One day in Sydney with GalaxyNote9

ไม่รู้ทำไมเวลาที่เห็นภาพท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มๆ ไร้เมฆ เรามักจะนึกถึงประเทศออสเตรเลียทุกครั้งไป อาจเพราะสีน้ำเงินเป็นสีหลักบนผืนธงชาติของออสเตรเลีย หรืออาจจะเป็นเพราะภาพของประเทศออสเตรเลียในความทรงจำของเรามันเต็มไปด้วยสีครามของท้องฟ้าและบรรยากาศสุดชิวที่ชวนให้รู้สึกสดชื่นเหมือนยืนบนไหล่เขา หนึ่งวันในซิดนีย์รอบนี้เราขอพาทุกคนไปสัมผัสความมีชีวิตชีวาตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมาชมวิวสะพาน Harbour Bridge ที่ทอดยาวเคียงข้างกับ Opera House ใช้ชีวิตชิวๆ ช้าๆ ตามสวนสาธารณะสไตล์ชาวออสซี่ เข้ามิวเซียม เดินช้อปปิ้ง แล้วปิดท้ายวันด้วยดินเนอร์วิวหลักล้าน ที่รับรองได้ว่าเวลาสั้นๆ หนึ่งวันในซิดนีย์จะต้องเต็มไปด้วยความสดใส คุ้มค่า และฉ่ำใจ จนทำให้พวกแกอยากลองออกเดินทางไปบ้างเลยล่ะ

ด้วยความตั้งใจที่จะเดินเล่นแบบชิวๆ รับลมชมท้องฟ้าแบบสบายๆ ทางเราเลยต้องขอปลดเปลื้องภาระที่หนังอึ้งออกให้หมด ทริปนี้ของเราจึงขอพกไปแค่กระเป๋าเงิน พาสปอร์ต Galaxy Watch และ Samsung Galaxy Note 9 หนึ่งเครื่องเป็นอันพร้อมออกเดินทางไปยังจุดแรกที่ Mrs.Macquaries point หนึ่งในสถาบันศึกษาศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1816 บนปลายแหลมของเกาะ ภายในสวน Royal botanic garden สถานที่ปิกนิกสุดฮิตของชาวออสซี่ เพราะนอกจากจะมีลมเบาๆ ที่สดชื่นพัดผ่านตลอดแล้ว ที่นี่ยังเป็นมุมเดียวที่เราจะได้เห็นภาพของสะพาน Harbour Bridge ทอดยาวเคียงข้างกับ Opera House หนึ่งในสัญลักษณ์ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากมาชมกันมากเป็นอันดับต้นๆ ของออสเตรเลีย โดยมุมที่ดีที่สุดสำหรับการชมวิวของที่นี่ก็คือบริเวณเก้าอี้หินโบราณ สถานที่ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าภริยาของผู้ว่าการรัฐ ฯพณฯ Macquarie มักจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในวันหยุดเพื่อนั่งพักที่แท่นนี้และชมความงามของอ่าว

เป็นเวลาเช้าที่สายลมกำลังพัดเอื่อยเฉี่อย คลื่นในอ่าวตั้งยอดเพียงอ่อนๆ ซัดกระทบเก้าอี้หินโบราณเพียงเบาๆ เราใช้เวลาที่นี่พอสมควร ในการพิจารณาสถาปัตยกรรมรูปทรงคล้ายหอยเซลล์ ที่มีทั้งโรงละคร ร้านอาหาร และศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ดูโฉบเฉี่ยวล้ำยุคล้ำสมัยตรงหน้าและสะพานที่สูงถึง 134 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ส่วนประกอบอันลงตัวที่มาเพิ่มเสน่ห์ให้กับอ่าวแห่งนี้ เราเดินสำรวจรอบๆ ก่อนที่จะเห็นตรงกับทุกคนว่ามุมนี้เป็นวิวที่ดีที่สุดในการชมภาพของสะพาน Harbour Bridge และ Opera House จริงๆ เราชมวิวและหามุมถ่ายรูปจนพอใจเพื่อเก็บเกี่ยวความสวยงามตรงหน้าทั้งในความทรงจำและภาพถ่าย

