Hanoi – Sapa – Halong Bay

เมื่อฝนเม็ดสุดท้ายร่วงหล่นสู่พื้นดินก็เป็นสัญญาณว่าฤดูแห่งการตอกบัตรลาเพื่อออกไปท้าลมหนาวได้เริ่มขึ้นแล้ว เราจึงมีสถานที่สุดฟินในแดนดินใกล้บ้านที่หนาวสะท้านไปถึงทรวงแบบไม่ต้องพึ่งดวงว่าจะเจอหมอกหรือไม่ เพราะอุณหภูมิที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะมารอเราแล้วแน่ๆ ที่ฮานอย ซาปา และฮาลองเบย์ งานนี้พลาดไม่ได้ที่จะไปเที่ยวเท่ๆ ใส่ชุดสุดเก๋แล้วเดินโต๋เต๋ในสามเมืองที่ขึ้นชื่อในความสวยงาม ไล่ตั้งแต่ชมความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมโบราณ ละลานตาด้วยร้านคาเฟ่สุดเก๋ ที่เมืองฮานอย แล้วค่อยนั่งรถไฟไปชมหมอกหนาที่ยอดเขาระฟ้าแห่งฟานซิปัน ก่อนออกไปหามรดกโลกทางธรรมขาติ ที่ฮาลองเบย์ และทุกความเก๋นี้จะทำให้แกได้พักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศดีงามแบบลืมวันลืมคืนและลืมไปว่าฤดูร้อนหน้าตาเป็นยังไง

อย่ารอช้ารีบออกเดินทางตามมา เพื่อไปหากลิ่นไอของสายหมอกที่สวยจนใครๆ ต่างหลงไหล …

Flights to Honoi

ช่วงปลายปีที่ความสุขเพิ่มสูงขึ้นแบบนี้ มันก็เป็นเวลาดีๆ ที่เราจะไปเที่ยวแบบชิวๆ เพราะงั้นเราจึงเลือกเที่ยวใกล้บ้านอย่างเวียดนาม ส่วนสายการบินที่เรานึกถึงเป็นอันดับแรกทุกครั้งที่จะบินในอาเซียน ก็คือสายการบินแอร์เอเชีย สายการบินราคาน่ารักใส่ใจทุกรายละเอียดที่กินขาดทุกสายการบินด้วยเที่ยวบินตรงถึงวันละสองเที่ยวบินในเวลาสุดเพอร์เฟคทั้งเช้าและเย็นในราคาเริ่มต้นเพียง 1,xxx บาทเท่านั้น และนอกจากจะพาเราบินตรงจากกรุงเทพสู่ฮานอยแล้วเค้าก็ยังมีเส้นทางบินใหม่ที่ตรงใจใครหลายๆ คน นั่นก็คือเส้นทางเชียงใหม่-ฮานอย ที่สำคัญตอนนี้เขายังมีความอิ่มหนำสำราญกับเมนูสุดอร่อยที่เหมือนกำลังนั่งอยู่ในคาเฟ่เก๋ๆ แต่เท่กว่าเพราะนี่คือคาเฟ่บนความสูงหลายพันฟุตจ้า

