Travel Like a Local ” L a m p a n g “

ถ้าลำปางในสายตาพวกแกยังมีแต่คำว่าเมืองรถม้า วันนี้เราขอพาทุกคนไปเปิดหู เปิดตา และมองเมืองรถม้าแห่งนี้ในอีกหลายๆ แง่มุม ที่จะทำให้แกจะรู้ว่าเมืองรองทางเหนืออย่างลำปางนั้นเต็มไปด้วยที่เที่ยวหลากสไตล์ … เที่ยวเท่าไหร่ก็ไม่หมด จนแกต้องเอามือทาบอกและอุทานว่า “ชั้นมองข้ามเมืองต้องห้ามพลาดอย่างลำปางไปได้ไงเนี่ย!!!” เลยล่ะ เอาล่ะเราจะพาพวกแกผ่าฝนแล้วไปผจญกับความสนุกเต็ม 3 วัน 2 คืน จนแกต้องรีบแชร์ รีบหาวันลาแบบด่วนๆ

Day 1 :

เช้าตรู่อันแสนสดใสหลังจากนำตัวเองลงจากเครื่องบินก็ได้เวลาหาอะไรกินยามเช้า เราเลือก ร้านข้าวมันไก่ห้าแยก ร้านข้าวมันไก่ชื่อดังของเมืองลำปาง และเป็นร้านที่เราเดินดุ่มๆ รอบๆ แยกแล้วพบว่ามีคนเดินเข้าเดินออกแทบตลอดเวลา แถมกลิ่นน้ำซุปหอมๆ กับไก่ที่ดูนุ่มนิ่มนั้นช่างยั่วยวนจนเราไม่อาจอดใจไหว สั่งกันมาแบบจัดเต็มก่อนเดินพุงปลิ้นไปยังสถานที่ถัดไป

พระธาตุลำปางหลวง พระธาตุประจำปีของปีฉลูที่มีเรื่องราวสุดว๊าวระดับ Unseen Thailand กับ “เงาพระธาตุกลับหัว” ในวิหารลายคำที่เข้าได้เฉพาะสุภาพบุรุษเท่านั้น แต่สุภาพสตรีก็ไม่ต้องเสียดายไป เพราะเค้าได้มีการทำเงาพระธาตุกลับหัวให้ดูในอีกวิหารหนึ่งด้วย แต่สำหรับทุกคนที่มาลำปางคงพลาดไม่ได้ที่จะแวะมาสักการะองค์พระธาตุที่ตามตำนานเล่าว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 องค์พระธาตุมีฐานเป็นบัวลูกแก้ว ส่วนองค์เป็นทรงกลมแบบล้านนา ภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่างๆ ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระเกศาและพระอัฐิธาตุจากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง

เอาจริงเรามาที่นี่รอบที่ 3 ได้แล้ว แต่ทุกครั้งที่มาลำปางเราก็อดไม่ได้ที่จะต้องแวะเวียนมาทุกครั้งไป เพราะนอกจากความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระธาตุแล้ว ความสวยงามที่เหลือล้ำของพระธาตุสีดำทองที่ตั้งตระหง่านตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าเมืองลำปางนั้นทำให้เราตื่นเต้นและสงบได้ทุกครั้งไป รวมถึงเงาพระธาตุที่กลับหัวภายในวิหารสีขาวหลังเล็กก็ทำให้เราประหลาดใจในความนึกคิดของคนโบราณได้เสมอ แม้จะเป็นวัดแต่เมื่อมาที่นี่ขอบอกว่าอย่าพลาดใส่ชุดเด็ดๆ แต่ถูกกาละเทศะมายืนโพสท่าสวยๆ ที่หน้าซุ้มประตูวัดด้วยล่ะ เพราะความวิจิตรบรรจงของประตูและบันไดนาคหากได้ยืนคู่รับรองว่าคูลเต็มสิบ สิบ สิบไปเลยจ้า

