ไปวัดกัน… แต่ไม่ต้องเอาไม้บรรทัดไปนะ เอาไปแต่กล้องถ่ายรูปก็พอ ….
อ่ะจู่ๆ มาชวนไปวัดไปวาอย่าเพิ่งหนีหน้ากันไปไหน เพราะวัดที่เราจะพาพวกแกไปในครั้งนี้มันสวยตะลึงพรึงเพริศเลอเลิศพิศมัย จนแกจะอยากมีชีวิตอยู่ไปนานนนนนานนนนนขึ้นเลยล่ะ เพราะที่ๆ เรากำลังจะพาแกไปคือประเทศเพื่อนบ้านผู้มีศรัทธาแรงกล้าในพุทธศาสนา …พม่า… บ้านใกล้เรือนเคียงที่แสนน่ารักของเรานี่ล่ะ แล้วแกจะได้รู้ว่ามากกว่าทานาคาพม่าคือเพชรเม็ดงามที่ซุกซ่อนมุมถ่ายรูปที่สวยสะกด จนคนทั้งโลกต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเล เอาตัวเองมานั่งดูเจดีย์ได้ทั้งเช้าทั้งเย็นขนาดนี้ ตามเรามาเพราะเราจะพาไปเปิดหู เปิดตา เปิดสถานที่ลับๆ สำหรับการถ่ายภาพท่ามกลางวัดและเจดีย์สีอิฐ ที่จะทำให้ต้องคิดใหม่ว่าการชวนเข้าวัดครั้งนี้มันดีจริงๆ …
การเดินครั้งนี้พวกเราออกเดินทางไปพร้อมๆ กับ Let’s go travel set ของ Tefal ที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจในการเดินทางของเราที่ขาดไม่ได้เลยในทริปนี้ โดยในหนึ่งเซทจะประกอบด้วย Black WeGo 0.43L กับ Travel Mug 0.36L ขวดเก็บความร้อนและเย็นสองขวดแบบนี้ ซึ่งเหมาะมากในการซื้อมาใช้ด้วยกันกับคนรักหรือเพื่อนซี้เวลาที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนหรือแม้แต่อยู่ในเมืองก็ตามที เพราะความดีงามของเจ้าสองขวดนี้ก็คือพกง่าย น้ำหนักเบา ขนาดพอดีมือ แต่เอาอยู่ทั้งความร้อนและเย็น อยากจะจิบกาแฟร้อนๆ เจ้านี่ก็เก็บความร้อนที่ 65 องศา ได้ยาวถึง 6 ชั่วโมง หรืออยากจะดื่มน้ำเย็นๆ ตลอดการเดินทางก็เก็บความเย็นที่ 15 องศา ได้ยาวถึง 12 ชั่วโมง แถมไม่ต้องห่วงว่าจะมีน้ำหกเลอะเทอะเพราะเค้ามี perfect water tightness หรือซิลิโคนที่ป้องกันน้ำรั่วได้ 100% ที่นี้จะขึ้นรถไฟฟ้าแล้วมาปีนเขาลงห้วยต่อก็สบายหายหก แถมยังดื่มง่ายๆ ได้ด้วยมือเดียว เพราะเค้ามีปุ่มเปิดฝาที่พร้อมเปิดและดื่มได้โดยตรง บอกได้เลยว่าทุกคุณสมบัติมันโดนใจนักเดินทางอย่างเราจริงๆ แถมช่วงนี้เราอยู่ในช่วงงดรับแก้วและหลอดพลาสติกเจ้าสองขวดนี้เลยตอบโจทย์เราได้ตรงใจแบบสุดๆ ใครที่ตามหาขวดเก็บความร้อนและเย็นดีๆ สักใบก็อย่าลืมไปตำกันเด้อ Central online : https://bit.ly/2RlZjjw
Day 1 : Mandalay
Shwenandaw Monastery
เมื่อเท้าได้เหยียบย่างเข้ามัณฑะเลย์ปุ้บเราก็ขอตัวไปเก็บกระเป๋าเข้าที่พักและเอาเฉพาะสัมภาระที่สำคัญๆ ออกมา เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายแรกของเราที่ Shwenandaw Monastery วัดชเวนันดอว์ หรือพระราชมณเฑียรทองแห่งนี้ มีสถาปัตยกรรมของสกุลช่างมัณฑะเลย์ คือ มีหลังคาทรงปราสาท 5 ชั้น แต่เดิมวัดแห่งนี้เป็นวิหารไม้สักทองที่ปิดทับด้วยทองอีกทีทั้งหลัง