หลังจากชมหัวใจสำคัญของซิดนีย์แล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจรอบๆ เมืองที่สถานีรถไฟและท่าเรือ Cricular Quay ท่าเรือสำคัญที่อยู่ในย่านเศรษฐกิจของซิดนีย์ตั้งอยู่ระหว่าง Bennelong Point และ The Rocks ย่านเมืองเก่าที่เป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียเพราะเป็นย่านชุมชนแห่งแรกที่ชาวยุโรปมาตั้งถิ่นฐาน ที่มีทั้งสถานีรถไฟ ท่าเรือข้ามฟาก และท่าเรือออกนอกเมือง แถมยังเป็นจุดที่สามารถเดินเท้าไปยังสะพาน Harbour Bridge และ Opera House ได้

ช่วงเช้าของบริเวณรอบๆ ท่าเรือนี้จึงค่อนข้างจะมีความคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามรอยประวัติศาสตร์รวมถึงเป็นแหล่งที่มีคาเฟ่และร้านอาหารเลียบอ่าวอยู่หลายร้าน ระหว่างทางเราจึงได้เห็นการแสดงโชว์ต่างๆ ริมถนน ทั้งร้องเพลง เล่นดนตรี หรือการแสดงศิลปะต่างๆ ซึ่งทำให้เราและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ค่อนข้างจะตื่นเต้นพอสมควร เพราะแต่ละคนก็มีวิธีแสดงออกและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน

เดินเล่นชมเมืองที่แสนจะคึกคักกันอยู่พักใหญ่เราก็มาเจอกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ Royal Botanic Garden ที่อยู่ไม่ไกลจาก Opera House ที่มีความกว้างใหญ่มาก และมีความเก่าแก่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1816 จึงถือโอกาสเดินเข้าไปเพื่อนั่งพักผ่อนแบบชิลล์ๆ ส่วนตัวเราค่อนข้างประทับใจในการให้ความสำคัญกับสวนสาธารณะของที่นี่ มันมีเยอะแทบจะทุกแยกไฟแดง และคนก็เข้ามาใช้บริการกันทุกช่วงเวลา ตอนเช้าเราก็จะได้เห็นคนออกมาวิ่งออกกำลังกาย พาสุนัขมาเดินเล่น ช่วงกลางวันก็ออกมานั่งรับประทานอาหารแบบชิวๆ และตอนเย็นก็มานั่งรับลมผ่อนคลายกันหลังเลิกงาน เป็นพื้นที่ส่วนรวมที่ดูน่าสบายแบบจริงจัง และยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้สีเหลืองพร้อมใจกันทิ้งลำต้นร่วงลงสู่พื้นก็เป็นภาพที่สวยงามจริงๆ

ถ้ามาอีกฝั่งก่อนถึงสะพาน Harbour Bridge จะมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งซิดนีย์ Museum of contemporary art Australia ที่ตั้งอยู่บนถนนจอร์จ โดยภายในจะมีการจัดนิทรรศการแสดงงานศิลปร่วมสมัยที่น่าสนใจทั้งผลงานของศิลปินชาวออสเตรเลียเอง และศิลปินจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งผลงานที่จัดแสดงนั้นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามช่วงเวลา เพราะฉะนั้นใครที่จะมาก็อาจจะเจอกับผลงานศิลปะที่แตกต่างไปจากเราเจอ … ที่สำคัญคือเข้าชมฟรีนาจาาาา

ตอนที่เราไปก็มีคนเข้าชมไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้น้อยจนไม่มีใคร และเราจะสังเกตเห็นได้ว่าเมืองใหญ่ๆ ในหลายๆ ประเทศมักจะมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะอยู่คู่กับเมืองด้วยเสมอ เพราะศิลปะนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศที่เป็นพื้นที่ให้ประชาชนได้ศึกษาและแสดงออกถึงความคิดเห็นของตัวเอง หรือความเป็นไปของสังคมผ่านผลงานศิลปะด้วย