ไหว้พระขอพรจนหน้าตาแจ่มใสจิตใจเบิกบานเราก็พร้อมไปต่อกันที่ หมู่บ้านท่องเที่ยวเซรามิก เพื่อชมการสาธิตการปั้นเซรามิก การสปาเท้าด้วยเซรามิก และการนวดจากลูกประคบที่ผสมเซรามิก โดยตั้งแต่เริ่มเข้ามาในหมู่บ้านเราก็จะเห็นกำแพงปูนที่ถูกตกแต่งด้วยเศษเซรามิกหลากสี สร้างสรรเป็นรูปร่างต่างๆ อย่างสดใส และระหว่างทางในหมู่บ้านเราก็สามารถเข้าไปขอชมการผลิตเซรามิกตามบ้านต่างๆ ได้ ตั้งแต่การผสมดิน การขึ้นรูป การลงสี การตกแต่งต่างๆ จนออกมาเป็นแจกัน ถ้วยโถโอชามแบบที่เราเห็นๆ กันได้เลย แต่ถ้าใครอยากทำกิจกรรมสปาเท้า นวดลูกประคบก็สามารถติดต่อได้ที่หมู่บ้านล่วงหน้าอย่างน้อยสองชั่วโมง

 

โดยหลังจากที่เราได้ลองทำสปาและนวดลูกประคบแล้วบอกได้เลยว่าสายนวดเป็นอันต้องเคลิ้มทุกราย เพราะเค้าจะเอากะลังมังใส่ลูกเซรามิกที่ปั้นกลมๆ ขนาดประมาณลูกชิ้นปลามาใส่ไว้พร้อมน้ำอุ่นๆ ที่ต้มมาจากสมุนไพรต่างๆ ที่ส่งกลิ่นหอม เพียงเราเอาเท้าจุ่มลงไปในอ่างแล้วกดๆ วนๆ เท้าด้วยตัวเองก็จะพบกับความฟินที่ไม่เคยสัมผัส คือมันเป็นการสปาพร้อมๆ กับการนวดไปด้วยที่ทั้งขนาดและจังหวะของลูกเซรามิกมันพอดีม๊ากกกก มากจนต้องขอซื้อกลับมาใช้ที่บ้านเลยจ้า สปาเท้าเสร็จก็ขอไปนวดตัวด้วยลูกประคบต่อ ซึ่งตอนแรกเราก็แบบก็ลูกประคบก็คงจะร้อนๆ ธรรมดาๆ ดีงามแบบทั่วไปนั่นล่ะ แต่พอลองคือที่นี่มันต่างทั้งน้ำหนักและความร้อนเพราะเค้าใส่เม็ดเซรามิกลงไปอีกแล้วจ้า แถมกลิ่มหอมๆ ของสมุนไพรกับการบูนมันชวนหอมชื่นใจจนเราเผลอหลับแบบไม่รู้ตัว พอตื่นขึ้นมาก็ได้แต่พูดว่าลูกประคบราคาเท่าไหร่พร้อมจัดมาเบาๆ สี่ลูกไว้แบ่งพ่อแม่พี่น้องแบบครบๆ ให้เอาไปใส่เวฟและฟินส์ได้ง่ายๆ ที่บ้านในราคาเพียง 50 บาทต่อลูกเท่านั้น

หลับไปหนึ่งตื่นพร้อมความสบายร่างกายก็อยากอาหารขึ้นมาในทันที แล้วจะรอช้าได้ยังไงเรารีบไปหาอะไรกินต่อที่ ร้านอาหารครัวมุกดา ร้านอาหารขนาดใหญ่ มีหลายโต๊ะไว้รอรับลูกค้าทั้งกรุ๊ปเล็ก กรุ๊ปใหญ่ บรรยากาศสบายๆ กว้างขวาง อาหารรสแซ่บถึงใจ ทั้งเมนูอาหารอีสาน อาหารเวียดนาม อาหารไทยและขนมจีน รวมถึงขนมหวานและเครื่อมดื่มหลากชนิด เรียกว่าจัดเต็มทุกแบบ พร้อมรับทุกสไตล์ เมนูเด็ดที่เราไม่อยากให้พลาดคือ ไก่ย่าง ตำปูปลาร้า ขนมจีนน้ำยาป่า และน้ำพริก รวมถึงรวมมิตรรสกลมกล่อม

