Bonjour Paris
มหานครน้ำหอมที่เลื่องลือที่สุดในเรื่องของความโรแมนติก สถานที่สุดฝันใฝ่ของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะคู่รักที่ล้วนอยากจะจูงมือกันเดินฝ่าแสงสีทองยามพระอาทิตย์อัสดง แล้วไปยืนจูบกันแบบดูดดื่มที่หน้าหอคอยเหล็กใจกลางเมืองหลวงที่มีชื่อว่าไอเฟล และภาพของเหล่าผู้ดีผมบลอนด์ตาฟ้าบนรองเท้าหนังสุดเนี้ยบเดินดูภาพระดับโลกในพิพิธภัณฑ์ หนุ่มสาวผู้เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความมั่นใจในตัวเองกำลังเดินเปลือยเท้าในสนามหญ้ากลางแสงแดด สถาปัตยกรรมที่แสนโอ่อ่าประณีตที่มีอยู่ทุกหัวถนน มหานครแห่งนี้คือความฝันใฝ่ที่เกือบจะเกินจริง แต่ทุกสิ่งก็เป็นไปได้ที่ปารีส ตามมาเราจะพาไปดูว่าทำไมเมืองนี้มันถึงเป็นความฝันใฝ่ของใครหลายคนราวกับตกต้องในมนต์แห่งปารีเซียง
FLIGHT TO PARIS
ไปเมืองหงส์ก็ต้องขอเดินลงแบบผู้ดี แน่นอนว่าเราต้องเลือกสายการบินระดับประเทศ “การบินไทย” เพราะนางจะมีไฟลท์บินตรงไปลงปุ๊กใจกลางเมืองหลวงแบบสง่างามทุกวัน ให้เราได้นั่งเชิดหน้าชูตารอรับบริการดีๆ เหมือนพี่เหมือนน้องแบบเป็นกันเองและน่ารักจนรู้สึกเหมือนมีญาติมารับ-มาส่ง ถึงต่างประเทศทุกครั้งที่ได้เดินทางด้วย นอกจากนี้อาหารการกินจะคาว หวาน น้ำดื่ม เค้าก็จัดบริการมาอย่างดีถูกปากถูกใจ เอาหัวใจไปสิบดวงเลย แต่ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของความสบายบินยาวแค่ไหนก็ไม่ไหวหวั่นเพราะความสบายต่างกันจริงๆ แก
นอกจากจะสบายต่างกันแล้วการบินไทยเค้ายังก้าวไปไกลกว่าใครด้วยบริการ Live TV on Board ให้เราสามารถรับชมรายการโทรทัศน์สดผ่านจอทีวีบนเครื่องบิน ทั้งรายการข่าวทันเหตุการณ์ แมทช์การแข่งขันกีฬาระดับโลกแบบเรียลไทม์ บนครื่องบินแอร์บัส A350-900 จำนวน 12 ลำ ให้เราไม่พลาดทุกการเคลื่อไหวแบบสดๆ จากทุกมุมโลก เรียกได้ว่าสบายต่างกันแล้วยัง ทันโลกต่างกัน ด้วยนาจา
WHERE TO VISIT IN PARIS
01 :: Eiffel Tower
จุดแรก จุดหลัก จุดประทับใจ ใครไม่มาถือว่ามาไม่ถึงปารีสนั่นก็คือ Eiffel Tower หอคอยโครงสร้างเหล็กริมแม่น้ำแซนที่สูงถึง 300 เมตรแห่งนี้ คราแรกถูกสร้างขึ้นเป็นศิลปะชั่วคราวเพื่อแสดงถึงความรุ่งเรืองในยุคอุตสาหกรรมของฝรั่งเศส และนางเคยถูกตราหน้าว่าเป็นความอัปลักษณ์ของปารีส เพราะรูปทรงและการออกแบบนั้นค่อนข้างจะแปลกแหวกแนวผิดยุดผิดสมัยไปเสียหน่อย แต่ระหว่างการก่อสร้างผู้คนก็เริ่มที่จะชอบเจ้าหอคอยหน้าตาประหลาดที่มีบันได 1,710 ขั้นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดศิลปะชั่วคราวแห่งนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองมาจนถึงปัจจุบัน
และในปัจจุบันก็ยังมีการเปิดบริการให้เดินขึ้นไปชมความสวยงามบนยอดหอคอยไอเฟลแห่งนี้อยู่ แต่คิวจะยาวมากมายมหาศาลเราจึงโบกมือหย๊อยๆ และให้กำลังใจตัวเองว่า เฮ้!! เรามาดูหอคอยนะ ถ้าขึ้นไปบนหอคอยเราก็ไม่ได้เห็นหอคอยกันหน่ะสิ เราเลยเลือกเดินชมหอคอยจากซ้ายไปขวา จาหน้ามาหลัง มองสำรวจตั้งแต่ฐานขึ้นไปถึงยอดอย่างช้าๆ และถ่ายรูปร้านค้าที่คึกคัก ผู้คนที่มาเปิดหมวกร้องเพลงและโชว์ความสามารถพิเศษต่างๆ อย่างคึกครื้น ครอบครัว และหนุ่มสาวที่มานั่งชิวๆ กันบนสนามหญ้า รวมถึงนักท่องเที่ยวที่สะพายกล้องถ่ายนู่นถ่ายนี่ด้วยใบหน้าแสนเคลิบเคลิ้มแบบเราอยู่หลายคน บอกเลยว่าอยากเอามาตั้งไว้ที่บ้านบ้างเลยอ่ะ
02 :: Louvre Museum
อีกหนึ่งสถานที่ระดับโลกของเมืองปารีสก็คือ Louvre Museum พิพิธภัณฑ์ที่สะสมผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าไว้กว่า 35,000 ชิ้นนี้ ถูกก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1793 จึงนับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่พีระมิดแก้วสามเหลี่ยมที่เราเห็นหน้าพิพิธภัณฑ์นั้นถูกสร้างขึ้นมาตามหลังในปี 1988 เพื่อจุดประสงค์ใช้เป็นแค่ทางเข้าของพิพิธภัณฑ์แต่ดันกลายมาเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งที่ผู้คนต่างอยากเดินทางมาเพื่อเยี่ยมชม ทั้งนี้เพื่อการหลีกเลี่ยงผู้คนให้ได้ภาพสวยๆ โล่งๆ เราขอแนะนำให้มาในตอนเช้าๆๆๆๆๆ เช้าเท่านั้น และเมื่อย่างกรายเข้าสู่ภายในเราสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อตั๋วแบบหนึ่งวัน สองวัน สี่วัน หรือหกวัน ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงต้องเหมาเที่ยวกันถึงหกวันก็เพราะภายในนั้นใหญ่โตสุดฤทธิ์สุดเดชค่ะคุณ ซึ่งมีโซนให้เข้าชมมากถึง 10 โซนด้วยกัน
โซนเยอะ ศิลปะแยะ เรียกว่าเดินกันแบบข้ามวันข้ามคืนเลยล่ะกว่าจะครบทุกโซนสำหรับคนที่มีศิลปะในหัวใจ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปอย่างเราก็จะมีสิ่งที่ห้ามพลาดภายในลูฟวร์ ได้แก่ รูปวาดสาวเจ้าของรอยยิ้มปริศนา Mona Lisa ที่วาดโดย Leonardo da Vinci สาวปริศนาที่แม้แต่วิทยาการในยุคสองพันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเธอคือใคร มีประวัติอย่างไร และรอยยิ้มของเธอสื่อถึงอะไรกันแน่ บ้างก็ว่าเธอคือตัวแวนโกะเองในเวอร์ชั่นผู้หญิง บ้างก็ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ ฯลฯ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปไหนที่ชัดเจนตายตัว และหลังจากได้มีการสำรวจอย่างถ้วนถี่กลับมีการพบว่าก่อนที่จะมีภาพของโมนา ลิซ่า ผ้าใบผืนนี้เคยถูกวาดภาพของผู้หญิงอีกคนมาก่อนแล้วด้วย ทั้งหมดนี้จึงยิ่งทำให้เธอเหมือนปริศนาที่ชวนงุนงง และหลงเส่นห์ ผู้คนมากมายจึงอยากมายืนดูรอยยิ้มปริศนาของเธอด้วยตัวเอง และแม้ภาพวาดจะมีขนาดเล็กกว่าที่เราคิดไว้มากแต่ความน่าฉงนของเธอก็ดึงดูดผู้คนไว้อยู่หมัดมากกว่าผลงานชิ้นอื่นๆ เลยล่ะ
