เที่ยวไต้หวัน 4 วัน :: Rhythm of Journey “Fun” — Taiwan

“Rhythm of Journey” – ความสนุกปลุกให้เราต้องไป

ฤกษ์งามยามดี Taiwan Calling Me Again อยู่ดีๆ ร่างกายก็ต้องการชานมไข่มุก เต้าหู้เหม็น อาหารทะเล และความชิว เราเลยขอทำตามหัวใจออกเดินทางไปไต้หวันแดนดินถิ่นของกินอันแสนคุ้นเคยของเราอีกครั้ง แต่ด้วยความที่ไปไต้หวันบ๊อยบ่อยความตื่นเต้นมันก็ออกจะจางๆ ไปหน๊อยหนึ่ง เราเลยขอจุดไฟความตื่นเต้นให้โชติช่วงด้วยการคิดธีมของการเดินทางในครั้งนี้ให้สดใสเหมือนลูกไก่เพิ่งออกจากไข่ แปลง่ายๆ ว่าทุกอย่างในทริปนี้ต้องง่าย สบาย ชิว สนุก ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ที่สำคัญต้องกินอิ่มนอนอุ่นหุ่นไม่เกี่ยว ถ้าพร้อมแล้วเชิญทุกคนแชร์โพสต์เก็บไอเดียและออกเดินทางด๊ายยยยยยยย …

สเต็ปแรกของทุกการเดินทางก็คงจะหนีไม่พ้นการจองตั๋วเครื่องบินให้พร้อม โชคดีที่นี่คือไทยแลนด์ 4.0 เราเลยมีแอปพลิเคชันจองตั๋วเครื่องบินให้เลือกแบบพรึบพรับ แต่ที่เราใช้อยู่บ่อยๆ ถี่ๆ แบบดีจนอยากบอกต่อขอยกให้ Expedia เพราะการจองแต่ล่ะครั้งแสนง่ายอยู่ที่ไหนก็จองได้ คลิกๆ ไม่กี่ทีก็มีราคา เวลา และเซอร์วิสให้เปรียบเทียบ พอใจอันไหนก็จิ้มต่ออีกหน่อยเป็นอันจบปิ๊งจองตั๋วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากจะได้ตั๋วในราคาที่ถูกแล้ว ลูกค้าของ เอ็กซ์พีเดีย ทุกคนที่จองตั๋วเครื่องบินผ่าน www.expedia.co.th ยังจะได้รับสิทธิพิเศษเป็นส่วนลดราคาค่าห้องพักของโรงแรมเพิ่มเติมจากส่วนลดที่มีอยู่แล้วไปอี๊ก

โดยปกติหลังจากจองตั๋วผ่าน Expedia เสร็จ ระบบก็จะปลดล็อกส่วนลดโรงแรมที่ร่วมรายการให้เราอัติโนมัติขึ้นสัญลักษณ์สีเหลือง Add-On ซึ่งแต่ละโรงแรมก็จะมีส่วนลดมากน้อยแตกต่างกันไป โดยที่ลดมากสุดจะอยู่ที่ 51% เลยนะแก และความดีงามคือเรายังไม่ต้องจองทันทีทันใดเพราะเรามีเวลาจองได้จนถึงวันเดินทางเลยจ้า อย่างที่พักในไทเปก็ขึ้น Add-On หลายโรงแรมเช่นกัน ที่เราเห็นลดราคามากสุดก็มากถึง 46% นับว่าดีงามมากเว่อร์

สำหรับทริปนี้เราเลือกพักกันที่ Cavemen Hostel Taipei Station Branch โลเคชั่นดีงาม พนักงานน่ารัก ที่สำคัญมีส่วนลดสุดพิเศษจาก Add-On ถึง 16% นอกจากที่พักจะราคาถูกอยู่แล้วพอได้ส่วนลดจาก Expedia มาเพิ่มอีก งานนี้เงินส่วนลดที่เหลือเราก็สามารถรวบรวมไว้เที่ยวทริปต่อไปหรือจะเอาไว้ช้อปแบบเชิดๆ เลิศๆ ก็ดีงาม โอ๊ย!!! แบนี้มันอดใจไม่ได้ที่จะบอกต่อจริงๆ เดินทางครั้งหน้าพวกแกอย่าลืมตามไปกดจองกันนะ http://bit.ly/2xyiE9E