มีแรงแข็งขันก็ตะลอนเที่ยวรอบเมืองกันต่อแต่งานนี้ขอแบบไม่ธรรมดาด้วยการเลือกรถรางเป็นยานพาหนะ พร้อมไกด์ที่จะมาเล่าเรื่องราวของสถานที่ต่างๆ ในลำปางทั้งจุดที่เราแค่ผ่านและได้ลงแวะ เช่น วัดประตูป่อง ที่เป็นจุดขึ้นรถและจุดแวะชมที่แรกของเราโดยวิหารที่นี่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2409 ภายในอุโบสถมีรูปวาดสมัยใหม่ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตทั้ง 12 เดือนของชาวลำปาง และด้านนอกเราจะเห็นแนวกำแพงอิฐสีส้ม สูงประมาณบ่าซึ่งแต่เดิมกำแพงเหล่านี้คือกำแพงเมืองโดยส่วนที่ถูกเรียกว่าประตูป่องนั้นเกิดจาก แนวกำแพงเดิมที่เราเห็นเคยมีประตูปล่องช่องทางสำหรับเข้าออก แต่ปัจจุบันได้ปิดใช้ไปแล้วแต่ก็ยังคงเรียกชื่อวัดนี้ว่าประตูป่องอยู่ สถานที่ถัดมาคือวัดปงสนุกเหนือธรรมศาสตร์ถาม เจ้าของรางวัล Award of merit จาก UNESCO ในปี 2008 โดยวัดปงสนุกคือเป็นวัดที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองลำปางมาอย่างช้านานตั้งแต่ปี พ.ศ. 1223 โดยจุดที่โดดเด่นที่สุดของที่นี่คือใต้ศาลาจะมี พระพุทธรูปองค์เล็กๆ บรรจุอยู่ถึง 1000 องค์ และเมื่อเดินลงมาด้านล่างก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์วัดปงสนุกซึ่งได้เก็บรวบรวมของโบราณไว้อย่างดี ก่อนจะปิดท้ายกันที่บ้านหลุยส์ บ้านไม้ครึ่งปูนเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี สถานที่ที่จะเป็นที่จัดงานเล่าเรื่องเมืองลำปางที่เราได้บอกไปในตอนต้น ซึ่งตอนนี้ด้านล่างจะถูกจัดแสดงภาพวาดและงานศิลปะต่างๆ ส่วนด้านบนที่เป็นเรือนไม้นั้นวันนี้เรามีโอกาสได้รับชม และถ่ายรูปจากด้านนอกเท่านั้น

 

การนั่งรถรางเที่ยวชมวัดและสถานที่เก่าแก่ในวันนี้หลายคนอาจคิดว่ามันน่าเบื่อ สำหรับวัยรุ่นอย่างเราแต่เมื่อเราได้ลองเที่ยวแบบนี้อย่างจริงจังกลับพบว่ามันเป็นเสน่ห์ของการท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่งที่น่าลองพอๆ กับการได้เล่นซิปไลน์ พายคายัค ล่องแก่ง อยู่เหมือนกันนะถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ตื่นเต้นเท่ากับกิจกรรมอื่นๆ แต่มันก็ทำให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ได้เห็นสถานที่ใหม่ๆ ที่มีความคลาสสิกอย่างแท้จริงไม่ใช่การจัดประดิษฐ์สิ่งตกแต่งขึ้น เราจึงสามารถมีภาพเก๋ๆ เท่ๆ แบบเรียลๆ ไว้ลงโซเชียลได้หลายรูปอยู่นะแก

และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่เรารอคอย นั่นคือการได้พักร่างในคาเฟ่สวยสวย flat white cafe x poshtel เป็นร้านที่เข้าตากรรมการตั้งแต่ที่เราขับรถผ่านวนไปวนมารอบวงเวียนห้าแยกตั้งแต่ตอนเช้าบ่ายและเย็น เพราะตัวร้านสีขาวที่ตกแต่งแบบมินิมอลที่เสริมสีสันด้วยพืชพรรณสีเขียวกับชื่อร้านสีชมพูนีออนให้ฟิวเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเกาหลีแบบทันทีทันใด แถมยังดูโปร่งสบายและกว้างขวางมันช่างเชิญชวนให้เราเข้าไปจิบเครื่องดื่ม อัพรูปลงโซเชียลและเม้ามอยกับเพื่อนถึงแผนการตอนเย็นและวันถัดไปพร้อมพร้อมกับการนั่งละเมียดละไมทานเค้กหวานๆ ซักคนละหนึ่งก้อน แต่ก่อนจะทำกิจกรรมใดๆ ก็หมดเวลาไปเกือบ 20 นาทีเพราะมุมถ่ายรูปที่นี่มันเยอะเหลือเกินยิ่งช่วงเย็นๆ ที่แสงส่องเข้ามาในร้านยิ่งเพิ่มความสวยงามขึ้นอีก 50% เลยทีเดียว

