เมื่อพูดถึงกระบี่สิ่งแรกที่หลายคนมักนึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้นทะเล แต่สำหรับกระบี่ครั้งแรกของเรารอบนี้ขอเน้นไปที่การพักผ่อนแบบชิวๆ นั่งดื่มด่ำกับธรรมชาติสีเขียวของฤดูฝนให้เต็มอิ่ม เราจะออกไปทำกิจกรรมที่แบบว่าถ่ายรูปลงโซเซียลแล้วเพื่อนทักมาถามว่า เฮ้ยแกร!! นี่แกไปกระบี่จริงๆ ใช่ไหม เราจะพายคายัค ลัดเลาะหาของอร่อยจากร้านดังและคาเฟ่สุดชิค แวะชมความงามของธรรมชาติแบบอันซีนที่ท่าป้อม เข้าวัดเข้าวา แล้วก็ไปทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ ใช้เวลาช้าๆ เรื่อยๆ ที่รีสอร์ทสุดน่ารักใกล้อ่าวนางอย่าง Deevana Krabi Resort แล้วแกจะรู้ว่าการเที่ยวหน้าฝนในแง่มุมที่แตกต่างจากกระบี่ที่เคยรู้เคยสัมผัสมันก็ดีงามน่าสนใจไม่แพ้กันเด้อ …
“กระบี่ เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก” คำขวัญจังหวัดสั้นๆ แต่ได้ใจความที่สุดเพราะทุกอย่างตรงตัวแบบไม่ต้องพูดเยอะ ที่นี่เป็นจังหวัดที่รายล้อมไปด้วยหุบเขา ทะเล หมู่เกาะ และน้ำตก อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันหลากหลาย อาหารการกินก็ไม่ต้องกังวลใจมีให้เลือกเยอะมากกินได้ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ จนเราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติถึงอยากมาสัมผัสเสน่ห์ของกระบี่กันมากมายขนาดนี้ นอกจากเสน่ห์ที่น่าสัมผัสแล้วการจะมาเที่ยวที่กระบี่ก็ง่ายนิดเดียว แบบมันง่ายกว่าไปเม้นสเตตัสคนที่แอบชอบซะอีกแก เราสามารถบินตรงมาลงกระบี่แบบใช้เวลานิดๆ เพียงชั่วโมงหน่อยๆ เท่านั้น มีหลายสายการบินให้เลือก หรือถ้าใครไม่ชอบนั่งเครื่องอยากซึมซับธรรมชาติรอบตัวระหว่างทางก็มีรถทัวร์บริการเหมือนกันนะเออ
เราบินเชิดๆ เลิศ มาลงที่สนามบินกระบี่ แล้วใช้บริการรถรับ-ส่ง ของรีสอร์ทไปยังที่พักของเราในทริปนี้ ซึ่งนั่งรถเพลินๆ ชมวิวไปพลางๆ เพียงครึ่งชั่วโมงจากสนามบินเราก็มาถึง Deevana Krabi Resort ที่พักสำหรับทริปกระบี่ในครั้งนี้ รีสอร์ทตั้งอยู่บนเนินเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวดูแล้วสดชื่น อยู่ในทำเลที่ดี ไม่ไกลจากอ่าวนางและหาดนพรัตน์ธาราที่เป็นหาดดังของกระบี่ แถมยังใกล้กับตลาดคนเดินอ่าวนาง ใกล้สถานบันเทิง รวมถึงร้านอาหาร เรียกได้ว่าเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของความเจริญ คอนเซ็ปของที่นี่ให้ฟีลเหมือนกำลังพักผ่อนอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงย่านอ่าวนาง ที่มองไปทางไหนก็จะเห็นการตกแต่งด้วยรูปปลาซะส่วนใหญ่ ขนาดป้ายบอกทางไปแต่ละห้องก็ยังเป็นรูปไม้พายของชาวเล ซึ่งทำให้ทุกย่างก้าวในรีสอร์ทนี้มันมีกลิ่นอายเป็นเอกลักษณ์เอามากๆ