หลังจากเครื่องเทคอ๊อฟสักพักพี่แอร์ก็มาพร้อมกับเซ็ตอาหารอันแสนละลานตาที่มีการปรับเปลี่ยนทุกไตรมาส เราเลือกของคาวเป็นเย็นตาโฟหม้อไฟผัดแห้ง ที่นำเอาเส้นหมี่เหนียวนุ่ม กุ้งเนื้อแน่น ลูกชิ้นปลารักบี้ ลูกชิ้นปลาหมึกทรงเครื่อง เต้าหู้ปลาคุณภาพ และเห็ดหูหนูขาวเพื่อสุขภาพมาผัดกับซอสเย็นตาโฟหม้อไฟสูตรเด็ดจากเยาวราชให้เราได้อร่อยฟินแม้บินอยู่ ส่วนเครื่องดื่มเราเลือกน้ำลิ้นจี่บอสซั่ม เมนูเครื่องดื่มแนวใหม่จากแอร์เอเชียที่จะมอบความเย็นชุ่มฉ่ำ หวานซ่อนเปรี้ยวจากน้ำลิ้นจี่และน้ำเลม่อนและไข่มุกบับเบิ้ลลิ้นจี่กับไข่มุกสตอเบอรี่ แต่หนึ่งมื้อนี้ก็ยังไม่จบต้องขอเติมความหวานอีกหนึ่งขั้นกับอาฟเตอร์ยูแพนเค้กซูเฟล่ ความอร่อยใหม่สุดอินเทรนด์ที่แอร์เอเชียร่วมกับคาเฟ่ของหวานที่มีชื่อเสียงมหาศาลอย่างอาฟเตอร์ยู กลับเมนูแพนเค้กเด้งดึ๋งเนื้อนุ่มฟู ที่หอมกรุ่นจากชีสชั้นดี และหวานจากซอสครีม ซึ่งความพิเศษของเมนูนี้คือแกจะได้รับผ้าห่อลายญี่ปุ่นฟรี  แถมได้สิทธิ์แลกซื้อถุงผ้าได้ในราคา 30 บาท แค่นี้ก็เป็นอันจบปิ้งแสนฟินเฟร่อแบบเบาๆ

Day 1 : One day in Hanoi

• Tran Quoc Pagoda

หลังจากลงจากเครื่องสายลมหนาวก็เข้าปะทะกับเราแบบจังๆ เป็นสัญญาณว่าทริปลมหนาวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!! เราไม่รอช้าทีรีบปรี่เข้าเก็บกระเป๋าปะแป้งแล้วออกมาโบกๆ Grab ซึ่งสะดวก ประหยัด และปลอดภัย เพื่อไปยัง เจดีย์เฉินก๊วก เจดีย์เก่าแก่ที่สุดในฮานอยที่มีอายุเกือบ 1,500 ปี บนเกาะกลางทะเลสาบตะวันตก ซึ่งเราสามารถมองตัวสถูปได้ตั้งแต่ก่อนถึงตัวเจดีย์เสียอีก เพราะสถูปอิฐสีส้มที่บรรจุพระพุทธรูปอมิตาพุทธะ พระพุทธรูปที่คอยปกปักรักษาประตูทั้งหกบานในเจดีย์ไว้ถึง 11 ชั้น และบนยอดสถูปมีรูปแกะสลักดอกบัวขนาดใหญ่แห่งนี้ เป็นสถูปที่มีความสูงถึง 15 เมตร!!! ซึ่งทุกอย่างยังดูสดใหม่สวยสดใสเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จอยู่เลย ทำให้เรารู้สึกได้ทันทีว่าที่นี่ได้รับการดูแลอย่างจริงจัง ขยะสักชิ้นก็ไม่มีเด้อ คือดีเว่อร์

นอกจากความสวยงามของสถาปัตยกรรมโบราณที่เราเดินมองและถ่ายรูปเพลินๆ จนเกินเวลาที่กำหนดไว้แล้ว เค้ายังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่รวบรวมวัตถุโบราณ และรูปปั้นแกะสลัก อายุน้อยๆ แค่ร้อยปีนิดๆ ไปจนถึงอายุกว่าพันปีให้เราได้เดินสำรวจกันด้วย ยิ่งหากมาช่วงพระอาทิตย์ให้แสงสีส้มกับลมเย็นๆ โอบรอบกาย บอกเลยว่า ปัง!