นั่งในคาเฟ่จนแดดร่มลมตกก็ได้เวลาเปิดประตูและเดินข้ามไปยังวัดเชียงรายที่อยู่ตรงข้ามกับร้านเพื่อทำกิจกรรมที่สมกับสโลแกนของลำปางท่อนที่ว่า รถม้าลือลั่น เสียงกรุบกรับและสายลมเย็นๆ ที่พัดผ่านกับเส้นทางเลียบริมน้ำผ่านบ้านเรือนทรงไทยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ผ่านต้นไม้สีเขียวที่มีอยู่ทั่วทุกบ้านทำให้เรารู้สึกเข้าถึงลำปางได้อย่างแท้จริง และทุกๆ ครั้งที่มีรถมาวิ่งผ่านเราสังเกตุเห็นได้ชัดว่ารถยนต์และรถเครื่องทุกคัน พร้อมใจกันอำนวยความสะดวกให้กับรถมาได้วิ่งไปก่อนทำให้เราประทับใจเป็นอย่างยิ่งที่ว่าทุกทุกคนในชุมชนให้การต้อนรับและสนับสนุนการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี

 

อาจจะเพราะม้าโยกหรือเพราะเป็นเวลาหัวค่ำ ท้องไส้ของเราจริงครวญครางอยากทานอาหารถิ่นแบบบ้านบ้านขึ้นมา และเป็นโชคดีที่วันนี้มีถนนสายวัฒนธรรม เป็นถนนคนเดินที่มีการจัดกิจกรรมการแสดงพื้นเมืองเล็กๆ น้อยๆ จำหน่ายอาหารพื้นเมือง ผัก และผลไม้ท้องถิ่นรวมไปถึงเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้แบบชาวลำปางด้วย เราเลยได้โอกาสทั้งชิมช้อปแชะในที่เดียว โดยอาหารที่เราแนะนำว่าแกต้องลองคือหมี่ข้าวปั้น อาหารพื้นเมืองที่เราเพิ่งจะเคยชิมเป็นครั้งแรกเพราะเห็นคนยืนรอต่อแถวทานกันเยอะมากๆ เลยอดใจไม่ไหวขอลองชิมซักฝาสองฝา โดยร้านหมี่ข้าวปั้นนี้จะมีขายเฉพาะที่ตลาดถนนสายวัฒนธรรมในวันศุกร์เท่านั้น ส่วนใครที่อยากลองทานขอกำชับเลยว่าต้องมาให้ไวมิเช่นนั้นเค้าจะขายหมดยกถาดในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ที่นี่ก็ยังมีอาหารเหนือท้องถิ่นให้เลือกลองอีกหลายอย่างรับรองว่าอิ่มสบายตลอดทั้งค่ำคืนแน่นอน

วันแรกของเราที่เมืองลำปางทำให้รู้ว่าการได้มาเยี่ยมชมวัดโบราณ เมืองเก่าๆ กิจกรรมที่มีมาแต่โบราณ ทานอาหารถิ่นทำให้เรารู้ว่าความสนุกก็ไม่ได้มาจากความหวือหวาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมาจากการได้ใช้เวลาแช่มช้าค่อยๆ สัมผัสกับวิถีชีวิต ค่อยๆ สัมผัสกับรสชาติอาหาร ค่อยๆ สัมผัสกับความสวยงาม ก็เป็นความสนุกอีกรูปแบบหนึ่งที่ควรค่าแก่การจดจำเช่นกัน

Day 2 :

วันที่สองของการเดินทางนี้เราขอเริ่มต้นกันที่สถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปางนั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานที่มีเนื้อที่กว่า 400,000 ไร่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยความเขียวขจีของพืชพรรณต่างๆ และยังมีความพิเศษคือการมีบ่อน้ำพุร้อนผุดจากพื้นถึงเก้าบ่อ ที่บางบ่อมีอุณหภูมิสูงถึง 70 ถึง 80 องศาเซลเซียส โดยสามารถแช่ไข่ไก่ธรรมดาให้กลายเป็นไข่แช่น้ำแร่ที่นุ่มเด้งดึ๋งดั่งได้ภายใน 15 นาที และบางบ่อที่มีอุณหภูมิต่ำลงมาก็สามารถนั่งแช่เท้าแช่ตัวท่ามกลางเมฆหมอกและธรรมชาติได้แบบฟินๆ ส่วนใครที่ต้องการความ private เขาก็มีบ่อน้ำแร่ส่วนตัวที่ปิดมิดชิดให้แช่เล่นได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีจุดบริการนวดตัวและฝ่าเท้าจากหมอนวดฝีมือดีคอยให้บริการด้วย ส่วนใครที่ยังอินกับธรรมชาติไม่หายก็สามารถเดินเท้าขึ้นไปเพื่อเล่นน้ำตกที่มีระยะทางศึกษาธรรมชาติถึง 3 กิโลเมตรได้อีกด้วย