จาก Cricular Quay เราก็นั่งเรือข้ามฟากไปที่ท่าเรือ Jeffrey St. เพื่อชมวิว Opera House กันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจากมุมนี้เราจะเห็นวิวด้านหน้าของ Opera House ได้อย่างชัดเจนจน ตอนนี้เราแทบจะเห็น Opera House ครบทุกมุมแบบ 360 องศากันแล้ว ขาดก็แต่ใต้น้ำกับบนอากาศเท่านั้นแต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันสวยทุกองศาทุกมุมมองจะถ่ายรูปออกมาตอนไหนแสงไหนก็มีความโดดเด่นสมกับที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซิดนีย์จริงๆ

ซึ่งฝั่งตรงข้ามนี้ก็จะเป็นฝั่งที่มีบ้านพักตากอากาศอยู่เยอะไม่เหมือนกับฝั่งที่อยู่ฝั่งเดียวกับ Opera House ที่โดยมากจะเป็นตึกสูงสำหรับธุรกิจห้างร้านและโรงแรมมากกว่าบ้านเรือนผู้คน เราจึงสามารถเดินเล่นชิลล์ชิลล์รอบอ่าวและมองวิวกว้างกว้างของฝั่งนี้ได้ถนัดตามากพอสมควร

หลังจากชื่นชมกับวิว Opera House จนหนำใจและครบถ้วนแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะนั่งรถไฟไปต่อกันที่ St.Jame สถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่กลางแหล่งธุรกิจของซิดนีย์ โดยเราสามารถนั่งรถไฟเพื่อไปยังสนามบินระหว่างประเทศและสนามบินในประเทศได้โดยตรง แต่เราจะยังไม่กลับนะจ๊ะเราแค่จะแวะไปที่ Hyde Pake อีกหนึ่งสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ร่มรื่นและสวยงามอีกแห่งของเมืองซิดนีย์ ที่นี่มีขนาดใหญ่ถึง 40 เอเคอร์ ถือเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรเลีย และเป็นสวนสาธารณะที่ชาวออสซี่นิยมมาออกกำลังกาย ทานข้าว อ่านหนังสือ เดินเล่น เลี้ยงลูก หรือนัดพบป่ะเพื่อนและแฟน

ใจกลางของสวนสาธารณะก็ยังมีโบสถ์เก่าแก่ และเป็นจุดเด่นของย่านนี้คือ โบสถ์ St.James ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ของชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในซิดนีย์ ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1824 โดยนำเอารูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบจอร์เจียมาเป็นแบบ โบสถ์แห่งนี้จึงค่อนข้างมีรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นในเมืองนี้และยังเป็นตึกที่เก่าแก่ที่สุดในซิดนีย์อีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้เราหลงเสน่ห์ของสวนสาธารณะแห่งนี้เข้าอย่างเต็มเปา

จากสวนสาธารณ Hyde Park เมื่อข้ามถนนเพียงไม่กี่ก้าวก็จะเป็นมาร์เก็ตสตรีท หนึ่งในแหล่ง Shopping กลางเมืองที่ให้ตื่นตาตื่นใจกับภาพตึกสูงสองข้างทางที่มีถนนสายใหญ่กั้นกลางสุดสายตา ที่นี่มีคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าอื่นๆ เรียงรายอยู่บนถนนอย่างมากมาย และยังเป็นถนนที่สามารถเดินไปถึงห้าง Queen Victoria building ห้างที่สร้างในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบฟื้นฟูโรมาเนสก์ แม้จะมีห้างร้านและสินค้ามากมายในบริเวณนี้แต่เราก็ไม่ได้เสียเงินไปกับการช้อปปิ้งแม้แต่แดงเดียวเพราะเรามัวแต่เพลิดเพลินกับความสวยงามของสถาปัตยกรรมภายนอกและภายในของอาคาร ที่ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุคโบราณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ซึ่งต่างจากตึกอื่นๆ ในสมัยปัจจุบันแบบสิ้นเชิง