ใช้เพื่อเป็นที่ทำสมาธิของพระเจ้ามินดง แต่เมื่อถึงรัชกาลของพระเจ้าธีบอก็ได้ทรงสั่งให้ย้ายวิหารนี้ออกมานอกพระราชวังมัณฑะเลย์ทำให้รอดพ้นจากการโดนทิ้งระเบิดเพื่อทำลายพระราชวังในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมาได้ ซึ่งปัจจุบันด้านนอกของวิหารแห่งนี้ทองที่ปิดทับไว้ได้ลอกร่อนจนเกือบหมดเผยให้เห็นแต่เนื้อของไม้สักทองเท่านั้น แต่ภายในยังคงมีร่องรอยของการปิดทับด้วยทองให้เห็นอยู่จ้า
แค่เราได้มายืนเห็นวัดไม้สักทองสีน้ำตาลเข้มที่ตัดกับสีของท้องฟ้าก็เล่นเอาสวยจนตะลึงงันแล้ว แต่เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อชื่นชมความงามให้ชัดเจนยิ่งขึ้นยิ่งบอกได้ว่าที่นี่สวยมากกกกก สวยตาแตกสุด เพราะไม้สักทองที่เค้าเอามาทำเป็นวัดเนี่ยก็ไม่ใช้ไม้สักทองเรียบๆ ธรรมดานาจา แต่เป็นไม้สักทองที่แกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ ทั้งลายเทวดา ลายอ่อนช้อยต่างๆ คือแม้แต่คนไม่มีความรู้ทางด้านศิลปะก็บอกได้เลยว่างานละเอียดระดับนี้คือต้องใช้ช่างที่มีฝีมือมากๆๆๆ เท่านั้นจริงๆ คือละเอียดยิ๊บเหมือนใช้เครื่องจักรแต่อ่อนช้อยเหมือนใช้ใจทำ ทำให้เดินเพลินมาก ถ่ายรูปเยอะมากกกก เลยกระหายน้ำมาก โชคดีที่พกน้ำมาเองจ้า เติมน้ำเย็นๆ และน้ำแข็งมาเองจากโรงแรมใส่ Let’s go travel set ของ Tefal แล้วยกดื่มสวยๆ เลยจ้า เพราะที่พม่าคือหาน้ำแข็งกินได้ยากมากกกกกกก การได้มายืนกินอะไรเย็นๆ ท่ามกลางความร้อนระอุแบบนี้คือฟินส์มาก รู้สึกชนะมาก เชิดหน้าใส่พระอาทิตย์วนไปจ้า
Kuthodaw Pagoda
เที่ยวชมวัดแรกเสร็จเราก็ไปต่อไม่รอแล้วนะที่ Kuthodaw Pagoda หรือวัดกุโสดอร์ เป็นวัดที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างเมืองในปี พ.ศ. 2400 (เขียนปี พ.ศ แล้วรู้สึกว่าตัวเองมีความรู้ 555 ) สถานที่แรกที่ได้มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี โดยตัวเจดีย์สีทองที่รายล้อมไปด้วยพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ บนหินอ่อน 729 แผ่น ที่สร้างขึ้นตามดำริของพระเจ้ามินดง เพื่อทำการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 นี้ เป็นเจดีย์ที่ได้จำลองรูปทรงมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองที่เมืองพุกามนั่นเอง แต่จุดเด่นเลยจะเป็นเจดีย์ขาวที่เรียงกันหลายอัน ถือเป็น Instagram spot in Mandalay เลยก็ว่าได้ นักเดินทางสายโซลเซียลจากทั่วทุกมุมโลกต่างแวะเวียนมาเช็คอิน เราเองก็เช่นกัน …