ไอหมอกสีขาวที่ลอยอยู่เหนือน้ำพร้อมกับกลิ่นกำมะถันนิดๆ และป้ายบอกอุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ทำให้แค่มองดูก็รู้ว่าจุดนี้เหมาะแก่การแช่ไข่ไก่และไข่นกกระทามากกว่าแช่เท้าแช่ตัวอย่างแน่นอน คนช่างหิวอย่างเราจึงไม่รอช้าจัดไข่หนึ่งตระกล้าทิ้งลงกลางบ่อน้ำร้อนและเดินเล่นถ่ายรูปชมวิวก่อนจะกลับมารับน้องไข่ เพื่อเอาไปปอกเปลือกอย่างอ่อนโยนและปรุงด้วยซอสอีกนิดหน่อยก็ทำให้รสชาติของไข่ขาวเหลวๆ และไข่แดงเด้งๆ มีความเข้มข้นมากขึ้นไปอีก

ถ่ายรูปเพลินจนเวลาปาเข้าไปเกือบเที่ยง ทั้งไข่ไก่ไข่นกกระทาทั้งหลายก็ถูกย่อยสลายจนหมดสิ้นเราจึงอยากลองลิ้มยำไข่น้ำแร่แจ้ซ้อน เมนูอาหารประจำอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนซักสี่ห้าฟอง เลยเลือกร้านอาหารของอุทยานเป็นที่พักพิงของเราในมื้อนี้ บอกได้เลยว่ามันดีมาก ไข่ไก่สดๆ นุ่มๆ มันๆ ราดด้วยน้ำยำเปรี้ยวๆ หวานๆ และปลาแห้งเพิ่มความนัวได้เป็นอย่างดียิ่งตักไปคลุกกับข้าวสวยร้อนๆ แม้ไม่สั่งอย่างอื่นเพิ่มเราก็มั่นใจว่าสามารถกินเมนูนี้เมนูเดียวได้จนอิ่มเลยล่ะ

บ่ายคล้อยแต่ร่างกายยังไม่ได้กาแฟก็เริ่มรู้สึกถึงพลังงานที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของเราต่อไปจึงเป็นสวนกาแฟออร์แกนนิคบนที่ราบสูงดอยแม่แจ๋ม ณ สุวรรณการ์เด้น เพื่อชิมกาแฟหอมกรุ่นจากไร่ เด็ดแมคคาเดเมียสดๆ มากระเทาะเปลือกกินเล่นๆ เคี้ยวแมคคาเดเมียอบเป็นของว่าง ก่อนจะขอเดินชมอุโมงค์ต้นกาแฟ ต้นพลับ ต้นบ๊วย และต้นแมคคาเดเมียในสวน ที่เราสามารถเด็ดสดๆ จากต้นมาชิม เดินเล่นหมุนตัวถ่ายรูปกลางสวนแบบสวยๆ แต่ข้อควรระวังคือเจ้าตัวขุ่น แมลงที่กัดเจ็บแบบได้เลือด ดังนั้นก่อนเดินเข้าไปหมุนตัวสวยสวยอย่าลืมฉีดยากันไว้ด้วยมิเช่นนั้นได้ขาลายมาอย่างแน่นอน

 

ที่นี่ถ้าอยากชมวิวดอกบ๊วยบานสะพรั่งเป็นสีขาวเหมือนดอกซากุระแนะนำให้มาช่วง มกรา-กุมภา จะยิ่งได้ความฟินเพิ่มขึ้นอีกหลาย 10% แต่ถ้ามาในช่วงฝนแบบเราก็การันตีความเขียวแบบไม่ปราณีปราศรัยเช่นกัน นอกจากเมนูกาแฟและแมคคาเดเมียเราขอแนะนำโกโก้เย็นเพิ่มอีกซักเมนูที่ควรลองชิม เพราะโกโก้ของที่นี่เป็นสูตรเฉพาะที่จะมีการคั่ว บด และเอามาชง โดยยังให้เหลือเมล็ดโกโก้อยู่ในแก้วทำให้มีทั้งความหวาน และความขมปนปนกันไปเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่อร่อยอยู่เหมือนกัน

