‘เชียงราย’ อีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่ให้ไปกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ และถ้าจะให้เราแนะนำว่าเชียงรายควรไปเที่ยวไหนดี ก็ต้องขอบอกตรงนี้เลยว่านอกจากเหล่าบรรดายอดภูยอดดอยทั้งหลายแล้ว แกควรจะเพิ่ม “สิงห์ปาร์ค” เข้าไปในลิสต์ เพราะมันจะทำให้เป็นคอมพลีททริปแบบบอกต่อได้เต็มปาก เราเองเคยไปเชียงรายก็หลายครั้งไปสิงห์ปาร์คก็หลายหนแต่รอบนี้สเปเชียลกว่าครั้งไหนเพราะว่าเราเลือกมาในช่วง “Farm Festival on the Hill 2018” เทศกาลแห่งความสุขประจำปีของเชียงรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ที่จัดเต็มทั้งแสงสีเสียงให้เราสนุกไปกับคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังกว่า 100 ชีวิต แถมยังได้อิ่มอร่อยกับเทศกาลอาหารจากร้านชั้นนำกว่า 70 ร้าน รวมถึงขบวนรถ Food Truck สุดเท่ห์กับลาน Todd Food Fest ที่จัดมาให้กับคนที่ชอบรสชาติแซ่บๆ ถึงใจโดยเฉพาะ งั้นขอไม่เวิ่นเว้อต่อนะ ตามมาดูให้รู้ๆ ไปเลยดีกว่าทุกคนนน …
ก่อนจะเริ่มพาเที่ยวแบบฟินๆ ปังๆ เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับที่นี่กันก่อนสักนิด “สิงห์ปาร์ค” ตั้งอยู่ริมถนนสายเด่นห้า-ดงมะดะ ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 10 กิโลเมตรเท่านั้น มีพื้นที่ถึง 8,000 ไร่ กว้างขนาดที่ครอบคลุมไปถึง 4 ตำบลเลยนะแก พื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ลาดเนินเขา มีภูเขาเล็กๆ สลับบ้าง จึงเหมาะแก่การปลูกพืชได้หลากหลายชนิด ซึ่งเมื่อก่อนที่แห่งนี้เคยเป็นแหล่งปลูกข้าวบาร์เลย์ที่สำคัญของไทย แต่ด้วยสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนไปตอนนี้ทางไร่เลยหันมาปลูกไร่ชาอู่หลง พุทรา มะเฟืองยักษ์หวาน มัลเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี รวมถึงปลูกดอกคอสมอสจนเต็มทุ่งในช่วงเทศกาลแบบนี้อีกด้วย นอกจากนี้ภายในไร่ก็ยังมีเส้นทางปั่นจักรยาน ทะเลสาบ สวนสัตว์ ร้านอาหารภูภิรมย์ รวมถึงได้เปิดตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศในรูปแบบของวิถีเกษตรธรรมชาติด้วยนาจา