ซึ่งจริงๆ วัดดังๆ ในมัณฑะเลย์มีเยอะมากกกก มากแบบติดๆ กันเดินทางได้ง่ายและสามารถใช้เวลาวันเดย์ทริปทัวร์วัดได้เลย โดยแต่ละวัดบอกได้เลยว่าสวยแจ่มโป๊ะ ตาค้าง ร้องว๊าว ถ่ายรูปกันได้ทั้งวันแบบไม่มีเบื่อจนลืมไปเลยว่าเดินอยู่ในวัด เพราะสถาปัตยกรรมต่างๆ มันน่าตื่นตาตื่นใจ และประวัติศาสตร์ของแต่ละที่ก็มีเรื่องราวที่หลากหลาย คนพม่าเองก็ศรัทธาพุทธศาสนามากกกก สิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวกับศาสนาเค้าจะทำมันอย่างดี อย่างประณีต หมดจดที่สุด ซึ่งจะลบภาพว่าการเที่ยววัดคือความน่าเบื่อไปได้เลยจริงๆ แต่ด้วยความที่เรามีเวลาเพียงครึ่งวันก็เลยเก็บได้เพียงสองวัด เพราะต้องไปตามล่าหาแสงอัสดงกันที่สะพานอูเบ็งเสียก่อน ซึ่งหากใครมีเวลากว่าเรา ตามเก็บวัดไปเรื่อยๆ รับรองมุมภาพอลังการลงกันได้เป็นปีจ้า
U Bein Bridge
ยามเย็นใกล้เข้ามาเราก็รีบพาตัวเองมาที่สะพานไม้ที่ยาววววและเก่าแก่ที่สุดในโลก ณ U Bein Bridge สะพานอูเบ็งสะพานไม้สักที่ใช้ไม้สักอูเบ็งจำนวน 1,086 ต้น ที่ได้มาจากการรื้อพระราชวังจากกรุงอังวะ มีความยาวถึง 1.2 กิโลเมตร ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1850 และมีอายุถึง 168 ปีแล้ว ขอขนลุกให้กับความเว่อร์วังของสะพานไม้แห่งนี้เลยจ้า
ก่อนจบวันด้วยความที่เราอยากชื่นชมสะพานอูเบ็งแบบเต็มสองตาเราเลยเลือกนั่งเรือล่องในทะเลสาบตองตะมาน เพื่อชมพระอาทิตย์ตกที่หลังสะพานและความงามของลำน้ำในทะเลสาบ วันนี้เหมือนเราพกโชคมาเต็มกระเป๋าเพราะจังหวะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแสงของมันก็ระเบิดออกมาเป็นสีชมพูอมส้มกระจายไปทั่วผืนฟ้าสะท้อนลงสู่ท้องน้ำโดยมีสะพานขั้นกลางยิ่งเป็นภาพที่ทำให้เราหลงรักพม่ามากขึ้นกว่าเดิม และเราเชื่อว่าหากใครได้มาเห็นพม่าที่มากกว่าประวัติสาสตร์ในหนังสือย่อมต้องหลงรักประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้อย่างแน่นอน
Day 2 : Mandalay – Bagan
Hsinbyume Pagoda
วันนี้ก่อนไปพุกามเราเดินทางไปเที่ยวที่เมืองมินกัน รัฐสกาย วางแพลนเที่ยวให้เสร็จก่อนเที่ยง โดยเริ่มต้นที่ Hsinbyume Pagoda หรือ เจดีย์ชินพยูเม หรือ เมียะเต็งดาน เจดีย์สีขาวที่มีบันไดเกลียวคลื่นไล่ระดับเป็นฉากหน้าที่สวยงามแปลกตาจนได้ชื่อว่า “ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิระวดี” ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าบากะยีดอว์ พระราชนัดดาในพระเจ้าปดุง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระมหาเทวีชินพยูเม ในปี 2359