Day 1 : White Whale Cafe’ & Flower / Huashan 1914 Creative Park / Chiang Kai Shek Memorial Hall / Ximending

เมื่อการเดินทางมาถึงวันแรกเราขอเริ่มต้นเบาๆ ในเมืองกับโลเคชั่นสุดชิว White Whale Cafe’ & Flower ก็ตรงตามชื่อว่ามันคือร้านคาเฟ่และดอกไม้ ร้านสีขาวที่มาในสไตล์มินิมอลเรียบง่าย ที่มองแว๊บแรกก็ชวนให้เดินเข้าหา บวกกับสีเขียวของต้นไม้ยิ่งชวนให้สั่งขนมและเครื่องดื่มมานั่งแอกท่า ทำหน้าสวยๆ แล้วฟาดชัตเตอร์ ปั๊วๆ รัวๆ กิมมิกอย่างหนึ่งของที่นี่ที่เราชอบมากก็คือขนมและเครื่องดื่มจะถูกเสิร์ฟมาพร้อมกับดอกไม้สีสวยหวานให้ความรู้สึกเหมือนเป็นลูกคุณหนูสุดอะไรสุด วลี สาจ๊าาาาาา แพรขอชากับขนมสักสักชิ้นได้มั้ยจ๊ะต้องมาจ้าา

เอนเนอร์จีอันสดใสได้ตื่นขึ้นพร้อมกับความหวานที่ผ่านสู่เส้นเลือดกันแล้ว เราก็ขอไปชิวกันต่อที่คอมมูนิตี้สุดชิคคูล แหล่งรวมวัยรุ่นไต้หวัน Huashan 1914 Creative Park ตึกเก่าสุดคลาสสิคที่มีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย และเรียงรายไปด้วยร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นศูนย์ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ด้วย บรรยากาศของความอาร์ตมันเลยตลบอบอวลเชิญชวนหนุ่มสาวสุดเก๋ให้มาเดินเที่ยวกันแบบไม่ขาดสาย

ด้วยความที่นางคือศูนย์ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ ภายในตึกจึงมีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนให้ชมตลอดทั้งปี แต่เราจะไม่ขอลงดีเทลเรื่องนิทรรศการที่เราไปเจอ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าแกไปคนละช่วงกับเราก็จะได้ชมผลงานศิลปะคนละแบบกัน หากใครจะไปเที่ยวเราขอแนะนำให้มาตรงช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งที่นี่จะครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะเขาจะมีตลาดนัดเล็กๆ ที่เหล่า artist จะมาปล่อยของแฮนด์เมดบ้างการแสดงโชว์เปิดหมวกต่างๆ บ้าง

Chiang Kai Shek Memorial Hall แลนมาร์คแห่งไต้หวันที่ไม่มาก็ถือว่าไม่พลาด แต่ไม่พลาดที่จะมาจะดีกว่าเดี๋ยวจะคุยกับเค้า(เค้าไหนไม่รู้)ไม่รู้เรื่อง เพราะนี่คืออนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1976 เพื่อยกย่องอดีตประธนาธิบดีเจียงไคเช็ค ที่กว้างขวางอลังการ งานดีทั้งตึกและคน เหมาะกับการมาเดินฉับๆ วาดลวดลายทั้งทางซ้ายและขวาของอาคารตรงลานกว้างให้ดูแจ่มใสสมวัยสะรุ่น