Hoan Kiem Lake / Ngoc Son Temple

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังของเมืองฮานอยคือทะเลสาบสีเขียวที่มีชื่อว่า ฮหว่านเกี๋ยม (Hoàn Kiếm หรือ ทะเลสาบคืนดาบ) ทะเลสาบที่ตั้งอยู่กลางย่านเมืองเก่า และมีตำนานอันเป็นที่มาของชื่อ “คืนดาบ” เล่าว่า ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากสวรรค์ในการขับไล่ชาวจีนแห่งราชวงศ์หมิงที่รุกรานให้ออกไปจากเวียดนาม หลังรบสำเร็จขณะที่เดินผ่านทะเลสาบแห่งนี้ก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนเจ้ามังกร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ ที่นี่จึงมีเจดีย์ที่ตั้งเด่นกลางทะเลสาบเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่ถูกเรียกว่า ‘หอคอยเต่า’ เพื่อเป็นการระลึกถึงเรื่องราวในตำนานด้วย

และหลังจากเราเดินข้ามสะพานเทฮุกหรือสะพานแสงอาทิตย์สะพานไม้สีแดงสดเราก็จะข้ามมาเจอกับ วัดหง็อกเซินหรือวัดเนินหยก วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เพื่อเป็นเกียรติแก่เฉิน ฮัว โด๋ว ผู้นำในการต่อต้านกับราชวงศ์หยวนของมองโกในศตวรรษที่ 13 โดยได้รับรูปแบบสถาปัตยกรรมมาจากจีน เป็นวิหารชั้นเดียวที่ตรงกลางมีแท่นบูชาเทพเจ้า ศูนย์รวมความศรัทธาของชาวเวียดนาม ซึ่งหากใครอยากเห็นตัวของตะพาบยักษ์เขาก็ได้มีการสตาฟไว้ด้านในวัดแห่งนี้อีกด้วย

• Cafe’ Pho Co

ออกจากวัดแล้วก็มาเดินลัดเลาะริมฝั่งทะเลสาบเพื่อชมวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่ชอบมานั่งปิกนิค ก่อนจะแวะไปนั่งเล่นจิบกาแฟไข่สูตรเด็ดสไตล์เวียดนามที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองฮานอยที่ร้าน Cafe’ Pho Co ร้านกาแฟลึกลับที่ซับซ้อนตั้งแต่ทางเข้า ทำให้เราอยากมาลองดูสักครั้ง เราเลยทำการปักหมุด แล้วมาถามทางจากคนแถวนี้เอาต่ออีกหน่อย เมื่อมาถึงทางเข้าจะเป็นทางแคบๆ ที่เดินสวนกันแทบไม่ได้แล้วจึงจะพบบันไดเพื่อนำทางเราไปสู่ชั้นที่สองและสามต่อไป โดยชั้นบนสุดที่เราจะนั่งสั่งกาแฟกินกันจะเป็นแบบเปิดโล่ง สามารถนั่งชิวรับลมเย็นๆ พร้อมกับชมบรรยากาศของเมืองฮานอยในมุมสูงและฝรั่งงานดีที่ระดับสายตา

เมนูของร้านนี้ก็จะเป็นเมนูเครื่องดื่มทั่วๆ ไป แต่ที่เราจะมาลองกันนั้นคือซิกเนเจอร์อย่าง “กาแฟไข่” กาแฟชื่อไม่คุ้นหูหน้าตาไม่คุ้นเคยพี่แค่ฟังดูแล้วก็เหมือนจะได้กลิ่นคาวลอยออกมา แต่ขอบอกว่าผิดคาด!!! เพราะเจ้ากาแฟไข่นี้กลับหอมนุ่มละมุนลิ้น ยิ่งกินก็ยิ่งเพลินเพราะมันคือการนำนมข้นเนยและชีสไปตีกับไข่จนออกมาเป็นครีมสุดละมุนละไมที่จะนำมาเทลงบนกาแฟแทนฟองนม ใครมาฮานอยบอกได้เลยว่ากาแฟไข่ควรเป็นอีก 1 ลิสต์ที่ไม่ควรพลาด

