Discover Kansai ( Osaka/Nara/Mie ) with KINTETSU RAIL PASS plus

ถ้าธนาคารแห่งความสุขมีจริง เราว่าสำนักงานใหญ่ของโลกอยู่ที่ญี่ปุ่นชัวร์ เพราะไม่ว่าจะไปกี่ครั้ง กี่ที กี่หน ก็ฟินราวกับได้เบิกถอนความสุขออกมาใช้แบบเฟ้อๆ ทุกที และคราวนี้เราขอไปใช้แต้มความสุขกับรู้ทชิวๆ โดยบินลงเชิดๆ อย่างหงส์ที่โอซาก้า ใช้ KINTETSU RAIL PASS plus 1 ใบ แล้วนั่งรถไฟเก๋ๆ เที่ยวจัดหนักจัดเต็มครบรส 6 วันรวด ไล่ตั้งแต่โอซาก้า นารา และจังหวัดที่โคตรภูมิใจนำเสนอและ recommend อย่างมิเอะ ก่อนจะบินกลับสวยๆ จากนาโกย่า แน่นอนงานนี้มาเต็มทั้งวัด น้ำตก ศาลเจ้า ย่านเมืองเก่า ดูไฟ ชมสวนดอกไม้ ขึ้นกระเช้าชมวิว จัดปิ้งย่างเลิศๆ จากเหล่าอะมะ นั่งห้อยขาดูใบไม้แดง เที่ยวแหล่งเลี้ยงหอยมุกที่แรกของโลก ไปค่ะ ไปดูความคุ้มสุดคุ้ม คุ้มในคุ้ม คุ้มจนคิดว่าดอกเบี้ยความสุขที่เราฝากไว้คงล้นบัญชีอิ่มเอมไปจนถึงสิ้นปี 2019 แน่ๆ ….

Discover Kansai with KINTETSU RAIL PASS plus

อย่างที่บอกทริปนี้เราบินลงที่ Kansai International Airport พอถึงปุ๊ปเราก็รีบพุ่งไปที่ Kansai Tourist Information Center เพื่อจัด KINTETSU RAIL PASS plus แบบ 5 วัน ทริปนี้เราลองเปลี่ยนมาเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าคินเท็ตสึเพราะสามารถใช้เดินทางได้ทั่วทั้งคันไซ ไม่ว่าจะเป็นโอซาก้า เกียวโต นารา มิเอะ อิเซะชิมะ รวมถึงนาโกย่า และอีกหลายๆ เส้นทาง แถมยังใช้ขึ้นรถไฟอิกะ รถบัสนาราโคซือ รถบัสมิเอะโคซือ รถบัสโทบะชิคาโมเมะได้แบบคลอบคลุม แล้วยังได้สิทธิพิเศษในการเข้าสถานที่ต่างๆ อีกเพียบด้วยแก ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://goo.gl/CbeXoA

ความสเปเชียลของรถไฟฟ้าคินเท็ตสึ คือหากเราจ่ายเพิ่มอีกนิดแล้วจองล่วงหน้า บางขบวนก็สามารถเลือกที่นั่งแบบไพรเวทแบบเป็นห้องหรือเป็นโต๊ะได้ และสำหรับคนที่เดินทางไกลมีมินิบาร์เล็กๆ ให้นั่งทานข้าวไปชมวิวไปหรือจะเดินไปถ่ายรูปพี่โชเฟอร์ข้างหน้าชมวิวที่ผ่านไปไวๆ ข้างทางส่วนตัวเราลองจองล่วงหน้าและจ่ายเพิ่มนิดหน่อย รู้สึกชอบความส่วนตัวและความพิเศษนี้เลยอยากให้ลองใช้ Pass นี้ดู

Day 1

• Dotonbori

วันแรกเราบินมาถึงก็ค่ำแล้วเลยแพลนเริ่มใช้ KINTETSU RAIL PASS plus ในวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้ขอเลือกนั่งรถบัสของคินเท็ตสึเข้าเมืองไปเช็คอินเก็บข้าวของทำธุระส่วนตัวพอหอมปากหอมคอ ก่อนออกไปหาร้านเด็ดฝากท้องมื้อแรกของทริปกันที่ Dotonbori ย่านกิน ดื่ม เที่ยว ช้อป ที่จบครบในย่านเดียวย่านนี้จะเริ่มตั้งแต่สะพานโดทงโบริบาชิไปจนถึงสะพานนิปปงบาชิ บอกเลยว่าเราไม่เคยพลาดสักครั้งเมื่อมาเยือนโอซาก้า มันเพลิน มันชิว เหมาะที่จะเดินเที่ยว เหนื่อยก็แวะหยอดกาชาปอง หยิบตุ๊กตา หิวก็มีของกินให้เลือกทานแบบบานตะไท พออยากจะช้อปก็มีสินค้าให้เลือกกันเพลินเลยทีเดียว

พูดถึงมื้อค่ำวันนี้เรามาจัดทีเด็ดแห่งโอซาก้า เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้กินอาจมีอาการนอนไม่หลับ เที่ยวไม่สนุกแน่ๆ นั่นก็คือ ทาโกะยากิ ชื่อดังแห่งร้าน Acchichi Honpo โดยปกติเรารู้สึกว่าร้านทาโกะยากิที่มีมากมายในย่านนี้ก็รสชาติดีงามพอๆ กันแล้วแต่จะเลือกตาม Taste ของแต่ละคน แต่ความดีเด่นของร้านนี้ที่ทำให้เราวนกลับมากินอีก คงเป็นเรื่องปลาหมึกของเค้าที่สดจริงแถมยังมีเครื่องปรุงกับแป้งสูตรเด็ดทำให้รสชาติยังคงเดิม ส่วนตัวเราเองแอบหลงใหลได้ปลื้มกับทาโกะยากิรสต้นตำหรับของที่นี่เป็นทุนเดิมแต่รอบนี้เราลองสั่งรสชีส สาหร่ายวาซาบิ และมะเขือเทศมาลองเพิ่ม นั่งกินที่ร้านชิวๆ มองวิวแม่น้ำ Dotonbori สีสันและความสนุกสนานของค่ำคืนในโอซาก้าจัดเต็มฟินส์ๆ กินให้ความสุขล้นทะลักจนตัวแตกตายกันไปข้างหนึ่ง