ด้วยความที่ต้องใช้เวลานานในการเดินทางกว่าจะกลับเข้าเมืองก็เป็นเวลาช่วงเย็นแล้ว เราจึงเลือกทานมื้อเย็นกันที่ ตลาดกาดกองต้าหรือตลาดจีนลำปาง ถนนคนเดินที่เราเคยมาเดินตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย และพอกลับมาเดินอีกครั้งก็พบว่าความมีเสน่หยังคงเดิม เพิ่มเติมคือกำแพงแบบอาร์ตๆ ระหว่างทางก็มีอาหารถิ่นให้เลือกมากมาย เช่น อ่องปู แคปหมู รวมถึงการแสดงทางวัฒนธรรมและสินค้าพื้นบ้านอีกหลายชนิดตลอดสองข้างทาง จนต้องคอยเช็คเงินในกระเป๋าให้ดีๆ เพราะเผลอเมื่อไหร่เป็นอันควักจ่ายซื้อของทุกทีไป

     

และสิ่งที่เราชอบมากที่สุดและรู้สึกว่าเป็นเสน่ห์ของถนนเดินที่ลำปางก็คือเอกลักษณ์ของสินค้า อาหาร ที่ร้านค้าแต่ละร้านก็จะมีสินค้าที่เป็นจุดเด่นของตัวเองอาจเหมือนกันบ้างคล้ายกันบ้าง แต่สุดท้ายตั้งแต่หัวถนนจนท้ายถนนเราก็รู้สึกว่านี่คือถนนที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวลำปางจริงๆ ไม่ใช่ถนนคนเดินที่ถูกสร้างภาพขึ้นมาอย่างตลาดใหม่ๆ หลายๆ ตลาด ที่มาจากขายของเหมือนเหมือนซ้ำๆ กันเพราะรับมาจากที่เดียวกันจนขาดเสน่ห์และสีสันไปจนหมด

การเดินทางของเราในวันนี้ทำให้เราเชื่อว่าลำปางยังมีธรรมชาติอีกหลายอย่างให้เราได้ลองมาสัมผัส และความเป็นธรรมชาติของลำปางนี้เองก็เป็นเสน่ห์ที่ยากจะหาใครมาเหมือนได้ เราจึงคิดว่าลำปางจะยังคงอยู่ในลิสสถานที่ที่ต้องมาซ้ำอีกอย่างแน่นอน

Day 3 :

ใครจะเชื่อว่าการมาเที่ยววัดจะทำให้เราสามารถร้องเสียงหลงและพูดว่าสวยแบบสิ้นเปลืองได้มากขนาดนี้ แต่มันก็เกิดขึ้นได้จริงๆ ที่ วัดพระธาตุดอยพระณาน วัดที่อยูบนยอดเขาดอยพระณาน ซึ่งแต่เดิมมีเพียงองค์พระธาตุสีขาวและศาลาไม้หลังเล็ก จนเมื่อเจ็ดปีก่อน เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้มาทำการบูรณะ ซ่อมแซมพระธาตุให้เป็นไปตามที่มีนิมิต ท่านจึงเดินทางเพื่อมาทำและแล้วเสร็จในปี 2555 โดยทุกวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 จะมีประเพณีขึ้นดอยพระณานเพื่อสักการะพระธาตุเป็นประจำทุกปีอีกด้วย

มาเที่ยววัดที่ลำปางเราบอกได้เลยว่าแกจะลืมภาพของความน่าเบื่อจำเจไปเลยเพราะแต่ละวัดของลำปางมากมีศิลปะรูปแบบการสร้างที่วิจิตรสวยงามหาชมได้ยาก และตั้งอยู่ในทำเลที่มีทิวทัศน์สวยงามมันจึงไม่ใช่แค่การไปไหว้พระหรือชมสถานที่แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถหามุมถ่ายรูป คู่กับวิวสวยสวยได้อีกด้วย โดยเฉพาะที่วัดพระธาตุดอยพระณานแห่งนี้ ที่มีการสร้างด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัยสีสันสดใสและตั้งอยู่บนยอดดอยที่สามารถมองออกไปเห็นโค้งน้ำ และสายหมอกอ่อนๆ ในช่วงฤดูฝน แต่หากเป็นฤดูหนาวก็จะมีทะเลหมอกท่วมท้นจนเหมือนกับบันไดหน้ากำลังทอดลงไปยังอีกโลกหนึ่ง สำหรับเราที่นี่นอกจากจะเป็นศาสนสถานที่สวยงามแปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วที่นี่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองลำปางที่ต้องห้ามพลาดอีกด้วย