อย่างที่เราเล่าให้ฟังไปแล้วว่าชาวพม่านั้นมีความศรัทธาในศาสนาพุทธมาก ไม่ว่าจะระลึกถึงคนรัก เชิดชูสิ่งใด คิดถึงสิ่งไหน เค้าจะถ่ายทอดผ่านทางการสร้างวัดสร้างเจดีย์ด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังเงินแบบเต็มที่ วัดต่างๆ ของที่นี่เลยสวย แบบสวยจริงๆ และมีความโดดเด่นตามเจตนารมย์ของคนสร้างที่ต่างกันออกไป จนถึงปัจจุบันชาวพม่าก็ยังมีใจฝักใฝ่ศาสนาพุทธอย่างเปี่ยมล้นไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น คนชรา ทุกคนล้วนเข้าวัดมาสวดมนต์ ทำความสะอาด นั่งสมาธิกันอย่างจริงๆ จังๆ แทบจะทุกมุม คนพม่าเลยใช้ชีวิตแบบชิวๆ ค่อยเป็นค่อยไปมีความ Slow life น่ารัก และใจดีอันเป็นเสน่ห์ที่หาตัวจับได้ยากในสมัยนี้ทีเดียว ส่วนพวกเราหลังจากไหว้พระเป็นที่เรียบร้อยก็สะบัดกระโปรงต่อไม่รอแล้วนะ เพราะมุมที่นี่มันสวยจนเรารู้สึกว่าเราใช้คำว่าสวยสิ้นเปลืองมากไปละ แต่ก็ไม่รู้จะหาคำไหนมาทดแทนเพราะมันสวยจริงๆ ถ้าคิดว่าเว่อร์ก็ดูตามภาพได้เลยจ้า สวยแท้ไม่จกตาแน่นอน
Mingun Paya
เจดีย์มิงกุน (Mingun Pahtodawgyi) เจดีย์ที่สร้างยังไม่เสร็จแต่ก็ใหญ่โตมากกว่าเจดีย์ที่สร้างเสร็จแล้วหลายแห่ง นั่นก็เพราะหากเจดีย์แห่งนี้สร้างตามพระประสงค์ของพระเจ้าปดุง ที่ตั้งใจจะสร้างเจดีย์นี้ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระทันตธาตุที่ได้มาจากพระเจ้ากรุงจีน เจดีย์แห่งนี้จะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีความสูงถึง 152 เมตร แต่เนื่องจากพระเจ้าปดุงสวรรคตไปก่อนที่เจดีย์จะสร้างเสร็จประกอบกับเจอวิกฤตในช่วงสงครามทำให้เจดีย์แห่งนี้ต้องหยุดการสร้างไปโดยปริยาย กระนั้นก็ดีเจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จนี้ก็ยังคงสวยงาม ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมอยู่ดีเด้อ
หลังจากทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่พุกาม โดยการเดินทางจากมัณฑะเลย์ไปพุกามจะมีหลากหลายวิธีให้เลือกไม่ว่าจะเป็นรถบัสทั้งแบบมีแอร์และไม่มีแอร์ รถไฟ หรือใครอยากไวๆ หน่อยก็มีสายการบินภายในประเทศให้เลือกโดยสาร ส่วนใครสายชิวเวลาเหลือจะนั่งเรือก็ไม่ผิดกติกาจ้า แต่แพลนของเราวันนี้คือการไปถึงพุกามก่อนพระอาทิตย์ตก เราเลยขอเลือกเหมารถแบบ Private car เพราะไหนๆ ก็เหมามาเที่ยวเมืองมินกันในช่วงเช้าอยู่แล้ว จะได้ไม่เสียเวลา ซึ่งใช้การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็ใช้เวลาราวๆ 3-4 ชั่วโมง
Yin Ma Na Phaya
ผ่านไปเกือบสี่ชั่วโมงชมวิวบ้างหลับบ้างตามประสาเราก็มาถึงจุดหมายของเราตามเวลาพอดิบพอดี เราเลือกวางประเป๋าไว้ที่ รร. แล้วดิ่งไปยัง Yin Ma Na Phaya กลุ่มของเจดีย์ขนาดกลางประมาณสิบกว่าองค์ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายเดียวกับเจดีย์ติโลมินโล Htilominlo เมืองเนียงอู เป็นกลุ่มเจดีย์ที่ไม่ได้มีความโด่งดังอะไรมากมาย แต่ที่เราเลือกที่นี่ก็เพราะมันยังเป็นกลุ่มเจดีย์ที่เค้าอนุญาตให้เราปีนขึ้นไปถ่ายรูปเคียงข้างแสงอัสดงได้ ซึ่งหากพูดถึงความยิ่งใหญ่ที่นี่ก็คงไม่ติดอันดับกับใครเค้า