ไปโคราชไม่ได้ไหว้ย่าโมแปลว่ามาไม่ถึงฉันท์ใด มาโอซาก้าไม่ได้ถ่ายรูปกับป้ายไฟกูลิโกะก็แปลว่ามาไม่ถึงฉันท์นั้น คือป้ายไฟกิมมิกของโอซาก้านางมีชื่อจริงๆ ว่า Glico Man Billboard รุ่นที่ 6 ตั้งเด่นอยู่ริมแม่น้ำ Dotonbori ตรงสะพานอิบิซึบาชิ (Ebisubashi Bridge) ที่บอกว่าเป็นป้ายไฟรุ่นที่ 6 เพราะว่าที่ผ่านมาเคยมีป้ายเก่าๆ ที่โดนปลดลงไปมาแล้วถึง 5 รุ่น และรุ่นนี้กูลิโกะแมนสร้างขึ้นมาจากหลอดไฟ LED นับแสนดวงเพื่อฉายภาพเคลื่อนไหวโชว์สีสันต่างๆ ยามราตรี อีกอย่างคือ กูลิโกะแมนอันนี้ เป็นเสมือนป้ายที่แสดงความชื่นชมแก่ 3 นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ ประจำปี 2014 ในฐานะผู้ประดิษฐ์หลอดไฟสีน้ำเงิน LED ที่มีส่วนช่วยเปลี่ยนโลกและประหยัดพลังงานได้อย่างมากมาย พอมีความรู้เสริมก่อนเที่ยวกันแล้วก็ตรงไปทำท่ายกแขนยกขาแบบกูลิโกะแมนรัวภาพปั๊วะๆ ลงโซเชียลกันเลย

Day 2

• ABENO HARUKAS

เริ่มต้นเช้าวันใหม่สดใสซ่าบซ่าท้าทายกฎแห่งแรงดึงดูดด้วยการขึ้นไปชมวิวโอซาก้าที่ตึก ABENO HARUKAS แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่สร้างโดยบริษัท Kintetsu Corporation นางเป็นทั้งห้าง Kintetsu ที่มีแหล่งช้อปปิ้ง ศูนย์รวมร้านอาหาร ของฝาก ของที่ระลึก และอย่างที่บอกว่ามาชมวิว เราจึงตรงดิ่งขึ้นลิฟต์มุ่งมายัง Harukas Observation Deck 300 ชั้น 60 เพื่อชมวิวโอซาก้าแบบ 360 องศา ในระดับความสูง 300 เมตร ที่แค่พูดขาก็สั่นแล้วแก และอีกหนึ่งกิมมิกของที่นี่ก็คือเจ้าหมีน้อยที่รักการนอนเป็นชีวิตจิตใจ Abeno Bear หมีที่มีร่างกายโปร่งแสงเปลี่ยนสีตามพื้นหลังของท้องฟ้า เป็นมาสคอตประจำจุดชมวิวแห่งนี้ นอกจากจะเป็นจุดชมวิวเมืองโอซาก้าแบบสุดลูกหูลูกตาแล้ว ด้านบนยังมีคาเฟ่น่ารักๆ ให้นั่งพัก นั่งชิว ถ่ายรูปคู่วิวอีกด้วย

• Kofukuji Temple

หลังจากที่ลงจากจุดสูงสุดของโอซาก้าเราก็มุ่งไปต่อที่เมืองนารา อดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นในช่วง ค.ศ. 710-784 ที่นี่จึงมีวัดและศาลเจ้าเก่าแก่อยู่หลายแห่ง และมีสัญลักษณ์สำคัญอีกสิ่งหนึ่งของเมืองคือกวาง เนื่องจากชาวนารามีความเชื่อว่ากวางเป็นสัตว์รับใช้เทพเจ้า เราจึงจะเห็นได้ว่ามีกวางเดินอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ที่นี่จึงโดดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวแนวประวัติศาสตร์วัดวาอาราม มิวเซียม ส่วนแลนด์มาร์คแรกที่เราจะไปเยือนเมื่อมาถึงก็คือ Kofukuji Temple วัดเก่าแก่อายุร่วม 1200 ปี ซึ่งในอดีตเคยรุ่งเรืองมาก มีอาคารน้อยใหญ่ถึง 150 หลัง แต่ปัจจุบันจะมีอาคารหลักๆ ที่น่าสนใจเหลือไม่กี่หลัง ที่เราแนะนำคือ เจดีย์สามชั้น (three story pagoda) และเจดีย์ห้าชั้น (five story pagoda) ที่สูงเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น

นอกจากเจดีย์ที่เราแนะนำไป ยังมีอาคารให้เที่ยวชมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมิวเซี่ยม Kofukuji’s National, Nanendo Hall หรือโถงแปดเหลี่ยม, Eastern Golden Hall ที่ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปไม้แกะสลักยาคุชิ เนียวไร ที่เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถรักษาโรคทางกายและโรคทางกรรมของสัตว์โลก แต่จุดเด่นกลางวัดจะเป็นที่ศาลาสีแดงที่เรียกว่า หอกลาง Central Golden Hall ตรงนี้เคยโดนไฟไหม้ไปเมื่อ 300 ปีก่อน และเพิ่งจะมาบูรณะใหม่แล้วเสร็จ บอกเลยว่าเราโชคดีมากเพราะอาคารนี้เพิ่งเปิดให้เข้าชมได้เมื่อปลายตุลาคมปีที่แล้วนี่เอง แฮชแท็แต้มบุญสูงไปอี๊กกกกกก