Phùng Hưng Street Art

อากาศเย็นๆ แบบนี้ก็ต้องขอเดินต่อไม่รอแล้วนะ… เพื่อเสพงานศิลป์ที่ย่าน Phùng Hưng Street Art แหล่งเช็คอินแห่งใหม่ล่าสุดในหมู่วัยรุ่นเวียดนาม ที่เหล่าศิลปินร่วมกันดัดแปลงพื้นที่ว่างใต้รางรถไฟจากที่ไม่มีอะไรให้กลายเป็นโลเคชั่นสุดอาร์ตด้วยปลายพู่กันและสีสันที่สดสวย โดยเน้นไปที่เรื่องราวและวิถีชีวิตของชาวเวียดนามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาพของผู้คนที่กำลังขึ้นรถราง พ่อค้าแม่ค้าที่หอบของขายบ้างปั่นสามล้อถีบบ้าง จนกลายมาเป็นหนึ่งในลิตส์สถานที่ต้องเช็คอินของเวียดนามแห่งใหม่ไปแล้ว

และสำหรับสายโซเชียลเน็ตเวิร์คผู้รักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ เราต้องขอบอกว่าที่นี่มีความปั๊วะปังอลังกาลมากเว่อร์ จะใส่ขาสั้นขายาวหรือเดรสเลยถึงข้อเข่าก็เข้ากับบรรยากาศได้ง่ายๆ รับรองเลยว่ามาหนึ่งครั้งได้รูปกับแบล็คกราวเริ่ดๆ ไปเรียกยอดไลค์ยันปีหน้าแน่นอน ^^

เวลา 21.00 นาฬิกาเราพุ่งตรงมาที่ชานชาลาของสถานีรถไฟ Ga Trần Quý Cáp เพราะนี่คือเวลาที่เราจะทอดกายลงบนเตียง นอนฟังเสียงรถไฟฉึกฉัก แล่นทะลุหมอกไปซาปาเมืองแห่งนาขั้นบันไดและสายหมอก อากาศเย็นๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศในโบกี้ช่างคลาสสิกราวกับกำลังนั่งรถไฟไปฮอกวอตส์ยังไงยังงั้น แต่ต่างกันก็ตรงที่รถไฟขบวนนี้มุ่งหน้าสู่โลกธรรมดาที่สวยจนเหมือนต้องมนต์เท่านั้น เสียงหวูดรถไฟส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเราเข้าใกล้ซาปาอากาศก็ยิ่งหนาวเย็นลงเรื่อยๆ ในห้องแคบๆ สี่เตียงเราสะสมเสบียงและเบียร์เย็นๆ จากคุณป้าประจำโบกี้ที่มาเสนอขาย มันคือความหนาวเย็นที่แสนอบอุ่น เรานั่งคุยกันเนิ่นนานก่อนผล๊อยหลับไปพร้อมๆ กับผ้าห่มที่ปิดมาถึงลำคอ

Day 2 : Sa Pa

เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับเสียงคุณป้าเสนอขายโกโก้ที่ดังตามมาติดๆ เราโผล่หัวออกนอกตัวรถเล็กน้อยก่อนจะรู้ตัวว่าถึงสถานีลาวไกพร้อมๆ กับไอเย็นที่ลอยมาต้อนรับทันที ไม่รอช้าเราเรารีบเก็บข้าวของลงจากรถไฟเพื่อเตรียมตัวไปต่อรถบัสที่จะไปส่งเรายังที่พักในซาปา ซาปา (Sa Pa) เป็นเมืองทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามที่มีภูมิอากาศและภูมิทัศน์ที่หนาวเย็นสวยงามตลอดทั้งปี ซึ่งในช่วงฤดูหนาวของบางปียังมีหิมะตกด้วย แต่เดิมจึงเป็นเมืองตากอากาศของเจ้านายชั้นสูง ชาวฝรั่งเศสที่มาทำงานในเวียดนาม สถาปัตยกรรมโดยมากทั้งอาคารบ้านเรือนและผังของเมืองจึงมีรูปแบบที่เรียกว่าแบบอาณานิคมฝรั่งเศส รวมถึงเป็นเมืองที่มีการทำนาขั้นบันไดค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้ซาปาจึงกลายเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ชอบทั้งสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ เพราะสามารถหามุมถ่ายรูปสไตล์ยุโรปและสไตล์เอเชียได้หลายมุมจนกลายเป็นความแตกต่างที่ลงตัวและทรงเสน่ห์ของเมืองในหมอกแห่งนี้