หากพูดเรื่องงานฝีมือเราเชื่อว่าคนเมืองรถม้าแห่งนี้ไม่มีทางเป็นสองรองใคร สังเกตง่ายๆ ได้จากความโดดเด่นขององค์พระธาตุแต่ละองค์ ที่สวยจนตาค้างมาแล้วหลายรอบ เราจึงแวะชม หมู่บ้านแกะสลัก ที่มีทั้งการสานตระกร้าจากไม้เนื้ออ่อน และจัดจำหน่ายในราคาถูกมากๆ และบ้านที่มีการแกะสลักไม้เพื่อขึ้นรูปเป็นงานศิลปะต่างๆ ซึ่งโดยเฉพาะงานแกะสลักรูปสัตว์ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า และเสือ ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ ราคาตั้งแต่หลักร้อยยันหลักหมื่น

ถัดจากหมู่บ้านแกะสลักไปไม่ไกลเราขอตรงไปเสพความเขียวขจีของทุ่งนาผ่าน สะพานไม้ไผ่หรือขัวแตะ สะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาว 360 เมตรนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2560 ที่ใช้เป็นทางลัดในการสัญจรไปยังวัดพระธาตุสันดอน เส้นทางเดินสีน้ำตาลอ่อนยวบยาบแต่แข็งแรงนี้เป็นทางเดินที่อยู่เหนือทุ่งนา ถ้าหากมาในช่วงที่ข้าวกำลังเริ่มออกรวงเราก็จะได้เห็นวิวทุ่งนาสีเขียวกำลังรองรับทุกย่างเก้าของการเดินบนสะพานจนแกสามารถถ่ายรูปได้ตั้งแต่หัวสะพานจนท้ายสะพานจะหมุนตัวเล่นหรือเดินตรงกลางทำท่าเหม่อๆ แบบชิวๆ ก็สวยเป๊ะจนแทบไม่ต้องแต่งเพิ่ม ถ้าแอ็คท่าถ่ายรูปจนเหนื่อยช่วงกลางสะพานก็ยังมีร้านอาหารชาวบ้านเล็กๆ ที่ขายน้ำขนมและส้มตำไว้บริการที่รสชาติก็จัดจ้านตามแบบฉบับชาวบ้านๆ โดยเฉพาะปลาร้าที่หอมหวนชวนลิ้มลองมาแต่ไกล

แม้จะดื่มน้ำไปหนึ่งแก้วและส้มตำไปหนึ่งจานก็ยังไม่อาจต้านทานความหิว เราจึงแวะทานกลางวันกันที่ ร้านอาหารถิ่นไทย ร้านอาหารไทยขนาดใหญ่ที่เสิร์ฟทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ขนมเค้ก รวมถึงเครื่องดื่มอีกหลายอย่าง มีโซนให้เลือกนั่งทางเอาท์ดอร์อินดอร์จะนั่งกับพื้น แบบล้านนาหรือนั่งบนโต๊ะแบบสากลก็สามารถเลือกได้ตามความถนัด เมนูที่โดนใจเราคือกุ้งผัดพริก กระเพราหมู ราดหน้าเส้นใหญ่ทะเล และกาแฟถิ่นไทย จ้าาาาาา

อิ่มท้องแล้วขอไปอิ่มใจต่อกันที่ ชุมชนบ้านสามขา ชุมชนเล็กๆ เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียวประจำปี 2551 หมู่บ้านต้นแบบของการจัดการทรัพยากรน้ำ ด้วยการทำฝายไส้ไก่ทำให้หมู่บ้านสามขามีฝายชะลอน้ำอยู่ มากกว่า 3,000 ฝาย เมื่อน้ำและผืนป่าอุดมสมบูรณ์ที่นี่จึงเป็นชุมชนที่มีศักยภาพในการสร้างการท่องเที่ยวชุมชนไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับหรือค้างคืนในโฮมสเตย์ด้วยก็ได้