ตบท้ายวันแห่งความชิว ถ้ายังไม่ได้กินไม่ได้ช้อปมันเหมือนมือจะจีบ เหมือนคนขาดของ เราเลยต้องมาที่ย่าน Ximending แหล่งแฟชั่นฮิปๆ คนแน่นตั้งแต่เย็นยันมืดค่ำที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุค 1922 สมัยที่ไต้หวันอยู่ภายใต้อาณานิคมของจักรวรรดิญี่ปุ่น มันจึงกลายเป็นแหล่งรวมความบันเทิงที่มีทั้งโรงภาพยนตร์ คาราโอเกะ คาเฟ่ ร้านค้า รวมถึงของแบรนด์เนม แบรนด์โลคอล ที่เราสามารถเดินจองด้วยสายตาไว้ก่อนแล้วค่อยมาสอยวันสุดท้ายหรือจะสอยติดไม้ติดมือมาเลยก็ตามสบาย แต่เราคือสายกินดังนั้นแบรนด์เนมหลบไปขออาหารถ้วยใหญ่ๆไว้เป็นพลังงานในวันถัดไปที่เราจะเล่นใหญ่ก่อนกลับที่พักไปนอนเอาแรงกันจะดีกว่า

Day 2 : Taipei Fish Market / Yehiu Geopark / Gudetama Chef’s Store / Xiangshan Elephant Moutain

เช้าวันที่สองเราตื่นมาด้วยความสดใสใส่ บิดตัวสองที น้ำไม่ต้องอาบแต่ฟันต้องแปรง แล้วพุ่งตัวแรงๆ มายัง Taipei Fish Market ตลาดอาหารทะเลโคตรสดที่เรามาไทเปซ้ำๆ กี่ครั้งก็ต้องวางแพลนมาทานอาหารทะเลที่นี่ทุกครั้งไป ที่นี่เราสามารถเดินเลือกอาหารทะเลที่ถูกแบ่งไว้เป็นโซนๆ ทั้งโซนอาหารทะเลสด โซนบาร์อาหารทะเล โซนซูชิ และโซนหม้อไฟปิ้งย่าง ที่อลังการเหมือนยกมหาสมุทรมาหยุดอยู่ตรงหน้า มื้อเช้าของเราในวันนี้จึงเต็มไปด้วยอาหารเนื้อนุ่มละมุมสีส้มๆ สลับขาวแสนมันวาว ในบรรยากาศที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเค็มๆ อันหอมหวาน ที่ทำให้ทานได้แบบคำต่อคำไม่มีหยุด ก่อนไปสุดที่จุกถึงลิ้นปี่ เป็นมื้อเช้าในฝันที่เราอยากให้มันเกิดขึ้นทุกๆ วัน

พลังงานเต็มเปี่ยมร่างกายก็สดใสก็ได้เวลาไปต่อที่ Yehiu Geopark อุทยานหินทรายที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของเมืองนิวไทเป ภูเขาใหญ่ราบเรียบริมหาดในวันนั้น เมื่อถูกคลื่นลมกัดเซาะเป็นเวลานับ 1,000,000 ปี จึงกลายมาเป็นแผ่นดินรูปทรงแปลกตาในวันนี้ วันที่พวกเราได้มีโอกาสมาเดินเล่นสำรวจทรวดทรงของหินต่างๆ แล้วใช้จินตนาการคิดวิเคราะห์แยกแยะว่ามันคล้ายกับรูปอะไรได้บ้าง หินดังๆ อย่างหินไอศครีม หินทะเลเทียน หินช้าง และหินราชินี ก็จะมีคนมาขอถ่ายรูปเยอะพอๆ กับมิสแกรนด์ไทยแล๊นนนนนน ส่วนเวลาที่เหมาะที่สุดในการมาถ่ายรูปกับหินต่างๆ คือช่วงแดดแรง เพราะมันจะช่วยขับให้หินสีเหลือง น้ำทะเลสีคราม และคนหน้าตาดีมีคาแรคเตอร์อย่างเรา ถ่ายรูปออกมาแล้วเฟอร์เฟกเป๊ะปังไปทุกมุม