เดินเล่นเพลินๆ จนเวลาผ่านไปเกินครึ่งวันเราก็ออกเดินทางไปยังชายฝั่งทางเหนือของซิดนีย์ที่ย่าน Manly ซึ่งในระหว่างการเดินทางไปหาดเราก็เจอสวนสาธารณะอีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งก็คือ Headland Park อีกหนึ่งจุดแวะพักที่สวยงามริมอ่าวของซิดนีย์ที่ตลอดทางเดินเราจะถูกรายล้อมไปด้วยธรรมชาติมากมายและวิวของอ่าวที่ชวนสะกดใจ และวิวเมืองซิดนีย์จากมุมสูง

ในที่สุดการเดินชมสวนของเราก็พาเรามายังจุดหมายหลักของช่วงบ่าย นั่นก็คือ Manly Beach หนึ่งในชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของออสเตรเลียสถานที่แรกที่ใช้จัดงานแข่งขัน Surf ในปี 1964 ที่นี่จึงเป็นชายหาดที่น่าสนใจสำหรับการมาทำกิจกรรมต่างๆ ทางน้ำ โดยเฉพาะสายแอดเวนเจอร์ที่รักในการเผชิญหน้ากับคลื่นลูกยักษ์สุดๆ หรือสายสบายที่แม้แต่เพียงการมาเดินเล่นให้ละอองของไอทะเลสัมผัสกับตัวก็น่าประทับใจมากแล้ว เพราะที่นี่มีชายหาดทอดยาวถึง 2 กิโลเมตรและเป็นสถานที่ตากอากาศยอดฮิตของชาวออสซี่และนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในกีฬา Surf board เป็นอย่างยิ่ง

แต่สำหรับเราที่อยากมาเพียงแค่ชิวๆ ก็ขอมาเดินเล่นชมคนที่มานอนอาบแดด พาหมามาเดินเล่น คนเล่นโต้คลื่น และคู่รักที่พากันมาคล้องกุญแจแบบที่เกาหลี รวมถึงเก็บภาพชายฝั่งก็น่าประทับใจสุดๆ แล้ว ละบรรยากาศที่แสนโรแมนติกก็ทำให้เราคิดว่าถ้าได้มาที่นี่กับใครสักคนก็คงยิ่งดีเข้าไปใหญ่

สายลมพัดผ่านไปดวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลง เราพาตัวเองกลับมาเดินเล่นชมพระอาทิตย์ตกแถวท่าเรือ Darling Harbor ท่าเรือที่อยู่ติดกับใจกลางเมืองซิดนีย์ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจขนาดใหญ่ เป็นอีกย่านที่มีห้าง ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายสินค้าต่างๆ อยู่มากมาย แต่ต้องขอบอกไว้นิดหนึ่งว่าห้างที่นี่จะปิดตั้งแต่ 5-6 โมงเย็น ยกเว้นเพียงวันพฤหัสพี่เปิดถึงสามทุ่ม เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะไปเดินเล่นในห้างของที่นี่ก็จะต้องกำหนดเวลาไว้ดีดี มิเช่นนั้นก็คงจะมาเจอแต่สิ่งความเงียบเหงาและประตูของร้านค้าเท่านั้น แต่ถ้ามาไม่ทันจริงๆ แถวนี้ก็ยังมีร้านอาหารที่เปิดอยู่เช่นกันซึ่งก็น้อย และเงียบเหงามากๆ ไม่เหมือนกับบ้านเราที่ 5- 6 โมงเย็นเป็นเพียงเวลาเริ่มต้นของการเริ่ม Shopping และหาอะไรทานนะจ๊ะ