เราเลือกที่หลักสูตรระยะสั้น โดยเมื่อไปถึงก็จะพบเด็กๆ ออกมาต้อนรับ พร้อมบอกเล่าประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านสามขาก่อนจะเริ่มกิจกรรมแรกคือการทำช่อดอกไม้ใบไม้เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ก่อนนำทางพวกเราไปต่อที่บ้านทำฝ้ายศูนย์รวมของผู้เฒ่าผู้แก่และเยาวชนในชุมชนที่รวมตัวกันขึ้นเพื่อผลิตฝ้ายโดยเริ่มตั้งแต่การเอาเมล็ดออกจากฝ้ายการดีดฝ้ายการสาวฝ้ายและจบลงที่การทอฝ้ายขึ้นเป็นผืนผลิตภัณฑ์ ซึ่งเราสามารถขอร่วมทดลองทำด้วยตัวเองได้ด้วย ซึ่งพอทำไปทำมาก็ได้ข้อสรุปว่าซื้อเค้าเอาดีที่สุด และหากใครมีเวลาซักหน่อยจะเปลี่ยนผ้านุ่งกระโจมอกเข้าซุ้มไก่เพื่อทำสปาสุ่มไก่ให้เลือดลมเดินดีผิวหน้าสดใสก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

ถัดจากกิจกรรมภายในชุมชน ก็ได้เวลาเข้าป่าเล่นน้ำ ชมฝาย และปลูกป่ากันแล้ว ในจุดนี้รถสามารถมาส่งถึงแค่เพียงหน้าอ่างเก็บน้ำ เราต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 800 เมตร ถึงจะเจอช่วงที่สามารถเล่นน้ำได้ โดยตลอดระยะทางการเดินถือว่าค่อนข้างดีไม่ได้ลำบากอะไรเพราะเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้เดินสัญจรเป็นประจำทางเว้นแต่ว่าจะมาช่วงฝนตกก็จะเละๆ หน่อย แต่หากเป็นช่วงกลางวันเส้นทางในป่าก็ไม่ได้ร้อนมากเพราะมีลมพัดผ่านตลอด เราจึงสามารถเดินชมวิวทิวทัศน์ฟังเสียงป่าเขาได้แบบชิวๆ และสำหรับสายเดินป่าก็สามารถเลือกเดินขึ้นไปยังยอดดอยเพื่อชมวิวของหมู่บ้านที่มีระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตรได้อีกด้วย แต่สายรักสบายอย่างเราขอแค่ 800 เมตร ถึงจุดหมาย ได้เอาตัวไปนั่งแช่น้ำจุ่มเท้าก็ถือว่าเพียงพอแล้ว อิ่มใจกับป่าและน้ำใสๆ จนพอใจ ก่อนออกจากป่าเด็กๆ ก็จะพาเราไปปลูกต้นไม้ที่เขาได้เคลือบไว้ในก้อนดิน ลูกเล็กๆ และให้เราใช้หนังสติ๊กดีดรูปเมล็ดพันธุ์ให้ไปร่วงในป่าและเติบโตขึ้นตามธรรมชาติ ใครที่ไม่เคยใช้หนังสติ๊กมาก่อนข้อควรระวังคือมันอาจดีดโดนนิ้วตัวเองบ้างลูกดินกระเด็นมาโดนหน้าบ้างแต่มันก็เป็นความสนุกสนานที่น่าลองสักครั้ง

สามวันสองคืน ณ เมืองลำปางของเราครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่แม้ไม่ได้สนุกตื่นเต้นหรือหวือหวาแบบเมืองใหญ่เมืองอื่นๆ แต่ลำปางก็มีเสน่ห์ของความเนิบช้าสไตล์ล้านนาที่เหมือนหยุดเวลาเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่ได้เชยเฉิ่มจนน่าเบื่อราวกับไม่มีการพัฒนา เหมือนกับเสียงกรุบกรับของเกือกม้าในเมืองลำปางที่ควบดังตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และทอดนำไปสู่อนาคต ในท่วงท่าของลำปางแบบไม่ตามใคร เราเลยอยากให้พวกแกเปิดใจลองมาลำปางเมืองรองที่หลายคนเห็นว่าเป็นทางผ่าน แล้วจะรู้ว่าเสน่ห์ของความธรรมดามันช่างน่าหลงไหลเป็นที่ซู๊ดดดดดดด …