• Fansipan

พอเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยเราก็ยังมีแรงเหลือๆ ไปเที่ยวต่อในทันที ซึ่งที่แรกของเมืองซาปาที่เราอยากจะไปก็คือ ฟานซิปัน (Fansipan) ยอดเขาที่สูงที่สุดในอินโดจีน โดยมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,143 เมตร ไม่ต้องตกใจว่าเราจะพาไปตะกายฟ้าไต่หน้าผาจนขาแตกใดๆ เพราะการเดินทางสู่ยอดเขานั้นก็ง่ายมาก นั่นคือการไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้าที่สถานี Sunworld Fasipan Legend สถานีกระเช้าไฟฟ้าที่เปิดได้ไม่นานนัก และถูกจัดให้เป็นกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกด้วยความยาวถึง 6,292 เมตร จนเราแอบรู้สึกหวิวๆ เพราะความสูงอยู่หน่อยๆ แต่ก็ยังน้อยกว่าความตื่นเต้นที่ได้เห็นความสวยงามของนาขั้นบันไดที่ดูเล็กลงเรื่อยเรื่อยเมื่อมองผ่านกระจกแบบ 360 องศา และหมอกบางๆ นี่ขนาดเรามาช่วงที่เค้าเก็บเกี่ยวไปแล้วยังสวยขนาดนี้มโนภาพตอนที่มีนาเต็มทุ่งคงได้คะแนนประทับใจเพิ่มกลับไปอีกเต็มสิบ

เมื่อลงจากกระเช้าเราก็จะได้เห็นภูเขาลูกโตที่มีหมอกสีขาวลอยละล่องเป็นฉากหลังอยู่ไกลๆ บวกกับแม่น้ำลำธารและน้ำตกอีกหลายสายที่มาร่วมทักทายเราตลอดเส้นทาง นอกจากวิวธรรมชาติที่สวยงามแล้วเรายังสามารถนั่งรถรางต่อไปด้านบนเพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิม พระพุทธรูปองค์ใหญ่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้า Bich Van โดยต้องสวดมนต์ขอให้ฟ้าฝนเป็นใจในการชมวิว ก่อนจะเดินต่อขึ้นไปยังจุดสูงสุดของฟานซีปันที่เรียกว่า ‘หลังคาอินโดจีน’ แล้วบุ๊ง!! แต้มบุญของเราคงต่ำไป!! แม้จะขยันพิมพ์สาธุแล้วตามด้วย 99 อยู่ทุกวัน แต่พี่หมอกที่แสนหนาต่างดาหน้ามากันเต็มจนแทบไม่เห็นวิวอะไรเลยยยย!!! แต่เอาเถอะอรรถรสของการเดินทางมันก็แบบนี้แหล่ะ ก็ได้แต่ปาดน้ำตาแล้วเดินหน้าต่อไป

• Sa Pa City

ลงจากกระเช้าก็ได้เวลาไปทดลองเดินทางแบบชาวเวียดนามของแท้กันดูบ้าง นั่นคือการขับมอเตอร์ไซค์ไต่ขึ้นเขา ไหลลงคันนา ถลาเข้าหาดอกไม้ ตรงไหนที่ดูเหมือนว่าจะสวยเราก็บิดข้อมือพาตัวเองไปยังจุดหมายปลายทางที่ไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพราะเราเชื่อว่าการเริ่มแบบไม่รู้จุดเริ่มและจบแบบไม่รู้จุดจบก็เป็นอีกหนึ่งสีสันของการเดินทางที่น๊านนานทีจะมีสถานที่ๆ สวยงาม อากาศดี ให้เราได้ปล่อยตัว ปล่อยใจ ปล่อยเวลาได้ขนาดนี้ แต่ว่าแล้วก็ขอเริ่มจากการแว้นนอกเมืองชมวิวนาขั้นบันไดที่มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ก่อนก็แล้วกัน

