ๆ ทำให้ร้อนนาน ทานเร็วทานช้าก็อร่อย จะกินเดี่ยวก็แซ่บหอมเครื่องเทศ จะจิ้มกับน้ำจิ้มถั่ว และซอสที่คล้ายอาจาดของบ้านเราก็ยิ่งเพิ่มความอยากอาหาร งานนี้คะแนน สิบ สิบ สิบ ต้องมาจ้า
กินข้าวเสร็จก็ต้องหาของหวานกินต่อที่สตรีทฟู๊ดประจำเมืองบันดุงบนถนน Sudirman Streetcar ถนนเล็ก ๆ แต่ก็เต็มไปด้วยของกินคาวหวานหน้าตาดูน่ากิน มีทั้งแบบแปลกตาและแบบที่คล้ายคลึงกับบ้านเรา อารมณ์ถนนคนเดินของบ้านเรานั่นแหละ ส่วนเมนูที่เราลองในค่ำคืนนี้ก็คือบัวลอยน้ำขิงของร้าน Ronde Jahe Alkateri ซึ่งต้องบอกว่าดีงาม ร้อน ๆ หวาน ๆ ทานแล้วชุ่มคอ งานนี้กลับห้องไปนอนหลับสบายคลายกังวลตลอดคืนแน่นอนจ้า
DAY3 : DOMAS CRATER (KAWAH DOMAS) – Tangkuban Parahu View – Braga Street – Jarkata
ก่อนกลับสู่จาการ์ต้า เราก็ขอตระเวณเก็บแลนด์มาร์คที่กินที่เที่ยวกันแบบไม่ให้เสียเวลา ที่แรกของเช้าวันสุดท้ายในบันดุงเราจึงรีบไปกันที่ Domas Crater ปากปล่องภูเขาไฟที่มีน้ำพุร้อนพวยพุ่งอยู่ ข้อดีของที่นี่คือคนไม่มากนัก และกลิ่นกำมะถันไม่แรงเหมือนปากปล่องภูเขาไฟที่เราไปในที่แรก แต่ก็ต้องเดินเท้าจากจุดจอดรถไปประมาณ 1 กิโลเมตร หรือจะจ่าย IDR 40,000 แล้วนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปก็ได้ ซึ่งเราขอเลือกเดินเทรลสั้น ๆ เพราะอยากจะชมวิวข้างทางที่มีมุมสวย ๆให้เราแวะถ่ายรูปอยู่หลายมุม ก่อนจะเจอกับบ่อน้ำร้อน และกลุ่มควันกำมะถันพุ่งออกมาจากปากปล่องเมื่อถึงปลายทาง เหมือนได้เปลี่ยนฉากจากป่าสู่ภูเขาไฟอย่างรวดเร็ว ราวกับคนละที่เลยทีเดียว
เรียบร้อยจากจุดแรก ก็ไปต่อแบบไม่พักกันที่ Tangkuban Perahu ภูเขาไฟลูกสำคัญของบันดุง เพราะทั้งกว้างใหญ่แบบสุดสายตา และมีทิวทัศน์สวยงาม ที่นี่มีปากปล่องมากถึง 12 ปล่อง แต่ปล่องที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า Kawah Ratu หรือ Queen Crater ที่ยังมีไอร้อนผุดออกมาอยู่เนือง ๆ เรานั่งรถผ่านไอร้อนจากปากปล่องที่อยู่ทั้งใกล้ไกลไปเรื่อย ๆ วิวทิวทัศน์ที่แทบจะคล้ายกันแต่กลับอลังการขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานนักเราก็มาถึงปากปล่อง Queen Crater ที่สูงชันชวนหวาดเสียว หยั่งความสูงตาม google วัดได้ประมาณ 800 เมตร เล่นเอาใจหวิวไม่น้อย แต่หินสีเทาทมึนก็เท่ชวนมอง ชวนให้เราสะบัดผม เชิดหน้า พ้อยขา แอคติ้งราวลูกสาวมาเฟียแข่งเท่กับภูเขาลูกนี้ซะจริง ๆ
มื้อค่อนบ่ายวันนี้เรามาฝากท้องกันที่ Dapur Dahapati ร้านอาหารอินโดพื้นเมืองที่อดีตเคยเป็นที่พำนักของพระขนิษฐา (น้องสาว) ต่างพระมารดาในทูลกระหม่อมบริพัตร ซึ่งเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 7 ผู้เสด็จมาลี้ภัยการเมือง ภายในร้านสีขาวขนาดกะทัดรัดสไตล์ดัตช์แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความคลาสสิค เพราะเหล่าโต๊ะ เก้าอี้ ของตกแต่งที่เราเห็นนี้ล้วนเป็นของเก่าดั้งเดิมที่ได้รับการตกทอดมาถึง 3 รุ่น กลิ่นอาหารจึงเคล้ารวมกับกลิ่นของประวัติศาสตร์ได้หอมละมุน เดินเล่นอ่านประวัติ และชมเครื่องเรือนยังไม่ทันจบอาหารร้อน ๆ ก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ทั้งบะหมี่ ทั้งซุปหางวัว และก็ซุปต่าง ๆ กับพวกเมนูเต้าหู้ทอด เนื้อวัวตุ๋น ทานร้อน ๆ คู่กับข้าวสวย บอกเลยว่าใครสายเนื้อวัวลองมาทานร้านนี้กันได้ แถมเดินทางง่ายอยู่ในตัวเมือง หากมีเวลาก็แวะมาทานรสชาติที่สืบมารุ่นสู่รุ่นได้นาจา