จริงๆ แล้วสิงห์ปาร์คสามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดูตลอดทั้งปี แต่งานเทศกาล Farm Festival on the Hill นั้นส่วนใหญ่มักจะจัดช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปีซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดี๊ดี เย็นสบายเป็นพิเศษ เดินเที่ยวได้เพลินๆ และจุดแรกที่เราจะพาไปเช็คอินกันในงานฟาร์มเฟสก็คือโซน “บูธสิงห์อาสา” สังเกตง่ายๆ อยู่ตรงเนินหญ้าติดกับเครื่องบินลำใหญ่ โซนนี้จะตกแต่งด้วยโทนสีเหลือง ซึ่งเกิดจากคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้โลกน่าอยู่มากขึ้นจึงรวมตัวกันออกมาช่วยเหลือสังคมและดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาความรู้ของพวกเราให้สามารถสร้างประโยชน์คืนสู่สังคมได้อย่างเต็มที่ ภายในงานเราก็จะได้เห็นประวัติและคุณงามความดีของบุคลตัวอย่างรวมถึงโครงการต่างๆ ที่ทางสิงห์อาสาได้ร่วมมือกันทำ เจ๋งมากเลยนะแก ใครสนใจฟังเรื่องราวของท่านไหนก็สามารถหยิบมือถือมาสแกน QR แล้วเดินฟังเพลินๆ ได้ทั่วงานเลย
ถัดจากโซนแรกของเทศกาลฟาร์มเฟสเราก็จะเจอโซนที่สอง “BOONRAWD farm” ซึ่งเป็นบูธที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ของบุญรอดฟาร์มและร้านค้าในเครือบริษัท สำหรับโซนนี้ที่เราชอบเป็นพิเศษก็คือบาร์ชาที่เค้าคัดสรรชาอู่หลงชั้นดีจากในไร่มาเสิร์ฟ ทั้งชาพีช ชากุหลาบ ชาบาร์เลย์ และชามะลิ มาอัดเข้ากับไนโตรเจน ซึ่งก๊าซนั้นมีส่วนช่วยลดความขมของชาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ให้เราได้สัมผัสถึงฟองที่นุ่มมีความครีมมี่ๆ และยังช่วยดึงความหอมของชาออกมาได้ชัดเจนมากขึ้น เอาเป็นว่าใครไม่เคยลองต้องมาลองให้ได้ เป็นการเปิดมิติใหม่ของการจิบชาสำหรับเราเอามากๆ นอกจากนี้เค้ายังจัดเซ็ท High Tea พร้อมขนมสีหวานๆ เพื่อให้สาวๆ มาทำเนียนโพสต์ท่าจิบชาเก๋ๆ ในบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้อีกด้วย
หันหลังกลับไปตรงข้ามบูธบุญรอดฟาร์มเราก็จะเจอกับบูธอาหารของทางร้านอาหารภูภิรมย์ที่นำอาหารวัตถุดิบต่างๆ ภายในฟาร์มมาทำอาหารให้เราได้ลองชิมลองทานกัน มีทั้งอาหารคาว อาหารหวาน เดินเลือกทานได้สำราญพุงมากบอกเลย
ระหว่างที่รองท้องกับบูธอาหารของบุญรอดฟาร์มอยู่นั้น ถึงเวลาของไฮไลต์ที่บอลลูนลูกใหญ่แต่ละลูกจะพากันลอยตัวขึ้นเหนือฟ้า จุดนี้บอกเลยว่าพลาดไม่ได้ ควรรีบหยิบกล้องตั้งค่าให้พร้อม เล็งมุมให้ดีแล้วกดรัวๆ ไปเลย เพราะบางทีบอลลูนก็อาจไม่ได้ไปในทิศทางดั่งใจหวังเสมอไป แต่ถึงยังไงแค่ได้เห็นเหล่าบอลลูนกับทุ่งดอกคอสมอสท่ามกลางพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ก็เป็นอะไรที่ดีเกินคาดมากๆ แล้วละ แต่ถ้าใครอยากเห็นบอลลูนแบบทั่วทั้งฟ้ากว่า 30 ลูกก็มาเที่ยวในช่วงเทศกาลบอลูนเดือนกุมภาพันธ์ได้เลย