นอกจากวิวสวยๆ ตรงหน้าที่ชวนให้ขับมอไซต์พุ่งเข้าหาแล้ว วิถีชีวิตของคนที่นี่ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ภาพชาวบ้านวางขายของกับพื้นข้างทาง ใส่ขึดพื้นเมืองหนาๆ ออกมายืนซื้อของ พบปะ พูดคุย คือมันดีอ่ะ ไปทางไหนก็มีคนยิ้มทักทายโบกไม้โบกมือให้ คุยกันได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็รู้สึกได้ถึงมิตรภาพของชาวบ้านที่นี่จริงๆ

ชมวิวทิวทัศน์นอกเมืองเสร็จเรียบร้อย เรากก็ขอมุ่งหน้าไปต่อที่กลางใจใจกลางเมืองซาปา ณ Quang Truong Square สถานที่รวมตัวของชาวเมืองที่แสนคึกคักเพราะที่นี่มีทั้งร้านขายของฝากแบบพื้นเมือง ร้านอาหาร คาเฟ่โบสถ์เก่าแก่ พิพิธภัณฑ์ และลานกว้าง ซึ่งมันเหมาะแก่การมาเดินซื้อของฝาก นั่งเล่นชิวๆ  หาอะไรทานหรือออกกำลังกายในช่วงยามเย็นเป็นที่สุด

• Holy Rosary Church

โบสถ์เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ที่นี่ก็คือโบสถ์ Holy Rosary Church โบสถ์หินแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ายึดครองเวียดนามเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคาทอลิกในสมัยนั้น มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโรมันโกธิคเน้นการตกแต่งด้วยกระจกสีเป็นเรื่องราวของพระเยซูคริสตเจ้าตั้งแต่ประสูติในรางหญ้าไปจนถึงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนบนหน้าต่างรอบๆ ตัวโบสถ์ ภายในพื้นที่ของโบสถ์จะประกอบไปด้วยบ้านพักพระสงฆ์คอกสัตว์และสนามหญ้า จะมาเดินเล่นชมความสวยงามในตอนกลางวันหรือจะแวะมาตอนกลางคืนเพื่อดูไฟประดับก็สวยไปอีกแบบเช่นกัน

Sa Pa Lake

เดินถัดไปจากโบสถ์ไม่ไกลเราก็จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สวยงามริม ทะเลสาบซาปา (Sa Pa Lake) เพื่อเป็นการปิดท้ายวันสุดชิว ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องที่สะท้อนเงาลงบนน้ำที่ยิ่งใกล้ค่ำเท่าไหร่อุณหภูมิก็ยิ่งลดลง ยิ่งทำให้สายหมอกหนาขึ้นมากเท่านั้น จนกลายเป็นภาพสุดโรแมนติกสมมงเมืองในหมอกจนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆ และยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าทริปนี้คือทริปหนีร้อนมาลดอุณหภูมิรอบกายและเพิ่มอุณหภูมิแห่งความสุขอย่างแท้จริง

Day 3 : Back to Hanoi and enjoy again

กลับเข้ามายังฮานอยเมืองที่มีความพลุกพล่านด้วยรถบัสรอบเช้าตรู่ เราจึงใช้เวลาเดินเล่นซอกแซกเข้าตามตรอกออกตามซอยแวะร้านกาแฟน่ารักๆ ที่มีอยู่ทั่วทุกมุมหัวถนน ก่อนจะเดินวนเข้าสู่ถนนสายเก่าหรือ 36 Old Street ย่านหัตถกรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 600 ปี แหล่งขายของพื้นเมือง และของฝากที่ใหญ่ที่สุดในฮานอย โชคดีที่เรามาในช่วงที่อากาศเป็นใจขนาดนี้ เราจึงสามารถเดินเล่นแบบยาวๆ ได้แบบเหนื่อยเราไม่เหนื่อยเมื่อยเราไม่เมื่อยเราเดินไปเรื่อยๆ เราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย ช้อปของฝากกันกระจายจ้าาาา