ยืนเริงร่าท้าแดดอยู่พักใหญ่หน้าใสๆ ก็ชักจะหมองคล้ำ ถ้าไม่ระวังก็กลัวฝ้าจะถามหา เราเลยได้เวลาตีรถกลับเข้าเมืองมานั่งทำท่าขี้เกียจเหยีดแข้งเหยียดขาและหาอาหารทานที่ร้านคาเฟ่สีเหลืองสุดน่ารักของเจ้าตัวการ์ตูนขวัญใจชาวโลก เจ้าไข่ขี้เกียจ เกนดามะ ณ Gudetama Chef’s Store หนึ่งใน Character Cafe ที่โด่งดัง ร้านสีเหลืองสุดน่ารักนี้ใครเดินผ่านเป็นอันต้องเหลียวคอมองและยากที่จะห้ามใจไม่ให้เดินเข้าร้านได้

หลังจากสั่งอาหารและของหวานมาทานก็เป็นเวลาของการถ่ายก่อนกินที่บอกตรงๆ เลยว่าถ่ายมุมไหนก็ออกมาน่ารักน่าชัง เป็นความสดใสที่ชวนขี้เกียจเสียจริงๆ เมนูแต่ละเมนูทั้งเอ้กเบเนดิก ซุปข้าวโพด พิซซ่า ฯลฯ ทุกอย่างล้วนน่ารัก เพราะทุกจานจะมีเจ้าเกนดามะนอนนิ่งยิ้มแฉ่งบ้าง น้ำลายเยิ้มอยู่ในจานของเราบ้าง ยิ่งมองก็ยิ่งทานไม่ลง แต่สุดท้ายความน่ารักก็พ่ายแพ้ให้กับความหิวจนได้ แม้จะรู้สึกผิดแต่ความอร่อยก็ช่วยปลอบใจเราเป็นที่เรียบร้อย กินเสร็จก็เหมือนโดนเจ้าไข่ขี้เกียจเข้าสิงสั่งให้นั่งนิ่งๆ หลบแดดเม้ามอยกันต่ออีกสักหน่อย

พอหายขี้เกียจก็ได้เวลาไปเดินย่อยเช็คอินกันที่ Xiangshan Elephant Mountain จุดชมวิวที่เป็นเสมือนแลนด์มาร์คของไต้หวัน ที่แต่ละวันมีคนขึ้นลงแบบไม่ขาดสาย เพราะจุดนี้เราสามารถมองเห็นตึกไทเป 101 และเมืองไทเปได้แบบ 360 องศา ส่วนวิธีการขึ้นไปยังยอดที่อยู่ห่างประมาณ 500 ถึง 600 เมตร ก็แสนง่ายดาย เพราะเขามีบันไดให้เดินได้แบบสะดวก แต่ไม่ค่อยสบาย ยิ่งใครที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย รับรองว่าได้ปาดเหงื่อกันหลายตลบ และอาจใช้เวลาเดินเกินกว่าคนอื่นถึงหนึ่งเท่าตัว ดังนั้นเผื่อเวลาเดินขึ้นลงให้ดีๆ แต่ถ้าใครที่ฟิตเปรี๊ยะ ก็จะอยู่ประมาณ 15-20 นาทีพอกรุบกริบ ระหว่างทางก็สวยงามมีต้นไม้มีมุมถ่ายรูปที่น่าสนใจ ส่วนด้านบนการันตีความสวยได้จากฝูงชนที่เนืองแน่นทุกๆ วัน เพราะมันสวยงามและทำให้เราอิ่มเอมใจกับไต้หวันในวันที่สองแบบลืมหยาดเหงื่อที่ไหลไประหว่างทางจนหมดสิ้น

Day 3 : Sun Moon Lake / Raohe St. Night Market

วันนี้เราให้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ กับ Sun Moon Lake สถานที่เที่ยวสุดฮอตที่คนไปไต้หวันครั้งแรกควรจะยัดมันไว้ในแพลน ทะเลสาบสุริยันจันทราทะเลสาบที่สวยที่สุดและเป็นแหล่งน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไต้หวัน โดยด้านตะวันออกเมื่อมองจากมุมสูงจะมีลักษณะคล้ายกับพระอาทิตย์ส่วนด้านตะวันตกมีรูปร่างคล้ายกับพระจันทร์ ตรงกลางถูกคั่นไว้ด้วยเกาะเล็กๆ ชื่อว่าเกาะลาลู และรอบล้อมด้วยภูเขาเล็กใหญ่สลับกันออกไป ธรรมชาติอันสวยที่ลงตัวนี้จึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