หลังจากชมพระอาทิตย์สีแสดค่อยๆ ลับหายไปที่ริมอ่าว พวกเราก็มาทานดินเนอร์กันที่ร้าน The Meat & Wine Co, ร้านอาหารที่มีสโลแกนว่า Home away from home ซึ่งเปิดให้บริการในปี 2000 ตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ Darling Harbor และเป็นมื้อที่ถือว่าโรแมนติกที่สุดในซิดนีย์ของเราเพราะอาหารที่ชวนรับประทานนั้นถูกเสิร์ฟในร้านแสนอบอุ่น ที่ตกแต่งด้วยไม้สีอ่อนและไฟสีส้ม โดยมีฉากหลังเป็นภาพความเวิ้งว้างของอ่าว ยิ่งช่วยเพิ่มรสชาติให้กับเนื้อออสเตรเลียชั้นดีจานหลักที่เป็นเมนูแนะนำของทางร้านอยู่ไม่น้อย ยิ่งทำให้อาหารนี้มีทั้งอาหารกายและอาหารตาที่น่าประทับใจเราจึงขอปิดท้ายมื้อนี้ด้วยค็อกเทลเย็นๆ สีเหลืองสักหนึ่งแก้วก่อนกลับห้องไปดูรูปและโพสต์ลงโซเชียล

อิ่มหนำสำราญอาหารกายและอาหารตาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะกลับไปพักผ่อนในโรงแรมห้าดาวที่สามารถมองเห็นท่าเรือ Cricular quay และ Harbour bridge ที่สำคัญสามารถเดินไปยัง Opera House ที่อยู่ห่างไปเพียง 100 เมตร เท่านั้นด้วย ซึ่งความดีงามนี้เองทำให้การพักผ่อนของเราเสมือนหนึ่งเราได้เดินทางไปพร้อมพร้อมกับเรือที่กำลังวิ่งผ่านอ่าว Harbour และเหมือนได้พักผ่อนชาร์ตพลังอย่างเต็มที่ไปพร้อมๆ กับก้อนสายไหมที่ลอยอยู่บนฟ้า เพราะฉะนั้นถ้าเรามีโอกาสได้มาอีกในครั้งหน้าเราก็จะตัดสินใจพักที่เดิมที่นี่ในโรงแรม Pullman Quay Grand Sydney Harbour อย่างแน่นอน

หนึ่งวันแสนสบายแต่ยังได้ภาพถ่ายระดับมืออาชีพนี้เราก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ Galaxy Note 9 มือถือสุดอัจฉริยะรุ่นใหม่ของซัมซุงที่โดดเด่นทั้งเรื่องของแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันเพราะมีความจุถึง 4000mAh เรียกได้ว่าวันเบาๆ เราสามารถโยนพาวเวอร์แบงค์ทิ้งไปได้เลย หรือวันหนักๆ ก็พกแค่แบตสำรองตัวเล็กๆ สบายกระเป๋าเป็นอันใช้ได้ ส่วนความจุเพิ่มได้มากที่สุดถึง 1TB จะกี่ร้อยพันความทรงจำก็เก็บได้ไม่อั้นไม่ต้องทำใจลบรูปดีๆ ออกสักรูปเดียว ส่วนความเร็วก็แรงทันใจด้วยชิปประมวลผลที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน และทีเด็ดเรื่องของภาพถ่ายนั้นก็ไว้ใจความเทพของ Galaxy Note 9 ได้เลย เพราะความฉลาดของทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ก็ทำให้ Galaxy Note 9 สามารถถ่ายรูปได้แบบไม่ต้องกลัวพลาดกับกล้องอัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์ฉาก ทิวทัศน์ และวัตถุต่างๆ เพื่อปรับรูปแบบให้เหมาะสมได้ถึง 20 รูปแบบ เราจึงได้ภาพที่สวยสมบูรณ์แบบมีชีวิตชีวาและคมชัดได้ง่ายๆ ในคลิกเดียว แถมยังมี option การจับจุดบกพร่อง ไม่ว่าจะภาพเบลอ คนกระพริบตา หรือย้อนแสง โทรศัพท์ก็จะมีการแจ้งเตือนให้ถ่ายภาพใหม่อีกครั้งจะได้ไม่พลาดทุกช็อตสำคัญ