พออิ่มหนำสำราญเบิกบานใจ พวกเราก็มาเดินย่อยชมเมืองกันที่ Braga Street ถนนสายเล็ก ๆ ที่เราขอยกให้เป็นย่านที่มีความชิคที่สุดในบันดุง ที่นี่คือโซนบ้านเรือนแบบเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิม มีความฮิพบวกชิคเหมาะแก่การถ่ายรูปเล่น ถึงแม้จะไม่ได้ชวนว๊าวมากมายนัก แต่การได้มาเห็นบ้านเรือนและสภาพแวดล้อมที่ดูแปลกหู แปลกตา ก็ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นได้ไม่น้อย ที่นี่คือ เพราะตลอดสองข้างทางนอกจากบ้านเก่าแล้วก็จะได้เจอกับคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายของชิค ๆ ดีไซน์ดีเต็มไปหมด
อัพคาเฟอีนกันหน่อยที่ร้าน Koffie Braga ร้านกาแฟในย่าน Braga Street ร้านนี้จะขายคู่กันกับร้าน Roti Boy คือครึ่งร้านด้านหน้าเป็น Roti Boy เดินเข้ามาอีกนิดจะเป็นร้าน Koffie Braga มีที่นั่งสองโซนให้เลือก คืออินดอร์แอร์ฉ่ำ กับเดินเข้าไปอีกนิดจะเป็นด้านหลังเป็นโซนโล่ง ๆ โปร่ง ๆ ไม่มีแอร์ ทางเราจัดการซื้อขนมปังจากร้าน Roti Boy และสั่งกาแฟจากร้าน Koffie Braga มานั่งกิน ขนมปังอร่อยมาก เพิ่งอบเสร็จร้อน ๆ ทำให้มีกลิ่นหอมของทั้งขนมปังและกาแฟ เรียกว่าอบอวลไปด้วยกลิ่นความอร่อยเลยล่ะ หากมีเวลาสักนิดที่นี่ก็เหมาะแก่การนั่งชิล ลงรูปให้เพื่อนฝูงรู้ว่าเรายังอยู่ดีกินดี ไม่มีโรคภัย มีแต่ความสุขใจจากประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ได้รับ
มื้อสุดท้ายในบันดุง เราฝากท้องกันที่ร้าน Braga Permai ร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในย่านนี้ อะไร ๆ ก็เลยดูคลาสสิคไปหมด จนอยากจะหยิบหมวกแบบผู้ดีอังกฤษมาสวมคู่กับชุดสีครีมผ้าลินิน แล้วสั่งทุกเมนูที่ร้านมีไม่ว่าจะเป็นอาหารอินโด อาหารเอเชีย รวมถึงอาหารฟิวชั่นอีกหลายแบบ มาแบบเต็มคราบแน่นโต๊ะให้พุงกางก่อนกลับจาการ์ตา ซึ่งเราก็สั่งจริงและทุกอย่างที่สั่งมา ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดแบบอเมริกัน หมูสะเต๊ะแบบอินโด ผัดผักแบบไทย ซุปแบบฝรั่ง ทุกจานล้วนอร่อยลงตัวสมราคามากเว่อร์
ถึงเวลาเดินทางกลับจาการ์ต้า โดยขากลับเราได้ลองนั่งรถไฟชั้น Economy Class ราคา IDR 110.000 (สองร้อยกว่าบาท) เช่นเดิมคือใช้เวลาราว ๆ สามชั่วโมงเหมือนขามา ตอนแรกก็คิดว่าชั้นนี้น่าจะต่างกับตอนขามามาก แต่แกเอ้ยย โคตรดี นั่งสบาย แอร์เย็น สะอาด ตรงเวลา จะต่างกับชั้น Priority Class ก็แค่ตรงความเป็นส่วนตัว เพราะชั้นนี้จะมีที่นั่งเยอะกว่า ไม่มีขนมน้ำเสิร์ฟ เบาะเล็กกว่านิดหน่อย และไม่มีจอทัสกรีน เพราะงั้นสะดวกจ่ายแค่ไหนในการนั่งรถไฟก็เลือกกันได้เลยเพราะดีทุกแบบจริง ๆ
DAY4 : Jakarta – Bangkok
ต่อให้เหลือเวลาเที่ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะเที่ยว ก่อนบินกลับในตอนบ่ายทางเราก็มาเที่ยวกันที่ Jakarta Old Town ย่านเมืองเก่าของจาการ์ต้าที่เดิมทีตรงนี้เคยเป็นใจกลางเมืองมาก่อน พอยุคเปลี่ยน สมัยเปลี่ยน ใจกลางเมืองก็ไปอยู่ตรงย่านที่มีความเจริญแทน โดยแลนด์มาร์คหลักที่แกต้องมาก็คือจัตุรัส Fatahillah ที่มีจักรยานสีสันสดใสซาบซ่าให้เช่าปั่นเล่น ปั่นถ่ายรูปเล่นกันตรงจตุรัสนี้ อาคารตึกแถวนี้จะเป็นสไตล์ยุโรปที่สร้างโดยสถาปนิกชาวดัสต์ อาคารตึกสีขาว พื้นถนนจนไปถึงพื้นรอบข้างโซนนี้เลยปูด้วยพื้นหินทั้งหมด พื้นที่ตรงนี้เลยมีความคลาสสิคอยู่
แม้จะไม่เสียพลังงานแต่ร่างกายเราก็ต้องการคาเฟอีนอยู่เสมอ เราเลยต้องแวะกันมาที่ Cafe Batavia ร้านที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1993 แต่ตัวตึกเป็นอาคารเก่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ด้านในร้านก็ตกแต่งแบบย้อนยุค ด้วยเฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ โถงทางเดินบันได กรอบรูปต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วร้าน มุมถ่ายรูปจึงมีให้เลือกเยอะมากกกกก ถ่ายมุมไหนก็เป๊ะเหมือนเดินย้อนยุค 70s 80s ทำให้เห็นภาพการจำลองอดีตที่เราแทบไม่เคยเห็นที่อื่นเลยล่ะแม่
สุดท้ายก่อนกลับ ทางเราก็เลือกที่จะไปกินหรูหราเยี่ยงราชาเพื่อปิดทริปแบบตัวแม่ที่ Tugu Kunstkring Paleis ตอนแรกก็เกือบเผลอคลานเข่าเพราะแค่เข้าไปในร้านก็เหมือนหลุดไปอีกโลก ประหนึ่งว่าตัวเองกำลังจะได้ร่วมทานอาหารกับราชนิกูล ยิ่งมุมโต๊ะตัวยาวสีแดงกับเก้าอี้นับสิบตัว และแชงกาเรียที่ห้อยประดับอยู่กลางโถงห้องอาหาร ไหนจะภาพจิตกรรมผนังที่สูงเกือบถึงเพดาน คืออลังการ นี่หากมีมงกุฏจะรีบเอามาสวมทำทีเป็นราชินีโต๊ะกลมซะเลย
อาหารที่นี่แม้จะเป็นอาหารอินโดแท้ ๆ แต่ไม่ได้เสิร์ฟมาเป็นกับแล้วตักแบ่งแบบทั่วไป แต่พนักงานจะเสิร์ฟเวียนมาทีละอย่างให้ทีละคน มีสิบอย่างก็เสิร์ฟสิบรอบในจานเดียวจนครบ 10 อย่าง ค่อยทาน เป็นการเปิดประสบการณ์การกินที่แปลกใหม่ แถมระหว่างทานยังได้ดูโชว์การเต้นรำพื้นเมืองของคนอินโดด้วย ใครอยากลองเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ของการกิน และการที่ได้มโนว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูงก็ลองมาที่นี่ได้นาจา
จากความสงสัยว่าเส้นทางใหม่อย่างบันดุงจะมีอะไรให้เราได้เปิดประสบการณ์ในตอนแรก พอครบ 4 วันจบทริป จากความสงสัยก็กลายมาเป็นความชื่นชม ชื่นชมในความสวยงามแตกต่างยากที่จะหาที่ใดเหมือน ชื่นชมในสีสันที่เกือบจะเหมือนแต่ก็ต่างกันของเรากับอินโดนีเชีย ชื่นชมในตัวเองที่กล้าก้าวออกจากความสงสัยสู่การตามหาคำตอบด้วยตัวเอง อย่างที่มีคำกล่าวไว้ว่า โลกนี้เสมือนหนังสือเล่มใหญ่ ผู้ไม่เดินทางย่อมไม่มีวันได้อ่าน และเรื่องราวสุดมหัศจรรย์นี้ก็คงอยู่ได้เพียงในความฝันต่อไป มาออกเดินทางกับเส้นทางใหม่ ๆ ที่ทำให้หัวใจได้เต้นระรัวกันเถอะ