เราก็ขอมาเติมพลังก่อนที่จะไปลุยในคอนเสิร์ตกันที่โซนสาม “Todd Food fest” ซอสพริกพริก by Todd เค้าได้รวบรวมอาหารมากมายหลากหลายเมนูจากร้านดังประจำท้องถิ่นที่การันตีแล้วว่าทุกเมนูของร้านโซนนี้เค้าใช้ซอสพริกพริก by Todd มาร่วมปรุงเป็นส่วนผสม มีทั้งหมาล่าอาหารดังที่ไปที่ไหนก็ต้องกิน ผัดกระเพราเนื้อพรีเมี่ยม ขาหมูทอดเยอรมัน ไก่ทอดราดซอสเกาหลี หรือแม้แต่สเต็ก ไส้กรอกรมควันแบบเกรดเอก็มีให้เลือกทานได้หลากหลาย และพอเลือกของกินจนจุใจแล้วแกก็เดินทอดน่องมาเลือกที่นั่งชมวิวต่อได้เลย ซึ่งที่นั่งโซนนี้เค้าจัดเป็นโต๊ะแบบขันโตกให้เราได้อินกับความเป็นเชียงรายเมืองเหนือและชมวิวบอลลูนริมทะเลสาบแบบฟินๆ ไปพร้อมๆ กับมื้ออาหารจานโปรด
ฟ้าเริ่มมืดขึ้นพร้อมกับอากาศที่เย็นลงทุกที เราขอพาทุกคนขยับร่างยืดเส้นยืดสายมาเดินเล่นย่อยอาหารกันที่โซนสุดท้ายกับ “ART STREET” ที่มีชื่อเก๋ๆ อีกชื่อว่า “ขัวศิลปะ” กัน ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่าขัวศิลปะนี้เป็นภาษาเหนือ ขัวแปลว่าสะพาน เมื่อมารวมกับคำว่าศิลปะจึงหมายถึงสะพานที่เชื่อมศิลปะสู่สังคม อย่างที่ใครๆ รู้กันว่าเมืองเชียงรายนั้นเป็นเมืองศิลปะที่เต็มไปด้วยศิลปิน เพราะงั้นจึงมีงานศิลปะอาร์ตๆ มากมายมาให้เราชมทั้งภาพเขียน งานปั้น งานแกะสลัก รวมถึงให้เราได้ลองร่วมกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นระบายสี หรือช็อปปิ้งงานศิลป์ต่างๆ ก็ได้
สาย Adventure ที่ชื่นชอบกิจกรรมหวาดเสียวต้องไม่พลาดที่จะมาเล่น Zip Line ที่สิงห์ปาร์ค ซึ่งปกติแล้วเจ้าซิปไลน์จะเปิดให้เล่นช่วงกลางวันเท่านั้น แต่เพราะงานนี้มันพิเศษจริงๆ เค้าเลยเปิดให้เล่นในช่วงกลางคืนด้วย รับรองว่าใครได้ลองเล่นจะต้องเร้าใจไปกับการโหนสลิงสัมผัสวิวธรรมชาติยามค่ำคืน ปะทะลมหนาว และได้เห็นบรรยากาศสวยงามของงานฟาร์มเฟสแบบพาโนรามาเต็มๆ ตาที่คนข้างล่างไม่มีโอกาสได้เห็นแน่นอน
หลังจากทั้งอิ่มทั้งชิวไปกับหลากหลายกิจกรรมหลากหลายโซนในงาน ก็ถึงเวลาไปเขย่าความมันส์กันต่อกับคอนเสิร์ตสุดอลังที่ขนกองทัพศิลปินมาอย่างหนาแน่น งานนี้เป็นงานเทศกาลดนตรีที่เอาใจทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่จริงๆ มีทุกแนวเพลงให้เลือกฟัง ถ้าใครสายชิลล์ฟังเคลิ้มๆ โยกเบาๆ ก็ต้องมาเจอกับพี่ว่าน ธนกฤต, ป๊อบ ปองกูล และอ๊อฟ ปองศักดิ์ ไปเลย แต่ถ้าใครสายแรฟติดสปีทฮิปฮอปก็จะได้มันส์ไปกับ Urboy TJ, Boom Boom Clash, Jazz&Dajim มันส์จริงไม่มีโม้
บรรยากาศภายในคอนเสิร์ตต้องบอกเลยว่ามันส์มาก คนหลั่งไหลเข้ามาชมไม่ขาดสายโดยเฉพาะวัยรุ่นแบบเราๆ ที่มารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย เพลงเพราะ ดนตรีฟังเพลิน ความสนุกสนานท่ามกลางอากาศที่หนาวแบบนี้สำหรับเราก็คงต้องยกให้เป็นอีกหนึ่งเทศกาลดนตรีดีๆ ระดับประเทศไปเลยจ้า … วัยรุ่นคนไหนพลาดบอกได้คำเดียวว่าปีหน้าเจอกัน
โดยแต่ละวันหลังจากที่คอนเสิร์ตเล่นไปได้ครึ่งทางเค้าก็จะมีการแสดงบอลลูนคั่นกลางให้พวกเราได้ชมกันประมาณ 20 นาที โดยเค้าจะเอาบอลลูนทุกลูกมาเรียงเป็นแถวและเปิดไฟประกอบจังหวะเพลงไปเรื่อยๆ บางลูกก็ลอยขึ้นเหนือพื้น พอหลังจากจบโชว์บอลลูนถ้าใครอยากลองขึ้นไปนั่งชมวิวบนนั้นก็สามารถซื้อบัตรขึ้นไปเช่นกันจ้า
เรื่องอาหารการกินก็ไม่ต้องห่วงไปไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็มีร้านอาหารกว่า 70 ร้านริมสองฝั่งเวทีให้เราเลือกกินได้ตลอดทั้งคืน มีเกือบทุกประเภทอาหารจริงๆ แล้วแต่ละร้านก็เลือกใช้ของดีของเด็ด วัตถุดิบสดๆ ทั้งนั้น กินง่ายซื้อง่ายไม่พกเงินสดก็สามารถจ่ายผ่านแอพได้อีก จะซื้อไปกินบนโต๊ะแล้วนั่งฟังเพลงชิลล์ๆ ต่อจนงานเลิกก็ย่อมได้นะจ๊ะ งานนี้รับรองได้ว่าจะต้องเป็นอีกคืนที่มีความสุขกลับห้องไปนอนหลับปุ๋ยฝันดีมีดนตรีในหัวใจแน่นอน
นอกจากงาน Farm Festival On The Hill 2018 ที่เป็นไฮไลต์และงานประจำปีสุดยิ่งใหญ่ของจังหวัดเชียงรายแล้ว ภายในสิงห์ปาร์คก็ยังมีกิจกรรมน่าทำอีกเพียบ อย่างปั่นจักรยานชมทุ่งดอกคอสมอสก็เป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย ระยะทางการปั่นมีให้เราเลือกหลายเส้นทาง ตั้งแต่ระยะสั้น 3 กิโลเมตร ไปจนถึงระยะไกล 10 กิโลเมตร โดยทางไร่ก็จะมีจักรยานให้เราเช่าคันละ 150 บาทต่อชั่วโมง พร้อมกับแผนที่แนะนำเส้นทาง เราเลือกปั่นระยะสั้นเพราะอยากทำกิจกรรมให้ครบหลายๆ อย่าง เส้นทางที่เราเลือกก็จะผ่านทั้งทุ่งคอสมอส ไร่ชาอู่หลง และทะเลสาบ 101 ที่เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในสิงห์ปาร์ค
ปั่นมาเรื่อยๆ ถึงกลางทางเราก็จะเจอกับไร่ชาอู่หลงชาสายพันธุ์จินซวนอู่หลงซึ่งนำเข้ามาจากประเทศไต้หวัน โดยปลูกเป็นแถวเรียงรายบนที่ลาดเนินเขา มองเห็นเป็นทุ่งชาสีเขียวขจีกว้างใหญ่เป็นภาพที่สวยงามไม่แพ้ไร่ชาที่ไหนเลย โดยไร่ชาอู่หลงของที่นี่จะแบ่งปลูกเป็น 3 โครงการ โครงการที่ 1 สำหรับผลิตชาอู่หลงภายใต้แบรนด์ Boon Rawd Farm โครงการที่ 2 สำหรับผลิตเป็นชาเขียวมัทฉะและชาเขียวญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ Maruz และโครงการที่ 3 แปลงชา Organic นอกจากนี้บางฤดูเราก็จะได้เห็นแปลงปลูกสตอเบอรี่ และพุทราด้วย
หลายคนยังไม่รู้ว่าภายในสิงห์ปาร์คแห่งนี้มีครบไปทุกอย่างจนสามารถมาเที่ยวได้ทั้งวันแบบไม่ต้องออกไปไหนยังได้ ถ้าถามว่ามื้อกลางวันจะกินอะไรดี เราขอแนะนำให้ขับรถไปจอดริมไร่ชาก็จะเจอกับ “ร้านภูภิรมย์” ร้านดังขึ้นชื่อที่มีอาหารรสเลิศไว้คอยบริการ เมนูแนะนำก็สองจานตามรูปเลยจ้า ผัดหมี่ภูภิรมย์ และยำใบชาทอดกรอบที่เสริฟ์พร้อมน้ำยำสุดแซ่บ มาแล้วต้องมาลองให้ได้ บอกเลยว่าเป็นร้านที่วิวดีงามสุดๆ เพราะเราจะได้อิ่มอร่อยท่ามกลางบรรยากาศแห่งขุนเขาและไร่ชา ไม่รู้สิ เราว่าบางทีบรรยากาศก็ทำให้อาหารตรงหน้าอร่อยขึ้นได้อีกหลายเท่าเลย
พักเบรคยำใบชาแล้วมาต่อกันที่นั่งรถรางทัวร์รอบสิงห์ปาร์ค “ฟาร์มทัวร์สิงห์ปาร์ค” นี้ เค้าจะพาเราไปสัมผัสบรรยากาศและธรรมชาติยังจุดต่างๆ ทั่วสิงห์ปาร์ค ในราคาค่าบริการคนละ 100 บาทเท่านั้น ถือว่าคุ้มค่ากับราคาอยู่เด้อเพราะระหว่างทางก็จะมีไกด์คอยบรรยายประวัติความเป็นมาของที่นี่ให้เราฟังไปด้วย นั่งชมวิวไปเพลินๆ ประมาน 30 นาที รถรางก็พาเรามาสู่สวนสัตว์ในสิงห์ปาร์ค ที่นี่เราจะได้สัมผัสชีวิตสัตว์อย่างใกล้ชิด สนุกสนานไปกับกิจกรรมให้อาหารสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัววาตูซี่ ม้าแคระ ม้าลาย และยีราฟ โดยจุดนี้เค้าจะปล่อยให้เราเล่นกับสัตว์ประมาณ 30 นาที แล้วก็พากลับมาส่งที่จุดขึ้นรถรางเหมือนเดิม
เรายังยืนยันคำเดิมว่าเชียงรายเป็นจังหวัดที่ให้มากี่รอบก็ไม่เบื่อ ยิ่งถ้าได้มาเที่ยวสิงห์ปาร์คด้วยแล้วจะยิ่งทำให้ทริปเชียงรายของแกนั้นดีงามแบบมงลงเข้าไปเลย เพราะที่นี่นอกจากจะเต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติสีเขียวรอบตัว อากาศดีตลอดปี แถมมีมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมที่เก๋ไก๋อันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครแล้ว ยังมีกิจกรรมให้เราเลือกทำได้อีกเยอะมาก ไม่ว่าจะมาเดี่ยว มาคู่ มากับเพื่อนซี้สมัยมัธยม มากับกิ๊กสมัยมหาลัย หรือมาเป็นแฟมิลี่ทริปก็ตอบโจทย์ได้ทั้งนั้น จะว่าไปก็คงเพราะเหตุผลเหล่านี้แหละแก ที่ทำให้เชียงรายกลายเป็นจังหวัดอันดับต้นๆ ในประเทศที่ใครๆ ก็มักนึกถึงเป็นที่แรกๆ เสมอมา ….
แล้วเจอกันปีหน้า Farm Festival on the Hill 2019 !!!!