• Todaiji Temple & Daibutsu of Nara

เราแวะไปปิดท้ายวันกันที่วัดที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก Todaiji Temple & Daibutsu of Nara หรือวัดหลวงพ่อโต เป็นวัดพุทธที่สร้างด้วยไม้และประดิษฐานพระ Daibutsu ทำจากทองสำริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีการบูรณะใหม่ทั้งหมดเพราะเหตุทั้งไฟไหม้ ทั้งแผ่นดินไหว ทั้งอะไรๆ หลายๆ อย่าง แต่ยังรักษาความยิ่งใหญ่น่าเลื่อมใสคงเดิม เริ่มตั้งแต่ประตูทางเข้าไม้โบราณทั้งสองด้านจะแกะสลักเป็นรูปยักษ์จำลองนันไดมง (Nandai-mon) ขนาดใหญ่มากกกกก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นยักษ์ที่คอยเฝ้าวัดนี้ไว้ และข้างในบริเวณวัดยังมีพระพุทธรูปยากูชิ เนียวไร (Yakushi Nyorai) ซึ่งเป็นพระแห่งการรักษาพยาบาล

อาคารหลักของวัดแห่งนี้เป็นอาคารไม้ที่สร้างใหม่ทั้งหมด และเป็นที่ยอมรับกันว่านี่คืออาคารที่สร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่อาคารหลังนี้ยังมีขนาดเพียงแค่ 2 ใน 3 ของอาคารหลังเก่าเองนะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าหลังเก่าจะอลังการงานสร้างขนาดไหน อย่างที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ว่าอาคารหลังนี้เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต (Daibutsu) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกใหญ่ขนาดที่ว่ากันปากต่อปากว่า เส้นผ่าศูนย์กลางของเสาไม้ยักษ์ในวิหารมีขนาดเท่ารูจมูกของหลวงพ่อโตเท่านั้นเอง โดยตามความเชื่อบอกว่า หลวงพ่อโต (Daibutsu) คือพระพุทธเจ้าในโลกแห่งแสงสว่างเหมาะกับผู้ที่ต้องการความหลุดพ้นในปัจจุบัน หากมาขอพรจะช่วยให้จิตใจแจ่มใสเบิกบาน ค้นพบทางสว่างของชีวิต และมีสติปัญญา อ้าววววว!!!! แบบนี้สายบุญสายขอพรห้ามพลาดเด้อ

Day 3

• Nara Nature Park

วันนี้หลังจากทานมื้อเช้าพวกเราก็ตรงดิ่งไปกันที่ Nara Nature Park ดินแดนแห่งน้องกวางนับพันตัว เรารีบไปก่อนแปดโมงครึ่งเพื่อไปให้ทันชมการให้อาหารน้องกวางที่จะมีแค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้น พอถึงเวลาเราจะเห็นผู้ชายรูปหล่อ หุ่นแซ่บคนหนึ่ง เดินถือตะกร้าอาหารและฮอร์นมายืนกลางสนามหญ้าแล้วเริ่มบรรเลงเป่าฮอร์นเรียกน้องกวาง ครู่เดียวเหล่าน้องกวางก็กรูกันออกมาราวกับว่ารับทราบถึงสัญญาณของมื้อเช้า จากทุ่งหญ้าแสนโล่งอันของสวนนาราก็เพียบไปด้วยบรรดาน้องกวางจ้าาา จะบอกว่าปกติมานาราเราจะรู้แค่ว่าซื้อขนมแซมเบ้มาเลี้ยงน้องกวางแล้วถ่ายรูปสวยๆ โชว์โมเมนต์รักสัตว์ได้ แต่รอบนี้รู้สึกเหมือนฝากแต้มความสุขไว้เยอะจนได้ดอกเบี้ยมาเป็นผลกำไรอย่างไงอย่างงั้น

• Tanzan Shrine

Tanzan Shrine ศาลเจ้าอายุราว 1200 ปี เดิมที่นี่เป็นวัดชื่อ โทโนะมิเนะ (Tonomine Temple) วัดเก่าแก่ที่องค์จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นเลื่อมใสอย่างมาก แต่ต่อมาได้กลายมาเป็นศาลเจ้าตามนโยบายที่ต้องการแยกชินโตออกจากศาสนาพุทธในสมัยเมจิของญี่ปุ่นจนกลายเป็นศาลเจ้าแห่งศาสนาชินโตในที่สุด ศาลเจ้าทานซานถือเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีขึ้นชื่อในนาราและมีเจดีย์ไม้สิบสามชั้นหนึ่งเดียวในญี่ปุ่นเป็นไฮท์ไลท์ของที่นี่ ระหว่างทางขึ้นไปสักการะเจดีย์ก็มีจุดใบไม้เปลี่ยนสีและธรรมชาติสวยงามให้ชมจนเพลินลืมจุดหมายไปเลย ส่วนสิ่งที่เรารู้สึกพีคสุดของที่นี่คือการได้ชมใบไม้แดงแกล้มกับเจดีย์ 13 ชั้น ที่อยู่ตรงหน้า มันประทับจิตประทับใจจนอยากจะถ่ายรูปตัวเองคู่กับวิวสักร้อยใบเป็นของฝากอวดคนที่ไทยได้อิจฉากันเล่นๆ

• Hasedera Temple

ออกจากศาลเจ้าเราก็ไปต่อกันที่ วัดเจ้าแม่กวนอิม ฮาเซเดะระ (Hasedera Temple) แห่งเมืองนารา วัดนี้มีโบสถ์ที่เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิมสิบเอ็ดเศียรที่มีความสูงกว่า 10 เมตร เป็นที่สักการะบูชาของชาวพุทธอย่างมาก โดยการเดินขึ้นไปยังโบสถ์ต้องใช้ความเพียรหน่อยนะเพราะต้องเดินขึ้นบันไดหรือโนะโบริโร (ทางเดินขึ้น) 399 ขั้น ทอดยาวขึ้นไปแต่ไม่ต้องกลัวเหนื่อยหรือขึ้นไม่ไหว เพราะบันไดไม่ได้สูงชัน เป็นขั้นเล็กๆ ให้อารมณ์เหมือนทางเดินที่มีซุ้มไม้เรียงยาวมากกว่าการเดินขึ้นบันได เราเองกลับชอบตรงนี้เป็นพิเศษเพราะถ่ายรูปสวย ได้มุมเช็คอินลงอวดเพื่อนในโซเชียลเพียบเลย

โดยโบสถ์หลังปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ เป็นสถาปัตยกรรมนี้ที่งดงามและเป็นสมบัติแห่งชาติด้วย สำหรับวิวด้านล่างโบสถ์หากมาในช่วงอื่นอาจจะเฉยๆ สำหรับบางคน แต่สำหรับเรามันต้องไม่มีอะไรธรรมดาอยู่แล้ว เราเลือกมาในช่วงใบไม้แดงที่นอกจากจะได้สักการะเจ้าแม่กวนอิมแล้วเรายังได้ชมวิวสุดปังมากอีกหนึ่งจุด ณ จุดนี้การได้ยืนมองใบไม้แดงทั่วเมืองสลับกับหลังคาบ้านและสิ่งปลูกสร้างสไตล์ญี่ปุ่น มันช่างเหมือนภาพวาดญี่ปุ่นที่เราเคยเห็นตอนเด็กๆ ไม่มีผิด เอาล่ะ เมื่ออิ่มบุญอิ่มใจกันแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางไปอิ่มท้องกันบ้างจ้า

• Hashimotoya

ก่อนจะไปเก็บแต้มบุญกันที่วัดต่อไป เราขอแวะเบรคมื้อเที่ยงกันที่ Hashimotoya ร้านอาหารแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ตรงข้ามวัด Muro-ji ที่เราจะไปหลังจากนี้ ที่นี่เป็นร้านอาหารเก่าแก่อายุราว 150 ปี ด้านในเป็นร้านที่ตกแต่งน่ารักตามแบบฉบับญี่ปุ่นให้อารมณ์เหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อนชิวๆ สบายๆ ที่ร้านเน้นอาหารประเภท sansai ryori หรือผักป่าดองพร้อมมันฝรั่ง yamato-imo โดยความพิเศษของการเป็นร้านอาหารหน้าวัดแห่งพุทธศาสนาชินกองแห่งเดียวที่ให้ผู้หญิงเข้าชมได้ ที่ร้านจึงมีเมนูอาหารกลางวันสเปเชี่ยลสำหรับคุณผู้หญิงจำกัดแค่วันละ 20 เซ็ตไว้บริการ ส่วนอาหารเที่ยงของเราวันนี้จะเป็นเซ็ตปลาดองรสชาติคล้ายๆ ปลากระป๋อง แต่อร่อยกว่าที่เสิร์ฟพร้อมผักดองต่างๆ ตามสไตล์ของร้าน บอกเลยว่าถ้าหากใครแพลนจะมาวัดแถวนี้ แนะนำให้มาโดนมื้อเที่ยงที่นี่เลยจ้า รับรองติดใจแบบเราแน่นอน

• Morouji Temple

โลเคชั่นส่งท้ายก่อนเดินทางไปเที่ยวต่อที่จังหวัดมิเอะ เมืองนาราขอส่ง Morouji Temple วัดหนึ่งเดียวแห่งพุทธศาสนาชินกงที่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าชมได้เข้าประกวดจ้า เนื่องจากวัดนี้เปิดให้ผู้หญิงเข้าได้จึงมีชื่อเล่นว่า Mt. Woman’s Mt. Koya ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่สวดภาวนาให้จักรพรรดิกัมมูหายจากความเจ็บป่วย ภายในวัดแห่งนี้มีอะไรให้ตื่นเต้นเยอะแยะมากแก ไม่ว่าจะเป็นสมบัติของชาติ Buddha Birthday Statue พระพุทธรูปไม้สูงกว่า 2 เมตร เจดีย์ห้าชั้นกลางแจ้งที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะมากมายแล้วยังเป็นวัดที่เหมาะกับการเดินชมดชม้อยถ่ายรูปหาฉากเด็ดๆ เป็นแบคกราวน์ด้วย ย่ิงมาช่วงใบไม้แดงนี่สวยสุดๆ แบบ 10 10 10 ไปเลย

ว่ากันว่าหากมานาราต้องไปให้ครบ 4 วัด ตามสูตรเส้นทาง “การแสวงหาบุญสี่วัดในนารา” หนึ่งในนั้นคือ Morouji Temple นี่แหละ เนื่องจากวัดตั้งอยู่ในพื้นที่ดินถล่มและร่องภูเขาลึกจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ทางจิตวิญญาณแห่งศรัทธาในเทพเจ้าน้ำ และ Ryujin เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดบนภูเขาที่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าเยี่ยมชมได้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเป็นผู้หญิง เป็นวัดที่ได้รับแรงศรัทธาจากผู้หญิงจำนวนมากและผลแห่งความศรัทธานี้ทำให้สมบัติแห่งชาติที่เป็นเจดีย์ห้าชั้นที่มีความสูงเพียง 16 เมตร ที่ได้รับความเสียหายจากพายุเมื่อ 20 ปีก่อนสามารถบูรณะขึ้นมาได้ด้วยแรงเงินบริจาคจากแม่ชีและสาวๆ ผู้ศรัทธาทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศเราสัมผัสได้ถึงความขลังและพลังแห่งศรัทธาจนขนลุกซู่เอาเป็นว่า ถ้าอยากมีทริปแสวงบุญสี่วัดในนาราก็อย่าลืมมาสัมผัสเส้นทางนี้กันด้วยล่ะ

Day 4

• Akame 48 Waterfalls

เช้านี้ที่มิเอะ เราขอเพิ่มความอบอุ่นร่างกายให้กับอากาศที่หนาวมากด้วยการเดินเข้าป่าชิวๆ กันที่ Akame 48 Waterfalls หรือ น้ำตก 48 สายแห่งอากาเมะ เส้นทาง Hiking ที่จะทำให้เราตื่นเต้นกับสถานที่การฝึกโจมตีต่อสู้ของนินจาระหว่างศตวรรษที่ 15 และ 18 และตื่นตากับซาลาเมนเดอร์ที่กำลังแหวกว่ายในน้ำตกให้เราได้ชมตลอดทาง ถ้าหากตั้งใจมาเดินชมธรรมชาติจริงๆ จะต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง เดินเลียบน้ำตกและลำธารในระยะทาง 4 กม. เรื่องความสะดวกไม่ต้องห่วงเพราะมีครบทั้งห้องน้ำ ร้านค้า รวมถึงโรงน้ำชาตลอดเส้นทาง ยิ่งถ้ามาช่วงเมษายน-พฤศจิกายน สามารถที่จะตั้งแคมป์พร้อมลานบาร์บีคิวได้ด้วยนะแก เก๋เว่อร์

ที่นี่ค่อนข้างป๊อปในหมู่คนญี่ปุ่นและโรงเรียนต่างก็พาเด็กๆ มาทัศนศึกษา หากต้องการบรรยากาศแห่งความร่มรื่นแบบธรรมชาติจริงๆ เราว่าที่นี่ตอบโจทย์แล้วล่ะ ยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสีด้วยแล้วมันยิ่งสร้างสีสันให้การเที่ยวครั้งนี้ครบเครื่องแบบทวีคูณเข้าไปอีก อย่างที่เราบอกว่าปกติหากมีเวลาและอยากเดินให้ทั่วไปเจอน้ำตกให้ครบ 5 แห่ง ได้แก่ Fudo, Senju, Nunobiki, Ninai และ Biwa Falls ต้องใช้เวลากันถึง 4 ชั่วโมง แต่เรามีเวลาน้อย เราเลือกเดินเที่ยวในเส้นทางระยะสั้น ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งเพราะต้องไปที่อื่นต่อ น่าเสียดายมาก กำลังซึมซับบรรยากาศอย่างเต็มที่เลย คราวหน้าจะมาเดินให้ครบพร้อมตั้งแคมป์อย่างแน่นอน

• Matsusaka Bento

หลังจากที่เดินเข้าป่ากันมาได้ 1 เหงื่อ เราก็นั่งรถไฟ KINTETSU มุ่งหน้าไปยังเมืองอิเสะ โดยในระหว่างเดินทางเราก็ต้องปลื้มปริ่มน้ำตาคลอกับ เซ็ตข้าวหน้าเนื้อมัสสึซากะ (Matsusaka Bento) ซึ่งเราเองก็เพิ่งรู้ว่าเมืองมัสสึซากะอันเลื่องชื่อนั้นตั้งอยู่ในจังหวัดมิเอะ และวันนี้ถือเป็นสิ่งดีๆ ที่ได้ชิม Gyu-don (ข้าวหน้าเนื้อ) จาก Moo Taro Bento ที่เค้าบอกว่าเป็นกล่องข้าวที่ทำให้เรารับรู้รสชาติได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ตั้งแต่รูปทรงของกล่องที่เป็นรูปวัวสะดุดตาให้จดจำ เสียงเพลง Furusato (เพลงกล่อมเด็กญี่ปุ่น) ที่บรรเลงเมื่อเปิดฝากล่อง และเพลงนี้จะเล่นออโต้ 20,000 ครั้ง เมื่อแผ่นเซ็นเซอร์โดนแสงแดด กลิ่น รสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเนื้อมัสสึซากะของจริง และยังรับรู้ได้ถึงหัวใจของ “Ekiben” หรือ ข้าวกล่องบนรถไฟที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในญี่ปุ่น ณ จุดนี้เรายอมใจความญี่ปุ่นจริงๆ เค้าทำไรเค้าทำสุด ทำดี มีสตอรี่ ทำด้วยใจ และมีคุณภาพจริงๆ

• Ise Jingu

อิ่มใจอิ่มท้องมาจากการนั่งรถไฟแล้ว เราก็ไปรับแต้มบุญต่อที่ Ise Jingu ศาลเจ้าที่ที่อายุกว่า 2000 ปี ที่ชาวญี่ปุ่นต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิตเพราะเค้าเชื่อกันว่าที่นี่คือที่สถิตย์ของเทพเจ้า Amaterasu หรือเทพเจ้าพระอาทิตย์ และเป็นต้นกำเนิดของจักรพรรดิญี่ปุ่น ภายในศาลเจ้ามีศาลย่อยๆ อีกกว่า 125 ศาล แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ศาลเจ้าชั้นใน (Naiku) และศาลเจ้าชั้นนอก (Geku) ที่เชื่อว่าเป็นสถานที่สถิตย์ของเทพี Toyouke Omikami เทพีแห่งการเพาะปลูก เราเริ่มไหว้ที่ Geku แถวๆ สถานีรถไฟ แล้วนั่งรถบัสต่อไปที่ Naiku ง่ายๆ เพียงแค่โชว์ Kintetsu Rail Pass ก็เดินทางระหว่างศาลเจ้าได้ฟรีเลยจ้า เมื่อมาถึง Naiku เราจะเจอสะพานอุจิบาชิ เพื่อข้ามแม่น้ำ Isuzugawa ที่ถือว่าเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า เดินข้ามสะพานไปไหว้เทพเจ้าด้านในขอพรให้จุใจแล้วออกมาเดินช้อปกันต่อที่ถนนข้างๆ Naiku เลยจ้า

• Oharai-machi and Okage Yokocho Street

ออกจากศาลเจ้าก็มาเดินเล่นกันต่อที่ Oharai-machi and Okage Yokocho Street เป็นอีก Part หนึ่งของญี่ปุ่นที่เราชอบมาก เพราะในระยะทางประมาณ 1 กม. บนถนนที่บ้านเรือน ร้านรวง ล้วนทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดไปเดินเล่นในสมัยเอโดะ-เมจิ มันให้ฟีลญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ประหนึ่งหลุดเข้าไปในสมัยอยุธยาแล้วคิดว่าตัวเองคือการะเกดก็ไม่ปาน แถมย่านนี้ของกินเยอะมาก เลยทำให้เราได้ชิมนั่นนี่อย่างสนุกสนานจนลืมเวลาไปเลย

ภายใต้ร้านขนมเรี่ยร่ายรายทางที่มากมาย จะมีอยู่ร้านหนึ่งที่แกมิควรพลาดเลยคือ Akafuku Honten ร้านน้ำชาอายุกว่า 300 ปี และมีเมนูดึงลูกค้าให้มาต่อคิวยาวเหยียด คือ Akafuku Mochi โมจิที่เอาไส้มาไว้ข้างนอกวางทับก้อนแป้งโมจิอีกทีนึง การออกแบบขนมแบบนี้มีความหมายนะจ๊ะ เพราะการปั้นถั่วแดงเป็นริ้วมันแฝงถึงแม่น้ำ Isuzu ที่ไหลผ่านศาลเจ้าอิเสะ และแป้งโมจิด้านล่างก็เปรียบเสมือนเป็นก้อนกรวดที่อยู่ใต้น้ำ เมื่อเราออเดอร์เสร็จโมจิจะถูกเสิร์ฟพร้อมน้ำชามาในถาดเดียวกัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและการแบ่งปันน้ำใจที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ปูสตอรี่มีมาขนาดนี้เรื่องรสชาติไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ ความนุ่มละมุนลิ้นของถั่วแดงและโมจิที่ทานคู่กับชาร้อน ๆ มันให้ความรู้สึกที่ลงตัว กลมกล่อม จนอยากสั่งเรื่อย ๆ แบบหยุดไม่ได้ขาดใจ

ส่วนร้านอื่นๆ ทั้งของฝากของกินก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเหงา จะว่าง เพราะถ้ามีเวลาพอให้กินทุกร้านเราว่าพวกแกคงอิ่มไปเป็นวีคแน่ๆ กินสนุก กินเพลิน อร่อย และเด็ดทุกร้านทั้งคาเฟ่ ร้านขนมแซมเบ้ ไอติม เนื้อย่างเสียบไม้ น้ำผลไม้ต่างๆ หรือจะเป็นซูชิหน้าเนื้อมัสสึซากะที่เนื้อละลายในปาก และเต้าหู้ทอดรสต่างๆ จะซื้อไปเดินช้อปไปหรือจะนั่งกินตามจุดต่างๆ เค้าก็มีไว้บริการท่ามกลางอากาศเย็นๆ ทั้งกินทั้งช้อป มีหมื่นหมดหมื่น มีแสนหมดแสนแน่นอนจ้า

Day 5

• Mt. Yokoyama

ชีวิตยามเช้าที่เริ่มต้นด้วยการจิบกาแฟ ณ จุดชมวิว บนภูเขาโยะโกะฮะมะ Mt. Yokoyama มองฟ้า มองน้ำ มองอ่าวอะโกะ มองต้นไม้ คือชีวิตในฝันของใครหลายๆ คน เราเองก็เช่นกัน ไม่ต้องอิจฉาเรานะเพราะหากพวกแกตามเรามาก็จะได้สัมผัสความสุขแบบนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าวันนี้ฟ้าจะไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ แต่ความชิลและความประทับใจเราให้ 10 10 10 โดย 10 แรกให้กับความชิว 10 ต่อมาให้กับความสวย ส่วน 10 สุดท้ายให้กับความพัฒนาและใส่ใจแหล่งท่องเที่ยวของชาวญี่ปุ่นเค้า

• Toba Aquarium

เพราะวันนี้เรามีแพลนไปเกาะไข่มุก เราเลยมีเวลาเพียงพอที่จะแวะจิบกาแฟชมวิว และไปดูอะไรน่ารักๆ ให้จรรโลงใจที่ Aquarium ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากเกาะมุกมากนัก Toba Aquarium คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำไว้มากที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นที่เดียวที่รักษาพันธุ์พะยูนไว้ ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 12 โซน มีสัตว์น้ำจากมหาสมุทรที่ห่างไกล ทะเล และแม่น้ำ ทั้งปลา และสัตว์ชนิดอื่นๆ เพื่อจัดแสดงให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไปแบบเราๆ และเด็กนักเรียนน้อยๆ ของญี่ปุ่น เรื่องการพัฒนาการศึกษานี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าญี่ปุ่นเค้าทำสุดจริงๆ สำหรับดาวเด่นของที่นี่ก็หนีไม่พ้นเจ้าพะยูนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และโชว์จากสิงโตทะเลที่น่ารักชนิดพี่ผู้ใหญ่อย่างเราต้องกรี๊ดดดดดด

• Mikimoto Pearl Island

ถัดจาก Toba Aquarium ชนิดเดินข้ามสะพานทางเชื่อมถึงกันได้ เราก็พับกบพับกับ เกาะไข่มุก Mikimoto Pearl Island เราเพิ่งรู้ว่าสถานที่ที่เรายืนอยู่ตอนนี้หากย้อนไปเมื่อ 120 กว่าปีที่แล้ว นางคือแหล่งกำเนิดการเลี้ยงหอยมุกที่แรกของโลกโดยคุณโคะคิชิ มิคิโมะโตะ ซึ่งปัจจุบันก็มีรูปปั้นของเขาอยู่บนเกาะนี้ด้วย ช่วงสาระมีอยู่จริง!! แกรู้เปล่าว่าไข่มุกเลี้ยงเม็ดแรกที่เลี้ยงได้เป็นแค่ไข่มุกครึ่งซีก (Mabes) เองนะ และมิคิโมะโตะ เค้าใช้เวลาร่วม 10 ปี เพื่อทดลองเลี้ยงไข่มุกให้ได้ทรงกลมและสำเร็จในที่สุด สำหรับคนที่สนใจก็สามารถมาเที่ยวเกาะไข่มุกนี้เพื่อเรียนรู้วิธีการเลี้ยง ติดตามการเจริญเติบโต การเก็บ และคัดเลือกไข่มุก ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นคนสนใจเรื่องเครื่องประดับมุกมาก่อน แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็แอบอินไปกับการเลี้ยงหอยมุกเฉยเลย

หนึ่งเหตุผลที่เราเลือกมาเกาะไข่มุกแห่งนี้ ก็เพื่อมาชมโชว์นักดำน้ำอะมะ (Ama) แต่งชุดโบราณสีขาวดำน้ำลงไปเก็บหอยมุก อะมะ คือเหล่านักประดาน้ำหญิงที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาการเลี้ยงหอยมุกเป็นอย่างมาก ส่วนสาเหตุที่ใช้ผู้หญิงเป็นคนดำน้ำไปเก็บหอยมุกนั้นก็เนื่องจากผู้หญิงมีชั้นไขมันที่หนากว่าทำให้ทนต่อสภาพอากาศหนาวและน้ำทะเลที่เย็นมากในหน้าหนาวได้ดีกว่าผู้ชาย เรานั่งดูไปก็อึ้งไปกับทั้งความเก่ง ทั้งความอึด และยังมีความชำนาญมากๆ ส่วนสิ่งที่เราลืมไม่ลงเลยคือเสียงผิวปากที่ใช้กำหนดลมหายใจของอะมะขณะดำน้ำนี่ล่ะเรายกให้อะมะทั้งหลายเป็นยอดหญิงพลังแกร่งแห่งปี 2019 ของเราไปเลย ที่นี่มีโชว์ดำน้ำอะมะทั้งหมดแปดรอบต่อวัน รอบแรกเริ่มมีขึ้นในเวลา 9.20 น.

• Hachiman Kamado

จากการชื่นชมเหล่า Ama หญิงแกร่งทั้งหลาย เราก็ต้องมีต่อด้วยการมุ่งหน้าไปยังกระท่อม Ama ณ Hachiman Kamado เป็นกระท่อมที่เหล่า อามะจัง หรือ สาวนักประดาน้ำ ไว้พักผ่อนเพื่ออบอุ่นร่างกายและจัดมื้อปิ้งย่างคลายหนาว สาวกปิ้งย่างอย่างเราก็ไม่พลาดที่จะมาสัมผัสและลิ้มลองประสบการณ์นี้ ซึ่งสำหรับเรารู้สึกคุ้มค่ามากเว่อร์ตั้งแต่เปิดประตูกระท่อมเข้าไปมันสัมผัสได้ถึงความเรียลของอะมะแต่ละคนที่ฝึกฝนนับสิบปีกว่าจะมีอาชีพนักดำน้ำ ซึ่งเท่าที่รู้มาอาชีพอะมะหรือนักประดาน้ำหญิงนั้น มีประมาณ 2000 คนในญี่ปุ่น และครึ่งหนึ่งอยู่ที่มิเอะแล้วอะมะที่อายุน้อยที่สุด คืออายุ 40 ปีเลยนะ หลังจากที่เราไปทึ่งกับเหล่าอะมะที่เก็บหอยมุกแล้วเราต้องมาทึ่งกับอะมะที่ลงไปเก็บหอย จับกุ้ง มาปิ้งย่างกลางกระท่อมแบบสดๆ ให้พวกเราได้เปรมปรีกันในมื้อนี้อีกรอบ

เมื่อมาถึงห้องทานอาหาร เรานั่งรอสาวๆ ทั้งหลายในชุดชุดอะมะแบบดั้งเดิมสุดแสนคาวาอี้นั่งย่างอาหารทะเลที่จับขึ้นมาสดๆ จากทะเลในตอนเช้า มีหอยนานาชนิด มีกุ้งมังกรหรือกุ้งอิเสะ ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ให้เราชิมเป็นบุญปากบุญท้องด้วย นอกจากนี้ยังมีพวกเครื่องเคียงต่างๆ ข้าวอินทรีย์ สลัด ซุปมิโซะกุ้งมังกร สาหร่าย และปลาดิบเสิร์ฟมาคู่กับอาหารด้วย ขณะที่ย่างไป กินไป เราก็ได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ของอาชีพอะมะประดับความรู้ เพิ่มอรรถรสของมื้อนี้ให้แซ่บยิ่งขึ้นด้วย สำหรับคนที่สนใจจะมาจัดปิ้งย่างที่กระท่อมอะมะ ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นห้าม Walk in เด็ดขาด เพราะอะมะทั้งหลายต้องเตรียมอาหารแบบสดๆ ไว้ให้เพียงพอต่อการสั่งจองแต่ละครั้งด้วยสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและทางไปจอง http://amakoya.com/amahuthachimanreserve.htm

 

Day 6

• Gozaisho Ropeway

เรามาเริ่มต้นเช้าวันสุดท้ายกับโลเคชั่นหมอกตีหน้ากันที่ Gozaisho Ropeway เพื่อขึ้นไปบนภูเขา Gozaisho Dake Peak ยอดเขาที่สูงกว่า 1200 เมตรในมิเอะ การขึ้นกระเช้าฝ่าดงหมอกสลับกับใบไม้แดงเขียวส้มเหลืองตลอดเส้นทางเพื่อไปพบกับความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติด้านบนคือสิ่งที่ทุกคนควรสัมผัสในการมาสะสมแต้มความสุขในครั้งนี้

เมื่อมาถึง Gozaisho Dake Peak ด้านบนเป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติ มีร้านอาหารให้นั่งกินแบบจริงจังหรือจะหาไรจิบๆ เล่นๆ ที่ร้านกาแฟชมวิวทิวทัศน์ใบไม้สลับแดงเขียวบนภูเขาสลับซับซ้อนจากด้านบนไปจนถึงข้างล่าง เท่าที่เรารู้ข่าวมาเค้าว่าช่วงเดือนกุมภาพันธุ์จะมีปรากฏการณ์ต้นไม้กลายเป็นน้ำแข็ง (Ice Monster) ด้วย แต่นั่นแหละไม่ว่าจะมาฤดูไหนๆ ก็จะได้ความประทับใจแตกต่างกัน ฟีลไม่ซ้ำ หิมะเป็นหิมะ ใบไม้แดงก็แดงจริง หน้าฝนหมอกเพียบ หรือจะซัมเมอร์ก็ฟ้าใสวิวสวย

• Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima

หลังจากเที่ยว ชม ชิม มาจนเกือบจุใจตลอด 5 วัน วันสุดท้ายแบบนี้ถ้าไม่ได้ช้อปสักหน่อยก็คงจะหงุดหงิด มือจีบ ขาสั่น กลับไปสนามบินแบบครั่นเนื้อครั่นตัวแน่ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อความเพอร์เฟคของทริปนี้เราเลยไปละลายทรัพย์กันที่ Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima เอาท์เล็ทขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นที่อยู่ในจังหวัดมิเอะนี่แหละ ซึ่งนอกจากแหล่งละลายทรัพย์แล้วที่นี่ยังมีออนเซ็น สวนสนุก และสระว่ายน้ำสมทบเข้ามาเพื่อเพิ่มเสน่ห์แห่งการช้อปปิ้งแบบมาที่เดียวได้ครบทุกรส ทุกแบบ คือจะมากับเพื่อนก็ฟิน มากับแฟนก็เลิศ หรือมากครอบครัวก็ตอบโจทย์ ดี๊ดี!!

อย่างที่เราบอกไปว่าบริเวณ Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima มีสวนสนุก Nagashima Spa Land ที่เค้าบอกว่าไม่ว่าจะวัยไหนก็สนุกได้ที่นี่ เพราะมีเครื่องเล่นทั้งน่ารักสดใสวัยแบ๊ว ไปจนถึงสายโหดกรี๊ดสนั่น สำหรับคนที่ชอบรถไฟเหาะตีลังกาแนะนำ Acrobat เลยจ้าา ได้กรี๊ดลั่น เสียวสุดๆ แหวกแนวต่างจากรถไฟเหาะที่เคยเจอมาแน่นอนแก …

• Nabana no Sato

จาก Mitsui Outlet Park Jazz Dream Nagashima มาอีกไม่ไกลก็จะถึงสวนพฤกษศาสตร์ Nabana no Sato ด้วยพื้นที่ 43000 ตร.ม. ที่มี่ Hana Hiroba หรือพื้นที่สวนเปิดที่เต็มไปด้วยดอกไม้ สวนนะบะนะ โนะ ซาโตะ จึงเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยภายในแบ่งเป็นหลายโซนมีทั้งสวนพลัม สวนกุหลาบ สวนไฮเดรนเยีย สวนไอริส หรือจะเป็นดอกไม้ตามฤดูกาลต่างๆ ที่จะมาจัดแสดงให้เราได้ฟินส์ ไม่ว่าจะเป็นทิวลิป คอสมอส ต่างๆ นานา นับพันชนิด เราอยากกินอยู่หลับนอนที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เพราะเพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจมากทั้งขนมอร่อยๆ และดอกไม้แสนสวย ให้ได้ชมทั้งวันทั้งคืนแบบไม่มีเบื่อ

ตรงนี้ต้องจดค่ะคุณ!!!! เพราะตั้งแต่ปลายของเดือนตุลาคมจนถึงมีนาคมของทุกปี จะมีงานโชว์ไฟ Nabana No Sato Winter Illumination Collaboration of Winter Flower อย่างที่เราบอกไว้ไงว่าอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่เบื่อ กลางวันชมดอกไม้ กลางคืนชมไฟแถมด้านในมีร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่เยอะแยะให้เราเลือกอิ่ม ไม่ต้องกลัวหิวโซอดตายอยู่ในนี้ โดยทั่วไปช่วงเวลา 17.00 น. มีการแสดงไฟตกแต่งบนน้ำ สีของไฟในสระน้ำกลางคืนที่มืดสนิทกับไฟประดับโบสถ์มันสวยงามอลังการมาก นอกจากนี้เดินไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอซุ้มอุโมงค์ไฟใหญ่อลังการดาวล้านดวง ทอดยาวไปจนถึงจุดแสดงไฟเป็นรูปฟูจิซังกับฤดูกาลและเทศกาลต่างๆ ประทับใจสุดๆอ้อ เราลืมบอกไปว่า การแสดงไฟยามค่ำคืนของที่นี่เป็นสวนไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเช่นเดียวกับสวนดอกไม้นะจ๊ะ ถ้าไม่มาก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดคำว่าพลาดอีกกี่รอบถึงจะสาสม

ทริปนี้เราเริ่มจากโอซาก้า นารา มิเอะ แล้วบินกลับสวยๆ ที่สนามบิน Chubu Centrair International Airport และก่อนโบกมือลา เราก็ไม่พลาดการไปถ่ายรูปอวดสายตาชาวโซเชี่ยลที่โซนแลนด์มาร์คล่าสุดนั่นก็คือ FLIGHT OF DREAMS ที่อยู่ภายในสนามบินแห่งนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ FLIGHT PARK ที่จัดแสดงพระเอกสุดหล่อเครื่องบินโบอิ้ง 787 ลำจริงมาวางโชว์ตัวกลางสนามบินที่แรกของโลก แถมยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ร่วมสนุกมากมาย เช่น ไปสัมผัสบรรยากาศการบินของกัปตันที่ห้องบังคับการบินบรรยากาศจำลองโรงงานผลิตเครื่องบิน Boeing เป็นต้น และ SEATTLE TERRACE ช้อปปิ้งมอลล์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมืองแห่งโบอิ้ง ซีแอตเทิล มีร้านอาหาร เครื่องดื่ม ร้านค้าสำหรับขาช้อป และมีที่นั่งพักผ่อนที่สามารถนั่งชมเครื่องบิน Boeing 787 ได้อย่างชัดเจนเต็มตาด้วย หลังจากเต็มอิ่มกับเจ้าโบอิ้งสุดเท่แล้วเราก็พร้อมจะร้องเพลง ก่อนจากกันขอสัญญาฝากประทับตรึงตราจนกว่าจะพบกันใหม่ ญี่ปุ่นจ๋า!!! พี่มาอีกหลายๆ รอบแน่นอน

สำหรับญี่ปุ่นธนาคารแห่งความสุขสำนักงานใหญ่ของโลกแห่งนี้ การได้เดินทางเที่ยวโอซาก้า นารา และมิเอะ ด้วย KINTETSU RAIL PASS plus เหมือนเราได้มาทำธุรกรรมทางใจที่ธนาคารความสุขสำนักงานย่อยแค่สาขาหนึ่งเท่านั้น แต่เราได้เบิกถอนความสนุก ความตื่นเต้น ความประทับใจออกมาใช้ และรู้สึกว่าได้กำไรมากมายจนต้องลงทุนเปิดพอร์ทใหม่ เพื่อรอดอกเบี้ยและผลตอบแทนในการมาญี่ปุ่นอีกหลายๆ รอบ จะรอบหน้า รอบไหน รอบต่อไป อีกกี่รอบต่อกี่รอบ เราก็ยังยืนยันคำเดิมไม่เพิ่มเติมใดๆ ว่าญี่ปุ่นยังเป็นธนาคารความสุขอันดับหนึ่งในใจของเราไม่เปลี่ยน และเส้นทางที่เราเล่ามาทั้งหมดนั้นคือสาขาของความสุขที่เพอร์เฟคและอยากให้ทุกคนได้ลองมาทำธุรกรรมที่นี่แบบเราด้วย