ภาพหญิงสาวรูปร่างสูงใหญ่ เดินนำหน้าผู้คนและถือธงชาติฝรั่งเศสกึ่งก้าวข้ามและกึ่งชักนำคนจำนวนมากนี้ แท้จริงแล้วเธอไม่ได้มีตัวตนจริงๆ แต่เป็นจิตวิญญาณของความเป็นชาตินิยม และเสรีนิยมที่ อูจีน เดอร์ลาครัวซ์ ศิลปินยุคโรแมนติคของฝรั่งเศสเป็นคนร่างเธอขึ้นมาจากจินตนาการ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศสเดือนกรกฏาคมปี 1830 (July Revolution) ภายหลังการล้มล้างระบบศักดินาในฝรั่งเศส จึงเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกถึงความมุ่งมั่น ดุดัน และชัดเจน ถือเป็นอีกหนึ่งภาพในลูฟวร์ที่โด่งดังและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว
จากภาพวาดเราก็เดินทางมาต่อกันที่โซนปฏิมากรรมสุดฮอต นั่นก็คือรูปปั้นของผู้หญิงรูปร่างสมส่วน สวยหมดจด พร้อมปีกที่กำลังกางสไว และเสื้อผ้าที่เหมือนกำลังต้องลมยามโบยบินหากแต่ไร้ศรีษะนี้มีชื่อว่า winged victory of Samothrace ชื่อไทยคือ เทพีไนกี้แห่งซาโมเทรซ ประติมากรรมยุคกรีกเฮเลนิสติกที่ถูกสร้างขึ้นในราว 300 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของกรีซในการรบที่ซาโมเทรซ
อยากบอกว่านี่คือคุณค่าระดับโลกกกกก ในสถานที่ระดับโลกจริงๆ เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปารีสถึงเป็นเมืองแห่งความฝันและจินตนาการ เพราะจินตนาการถูกรวบรวมไว้ที่นี่มากมายเหลือเกิน จนแม้แต่คนที่ไม่ได้อินกับศิลปะมากเท่าไหร่แบบเรานี้ยังแอบหลงรัก และเดินได้เพลินๆ อยู่หลายชั่วโมงเลยแก เพราะฉะนั้นถ้าแกได้มาปารีส แกต้องมาที่นี่ แล้วแกจะรู้ว่าศิลปะมันเยียวยาจิตใจผู้คนได้จริงๆ
03 :: Arc de Triomphe
กลางจัตุรัสแห่งดวงดาวคือสถานที่ตั้งของประตูชัย Arc de Triomphe สัญลักษณ์ที่แสนวิจิตรอีกแห่งหนึ่งของกรุงปารีส นับเป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยนางมีความสูงถึง 49.5 เมตร กว้าง 45 เมตร และลึก 22 เมตร ถูกสร้างขึ้นเพื่อสดุดีวีรชนทหารกล้าของประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย โดยบนประตูชัยประกอบด้วยรูปแกะสลักลอยตัว 4 รูปบริเวณฐาน และภาพแกะสลักหินนูนต่ำ 6 ชิ้นที่อยู่บนประตูทั้งสี่ทิศเล่าเหตุการณ์การปฏิวัติและจักรวรรดิฝรั่งเศส ห้องเพดานมีรายชื่อศึกสงครามที่สำคัญในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสและจักรวรรดิฝรั่งเศสสลักไว้ ส่วนข้างในเสาประตูชัยจะมีรายชื่อทหารที่ร่วมรบในการปฏิวัติฝรั่งเศสและจักรวรรดิฝรั่งเศสได้ถูกสลักไว้ ทหารที่เสียชีวิตระหว่างการรบจะถูกขีดเส้นใต้ ซึ่งเราสามารถชมความงามนี้แบบห่างๆ หรือเข้าไปเดินดูใกล้ๆ ก็ได้เช่นกัน