แต่เอาจริงๆ ที่ไม่ติดอันดับไม่ใช่ว่ามันไม่สวยนะ แต่เพราะที่พุกามมีเจดีย์เยอะมาก แต่ละอันก็ล้วนแข่งกันยิ่งใหญ่เลยทำให้หลายๆ เจดีย์ที่สวยงามก็ยังยากจะติดอันดับเลย แต่สำหรับนักท่องเที่ยวธรรมดาที่ไม่ได้เกิดมาเห็นเจดีย์เต็มสองฝั่งถนนมาตั้งแต่เกิด จุดนี้ก็ต้องบอกว่ามีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปไม่น้อยเลยทีเดียว แถมยังไม่ต้องไปแก่งแย่งมุมถ่ายรูปกับใครด้วย
จากจุดที่เราปีนเจดีย์จะมองเห็นเนินอันหนึ่งที่สามารถชมวิวได้ และพวกรถม้าทัวร์ท้องถิ่นชอบพานักท่องเที่ยวไป พอเราเห็นปุ๊บก็ต้องรีบตามคนท้องถิ่นไปสิถึงจะอินไซส์เลยตามๆ เค้าไป ก็จะไปเจออีกเนินนึงสำหรับชมพระอาทิตย์ตก และวิวกลุ่มเจดีย์ที่สวยงาม แต่เอาจริงๆ นะกลุ่มเจดีย์ตรงนี้มันหันไปทางที่พระอาทิตย์ขึ้นอ่ะ ถ้าหากมาตอนพระอาทิตย์ขึ้นเราก็จะได้เห็นแสงพระอาทิตย์แทรกตัวผ่านช่องว่างของแต่ละเจดีย์ขึ้นมา เรียกว่าถูกทิศถูกทางมากกว่า ใครมีเวลาก็แนะนำให้มาตอนพระอาทิตย์ขึ้นดีกว่า แต่ใครหาเวลาไม่ได้แบบเราการมาที่นี่มันก็เป็นการจบวันที่สวยงามสไตล์พุกามที่คุ้มค่าอยู่ดี
Day 3 : Bagan
ตื่นเช้ามาคราวนี้ก็ขอไปกันแบบถูกที่ถูกเวลาบ้างละจ้า ไปนั่งหันหน้าชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ชมเจดีย์ที่ค่อยๆ สว่างสดใสขึ้นเรื่อยๆ ถ่ายรูปให้แสงอ่อนๆ กระทบเส้นผมบางๆ เหมือนเกิดมาพร้อมความละมุนในยามเช้าก็ไม่ปาน ซึ่งอย่าถามว่าเจดีย์ไหนเพราะเจดีย์ที่นี่มีเยอะชนิดที่ถ้าสะดุดที่เจดีย์นึงพอถลาออกไปก็ชนเข้ากับอีกเจดีย์นึงละจ้า และบางอันก็ยังเปิดอยู่ บางอันก็ปิดบ้างอะไรบ้าง อย่างตอนแรกเจดีย์ที่เราจะไปขึ้นที่ป๊อบๆ ในหมู่นักท่องเที่ยวก็ดันปิดไปแล้วจ้า แต่โชคดีที่คนท้องถิ่นเค้าแนะนำให้มาขึ้นที่เจดีย์นี้แทน ถ้าถามเราว่าควรขึ้นอันไหน เราแนะนำได้แค่ว่าอันไหนก็ได้ที่มองเห็นทะเลเจดีย์ในฝั่งที่พระอาทิตย์ขึ้น เพราะแกจะได้มุมที่เห็นแสงอาทิตย์และบอลลูนหลากสีบนท้องฟ้าโดยมีทะเลเจดีย์อยู่เบื้องล่างในคราวเดียว เป็นมุมที่ใครมาพุกามก็ต้องหาเวลาหามุมมาถ่ายแบบนี้ให้ได้ ไม่งั้นคือพลาดมาก
รีบออกจากโรงแรมมาแต่เช้าเพื่อมาเฝ้าพระอาทิตย์และบอลลูน ซึ่งก็โชคดีมากๆ ที่พกขวดเก็บความร้อนใส่กาแฟ ใส่ชาที่ชอบ พร้อมเหน็บผ้าสวยๆ มาหนึ่งผืน ปูนั่งกันบนเจดีย์ชมวิวไป จิบชากาแฟ รับคาเฟอีนยามเช้าให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ากันสักหน่อย ถือเป็นสุดยอดวิวยามจิบกาแฟที่หรูหราเอาเรื่อง แถมรูปทรงของขวดก็สวยพกพาง่ายเอามาเป็นพร้อบสร้างสตอรี่เกร๋ๆ ไว้ลงโซเซี่ยลได้ด้วยหนาเว้ยยย อ้อ ขอบอกกันอีกนิดถ้าหากแกอยากได้บอลลูนหลากสีเยอะๆ เป็นฉากก็อย่าลืมเช็คสภาพอากาศมาให้ดี เพราะวันไหนลมแรง ฟ้าหม่น บอลลูนเค้าก็ไม่ขึ้นหรือขึ้นไม่เยอะนะจ้ะ จะหาว่าไม่เตือนไม่ได้เด้อออ