จะเที่ยวนอกเมืองกันทั้งทีก็ต้องเริ่มวันกันแบบเช้าๆ โดยเรานั่งรถไฟความเร็วสูง HSR ไปลงที่สถานีไถจง จากนั้นก็นั่งบัสต่ออีกประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็จะมาถึงที่ท่าเรือ Shuishe Pier ประมาณเที่ยงๆ และจากท่า Shuishe Pier เราก็ลงเรือไปยังท่า Ita Thao Pier เพื่อขึ้นกระเช้าไปที่ Formosan Aboriginal Culture Village อันเป็นแหล่งศึกษาวิถีของชนเผ่าดั้งเดิมและสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน ที่แกสามารถเลือก ว่าอยากไปถ่ายรูปที่หมู่บ้านชนเผ่าเอาบริจิน เดินเล่นแบบได้ความรู้ที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง กระตุ้นอดีนารีนที่เกาะแห่งสวนสนุก หรือสะบัดกระโปรงพริ้วๆ ที่จุดชมวิว

สนุกสนานและทำกิจกรรมตามอัธยาศัยเราก็ย้อนกลับมายังท่าหลักที่ Shuishe Pier เพื่อเช่าจักรยานมาปั่นลัดเลาะเลียบทะเลสาบในช่วงบ่ายแก่ๆ ชมวิวทะเลสาบสีเขียว ท้องฟ้าใสๆ พร้อมกับฮัมเพลง ปั่นไปเรื่อยๆ โดยมีจุดหมายอยู่ที่ Xiangshan Visitor Center หรือศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อชมสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ที่เลียนแบบมาจากแขนของมนุษย์ที่กำลังโอบกอดพื้นดินด้วยความยาว 34 เมตรสูง 8 เมตร โดยภายในมีทำร้านกาแฟให้เราได้นั่งโหลดคาเฟ่อีนเข้าร่างกายกับขนมอีกหนึ่งชิ้นพร้อมชมวิวสุดปัง

เอาจริงที่ Sun Moon Lake มีที่เที่ยวค่อนข้างหลากหลาย มีทางเดินชมวิว มีสตรีทฟู๊ด วัด และอีกมากมาย ถ้าใครมีเวลาเราก็แนะนำให้มานอนค้างสักหนึ่งคืน แต่ถ้าเวลาน้อยมาวันเดย์แบบเราก็ทำได้ และสำหรับทะเลสาบที่สวยที่สุดในประเทศขอบอกว่ามันไม่ได้มีความสวยจนต้องร้องว้าวววว ไม่ได้เว่อร์วังจนต้องฮึมฮัมในลำคอ แต่มันเป็นความสวยที่มีเสน่ห์จากทั้งผืนน้ำ ท้องฟ้า ป่าเขา ที่เราจะค่อยๆ ซึมซับจนจับใจได้ในที่สุด

เรากลับเข้าเมืองมาปิดท้ายว้นที่สามกันที่ Raohe St. Night Market. ย่านสตรีทฟู๊ดยามค่ำคืนที่ท๊อปฟอร์มจนติด 1 ใน 3 ของไทเป เพราะตลอดระยะทาง 600 เมตรไม่ว่าฝั่งขวาหรือฝั่งซ้ายล้วนแล้วแต่เรียงรายไปด้วยร้านอาหารทั้งคาวและหวาน ที่เยอะจนเหมือนกับว่า ยกมาทั้งไต้หวัน ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตลาดกลางคืนที่ควรมาเก็บประสบการณ์ดีๆ ไว้ในความทรงจำ ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้มายืนอยู่ณสถานที่มีอาหารมารวมตัวกันมากที่สุดแห่งหนึ่ง