แต่ที่ห้ามพลาดคือการชมแสงยามเย็นของที่นี่ เพราะที่นี่คือหนึ่งในจุดชมวิวต้องห้ามพลาดของเมืองปารีสที่เราสามารถมองเห็นแสงสีทองสาดส่องไปทั่วทั้งเมือง บนถนนกว่า 12 เส้นทางที่แยกออกไปจากจัตุรัสดวงดาวแห่งนี้ และยังสามารถเห็นผลงานศิลปะหอคอยไอเฟลตั้งโดดเด่นเป็นสง่าและเปิดไฟสีส้มขึ้นตัดกับท้องฟ้าที่กำลังจะมืดสนิทลงได้ด้วย ถือเป็นจุดที่เราจะได้เห็นปารีสแบบโรแมนติกสุดอีกแห่งหนึ่ง
04 :: Opera de paris
สถาบันดนตรีแห่งชาติสุดเลิศหรูแห่งเมืองน้ำหอมนี้มีชื่อภาษาไทยสุดอลังการว่า โรงอุปรากรปาแลการ์นีเย สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบฟื้นฟูบาโรก เริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1875 โดยรมีพื้นที่ถึง 11,000 ตารางเมตร จุผู้ชมได้ประมาณ 2,200 คน ภายในเน้นการตกแต่งที่วิจิตรตระการตาจนเรียกได้ว่าเว่อร์วังอลังการ เพราะเน้นสีทองสุกสกวาเป็นหลักและยังมีโคมไฟระย้าที่ห้อยระยิบระยับหนักถึง 6 ตันอยู่ด้วย
05 :: Sacré-Cœur
มหาวิหารรองในคริสตจักรโรมันคาทอลิกบนยอดเขาที่สูงที่สุดของกรุงปารีสที่สูงถึง 130 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่วนตัวมหาวิหารแห่งมงมาทร์มีความสูง 83 เมตร ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1875 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมัน-ไบแซนไทน์ ระหว่างทางขึ้นจะเป็นบันไดขนาดใหญ่ และสวนสาธารณะขนาดย่อมที่ผู้คนมักมานั่งเล่นตากแดดตากลมกันแบบชิวๆ ตามสไตล์ชาวปารีเซียง
ด้านในของมหาวิหารเป็นวิหารชั้นเดียวมีเสาสูงคอยค้ำยัน ตรงกลางมีภาพโมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และไปร์ออแกนขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนให้ความเคารพ ดังนั้นในการมาเยี่ยมชมก็ต้องอยู่ในความสำรวมกันด้วยนะจ้ะ
อีกไฮไลท์หลักที่ทำให้คนเดินทางมายังมหาวิหารแห่งนี้ก็เพราะว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวเมืองปารีสจากมุมสูงที่สูงที่สุดในเมือง ทำให้เราเห็นวิวเมืองปารีสได้แบบสุดลูกหูลูกตา เห็นตึกรามบ้านช่อง และสถาปัตยกรรมต่างๆ ราวกับเมืองปารีสกำลังสื่อสารกับเรายังไงอย่างงั้น
06 :: Notre-Dame de Paris & Point zéro des routes de France
วกกลับมายังจุดศูนย์กลางของปารีส ณ Notre-Dame de Paris โดยก่อนจะเข้าสู่ตัวมหาวิหารนอเทรอดามเราจะพบกับ zero point หรือสะดือแห่งปารีส แต่ความอลังการของวิหารก็ชักนำเราให้เดินไปสำรวจมหาวิหารเป้าหมายหลักอีกแห่งของเราในครั้งนี้ก่อน ที่นี่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอธิค มีความสูงถึง 69 เมตร และถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1163 แต่กว่าจะแล้วเสร็จก็ปี ค.ศ. 1345 โดยด้านหน้าจะมีประตูใหญ่อยู่ถึงสามบาน คือ ประตูพระแม่ ประตูคำพิพากษาครั้งสุดท้าย และประตูแซงต์แอนน์
ภายในจะมีรูปปั้นแกะสลักเรียงรายอยู่มากมาย แต่ละชิ้นล้วนสร้างไว้ด้วยความปราณีตในทุกรายละเอียด และยังมีช่องแสง rose window ที่มีความสวยงามและเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของที่นี่ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีออแกนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในการประกอบพิธีภายในโบสถ์เป็นออแกนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอยู่หลังแท่นบูชาอีกด้วย
และอย่างที่เราเล่าไปว่าใกล้ๆ กับวิหารมีสะดือปารีส หรือก็คือจุดกิโลเมตรที่ 0 ของมหานครแห่งนี้นั่นเอง โดยมันเป็นจุดหลักที่เอาไว้วัดระยะทางจากปารีสไปยังเมืองต่างๆ มาตั้งแต่สมัยก่อน โดยคนที่เดินทางมาที่นี่จะมีความเชื่อว่าหากได้มายืนอธิษฐานให้ได้กลับมาที่ปารีสอีกครั้ง ณ สะดือปารีสแห่งนี้ความฝันก็จะเป็นจริง ดังนั้นใครอยากกลับมาอีกก็ต้องไม่พลาดที่จะลองนะแก
07 :: Shakespeare & Company
แลนด์มาร์คอีกแห่งที่น่าสนใจกลางกรุงปารีสที่อาจจะแตกต่างจากที่อื่นเล็กน้อย ที่นี่ไม่ได้โดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรม แต่โดดเด่นจากวรรณกรรม เพราะที่นี่คือร้านหนังสือที่โด่งดังมากๆ ของเมืองปารีส นางคือร้านหนังสือเก่าแก่ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1951 โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้ปารีสเป็นศูนย์กลางของวรรณกรรม ดังนั้นที่นี่จึงมีหนังสือมากมายจากทั่วโลกและด้านบนเค้ายังมีที่พักสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ที่อยากจะมาหาแรงบันใจในเมืองแห่งนี้ด้วยการให้พักฟรีแต่ต้องแลกกับการช่วยงานในร้านหนังสือด้วย ภายในร้านนั้นก็สมชื่อร้านหนังสือจริงๆ เพราะทุกด้านของกำแพงตั้งแต่พื้นจรดเพดานล้วนมากมายไปด้วยหนังสือทั้งเก่าและใหม่เรียงกันอยู่แบบนับไม่ถ้วน จนถูกเอามาเป็นโลเคชั่นในหนังเรื่อง before sunset และ midnight in paris
ติดๆ กันคือร้านคาเฟ่เจ้าของเดียวกับร้านหนังสือนี่ล่ะ มันถูกสร้างขึ้นในปี 2015 ตามความฝันของจอร์จเจ้าของร้านที่อยากมีร้านคาเฟ่เล็กๆ เค้าทำร้านชั้นเดียวที่โปร่งสบาย เน้นสีขาวและไม้เป็นหลัก มีที่นั่งทั้งด้านนอกและด้านในให้ได้นั่งชมมหาวิหารนอเทรอดาม และชาวปารีเซียงที่ผ่านไปมา พร้อมๆ กับจิบชา กาแฟ น้ำผลไม้ปั่น อาหารเวแกน และเลม่อนพายสูตรเด็ดของจอร์จ
08 :: Paris Catacombs
ทางเดินที่เรียงรายด้วยหัวกะโหลกแบบอัดแน่นแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่กักกัน หรือที่ทรมานคนแต่อย่างใด แต่มันคืออดีตเหมืองร้างที่ถูกนำมาเป็นหลุมฝังศพ เพราะฝรั่งเศสเคยเกิดวิกฤตการณ์ขาดแขลนที่ฝังศพในช่วงปีศตวรรษที่ 18 จึงมีการขนย้ายศพจำนวนกว่าหกล้านศพมาไว้ที่นี่ โดยต้องใช้เวลาขนย้ายทั้งสิ้นถึง 12 ปีจึงแล้วเสร็จ และมันก็เลยกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เชิญชวนให้คนจากทุกมุมโลกเดินทางมาดูมันได้ด้วยสิ ซึ่งถ้าถามเราด้วยความที่มันเยอะมากบางทียังแอบคิดว่าเป็นผนังรูปหัวกะโหลกซะมากกว่า แต่เมื่อมานึกว่ามันคือศพคนจริงๆ ล้วนๆ มันก็ดูหลอนอยู่ไม่น้อย เป็นความสวยที่หลอนไปด้วย หรือหลอนไปด้วยสวยไปด้วยก็บอกไม่ถูก แต่ก็นับว่าเป็นประสบการ์ณที่หาไม่ได้จากที่อื่น ดังนั้นถ้าพอจะมีเวลาก็แวะมากันได้