และส่วนสำคัญที่ทำให้โน้ตเป็นโน๊ตก็คือปากกาอัจฉริยะหรือเจ้า S Pen ที่มาพร้อมกับวิวัฒนาการขั้นสุดในตระกูลโน้ต กับความสามารถที่หลากหลายและการควบคุมที่เป็นเสมือนรีโมทคอนโทรลผ่านการเชื่อมต่อกับ Bluetooth ทำให้ S Pen สามารถสั่งการ ต่างๆ ได้ดังใจ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปเซลฟี่แบบเดียวหรือแบบหมู่ก็สามารถใช้ปากกาแทนรีโมทคอนโทรลในการลั่นชัตเตอร์ สำหรับการพรีเซนต์งานต่างๆ เจ้า S Pen ก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการจดบันทึกได้เหมือนการใช้ปากกาและดินสอจริงๆ แถมยังสามารถใช้เป็นรีโมทคอนโทรลในการเปลี่ยนสไลด์พรีเซนเทชั่นได้อย่างราบรื่น ส่วนใครที่ต้องการบันทึกเสียงระหว่างทัวร์แบบรวดเร็วก็ไม่ต้องห่วงว่าจะหาแอพบันทึกเสียงจนเสียเวลา และพลาดช็อตสำคัญไปเพราะ S Pen สามารถใช้สั่งบันทึกเสียงสนทนาได้อย่างรวดเร็วทันใจในคลิกเดียว ส่วนสายมีเดียก็ยังสามารถใช้ S Pen มาเติมเต็มความสนุกสนานให้ทุกความบันเทิงเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยความสามารถในการกดเล่นหรือหยุดวีดีโอไปจนถึงเปลี่ยนวิดีโอไปรายการถัดไปหรือก่อนหน้าก็ได้ด้วย

และอุปกรณ์ใหม่ล่าสุดอย่าง กาเล็กซี่วอทซ์ ที่พร้อมตอบสนองทุกหลายสไตล์อย่างแท้จริงกับเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจากซัมซุง ด้วยการผสมผสานคุณสมบัติต่างๆ ของนาฬิกาอัจฉริยะ ทั้งความสวยงามความคงทนระดับที่ใช้ทางการทหาร การแสดงเวลา และฟังก์ชันต่างๆ ที่พัฒนามาเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดจาก Samsung Galaxy และมาพร้อมกับดีไซส์คลาสิกสุดพรีเมี่ยม สะท้อนตัวตนของผู้ใช้ที่มีมาด้วยกันสองขนาดไม่ว่าจะเป็นขนาด 46 มม.ในสีเงิน ขนาด 42 มม. สีดำและสีชมพูโรสโกลด์ อีกทั้งยังสามารถเลือกปรับแต่งหน้าปัดนาฬิกาและสายได้ตามความต้องการ จะสไตล์ไหนก็ไม่มีพลาด ซึ่งส่วนผสมทั้งหลายที่ลงตัวจนออกมาเป็นกาเล็กซี่วอทซ์ตัวนี้บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ไกด์ไลน์สั้นๆ กับหนึ่งวันในซิดนีย์ที่ชวนให้นึกถึงภาพของสีน้ำเงินจากท้องฟ้าและน้ำทะเลในดินแดนโคอาล่าแห่งนี้ ไม่ว่าจะคิดถึงทีไรก็เพิ่มความสดชื่นขึ้นในใจได้ทุกที สุดท้ายอยากบอกแกว่านี่เป็นเพียงวันเดย์แบบสบายๆ ในซิดนีย์ เอาจริงประเทศนี้ยังมีความสวยงามและความน่าตื่นเต้นอีกมากมายที่รอให้ทุกคนได้ไปสัมผัส หากใครมีเวลาออสเตรเลียจะไม่ทำให้แกผิดหวังแน่ๆ แล้วอย่าลืมหาเวลาออกไปเก็บความทรงจำใหม่ๆ เอามาเกี่ยวร้อยเรียงกับความทรงจำอื่นๆ ผ่านภาพถ่ายที่จะมาเพิ่มสีสันอันสดใสในชีวิตด้วยล่ะ ^^