และนอกจากร้านอาหารหลายร้อยล้านที่นี่ก็ยังมีทั้งร้านดูดวง ฮวงจุ้ย ร้านเสื้อผ้า และตู้คีบตุ๊กตาอยู่หลายร้าน ให้เอาไว้เป็นจุดเดินย่อยอาหารหลังจากอิ่มจนจุกได้ตลอดคืนจนกว่าจะพอใจแล้วค่อยกลับโรงแรมไปนอนพึ่งพุงเอาแรงสำหรับเดินทางต่อพรุ่งนี้ก็ยังได้

Day 4 : Jeufen Old Street / Shifen Old Street / Shifen Waterfall / Chen San Ding

วันสุดท้ายเราขอเริ่มต้นกันที่ Jeufen Old Street เมืองเล็กๆ แต่นักท่องเที่ยวร้อยทั้งร้อยจะต้องรู้จัก เพราะที่นี่คือโลเคชั่นต้นแบบของอนิเมชั่นชื่อดัง Spirited away โดยเฉพาะฉากโรงน้ำชาหมายที่ประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงตามความลาดของหน้าผา แต่ความสวยระดับนี้ก็ยังถูกพูดถึงเป็นเรื่องรอง เพราะจุดเด่นที่สุดของเมืองนี้คือเรื่องของอาหารการกินที่มาแน่นๆ เน้นๆ จนคนช่างกินอย่างเราอยากจะเอาตัวเองบินมาทุกอาทิตย์ เพราะทั้งคาวและหวาน เครื่องดื่ม หรือผลไม้ ก็มีอยู่อย่างเนืองแน่น บางอย่างก็แสนจะคุ้นเคยบางอย่างก็แสนจะแปลกตา

ส่วนพระเอกของทุกอย่างสตรีทฟู๊ดในไต้หวันรวมถึงที่นี่ก็คือเจ้าเมนูเต้าหู้เหม็นที่ส่งกลิ่นตลบอบอวลตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในตลาดจนอดใจไม่ไหวต้องขอลองดูซักหน่อย ส่วนในเรื่องรสชาตินั้นเราไม่ขอตัดสินใดๆ เพราะความอร่อยมันอยู่ที่ตัวใครตัวมัน ดังนั้นถ้าอยากรู้คำตอบ พวกแกต้องจองตั๋วแล้วมาลองเองเท่านั้น

นอกจากอาหารจะดีงามวิวโดดเด่นแล้วพ่อค้าแม่ค้าก็ยังเป็นตัวชูโรงสำหรับตลาดนี้ด้วย เพราะแต่ละร้านพอได้ยินเราพูดภาษาไทยนางก็รีบรัวภาษาไทยกลับมาขายตรงทันทีว่าร้านตัวเองมีของฝากที่แซ่บที่สุดบ้าง เป็นนัมเบอร์วันของไต้หวันบ้าง แบบเคลมกันสุดแรงเกิดและบลัฟสินค้ากันสุดฤทธิ์ จนเรานึกว่ากำลังอยู่ท่ามกลางศึกแข่งชิงจ้าวยุทธภพในการขายของให้คนไทยด้วยภาษาไทยทั้งการพูดและการเขียนโดยชาวไต้หวันเสียอีก ผลของการแข่งขันก็คือเราเลือกซื้อร้านนู้นนิดร้านนี้หน่อยไปเป็นของฝากตามความชอบ ศึกนี้จึงจบปิ๊งแฮปปี้เอนด์ดิ้งทั้งสองฝ่าย

จากจิ่วเฟินเรามาแวะที่ Shifen Old Street ที่นี่คือสถานที่แห่งคำอธิษฐาน เค้าเด่นเรื่องการปล่อยโคม มาถึงที่นี่ก็จะเห็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยโคม เค้าปล่อยกันทุกเวลา ทุกนาที เช้าสายบ่ายเย็นปล่อยหมด ปล่อยกันตามความเชื่อไม่ว่าจะเรื่อง สุขภาพ ความรัก การงาน การเงิน ก็มีให้เลือกปล่อยกันตามสี จะปล่อยทีละสีหรือปล่อยแบบอันเดียวครบทุกมิติก็ได้ แต่มาแล้วไม่ปล่อยโคมก็เหมือนมาไม่ถึง เราเลยขอจัดโครมสีเหลืองที่เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพแบบสีเดียวล้วนล้วนตามประสาคนไม่โลภ (จริงๆคือหลายสีกลัวเทพเจ้าอ่านไม่ทันละอดทุกมิติ)