ไม่เหนื่อยแต่หิวเพราะความชิวก็ต้องการอาหารรองท้อง เราจัดการนั่งยองบนเก้าอี้ตัวเล็กริมถนนที่มีทั้งอาหารประจำชาติอย่างเฝอหมู เนื้อ ไก่ แหนมเนือง ขนมปังเวียดนาม ฯลฯ ส่วนถ้าอยากรู้ว่าร้านไหนอร่อยตามหลักการง่อยๆ ของเรา ก็คือการเลือกตามจำนวนคนที่ยืนรอ อย่างร้านในซอยเล็กๆ ที่อยู่ด้านขวาของโบสถ์ เซนต์โจเซฟ เป้าหมายหลักอันต่อไปของเรา ที่เสิร์ฟอาหารง่ายๆ อย่างแหนมทอด แหนมย่าง และมันฝรั่งสไตล์เวียดนามพร้อมกับซอสหวานๆ ที่อร่อยจนต้องขอสั่งเพิ่ม

• โบสถ์เซนต์โยเซฟ (St. Joseph Cathedral)

อิ่มได้ที่เราก็มาต่อกันที่ โบสถ์เซนต์โยเซฟ โบสถ์ใจกลางเมืองฮานอยที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ในยุคที่ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนาม ด้วยสไตล์นีโอกอธิคโรมันโดยมีต้นแบบมาจากวิหาร นอทเทอร์ดามในกรุงปารีส จนกลายเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนี่ยนที่โดดเด่นของฮานอย เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคที่ใหญ่ที่สุดในฮานอย

Day 4 : One day trip in Halong Bay

ปิดทริปวันสุดท้ายด้วยความอลังการระดับมรดกโลกทางธรรมชาติที่ฮาลองเบย์ และเนื่องจากเรามีเวลาวันสุดท้ายกันแบบเต็มวันเราจึงทำเชิดๆ เปย์ตัวเองให้เต็มที่ด้วยการเลือก Private Tour ทัวร์ระดับพรีเมี่ยมที่ทางทัวร์จะส่งรถพร้อมคนขับและไกด์มารับเราถึงหน้าที่พักก่อนจะพาเราไปใช้เวลาคุ้มค่าแบบออลเดย์ที่ฮาลองเบย์ 3 ชั่วโมงผ่านไปจากฮานอยเราก็มาถึงอ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง มรดกโลกที่มีพื้นที่กว่า 1,500 ตารางกิโลเมตรและมีชายฝั่งยาวถึง 120 กิโลเมตร โดยพื้นที่ทั้งหมดนี้ประกอบไปด้วยเกาะหินปูนจำนวนกว่า 2,000 เกาะ แต่มีเพียงสองเกาะเท่านั้นที่มีโรงแรมตั้งอยู่ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่นๆ นั้นบางเกาะก็มีชายหาด บางเกาะก็มีถ้ำขนาดใหญ่ และบางเกาะก็เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เราจึงสามารถใช้เวลาทั้งวันหรือค้างคืนก็ได้เพื่อสำรวจความสวยงามแห่งนี้ให้ถ้วนทั่ว

ด้วยความหรูหรามาเห่าของการจองทัวร์แบบไพรเวททริปทำให้เรือไม้สีน้ำตาลขนาดกลางลำนี้มีเพียงแต่พวกเราเท่านั้น ไม่ว่าจะขยับซ้าย เยื้องกายไปถ่ายรูปทางขวา สะบัดผ้าจนแขนหลุด ก็ไม่ต้องถูกบดบังด้วยคนมากมายให้กวนใจ ยามพระอาทิตย์ตรงหัวที่ท้องร้องหิว มื้อเที่ยงแสนโรแมนติกของเราในห้องอาหารด้านในเรือก็ถูกตระเตรียมโต๊ะด้วยเมนูน่าทานถึงเก้าเมนู ให้เราได้ชิมอาหารหรูและดูวิวไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าจุกแบบสุขๆ เลยจ้า

กลิ้งตัวออกจากห้องอาหารมานั่งรับลมที่อุณหภูมิ 15 องศา บรรยากาศช่างแสนดีงามชวนฝัน เราสูดหายใจเข้าลึกๆ รับอากาศบริสุทธิ์ เรือก็แล่นมาจนถึงจุดแวะพักเที่ยวจุดแรกของมรดกโลกใจกลางสายธาราแห่งฮาลองเบย์นามว่า Dao go cave มรดกโลกที่เป็นจุดแวะพักของนักเดินทางแห่งวารี ทางเข้าจะอยู่บนหน้าผาที่ไม่สูงมากนัก เมื่อเราเข้าไปภายในถ้ำอากาศก็ค่อนข้างเย็นสบาย ไม่ได้อึดอัดเหมือนที่นึกไว้ตอนแรก สามารถเดินเล่นกันได้แบบชิวๆ บนทางเดินที่ปูไว้แบบสะดวกสบายเพื่อชมแสงสีและไฟประดับในถ้ำได้แบบไม่ต้องกลัวเหงื่อซึมมาสคาร่าเยิ้มใดๆ

ตลอดระยะเวลา 30 นาทีในถ้ำเราก็จะเจอนก เจอหมา เจอหมูป่า เครื่องบินและสิ่งอื่นๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของพวกเรา ที่เฝ้ามองหินงอกหินย้อยรูปทรงประหลาดที่เกิดมาจากการกัดเซาะของกระแสลมและการกัดกร่อนของกระแสน้ำจนเกิดเป็นศิลปะที่มีชิ้นเดียวในโลก ก่อนออกไปยังจุดชมวิวเพื่อรอเรือมารับแบบสวยๆ

อย่างที่บอกไปว่าที่นี่ยังมีจุดน่าสนใจอีกเยอะ รวมถึงกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมายทั้งพายเรือคายัค ล่องเรือไม้ไผ่ลอดถ้ำ หรือขึ้นไปชมวิวสวยๆ บนยอดเขา แต่ด้วยเรามาวันเดย์ทริปบวกกับฝนตกๆ หยุดๆ ทำให้มีเวลาน้อยก่อนกลับไปสนามบิน แต่การนั่งดื่มชิวๆ ชมวิวบนดาดฟ้าของเรือ เพื่อซึมซับบรรยากาศแห่งสายน้ำก่อนกลับเข้าฝั่งก็เป็นโมเมนต์ที่คุ้มค่าสุดๆ

เวลา 4 วัน 3 คืนที่แสนระรื่นสุดชื่นใจ การได้ออกไปรับลมหนาวแรกของปีที่ดีจนอยากอยู่ต่อกับสามเมืองเหนือแห่งเวียดนาม ทั้งฮานอย ซาปา ฮาลองเบย์ คืออีกหนึ่งสถานที่ในอาเซียนที่มีเสน่ห์ระดับโลก ทั้งคาเฟ่สุดน่ารัก สถาปัตยกรรมย่านเมืองเก่า นาขั้นบันได สายน้ำระดับโลก และอาหารที่อร่อยถูกปาก แถมไปง่ายมาง่ายด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ค่าใช้จ่ายจึงเหมาะสมกับคนกินหรูอยู่สบายรายได้ปานกลางเดินทางสี่คนสิริรวมแล้วตกคนละไม่ถึง 10,000 จ้า เรียกว่าเที่ยวแบบยุโรปแต่จ่ายราคาอาเซียน แล้วใครล่ะจะไม่อยากปักหมุดแล้วไปหยุดรับลมหนาว

ลมหนาวเดินทางมาถึงแล้ว แล้วแกล่ะเมื่อไหร่จะเริ่มเดินทางสักที!!!