09 :: Palace of Versailles
พระราชวังแวร์ซาย Palace of Versailles เอาจริงๆ ชื่อนี้ได้ยินติดหูมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่เคยจะนึกเลยว่าของจริงมันจะอลังการ โอ่อ่า เว่อร์วัง เหมือนดาวร้อยยี่สิบล้านดวงขนาดนี้ จนทำให้มันติดอันดับหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมไปอี๊ก แต่มันก็ไม่น่าาแปลกใจเลยเพราะพระราชวังแห่งนี้มีห้องถึง 700 ห้อง รูปภาพที่ทรงคุณค่ากว่า 6,123 ภาพ งานแกะสลักอีก 15,034 ชิ้น และห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 มันจึงเป็นที่ที่รวบรวมไว้ซึ่งประวัติศาสตร์และผลงานระดับโลก ภายใต้สถาปัตยกรรมสไตล์คริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 โดยใช้เวลาการสร้างถึง 30 ปี นอกจากตัวพระราชวังที่อลังการงานแวร์ซายแล้วก็ยังมีสวนที่มีพื้นที่ถึง 14,820 เอเคอร์ ทะเลสาบจำลอง สวนดอกไม้ตามฤดูกาล และลานแสดงน้ำพุ ณ จุดนี้พูดได้คำเดียวว่า โอ้ว มาย ก๊อดดดดด
ด้วยความใหญ่โตมโหระทึกขนาดนี้ถ้าให้เดินหมดเราคงต้องย้ายมาอยู่สักเดือนนึง เราเลยขอเดินเล่นดูแค่ในส่วนของพระราชวัง ซึ่งก็เรียกได้ว่าขาแทบหลุดกันละ แต่ถ้าถามว่าตอนนั้นรู้สึกถึงความเมื่อยล้าหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่ เพราะความแวววาว สีสันที่สวยงาม และงานศิลปะระดับโลกที่อยู่ตรงหน้ามันดึงดูดเราจนเหมือนหลุดเข้าไปในภาพนนั้นๆ ในทางเดินนั้นๆ ในรูปปั้นนั้นๆ ได้เลยจริงๆ ซึ่งไม่ได้โม้จริงๆ นะ เราอยากให้แกได้มาเห็นด้วยตาของแกเองแล้วแกจะได้รู้เลยว่าความอลังการมีอยู่จริง และมีอยู่ได้ขนาดนี้เลย แต่จากบรรดาผลงานและความวิบวับทั้งหมดทั้งมวล มุมนึงเลยที่เราไม่อยากให้แกพลาดก็คือมุมประวัติศาสตร์ ณ ห้องกระจก (The Hall of Mirrors) ซึ่งเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและยาว 73 เมตร ที่สร้างด้วยกระจกบานใหญ่ถึง 17 บาน เพราะมันคือสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของโลกที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงเลยนะแก ไปดูแล้วก็ยืนนึกเอาว่าบรรยากาศมันจะมาคุมั้ยหนอ หรือมันจะอลังการแค่ไหน แอบเอาตัวเราไปใส่ว่าเราจะวางตัวยังไงดี อะไรแบบนี้ จินตนาการไปเรื่อยๆ ตามเรื่องราวในประวัติศาสตร์ เพื่อเพิ่มความอิน และสีสันให้กับการเดินเล่นสถานที่ประวัติศาสตร์ แค่คิดก็สนุกแล้วเนอะ
WHERE TO STAY