จากจุดปล่อยโคมเราสามารถเดินลัดเลาะริมน้ำไปยัง Shifen Waterfall ได้ ในเวลาอันสั้น น้ำตกสีเขียวมรกตนี้ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกไนแองการาของไต้หวันเพราะลักษณะของน้ำตกมีรูปทรงเหมือนเกือกม้าและมีน้ำไหลลงสู่อ่างน้ำคล้ายกับไนแองการา แต่เป็นฉบับที่สูงเพียง 20 เมตรและกว้าง 40 เมตร เท่านั้น ซึ่งระหว่างทางเราต้องข้ามสะพานแขวนเพื่อไปยังน้ำตกทำให้ตลอดเส้นทางของการเดินเราสามารถรับลมเย็นๆ ถ่ายรูปเล่น และฟังเสียงลำธารเพื่อเพิ่มเติมความสดใสก่อนไปยืนใกล้ๆ ให้ได้รูปคู่กับน้ำตก

อิ่มเอมกับธรรมชาติ วัฒนธรรม และความเชื่อ จากนอกเมืองแล้ว เราขอมาปิดทริปไต้หวันแบบฟินๆ ที่ร้าน Chen San Ding ร้านชานมไข่มุกที่เราต้องมากินทุกครั้งเมื่อมาไต้หวัน ร้านตั้งอยู่ใกล้กับ Gongguan Night Market ที่นี่เป็นร้านดังที่มีเมนูให้เราเลือกอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น แบบใส่นมไม่ใส่นม แบบใส่กาแฟ แบบผสมน้ำผลไม้แ บบใส่เฉาก๊วย หรือแบบ Original ใส่ไข่มุก แต่ที่เรามักจะสั่งกินอย่างน้อยหนึ่งแก้วเสมอก็คือชานมไข่มุกแบบ Original เพราะเจ้าชานมหอมหวานกำลังดี ส่วนตัวไข่มุกนั้นนุ่มหนึบหนับและหวานหอมเคี้ยวเพลินจากการที่เขาใช้น้ำตาลทรายแดงแช่ไข่มุกจนได้รสชาติที่หวานถึงเนื้อใน เท่าๆ กันทุกลูก เป็นการจบทริปสี่วันสามคืนที่เรียกได้ว่าแฮปปี้เอนดิ้งแบบสุดสุด

เย้!!! เป็นไงบ้างกับการเที่ยวไต้หวันแบบมีธีมของเรา เราเชื่อว่ามีหลายคนที่นั่งนับให้ถึงวันเดินทางของตัวเองไวๆ เพื่อจะได้มีความสุขกับการได้เดินทาง แต่จริงๆ แล้วเราสามารถมีความสุขกับมันได้ทันที เพียงแค่ลองคิดทำอะไรใหม่ๆ ให้มันต่างไปจากเดิม เช่นเราที่ลองหาธีมการแต่งตัวมาเป็นสีสัน ทำให้รู้สึกว่าความสนุกในทริปนี้มันเริ่มตั้งแต่ก่อนออกเดินทางซะอีก ยิ่งพอกลับมาแล้วได้เห็นภาพที่ถ่ายไว้ยิ่งรู้สึกยิ้มกว้างกว่าที่เคยได้อีก ฃ คราวหน้าถ้าพวกแกจะเดินทางลองหาไอเดียเพิ่มความสนุกใหม่ๆ กันด้วยล่ะ จะได้รู้ว่าความสนุกน่ะมันไม่ใช่แค่การไปหาเอาระหว่างเดินทาง แต่มันเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากตัวของเราเองเลยนี่ล่ะ