เพราะการเดินทางทำให้โลกที่เคยแคบกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากประเทศไทย สู่อาเซียน ไปญี่ปุ่น จีน ยุโรป และวันนี้เราจะเปิดโลกของตัวเองให้กว้างกว่าที่เคย ณ ประเทศเปรู ที่ชื่อฟังดูแล้วห่างไกลและใหม่มากสำหรับตัวเอง แต่มันคือดินแดนเก่าแก่เจ้าของรากเหง้าและวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลนับหมื่นปี กับความสวยงามที่น่าค้นหาอีกมากมาย โดยทริปนี้เราจะพาทุกคนไปเยือนจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ก่อนยุคโคลัมบัส จักรวรรดิอินคา เพื่อตามไปดูปริศนาที่ถูกซุกซ่อนภายใต้อาณาจักรที่ล่มสลายที่ได้ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง จนได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ รวมไปถึงรั้งตำแหน่งมรดกโลกสาขาวัฒนาธรรม เราอยากชวนทุกคนก้าวออกไปขยายโลกที่เรามีให้กว้างขึ้นด้วยตาตัวเองกับบันทึกการเดินทาง ณ ประเทศเปรู ที่อยากให้ได้ดูแล้วจะรู้ว่าว้าวขนาดไหน …
การเดินทางทำให้เราได้พบเจอกับสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งวิวทิวทัศน์สวยเกินบรรยาย ชีวิตผู้คน อาหารการกิน ในท่ามกลางความสวยงามที่เหมือนฝัน ก็มีเรื่องราวไม่คาดคิดที่ต้องระมัดระวังเช่นกัน โดยเฉพาะอุบัติเหตุและเจ็บป่วยระหว่างเดินทาง หรือแม้แต่เรื่องทรัพย์สินสูญหาย เครื่องบินดีเลย์ ทำให้เสียเวลาในการเดินทาง แพลนที่ตั้งใจว่าก็อาจจะผิดพลาดไปหมด เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า ห้ามไม่ได้อีกด้วย แต่เราบรรเทาเบาบางเหตุด่วนเหตุร้ายพวกนี้ได้นะ ตัวช่วยที่ดีและเราทำทุกครั้งที่ออกเดินทาง คือ ซื้อประกันภัยเดินทางติดตัวไว้ เราคิดเสมอว่าเราเก็บเงินเพื่อเที่ยวได้ แค่เพิ่มเงินอีกนิดเดียวหลักร้อยหลักพันซื้อประกันภัยเดินทางติดตัวไว้มันอุ่นใจกว่ากันเยอะ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นอาจต้องเสียเงินเป็นหลักล้านเลย เห็นได้จากหลายๆ เคสที่แชร์กันกระหึ่มโซเชียล และเดี๋ยวนี้ก็ทำได้ง่ายๆ ผ่านแอปโมบาย แบงกิ้ง ที่เราใช้คือซื้อผ่านแอป K PLUS ของเคแบงก์ กดซื้อก่อนเดินทางไม่กี่วัน แล้วเขาจะส่งกรมธรรม์มาทางอีเมล์ ไม่มีใครอยากให้เกิดอะไรไม่ดีขึ้นระหว่างเดินทางหรอกนะ แต่ถ้าเกิดเหตุสุดๆ จริงทั้งเจ็บป่วย อุบัติเหตุ จะเคสเบาๆ อย่างไฟลท์ดีเลย์ กระเป๋าพัง ของหาย อย่างน้อยเราก็ยังมีวงเงินประกันคุ้มครอง เตรียมวางแผนดีขนาดนี้ ทั้งเส้นทาง ปักหมุดที่เที่ยว ที่กิน แถมมีประกันภัยเดินทางติดตัว พร้อมแล้วก็ออกเดินทางด้วยความอุ่นใจและมั่นใจ ละเอียดเพิ่มเติม http://bit.ly/2GdwOnr
Day 1 — Lima City and Ballestas Islands Tour
ก่อนจะเข้าสู่จักรวรรดิโบราณเราขอเริ่มทริปเปรูวันแรกกันที่เมืองลิม่า เพื่อไปยัง Ballestas Islands เกาะแมวน้ำนี้เป็นเกาะที่อุดมไปด้วยนกเป็นหมื่นๆ ชนิด และสัตวเลี้ยงลูกด้วยนม อย่างเพนกวิน นกกระยาง โลมา สิงโตทะเล ฯลฯ และมันยังมีอีกชื่อเล่นนึงว่ากาลาปากรอสของคนจน เพราะมันช่างมีความคล้ายคลึงแต่ราคาถูกกว่ามาก เกาะแห่งนี้มีลักษณะเป็นเกาะหินที่อยู่บนชายฝั่งทะเลแปซิฟิกของประเทศเปรู โดยเราสามารถไปชมวิถีชีวิตของสัตว์ทะเลเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิดด้วยการซื้อทัวร์นำเที่ยวที่มีให้เลือกหลายเจ้ามากและส่วนใหญ่ทุกที่พักก็จะมีขายทัวร์นี้ด้วยเราก็ซื้อผ่านที่พักของเราง่ายๆ เลยนี่ล่ะ