Shwezigon Pagoda
พระอาทิตย์ขึ้นแต่ตาจะลงเราเลยกลับโรงแรมไปงีบต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยทานอาหารเช้าก่อนออกมาที่ Shwezigon Pagoda พระมหาธาตุเจดีย์ชเวซีโกน หรือเจดีย์ทองแห่งชัยชนะ ที่เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำนี้ถูกสร้างขึ้นนานกว่า 960 ปีมาแล้ว โดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ และมีความเชื่อว่าเป็นที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากลังกาทวีป เลยจัดเป็นเจดีย์ที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศพม่า
เมื่อเดินวนรอบๆ เราจะพบว่ามีมุมหนึ่งของจุดสักการะเจดีย์จะมีคนมุงมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นจุดที่มีแอ่งน้ำเล็กๆ นองอยู่ และภายในแอ่งน้ำนั้นจะเห็นเงาสะท้อนขององค์เจดีย์ได้แบบชัดเจนเต็มองค์ แต่ถ้าจะถ่ายติดเต็มองค์ต้องใช้มือถือถ่ายเท่านั้นนาจา กล้องใหญ่หมดสิทธิจ้า หรือมองด้วยตาเปล่าก็เห็นชัดเจนอยู่ สำหรับมุมเก๋กู๊ดภายในวัดที่ต้องห้ามพลาดเลยก็จะเป็นมุมทางเดินเข้าวัดที่เป็นกำแพงสีขาวมีเสาเป็นช่องแบ่งเหมาะแก่การมาเดินพริ้วๆ หมุนตัวเบาๆ พอให้เหมาะสมกับสถานที่รับรองเจิดจรัส ลงโซเซียลแล้วปั๊วะเว่อร์แน่นอนจ้า
หลังจากไหว้เจดีย์ที่ฮอตฮิตก็ถึงเวลาตะลอนพุกามแบบโนแพลนโนแผน จะนั่งรถม้า ขี่ e-bike หรือเดินก็แล้วแต่สะดวกแล้วแต่ความชอบเลยจ้า อย่างเราเนี่ยขอเลือกนั่งรถม้าตะตอนไปเรื่อยๆ ตรงไหนสวยก็ขอให้เค้าจอด ตรงไหนเราไม่รู้ก็ขอให้เค้าแนะนำพาไป ซึ่งเอาจริงๆ มันก็สวยเหมือนๆ กันแทบหมดอ่ะนะ คือมีเจดีย์อิฐสีส้มๆ เล็กบ้าง กลางบ้าง ใหญ่บ้าง อยู่กลางทุ่ง เรียงรายกันแบบติดๆๆๆๆ กันไปหมด แต่เรานั่งดูไปเรื่อยๆ มันก็เพลิน ก็มีมุมให้ถ่ายรูปสนุกๆ เยอะดีนะแก
Let Put Kan
แวะถ่ายนั้นทีนี่ทีลัดเลาะไปเรื่อยๆ โดยมีปลายทางที่เราปักหมุดไว้คือ Let Put Kan นางเป็นเจดีย์ที่เราเห็นผ่านบล็อกเกอร์ฝรั่งและบล็อกเกอร์ไทยก็เริ่มมีไปบ้างละนิดหน่อย ไปไม่ถูกก็เปิด map นำไปนาจา จุดเด่นของมุมนี้ก็คือมันจะมีประตูทรงโค้งสวยๆ ที่ยังสมบูรณ์อยู่ที่มองทะลุเข้าไปจะเห็นเจดีย์ได้แบบเต็มองค์ มันจึงควรค่าแก่การตามมาเดินหมุนไป วนมา บิดเอว สะบัดกระโปรงทำหน้าเผลอๆ เหมือนรอลมพัดมาแบบไม่ตั้งใจจริ๊งๆ แล้วเพื่อนก็ อุ๊ย!! เผลอกดถ่ายได้ แล้วก็ อุ๊ย!! ลงไอจีแบบฮอตเว่อร์
แม้ว่ากลางคืนพุกามจะหนาวกว่าไทย แต่ในเวลากลางวันนั้นพระอาทิตย์ก็ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเราสอง ร้อนลุ่มแผดเผาไม่ต่างกันจริงๆ ดังนั้นการที่เราไปไหนการพกกระบอกน้ำไปด้วยคนละอันเนี่ยคือสิ่งที่จำเป็นค่อนข้างมาก เพราะประเทศอื่นๆ เค้าไม่ได้หาน้ำดื่มเย็นๆ สะอาดๆ ราคาถูกได้ง่ายๆ แบบบ้านเราสักเท่าไหร่ บางที่น้ำเปล่าก็แสนแพง บางที่ที่ไปก็หาซื้อยาก เช่น ในป่า ในเขา ในทะเลเจดีย์งี้ ไม่ได้มีร้านค้ามาตั้งเรียงรายนาจา แล้วไอ้ตัว Tefal ที่เราแนะนำนี้คือมันดีจริงๆ เบา พกง่าย ขนาดกำลังดี ฝาปิดมิดชิด กดดื่มได้ในคลิ้กเดียว บ่ายๆ ร้อนๆ ได้ดื่มน้ำเย็นๆ คือชื่นใจ มีแรงเดินต่อแล้วจ้า
Khaymingha Pagoda
ก่อนจะไปปีนเจดีย์ชมแสงเย็นวันนี้เราขอปิดท้ายโลเคชันกันที่ Khaymingha Pagoda เจดีย์ที่ตั้งอยู่หลังกลุ่มเจดีย์ขนาดใหญ่ที่เหมาะแก่การมานั่งชมเจดีย์ Htilominlo และเจดีย์รอบข้าง เป็นอีกหนึ่งเจดีย์ที่คล้ายๆ กับเจดีย์อื่นแหล่ะ แต่ค่อนข้างมีความสมบูรณ์และมีดีเทลเล็กๆที่สวยงามและน่าสนใจอยู่ แต่ที่นี่ปีนไม่ได้นาจายามเย็นเราเลยจะไปหาที่ชมพระอาทิตย์ตกกันตรงอื่น และหากใครอยากมาเดินสวยๆ ถ่ายรูปกับเจดีย์ก็ไม่ต้องกลัวหลงเพราะสามารถปักหมุดตาม google map มาได้เลยจ้า
เราไม่มั่นใจว่า Secret Pagoda คือชื่อจริงๆ ของเจดีย์นี้หรือเปล่า แต่ถ้าอยากจะหาที่ปีนดูพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ แนะนำให้เสิร์ชในแมพแล้วตรงดิ่งมาที่นี่ได้เลย คือพุกามเนี่ยช่วงที่พีคมากๆ เหมาะแก่การออกมาเยี่ยมชมมากที่สุดก็คือช่วงเช้าและเย็นนี่หล่ะ เพราะมันเป็นช่วงที่ฟ้ากำลังเปลี่ยนสีและพระอาทิตย์ทอแสงสีส้มสะท้อนกับเหล่าเมฆ โดยมีเจดีย์สีส้มอิฐเป็นฉากหลากสิบ หลายร้อย หลายพันเจดีย์จนเกิดเป็นภาพที่หาดูจากที่อื่นไม่ได้ ต้องมาปีน มาดูกันที่พุกามเท่านั้น ซึ่งที่เรามาตอนนี้เค้ายังอนุญาตให้ปีนขึ้นบนเจดีย์เพื่อชมพระอาทิตย์กันได้ แต่ก็มีหลายที่ที่เราได้ข่าวมาว่าเค้าทยอยปิดเรื่อยๆ หรือบางที่ก็ปิดปรับปรุงเลยไม่ให้ปีน ดังนั้นใครวางแพลนจะมาถ่ายแสงเช้ากับเย็นด้วยการปีนเจดีย์ เราแนะนำให้ลองแวะเวียนมาเช็คให้แน่ใจก่อนว่าที่นั้นๆ เค้ายังเปิดให้ขึ้นอยู่หรือไม่ จะได้ไม่เสียเที่ยวนา
Day 4 : Bagan – Mandalay
วันสุดท้ายเราขอเลือกโลเคชันที่จะทำให้เราได้ใกล้ชิดกับบอลลูนมากที่สุด เราเลือกไปยังจุดชมวิวที่เป็นเนินซึ่งใกล้กับจุดปล่อยบอลลูน เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น ของจริงบอลลูนใกล้มากตอนแรกที่เห็นภาพจากคนอื่นก็ไม่ได้คิดว่าจะใกล้ขนาดนี้ อันนี้เร็คคอมเมนเลยว่าให้ไป อย่างวันที่เราไปไม่มีใครมาตรงเนินนี้เลย พิกัด https://goo.gl/maps/Ksx6HtT6Cv92 (21.1619530, 94.8886260) ให้ขับรถไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางไปถึงแล้วจะเจอกับวัดๆ ไม่มีชื่อในแมพให้ขับเข้าไปในวัดนั่นเลย เนินจะอยู่สุดถนนด้านหลังเจดีย์ สำหรับเราให้ที่นี่ปังสุดสำหรับถ่ายรูปคู่บอลลูนเลยแก รับรองว่ามาแล้วได้วิวอะเมซิ่งกิ่งก่องแก้วแน่นอน แต่อย่าลืมนะอย่างที่บอกว่าแต่ละวันบอลลูนขึ้นไม่เท่ากันนาจา
Ananda Temple
เรามาปิดทริปส่งท้ายพุกามกันที่ Ananda Temple เพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตย์ของพุกามที่ถือว่าเป็นสุดยอดพุทธศิลป์สกุลพุกาม สัญลักษณ์แทนภูเขานันทมูลที่ได้สร้างขึ้นตามคำบอกเล่าเกี่ยวกับลักษณะของวัดในประเทศอินเดียโดยพระอรหันต์ 5 รูป ที่ได้เดินทางจาริกแสวงบุญมายังดินแดนพุกามให้กับกษัตริย์จันสิทธะ เมื่อได้ฟังจึงมีดำริให้สร้างขึ้นตามคำบอกเล่านั้น และตั้งชื่อว่าวัดอนันดาตามชื่อถ้ำที่พระอรหันต์ทั้งห้ารูปนั้นอาศัยอยู่ และในช่วงที่พุกามเกิดแผ่นดินไหววัดแห่งนี้ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ได้ทางอินเดียเข้ามาช่วยบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง คือในตอนแรกที่เดินเข้าวัดเราก็เดินเข้าตามทางเดินปกติ ก็รู้สึกว่าสวยแหล่ะ แต่ก็ยังไม่สมคำที่บอกว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตย์ของพุกามสักเท่าไหร่ แต่พอวนออกมาเห็นวัดแบบเต็มๆ เท่านั้นแหล่ะ บอกได้เลยว่าตะลึงมาก ของจริงคือยิ่งใหญ่มาก ยอดเจดีย์สีทองวิบวับระยับตากับผนังวัดที่ขาวบริสุทธิ์ จะดูมุมไหนก็สวยหมดจด หยิบกล้องขึ้นมาได้คือรัวๆ วนไป ส่วนใครอยากได้มุมที่ไม่ติดคนแนะนำว่าให้มาแต่เช้าหลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นเลยจะยิ่งดีจ้า
ความพิเศษของวัดนี้อีกอย่างหนึ่งคือพระพุทธรูปที่อยู่ภายในที่ตั้งตรงกับทางเดินเข้าของเราเนี่ย เวลามองจากมุมไกลๆ ขณะเดินเข้าก็จะเห็นพระพักตร์พระพุทธรูปยิ้มเปี่ยมไปด้วยความใจดี แต่เมื่อเดินเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่าพระพักตร์เริ่มบึ้งตึงมากยิ่งขึ้น อันเกิดจากการเล่นกับแสงของช่างในสมัยก่อนนั่นเอง
จบกันไปแล้วกับทริปสั้นๆ เสมือนการเดินโชว์ตัวนางงามในรอบพรีลิม เพราะนี่เป็นเพียงน้ำจิ้มที่เราอยากให้แกได้มาลองลิ้มด้วยตัวเองแล้วแกจะเข้าใจว่าทำไม Arnold J Toynbee นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ถึงกล่าวไว้ว่า “See Ankor Wat and die, See Bagan and live” การได้เห็นนครวัดสักครั้งจะทำให้คุณตายตาหลับ แต่การได้เห็นพุกามจะทำให้คุณอยากมีชีวิตอยู่ และมันก็โคตรจะจริงเลยล่ะเพราะถ้าแกได้มาเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยขนาดนี้ แรงกายแรงใจของแกจะเหมือนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงอุ่นๆ ของอรุณแห่งวันใหม่ ที่ฝากความหวังอันระยิบระยับไว้ที่ปลายขอบฟ้า ออกเดินทางเถอะ แล้วแกจะรู้ว่าหนึ่งลมหายใจที่แกได้เห็นโลกภายนอกมากขึ้นนั้นช่างคุ้มค่า