และเช่นเคยเราจองที่พักทริปปารีสครั้งนี้ได้ง่ายๆ ผ่าน Booking.com เว็บไซต์และแอปที่เราใช้ในการจองห้องพักมาตั้งแต่ยังเป็นลูกเจี๊ยบหัดเดินทางจนถึงวันที่ปีกกล้าขาแข็งเช่นทุกวันนี้ แต่ก็ยังต้องพึ่งพานางอยู่เสมอ ซึ่งความดีงานคือนางมีที่พักให้เลือกหลายรูปแบบ จะแบบพักรวม หนึ่งดาว สามดาว ห้าดาว ก็มีหมด และจะมุมไหนของโลกนางก็ช่างสรรหาที่พักมาให้เราเลือกได้ในไม่กี่คลิก แล้วพอถูกใจอันไหนก็จองง่ายไม่ต้องจ่ายเงินก่อน ไปจ่ายเอาวันเข้าพักได้เลย เพราะถ้าเกิดมีอาการอยากเปลี่ยนแปลงกะทันหัน นางก็ให้ยกเลิกได้แบบฟรีๆ ในระยะเวลาที่กำหนดด้วย แต่จุดเด่นคือเว็บนางจะโชว์ราคาที่เราต้องจ่ายจริงๆ แบบรวมทั้งหมดแล้วตั้งแต่หน้าแรก ไม่ต้องมารอลุ้นว่ากดไปกดมาจะโดนบวก vat บวกอะไรอีกมั้ย ทำให้ประหยัดเวลาในการเลือกไปได้มากโข และหากใครกำลังจะเดินทางไปไหนในช่วงนี้ แค่พวกแกกดจองที่พักผ่านลิ้งก์ https://www.booking.com/s/30735bba ในราคาเกิน 2,000 บาท แกจะได้เงินคืนเข้าบัตรเครดิตหลังจากเข้าพักแล้ว 1,000 บาท (1คน/สิทธิ์) ใช้ได้ตังแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคมเท่านั้น และอย่าลืม!! ผูกบัตรเครดิตในบัญชี Booking.com เพื่อรับเครดิตเงินคืนด้วยนะ ตามๆ ไปจองได้เลย …
C.O.Q Hotel Paris คือความดีงามที่ได้จาก Booking.com ในครั้งนี้ อยากบอกว่านางพร้อมพรั่งทั้งความสะดวกสบาย ความสวยงาม ทำเลก็ยังดีงามอี๊ก จะเดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวกปลอดภัยไรกังวล แล้วความปารีสก็คือความปารีสห้องพักของเราคือสวยงามลงตัวด้วยโทนขาวที่ตัดกับเฟอร์นิเจอร์เนื้อไม้สีอ่อน และรูปวาดที่ติดอยู่บนผนังในห้องพัก ส่วนห้องอาหารก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวปารีเซียงไปเสียแล้ว และเราก็ตกหลุมรักปารีสเหมือนที่คนอื่นๆ ตกหลุมรักขึ้นมาบ้าง เพราะมันทำให้เรารู้สึกชวนฝัน มีสไตล์ หลุดกรอบ เป็นตัวของตัวเองที่สุด ณ จุดนี้ปารีสคือชวนฝันไปหมดแล้วแก
ถ้าจะมีสถานที่สักสถานที่นึงที่ชวนให้ฝันถึงและฝันหวาน เราขอแนะนำให้เป็นปารีส เพราะมันคือมหานครที่เต็มไปด้วยความสวยงาม ประวัติศาสตร์ เรื่องราว ฯลฯ ขนาดเราไปมาแล้วหลายที่ เห็นมาแล้วหลายอย่าง มันก็มีหลายที่ๆ เรารู้สึกเบาๆ ชิวๆ บ้าง ตื่นเต้นบางสลับกันไป แต่ไม่ใช่กับปารีสแห่งนี้อย่างแน่นอน เพราะปารีสทุกอย่างมันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นได้ตลอดเวลา และเราเข้าใจเลยว่าทำไมเมืองนี้ถึงเป็นที่ฝันหาของคนทั่วโลก เพราะมันคือเมืองที่รวบรวมเหล่านักฝัน เรื่องราวชวนฝัน และสิ่งที่เหมือนฝันไว้จริงๆ ถ้าแกมีโอกาสมาแกจะไม่ผิดหวังเลยเราบอกได้เท่านี้แหล่ะ เพราะรูปภาพกับเรื่องราวมันได้บอกแทนเราไปหมดทุกอย่างแล้ว และก่อนจบเราอยากบอกแกแค่ว่า Bon Voyage