เมื่อถึงเวลาเรือนำเที่ยวก็พาเรามุ่งหน้าสู่ทะเลอันไกลเวิ้งที่มองอะไรไม่เห็นสุดลูกหูลูกตา แล้วแบบพอใกล้ถึงเกาะที่สิงโตทะเลอาศัยเราก็จะได้กลิ่นสาบๆ แบบสัตว์ทะเลก็เป็นอันรู้ได้ทันทีแบบไกด์ไม่ต้องบรรยาว่าเราเดินทางมาถึงแล้ว จุดนี้เราสามารถลงไปว่ายน้ำเพื่อดูสิงโตทะเลแบบใกล้ชิดสนิทสนมมากยิ่งขึ้น แต่ก็ในระยะที่ปลอดภัยนะโดยมีนักดำน้ำประจำเรือดูแลเรื่องความปลอดภัยเป็นคนพาลงไป ในส่วนนี้ทางเราขอไม่ลงเนื่องจากช่วงที่ไปอากาศหนาวมากเกรงว่าถ้าลงไปจะเป็นการลงไปให้คนมาชมเราสั่นกลางน้ำแทน
ประมาณบ่ายสามโมงกลับถึงฝั่งเราก็ไปเดินเที่ยวเล่นสวยๆ ต่อในเมือง ด้วยความที่ลิม่าคือเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเปรู ที่ตั้งก็ติดทั้งทะเล มีภูเขาล้อมรอบ มันจึงเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางการขนส่ง การเงิน อุตสาหกรรม และวัฒนธรรมของประเทศ เราจึงสามารถหาร้านอาหารชั้นยอดทาน หาดนตรีแบบดั้งเดิมฟัง หาของช้อปที่เก๋ไก๋ หรือจะหาตึกรามบ้านช่องแบบสมัยยุคล่าอาณานิคมจากสเปนดูได้ไม่ยาก ซึ่งใครอยากพักแบบชิวๆ ชมผู้คนสไตล์เปรูก็ไปได้ที่สวนสาธารณะ Exposition ชอบพิพิธภัณฑ์ก็ไปได้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเมืองลิม่า ขาช้อปต้องไม่พลาดไปที่ Plaza de Armas ส่วนเราสายถ่ายรูปก็ขอเดินเล่นเพลินๆ ตามถนนเรื่อยๆ เปื่อยๆ ก็สนุกแล้ว
Day 2 — Cusco City
เราบินจาก Lima มา Cusco ถึงในเมืองราวๆ 10 โมงเช้า แพลนวันนี้จะไม่ได้มีอะไรมากลงเครื่องมาก็ขอเก็บกระเป๋าเข้าที่พักแล้วออกไปยื่นวีซ่าที่สถานทูตโบลิเวีย เพราะหลังจากเที่ยวเปรูเสร็จเรามีแพลนไปเที่ยวต่อที่ประเทศโบลีเวีย เสร็จแล้วก็เดินเล่นในเมืองหาเดย์ทริปที่โดนใจสักหน่อย เพราะที่นี่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางในการเที่ยวที่สำคัญ เราสามารถหาซื้อทัวร์ได้หลากหลายและหลายร้านมากๆ ใครชอบแบบไหนก็เดินๆ เลือกหากันได้ตามสบาย
Cusco คืออดีตเมืองหลวงของจักรวรรดิอินคาที่ถูกค้นพบในปี พ.ศ 2454 บนเทือกเขาแอนดีสที่ความสูงเหนือระดับนํ้าทะเล 3,300 เมตร และถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโกในปีพ.ศ 2526 จักรวรรดิอินคาคือจักรวรรดิโบราณที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ในยุคก่อนโคลัมบัส ที่สามารถขยายอาณาจักรปกครองดินแดนส่วนใหญ่ทางด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งปัจจุบันก็คือประเทศเปรู เอกวาดอร์ โคลอมเบีย โบลิเวีย ชิลี และอาร์เจนตินา โดยมีเมือง Cusco เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ ที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นอยู่เสมอจนถึงยุคหลังโคลัมบัสที่ ฟรันซิสโก ปิซาร์โร กอนซาเลซ นักสํารวจชาวสเปนได้เขามายึดครองอาณาจักรอินคาในปี พ.ศ 2477 จึงทําให้หลังจากนั้นได้มีการถือกําเนิดขึ้นของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอินคาและศิลปะของสเปนขึ้นหลายแห่ง แต่ต่อมาได้มีการก่อตั้งเมืองลิมาเป็นเมืองหลวงใหม่ทําให้เมือง Cusco ถูกลดความสําคัญลง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ปัจจุบันเราจึงสามารถเห็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างสไตล์โคโลเนี่ยนและและวัฒนธรรม Quechua ภายในเมืองกุสโกได้อย่างกลมกลืน มันจึงค่อนข้างจะแปลกใหม่สำหรับชาวเอเชียแบบเรา ถนนแต่ละเส้นของที่นี่มันก็จะมีความเชื่อมต่อทะลุถึงกันแบบเข้าซอยนี้ออกซอยโน้น จากการวางผังเมืองที่ดี มีจตุรัสตรงกลางและขยายแยกย่อยสู่ถนนสายต่างๆ เราเลยเดินได้แบบเพลินๆ ถ่ายรูปคนพื้นเมือง ถ่ายรูปของฝากหลากสีสัน และการละเล่นทอยเต๋าแบบพื้นเมืองหรือซาโปได้ตามทั่วท้องถนน โดยที่นี่ก็ยังมีจุดที่น่าสนใจคือจตุรัส Plaza de Armas ที่เป็นเหมือนสวนสาธารณะมาหลายร้อยปี มีตลาด Cusco san pedro ตลาดแบบโลคอล วิหารแห่งดวงอาทิตย์ Qorikancha และอีกหลากหลายสถานที่ๆ น่าสนใจที่รับรองความเดินเพลิน
Day 3 — Full-Day Rainbow Mountain Hike
และจากการเดินเล่นของเราเมื่อวานก็ทำให้เราได้ทัวร์ไปยัง Montaña arcoíris (Rainbow Mountain) ในราคา 80 Sol (800 บาท) ซึ่งราคาแต่ละทัวร์มันมากน้อยไม่เท่ากันนะแต่ก็ควรจะอยู่ประมาณนี้หล่ะแบบไม่เกิน 100 Sol ถ้าเกินแสดงว่าอาจจะซื้อกับทัวร์ที่มีชื่อว่าหวังฟันเจ้าไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เดินค่อยๆ ตัดสินใจกันไป โดยราคานี้เป็นราคาที่เราต้องไปจอยกับคนอื่นทั้งสิ้นหนึ่งคันรถตู้ พร้อมมีอาหารเช้ากับกลางวันให้ และรถจะมารับตอนตีสี่ที่หน้าโรงแรม แล้วออกเดินทางแบบหลับๆ ตื่นๆ ปนตื่นเต้นก็จะไปถึงจุดแวะทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่สไตล์เปรูประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ นั่งทานกันไป 30 นาที ท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางต่อผ่านถนนคดไป เคี้ยวมา ผ่าฝุ่น ฝ่าทุ่งนา ไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จุดนี้ก็นั่งชมวิวเพลินๆ พร้อมยาดมสักอัน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปพร้อมๆ กับทิวทัศน์ที่หลากหลาย รถตู้ก็พาเรามาถึงจุดตั้งต้นของการ Hiking กันแล้วจ้า ซึ่งแค่จุดเริ่มต้นก็มีความตื่นตาตื่นใจกันพอควรละกับหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาหญ้าสีเขียวไกลลิบ พร้อมฝูงอัลปากาสีขาวขนปุยเดินเล็มหญ้ากันแบบชิวๆ เป็นวิวที่ชวนชื่นใจซะเหลือเกิน และจากจุดเริ่มต้นนี้ก็จะถึงคราที่เราต้องตัดสินใจเลือกกันแล้วว่าจะขึ้นไปชม Rainbow Mountain ด้วยการเดินหรือการขี่ม้าไป ซึ่งถ้าจะขี่ม้าก็จะต้องจ่ายเพิ่มราคาอยู่ที่ม้า 1 ตัวต่อ 1 คน 60 Sol (600 บาท) ถ้าจะขี่กลับด้วยก็ต้องจ่ายราคา 90 Sol
สำหรับนักท่องเที่ยวสายชิวผู้รักการกินอย่างเราก็ต้องขอเลือกขี่ม้านั่งชมวิวสวยๆ คูลๆ แน่นอนจ้า ซึ่งตลอดทางเดินคือทางมันไม่ได้ชันมากนะจะเดินก็เดินได้แหล่ะ แต่ก็ควรจะฟิตมาพอสมควรเพราะไอ้ทางราบๆ ที่เราเห็นอยู่ข้างหน้าเนี่ยเรากำลังไต่ไปที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่าสี่พันเมตรนาจา และมีบางจุดที่ค่อนข้างชันมากๆ เราก็ต้องลงจากหลังม้าแล้วไต่ไปพร้อมๆ กับม้าอยู่เหมือนกัน ฟิลก็จะประมาณนั่งๆ เดินๆ ขึ้นๆ ลงๆ ไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็กลัวตกม้าอยู่เหมือนกัน แต่หลังๆ พอรู้จังหวะก็จะชินไปเองแล้วเราก็จะมีเวลาสัมผัสกับวิวทิวทัศน์ข้างทางได้มากขึ้น อิ่มเอมกับบรรยากาศรอบๆ ตัว พร้อมๆ กับเสียงฝีเท้าของม้าไปตลอดทาง ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าโลกที่เราเคยรู้สึกกว่ากว้างแล้วนะ แต่ทุกครั้งที่เราได้ออกเดินทางไปที่ใหม่ๆ ทีไรมันก็เหมือนว่าโลกนี้กว้างออกไปอีกเรื่อยๆ ทุกครั้ง จนเรายิ่งอยากจะออกเดินทางไปที่ใหม่ๆ อีกเรื่อยๆ และอยากจะรู้ว่าโลกของเราจะกว้างไกลได้แค่ไหน
ซึ่งพอนั่งบนหลังม้าชิวๆ ไปจนเกือบถึงตีนเขาสายรุ้ง ม้าก็จะหยุดเดินให้เราเดินขึ้นไปต่อเองเพราะทางค่อนข้างชัน ตลอดเส้นทางบนความสูงขนาดนี้แกจะรู้สึกหายใจลําบาก เหนื่อยหอบ และอาจโดนโรคแพ้ความสูงเข้าจู่โจมทำให้เดินสามก้าวก็ต้องพัก แต่เมื่อมองออกไปที่สองข้างทางแล้วพบว่าเรากําลังถูกโอบล้อมจากธรรมชาติ ข้างๆ กันก็เป็นวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองที่ไม่เคยเห็น และที่จุดหมายปลายทางก็คือเส้นทางที่แสนอัศจรรย์ ทุกอย่างล้วนผลักดันให้เราสามารถไปถึง Rainbow Mountain ได้ในที่สุด แม้จะยากลําบากแต่มันก็คุ้มค่าจริงๆ เพราะบนความสูงสี่พันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ณ เทือกเขาแอนดิสนี้ คือ ยอดเขาสีรุ้ง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคาอันเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แร่ต่างๆ และทรายแดงทับถมสะสมกันเป็นเวลาหลายล้านปี เราสามารถชมอิ่มเอมกับวิวสุดแปลกตาได้แบบ 360 องศา ราวกับเป็นดินแดนแห่งสายลมอันแสนสดชื่นที่ซึ่งจะมอบประสบการณ์อันเกินประเมินค่าให้กับทุกคนที่มาเยือนตั้งแต่ก้าวแรก ณ ปากทางเข้าไปจนถึงก้าวสุดท้ายที่เดินออก
ไม่ว่าจะแค่เดินไปหน้าปากซอยหรือลอยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เอาจริงๆ ทุกอย่างมันมีความเสี่ยงของมันเสมอ มากบ้างน้อยบ้างตามแต่สถานการณ์ อย่างคราวนี้พี่ที่ไปกับเราพอลงมาจากเขาก็ต้องตรงดิ่งไปโรงพยาบาลก่อนเข้าที่พักเลยจ้า ซึ่งโชคดีที่นางซื้อประกันการเดินทางไว้ด้วยเลยไม่ต้องเสียเงินเองก็ถือว่าเป็นความคุ้มค่า แต่จริงๆ ไม่ได้ใช้จะดีกว่า แต่เมื่อมันได้ใช้แล้วมีคนจ่ายให้มันก็ย่อมดีกว่า นี่แหล่ะเป็นเหตุผลที่เราบอกกับเพื่อน ครอบครัว และคนใกล้ชิดเราเสมอว่าสิ่งแรกๆ ที่ควรจะนึกถึงเมื่อไปต่างประเทศก็คือประกันการเดินทางนี่แหล่ะจ้าาาาาาาา
Day 4 — Pisac and Pisac Market
หลังจากได้เห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว วันที่ 4 และ 5 นี้พวกเราจะเดินทางตามหา “หุบเขาศักดิ์สิทธิ์” (Sacred Valley) หรือหุบเขาอูรูรัมบา (Urubamba) ของชาวอินคากัน ซึ่งหุบเขาศักดิ์สิทธิ์นี้จะกินพื้นที่บนเทือกเขาแอนดีสบางส่วน และเมืองกุสโก, เมืองปิซาค (Pisac), เมือง Ollantaytambo, เมือง Chinchero และมาชูปิกชูด้วย ทำให้หุบเขาศักดิ์สิทธิ์มีความกว้างใหญ่ หลากหลาย และเต็มไปด้วยวัฒนธรรมของชาวอินคาที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตเกษตรกรรมกับความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันชาวบ้านยังคงรักษาตัวตนของตัวเองไว้ได้อย่างดีเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นตลาด เมือง ที่ทำการเกษตร และจุดอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายจุด แต่ที่เราจะไปสัมผัสกันคือเมืองเมืองปิซาค(Pisac), เมือง Ollantaytambo, เมือง Chinchero และเมืองMaras ซึ่งเป็นแพคเกจทัวร์ที่ซื้อตั๋วครั้งเดียวในราคา 70 Sol ก็สามารถเข้าชมได้ถึง 4 สถานที่สำคัญบนเส้นทางบเขาศักดิ์สิทธิ์
Pisac คือหนึ่งในจักรวรรดิของชาวอินคาที่อยู่ไม่ไกลจากเมือง Cusco ที่นี่เราก็จะได้พบกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคาที่ซึ่งอยู่ใกล้แมนํ้า Vilcanota หรือแม่นํ้าศักดิ์สิทธิ์ในเปรู เราจึงสามารถพบเห็นซากปรักหักพังที่ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างยิ่งใหญ่ โดยซากโบราณสถานแห่งนี้ได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วนที่สำคัญคือ ส่วนที่เป็นโครงสร้างโบราณดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ด้านบนของหมู่บ้าน และส่วนร่วมสมัยที่เริ่มสร้างในยุคโคโลเนียลที่อยู่ด้านล่างของหมู่บ้าน โดยโซนโบราณดั้งเดิมจะถูกแบ่งย่อยเป็นโซนๆ อีก คือ โซนกำแพงที่มีขนาดสูงใหญ่และมีประตูอยู่รอบๆ ทิศ, โซนอุโมงค์ที่มีอยู่สองเส้นทางด้วยกันคือเส้นทางไปยังทิศเหนือ และเส้นทางออกสู่ด้านบนสุดของหมู่บ้าน, โซนที่เก็บของขนาดใหญ่ที่เอาไว้เก็บอาหารและของอื่นๆ ที่สำคัญในยามที่เกิดภัยธรรมชาติ และโซนป่าช้าของชาวอินคาที่มีขนาดใหญ่มากๆ ซึ่งบรรจุหลุมศพอยู่นับหมื่นหลุมกับความเชื่อของชาวอินคาในเรื่องหลังความตาย พวกเค้าจึงบรรจุของใช้ เครื่องประดับ และสิ่งสำคัญของผู้ตายลงไปกับหลุมด้วย โดยรวมแล้วที่นี่นับว่าเป็นซากปรักหักพังที่สมบูรณ์และยิ่งใหญ่มากจนนึกอยากให้ชาวอินคายังมีชีวิตถึงปัจจุบันเพราะอยากรู้ว่าจักรวรรดิของพวกเค้าจะยิ่งใหญ่จนโลกตะลึงได้แค่ไหนจริงๆ
นอกจากโบราณสถานแล้วที่นี่ก็ยังมี Pisac Market ตลาดขนาดใหญ่ที่เปิดทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สําคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มายังสถานที่แห่งนี้ โดยตลาดพื้นเมืองแห่งนี้เราสามารถเลือกซื้อหรือเลือกชมผลิตภัณฑ์จากชาว Indians ไม่ว่าจะเป็นงาน Handmade งานศิลปะจากศิลปินพื้นเมือง โดยเฉพาะที่ทําจากขนอัลปากา และผงสีๆ ที่แจ่มกระแทกตา นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องเงิน เครื่องประดับ และของเล่นของชาวเปรูให้ได้เลือกซื้อเป็นของฝากอีกด้วย หรือถ้าไม่ซื้อแค่เดินถ่ายรูปก็คุ้มมากมายละ เพราะมันเป็นตลาดที่คัลเลอร์ฟูลดูสดใสมากจนอยากจะถ่ายให้ครบทุกมุมเลย
เราเดินเล่นชมวิว แวะถ่ายรูปอะไรไปเรื่อยเปื่อยแบบเพลินๆ เพลินมากจริงๆ แบบถนนก็สวย ผู้คนก็ดี ธรรมชาติใหญ่โตอลังการมาก สีสันก็แปลกตา ก็ถ่ายๆ เดินๆ จนหมดวัน รู้ตัวอีกทีก็ได้เวลากลับเข้าเมือง Cusco ไปนอนเอาแรงสำหรับวันต่อไปกันแล้วจ้า
Day 5 — Chinchero, Moray, Salinas and Ollantaytambo
เช้าวันที่ 5 เราเริ่มกันที่ Chinchero เมืองหัตถกรรมจินเจโรเมืองชนบทเล็กๆ บนความสูง 3,762 เมตรเหนือระดับนํ้าทะเล ที่หลายคนมองข้ามไปแห่งนี้คือเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการทําหัตถกรรมของชาวเปรู เราจึงสามารถพบเห็นภาพที่ชาวพื้นเมืองกําลังประดิษฐและถักทอผลงาน Handmade ที่เต็มไปด้วยสีสันอยู่ทั่วไป และภายในตลาดเล็กๆ ของที่นี่ นอกจากงานฝีมือแล้วเรายังสามารถหาซื้อผักและผลไม้อีกนิดหน่อยได้จากที่นี่ด้วย แต่สิ่งที่ทําให้เรารู้สึกตื่นเต้นมากกว่าผลงานสีสันสดใสที่ดูสวยงามนี้ก็คือวิธีการซื้อขายของพวกเขาซึ่งยังคงมีการใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้ากันแทนการใช้เงินในการซื้อสินค้าอยู่ด้วย ถือเป็นวิถีชีวิตที่หาได้อย่างยากยิ่งในทุกวันนี้ เราแวะกันที่ศูนย์หัตถกรรมแห่งหนึ่งของเมือง ซึ่งเมื่อเข้าไปก็จะมีเสิร์ฟชาร้อน แล้วสาธิตว่าการทำผ้าหนึ่งผืนนั้นทำอย่างไร ตั้งแต่เอาขนอัลปากามาย้อมสีด้วยสีธรรมชาติ แล้วก็โชว์พวกวัตถุดิบจากธรรมชาติว่าอะไรทำให้เกิดสีไหน จากนั้นก็สาธิตการทอ แล้วก็ปล่อยให้เราช้อปปิ้งเล็กน้อยก็เป็นอันได้ของฝากติดไม้ติดมือกันทุกคน
นอกจากนี้แล้วเมืองชินเชอโรก็ยังมีซากปรักหักพังของชาวอินคาหลงเหลืออยู่ที่อยู่ในลิสต์ของตั๋วที่เราซื้อนั่นล่ะ ซึ่งแต่เดิมที่นี่เคย ถูกใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของเจ้าเมืองแห่งอินคา โดยรอบๆ ที่พักจะมีระเบียงอยู่มากมายเพื่อทําการเกษตร เพราะดินของเมืองนี้มีความชุ่มชื้นและอุดมสมบูรณ์สูง จึงเหมาะแก่การปลูกพืชหลายชนิด ซึ่งพืชที่เคยนิยมปลูกก็คือมันฝรั่ง เมล็ดคีนัว และถั่วฟา ซึ่งปัจจุบันก็สามารถหาซื้อได้ที่ตลาดพื้นเมือง นอกจากนี้เรายังสามารถชมบัลลังก์หินที่ตกแต่งอยางสวยงามและปราณีตของชาวอินคาในสมัยก่อนได้ด้วย และขนาดเหลือแค่ซากปรักหักพังเรายังรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่เลยอ่ะ ยิ่งรู้สึกว่าชาวอินคาคือเจ๋งมากกกกกก ไม่ไกลกันนักเราจะได้เห็นโบสถ์สไตล์สเปนที่สร้างขึ้นในช่วงคริสตศักราช 1,607 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล
นั่งรถต่ออีกเกือบ 30 กิโลเมตร เราก็มาถึง Moray โบราณสถานอินคาใกล้เมือง Maras โดย Moray คือบันไดวงกลมที่เหมือนกับอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ของชาวกรีกนี้มีความลึกกว่า 150 เมตร และถูกเชื่อว่ามันเคยเป็นสถานที่ทดลองในการทําการเกษตรของชาวอินคาในสมัยก่อน เพราะจากด้านบนสู่พื้นล่างของวงกลมนี้มีอุณหภูมิต่างกันถึง 15 องศา โดยบริเวณตรงกลางจะมีอุณหภูมิสูงมากที่สุดและเมื่อสูงขึ้นมาจะมีอุณหภูมิที่เย็นมากขึ้น ซึ่งเชื่อกันว่าชาวอินคาใช้อัฒจันทร์การเกษตรแห่งนี้เพื่อทดสอบว่าพืชแต่ละชนิดจะเติบโตได้ดีที่สุดในอุณหภูมิไหน ล้ำมากจริงๆ แก
เราแวะเที่ยวต่อที่ เหมืองเกลือซาลินาส (Salinas) หรือ Salt Pans of Maras เหมืองเกลือสีส้มขนาด 5 ถึง 10 ตารางเมตร กว่า 3,000 บ่อ ที่เราเห็นตรงหน้านี้คืออารยธรรมที่มีมาก่อนยุคอารยธรรมอินคาเสียอีก เป็นการก่อสร้างเพื่อปรับเปลี่ยนให้น้ำแร่ที่ เกิดจากนํ้าพุร้อน Qoripujio Spring ที่เป็นลําธารนํ้าเค็มตามธรรมชาติกลายเป็นเกลือเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค ซึ่งมีทั้งสีขาวสีเหลือง และสีชมพู ใครอยากได้เกลือสีชมพูของเปรูที่โด่งดังก็สามารถเลือกซื้อเลือกหากันได้ที่นี่ เพราะเกลือของที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็น เกลือธรรมชาติที่ยังมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ สามารถนําไปใช้เพื่อความสวยงามอย่างเช่นการทําสปาก็ได้ หรือจะนํามาบริโภคเพื่อ ให้ได้แร่ธาตุมากกว่าเกลือสีขาวแบบบ้านเราก็ได้เช่นกันจ้า เอฟวายไอตรงนี้ว่าการเข้าชมที่นี่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 10 Sol ไม่ได้รวมกับ 4 สถานที่หลักในตั๋วที่เราซื้อนาจา …
ที่สุดท้ายบนตั๋วที่เราซื้อเหมาก็คือ เมืองโอยันเตตัมโบ (Ollantaytambo) หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคาอีกแห่งนี้ที่ย้ายมาหลังจากที่โดนชาวสเปนเข้ายึดครองเมือง Cusco เราจึงสามารถเห็นวิธีการสร้างและสถาปัตยกรรมที่ยังคงเอกลักษณ์ของชาวอินคาได้อย่างโดดเด่นในซากโบราณสถานที่เมืองแห่งนี้ และหลายๆ อย่างที่ถูกสร้างตั้งแต่ยุคอินคาก็ยังถูกใช้มาจนถึงสมัยนี้ด้วย นอกจากนี้ที่นี่อยู่บนความสูงเหนือระดับนํ้าทะเลที่ 2,792 เมตร มันจึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเริ่มทริปสําหรับ Inca trail กันด้วยจ้า ( Inca trail ก็คือการเดินเท้าไปพิชิตมาชูปิกชู )
โดยผังของเมืองโอยันเตตัมโบแห่งนี้จะมีลักษณะเหมือนตัวลามะตามความเชื่อของชาวอินคาที่นิยมวางผังเมืองเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงู นก เสือ และตัวลามะ เป็นต้น เพื่อใช้เมืองนี้เป็นที่สำหรับการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ด้วยทุนส่วนตัวของจักรพรรดิ Pachacuti และเมื่อเดินผ่านประตูหินไม่ไกลก็จะถึง Temple of the Sun เราจะพบกับหินแกรนิตสีชมพูขนาดใหญ่ที่หนักหลายร้อยตันอยู่ตรงหน้ายิ่งชวนให้รู้สึกนับถือและอยากรู้จักชาวอินคาให้มากกว่านี้ขึ้นไปอีก
หลังจากเยี่ยมชมครบสถานที่ในตั๋วที่เป็นเหมือนเช็คลิสต์ของเราแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังจุดเช็คอินของบริษัท Inca Rail ที่ Estación Ollantaytambo หรือสถานีรถไฟ Ollantaytambo สถานีรถไฟที่อยู่ในตัวเมืองแห่งนี้ เพื่อนั่งรถไฟต่อไปยังเมือง Aguas Calientes และค้างหนึ่งคืนเตรียนตัวขึ้นมาชูปิกชูตอนเช้า ซึ่งปกติแล้วทัวร์โดยมากเลยเลือกมาจบทริปที่เมืองนี้แหล่ะ จะได้สะดวกในการเดินทางรูทต่อไปด้วยรถไฟได้ง่ายๆ
นั่งรถไฟชมวิวแม่น้ำ Urubamba เพลินๆ ท่ามกลางเทือกเขาแอนดีสราวๆ ชั่วโมงครึ่ง พวกเราก็มาถึงสถานีปลายทาง ณ เมือง Aguas Calientes ที่แปลว่า น้ำร้อน เพราะห่างจากตัวเมืองไป 800 ใกล้กับแม่น้ำ Vilcanota จะมีซัลเฟอร์ที่ทำให้น้ำมีอุณหภูมิอยู่ที่ 36-40 องศา มีฤทธิ์ในการบำรุงรักษาร่างกาย แต่การจะเดินขึ้นไปยังบ่อน้ำร้อนก็ค่อนข้างจะลำบากพอสมควรเลยดีเดียว ในปัจจุบันบ่อน้ำร้อนนี้ได้ถูกใช้เป็นพื้นที่ทดสอบทางธรณีวิทยาเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและการเกิดแผ่นดินไหวเป็นหลัก ซึ่งเดิมทีเมืองแห่งนี้ก็อยู่ในเส้นทางสัญจรไปมาธรรมดาจนเมื่อปี 1911 Hiram Bingham นักประวัติศาสตร์ชาวเมกันได้เดินทางมาสำรวจที่แห่งนี้ และค้นพบเมืองที่หายสาบสูญไปอย่างมาชูปิกชู เลยทำให้ปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการขึ้นไปมาชูปิกชู หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้วสิ่งที่ต้องทำเลยหากต้องการขี้นมาชูปิกชูในวันถัดไปคือเดินไปซื้อตั๋วรถบัสขึ้นมาชูปิกชูแบบไป-กลับในราคา 24 USD ตั๋วมีอายุ 3 วัน ซื้อตั๋วได้ตั้งแต่ 05.00-21.00 น. และอย่าลืมนำพาสปอร์ตหรือสำเนาไปด้วย ที่ควรซื้อตั้งแต่คืนนี้เลยก็เพราว่าถ้าในหน้า high มาซื้อตอนเช้าคนจะเยอะมาก แต่ถ้าใครไม่อยากจ่ายค่ารถก็สามารถเดินขึ้นมาชูปิกชูได้เช่นกันจ้า เพราะมันมีเส้นทางสำหรับเดินขึ้นเขาอยู่ที่เมืองนี้ด้วย
Day 6 — Machu Picchu
เช้าตรู่วันนี้พวกเรานั่งรถไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ตื่นตาตื่นใจกับวิวสองข้างทางที่มองผ่านกระจกรถออกไป ภาพของภูเขาใหญ่โตค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ราว 30 นาที เราก็ถึงทางเข้า Machu Picchu ทันทีที่เรายื่นตั๋วที่ทางเข้าแล้วตบเท้าก้าวเข้าสู่เมืองมาชูปิกชูแห่งนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่าตะลึง ทั้งตะลึงในความสวยงาม ทั้งตะลึงในความยิ่งใหญ่อลังการ และตะลึงว่าชาวอินคาเอาหินขึ้นมาสร้างบนนี้ได้อย่างไร ทำไมต้องมาไกลขนาดนี้ และมาทำอะไรกันที่นี่บ้าง ทุกอย่างดูเป็นปริศนาจนน่าอัศจรรย์ใจเหลือเชื่อ ยิ่งวันที่เราไปมีหมอกมาลอยล้อเล่นกับยอดเขาและซากโบราณสถานยิ่งบอกได้เลยว่าสวยสะกดแทบหยุดหายใจจนเราแทบไม่อยากจะกระพริบตา เพราะทุกๆ นาทีที่เมฆเคลื่อนไปมา แสงแดดสลับส่องเข้ามาบรรยากาศมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และมันสวยมากๆ ทุกสถานการณ์จริงๆ คนก็เลยเยอะมากๆ เช่นกัน 555 ดังนั้นใครจะมาเราขอแนะนำว่าควรซื้อตั๋วล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งมีหลายแบบให้เลือกแต่เราเลือกแบบ Machu Picchu Only ที่มีให้ขึ้นสองรอบ รอบเช้า 06.00-12.00 น. และรอบบ่าย 12.00-17.30 น ราคาจะประมาณ 2,460 บาท และทางเราขอเลือกรอบเช้าเพื่อมาลุ้นให้เจอหมอกฉ่ำๆ แบบนี้แหล่ะจ้า
และนี่ก็คือ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ เมืองสาบสูญแห่งอินคา อดีตจักรวรรดิโบราณที่ใหญที่สุดของทวีปอเมริกาใต้ในประเทศเปรู ที่มีความสูงถึง 2,350 เมตรเหนือระดับนํ้าทะเล จักรวรรดิที่ถูกลืมเลือนนี้ได้ถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีชื่อ Hiram Bingham ในปี 2454 และหลังจากนั้นมาจักรวรรดิแห่งนี้ก็ไม่เคยถูกลืมเลือนอีกเลย ซึ่งเมื่อมองจากเมืองมาชูปิกชูลงมาจะเห็นแม่น้ำ Vilcanota แม่น้ำศักดิ์สิทธิอยู่เบื้องล่าง และตัวเมืองถูกล้อมด้วยภูเขา Cordillera Vilcabamba ที่มียอดเขา Salkantay สูงถึง 6,271 เมตร และยอดเขา Huayna Picchu เป็นฉากหลังที่ยิ่งกว่าหนังอวตารเสียอีก เพราะมันคือของจริงและมันอยู่ตรงหน้าเรานี้เอง ยิ่งเดินดูก็บอกไม่ถูกว่าต้องร้องวู๊ว ว๊าว ว๊าวววววเสียงไหนดี ให้สมกับความอลังการระดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ส่วนใครเป็นสายลุยที่อยากจะตะกุยขึ้นภูเขาผ่านบันไดหินสูงชันไปยังยอด Huayna Picchu (Waynapicchu) เพื่อชมวิวมาชูปิกชูจากยอดเขาซึ่งจะได้เห็นผังเมืองเป็นรูปนกแร้งก็สามารถไปได้ แต่ต้องไม่ลืมที่จะซื้อตั๋วแยกล่วงหน้าไปอีกด้วยนาจาเพราะเค้าจำกัดจำนวนขึ้นแค่ 400 คนต่อวัน วันละสองรอบคือ 07.00-08.00 น. และ 09.00-10.00 น. เท่านั้น ส่วนเราแข้งขาไม่ค่อยแข็งแรงเลยขอเชยชมมาชูปิกชูอยู่ที่ใจกลางของมันนี่ก็สวยเพียงพอให้นอนตาค้างไปอีกสองสามคืนแล้ว
Day 7 — Puno and Lake Titicaca
เรากลับเข้าถึงคูสโก้ช่วงเย็นและค่ำนั้นก็ตัดสินใจนั่งบัสนอนเพื่อให้ไปเช้าที่เมือง Puno เมืองชายแดนที่อยู่ติดกับประเทศโบลิเวียนี้ เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบ Titicaca ทะเลสาบที่ใช้สําหรับการเดินเรือมันจึงเคยได้ชื่อวาเป็น Capital folklórica del Perú หรือแปลได้ว่าเมืองหลวงแห่งความมั่งคั่งทางศิลปะและอารยธรรม โดยเฉพาะในเรื่องของการเต้นรํา ซึ่งทะเลสาบตีตีกากาคือทะเลสาบนํ้าจืดที่ใหญที่สุดในทวีปอเมริกาใต้บนเทือกเขาแอนดีส มีความสูงเหนือระดับนํ้าทะเลเฉลี่ยอยู่ที่ 3,810 เมตร และมีพื้นที่ทั้งหมดถึง 8,372 ตารางกิโลเมตร โดยภายในทะเลสาบแห่งนี้ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ถึง 41 เกาะ มันจึงถูกจัดให้เป็นทะเลสาบที่สามารถเดินเรือทางพาณิชย์ที่สูงที่สุดในโลก
ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลเลยทำให้ทะเลสาบตีตีกากามีที่เที่ยวอยู่หลายแห่ง แต่ด้วยเวลาที่จำกัดเพราะเราต้องไปโบลิเวียต่อเราเลยเลือกที่เที่ยวที่เด่นสุด ป๊อบสุด นั่นก็คือการลงเรือไปยัง Islas flotantes de los Uros (Uros Floating Islands) กลุ่มเกาะลอยน้ำในทะเลสาบ Titicaca ที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยการก่อสร้างนั้นเป็นการใช้ต้นโทโทร่าที่มีอยู่ทั่วทะเลสาบมายึดโยงกันไว้ด้วยเชือกและผูกไว้กับไม้ที่ปักอยู่บนพื้นของทะเลสาบ ซึ่งชาวอูรอสจะต้องซ่อมแซมเกาะอยู่ตลอดเวลาเพราะส่วนที่อยู่ใต้นํ้าจะถูกกัดเซาะและเน่าเปื่อยไปเรื่อยๆ จะบอกว่าสิ่งก่อนสร้างที่เราเห็นมันน่ารักสดใสจนดูเหมือนของเล่นมากๆ แต่มันก็คือที่อยู่จริงๆ อ่ะแก การล่องเรือบนทะเลสาบแห่งนี้จึงทําให้เราได้ชื่นชมทั้งผลงานของธรรมชาติ ผลงานของมนุษย์ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึง ภูมิปัญญาของชาวพื้นเมืองที่สามารถดํารงชีวิตอยู่บนผืนนํ้าได้อย่างปกติสุขแถมยังน่ารักสดใส เหมือนหลุดมาจากอนิเมชั่นยังไงยังงั้น ยิ่งทำให้เราตื่นตาตื่นใจกับเปรูหนักขึ้นไปกว่าเดิมอีก
และนี่ก็คือเปรูในแบบของเราที่เหมือนเป็นการเบิกเนตรเปิดหูเปิดตา ขยายโลกใบเดิมของตัวเองให้ขยายออกไปไกลลิบลับยิ่งกว่าเดิม ทุกสิ่งที่อย่างมันช่างชวนตะลึง ทั้งธรรมชาติ สถาปัตยกรรมต่างๆ ของชาวอินคาที่ทำให้เรารู้สึกเคารพนับถือความสามารถของคนโบราณที่เกิดก่อนเรานับหมื่นนับพันปีที่ไม่ได้มีวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าเท่าเรา แต่ความคิดของเค้านั้นไปไกลเกินกว่าที่มนุษย์ปัจจุบันจะคาดเดาได้ว่าพวกเค้าทำได้อย่างไร มันยิ่งทำให้เราใจเต้นแรง เต้นแรงที่ได้มาเห็น เต้นแรงที่ได้ชื่นชม และเต้นแรงเพราะมันเข้าไปกระตุ้นความอยากเดินทางของเราให้แผ่ขยายไปอีกไม่รู้จบ และเส้นทางต่อไปของเราก็เลยไปไม่ไกลจากเปรูนั่นก็คือโบลิเวียที่แสนน่ารัก ถ้าอยากรู้ว่าน่ารักขนาดไหนก็อย่าลืมรอติดตามชมกันด้วยนะ และอย่าลืมหล่ะว่าทุกการเดินทางมันทำให้เราได้พบเจอกับอะไรที่เกินคาดฝันอยู่เสมอ ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับการเดินทางที่จะกลายเป็นฝันร้ายก็อย่าลืมหาประกันการเดินทางดีๆ ที่ซื้อได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS ก่อนออกเดินทางทริปต่อไปด้วยหล่ะทุกคน …