พอได้เดินไปเช็คอินที่ Lobby ก็ทำให้เราได้เห็นการตกแต่งที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตัว Lobby เป็นโถงสูงโปร่งดีไซน์ทันสมัย ผนังเป็นบานกระจกขนาดใหญ่ มีม่านกั้นแสงในวันที่แดดแรง แต่สำหรับวันที่เราไปนั้นเจอแต่ฝนตั้งเค้าว่าจะตกอยู่ตลอด ทำให้บริเวณนี้มีลมพัดถ่ายเทได้ดี รู้สึกไม่เหนียวตัวแม้อยู่ใกล้ทะเล ส่วนพื้นนั้นเป็นปูนขัดมันที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองสไตล์ของรีสอร์ท เรานั่งเอนกายทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายรอพนักงานเอากุญแจห้องและน้ำตะไคร้มาเสิร์ฟ แล้วจึงออกเดินไปสำรวจส่วนอื่นๆ ของรีสอร์ท
ที่นี่มีห้องพักให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ รวม 66 ห้อง เราเลือกพักแบบ Grand Deluxe ซึ่งอยู่ชั้นล่างไม่ไกลจาก Lobby ห้องพักขนาดกำลังดีไม่เล็กจนอึดอัดและก็ไม่ใหญ่จนอ้างว้าง ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลเทา แต่งแต้มด้วยหมอนสีฟ้าที่ทำจากผ้าบาติค เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นไม้อย่างดี ดูเรียบแต่ล้วนมีเสน่ห์ เราชอบรูปงานศิลป์ตรงผนังเหนือหัวเตียงมากเป็นรูปเรือหางยาวบนพื้นไม้ที่ดูไม่จำเจเหมือนภาพติดผนังทั่วไป อีกทั้งยังให้อารมณ์ความเป็นกระบี่ได้อย่างชัดเจน ส่วนอีกอย่างที่ปลื้มเห็นแล้วอมยิ้มไม่แพ้การดีไซน์การตกแต่งของห้อง ก็คือของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้ แต่ละวันก็จะแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่มักเป็นขนมไทยท้องถิ่นที่หากินได้ยาก อย่างของเราเป็นขนมเต้าส้อขนมมงคลขึ้นชื่อที่ได้ชิมแล้วจะติดใจ อีกหนึ่งฟังก์ชั่นของห้องแบบ Grand Deluxe ที่ทำให้เรารู้สึกพรีเมียม คืออ่างอาบน้ำทรงกลมสีขาวตรงระเบียงห้องนี่แหละ
นอกจากห้องแบบ Grand Deluxe แล้ว Deevana Krabi Resort ยังมีห้องที่เหมาะกับการพักแบบ Family เพราะมีพื้นที่ในการใช้สอยที่กว้างกว่า นั่นคือห้องแบบ Duplex ดีไซน์ของห้องคล้ายกันต่างตรงที่ห้องนี้จะมีบันไดขึ้นไปชั้นบนได้ แยกสัดส่วนของห้องนั่งเล่นและห้องนอนไว้อย่างชัดเจนดี ทีวีแอลซีดีขนาด 40 นิ้ว ก็มีทั้งชั้นบนชั้นล่าง ถ้าแฟนจะเชียร์เชลซีแต่เราจะดูเมีย2018 ก็หมดปัญหาบอกนางให้ย้ายไปดูชั้นล่างได้เลยจ้า ส่วนเรื่องราคานั้นก็แตกต่างกันนิดหน่อยใครชอบแบบไหนก็เลือกให้แมทช์กับเงินกระเป๋าพวกแกได้เลย
จากห้องที่เราพักพอเปิดประตูรั้วก้าวเท้าเดินออกไปสามก้าวก็จะเจอกับสระว่ายน้ำสีฟ้าสดใสมีชื่อน่ารักว่า Pakarang โดยรอบสระก็มีเตียงหวายให้นอนเล่น ใครจะสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ จาก Pool bar มาจิบสักแก้ว แล้วทิ้งตัวลงนอนพร้อมแว่นกันแดดแอบใช้หางตาส่องหนุ่มก็ย่อมได้ หรือใครอยากเฮฮามากับแก๊งค์เพื่อนจะจูงแขนกระโดดลงสระเตะขาแช่น้ำไปมาก็ไม่ผิดกติกา แต่ถ้าสระเดียวมันยังไม่หนำใจแนะนำให้เดินไปอีกโซนของรีสอร์ทแกก็จะเจอกับอีกสระ Boat Bar ที่ขนาดพอๆ กัน มีทั้งร้านอาหารและบาร์เล็กๆ ให้ลูกค้าสำหรับสั่งเครื่องดื่มมาดริ้งได้ยามค่ำคืนด้วย เรียกได้ว่ามีครบจนแทบไม่ต้องกระดิกตัวไปไหน อารมณ์แบบทานดินเนอร์เสร็จก็สั่งไวน์มาจิบต่อแบบสวยๆ เก๋ๆ ได้เลย
หลังจากเดินสำรวจรีสอร์ทเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางไปเที่ยวกันที่โลเคชั่นแรก ท่าปอมคลองสองน้ำ โดยท่าปอมเป็นชื่อของคลองสายสั้นๆ ที่มีต้นน้ำเป็นน้ำผุดมาจากภูเขาหินปูนที่มีสารแคลเซีมคาร์บอเนตอยู่เลยทำให้น้ำที่นี่มีสีฟ้าใสกิ๊งราวกับกระจก ถ้าวันไหนแดดดีก็จะทำให้เรามองทะลุผืนน้ำลงไปถึงดินชั้นล่างทำให้เห็นหินและรากไม้ของต้นไม้ในป่าพรุได้อย่างชัดเจน ยามใดที่น้ำทะเลขึ้นน้ำทะเลจะไหลเข้ามาในคลองทำให้คลองกลายเป็นน้ำเค็ม มีปลาทะเลว่ายเข้ามาหาอาหารในคลอง และว่ายกลับออกไปอีกทีในตอนที่น้ำทะเลลง จากการที่น้ำทะเลขึ้นลงเรื่อยๆ วนไปวนมาแบบนี้แหละ ทำให้ท่าปอมเป็นทั้งคลองน้ำจืดและคลองน้ำเค็มจนได้ชื่อว่า “ท่าปอมคลองสองน้ำ” นั่นเองแก และสิ่งที่งดงามริมธารน้ำใสไหลเย็นของคลองท่าปอมที่เราชอบ คือรากไม้ที่คดเคี้ยวแตกแขนงอยู่ใต้น้ำ มันดูอเมซิ่งและสวยมาก ยิ่งพออยู่กับน้ำใสๆ แบบนี้แล้วมันลงตัวมากๆ แบบธรรมชาติได้สร้างสรรค์มาอย่างดีแล้ว
จากท่าปอมเราเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่ HUB CAFÉ คาเฟ่ที่รายล้อมด้วยสวนปาล์ม มีภูเขาหินปูนอยู่ด้านหลัง ตั้งโดดเด่นด้วยดีไซด์สุดแปลกตาที่เราเชื่อเหลือเกินว่าใครขับรถผ่านไปผ่านมาต้องอดไม่ได้ที่จะแวะไปถ่ายรูปเช็คอิน ส่วนบรรยากาศการตกแต่งภายในร้านนั้น จะเน้นเป็นไม้ซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีมุมกระจกบานใหญ่ให้นั่งมองวิวได้เหมือนกัน เมนูในร้านก็มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย ทั้งคาว หวาน น้ำนั่นโน่นนี่สารพัด แต่สุดท้ายเราก็เลือกสั่งแค่ข้าวเหนียวมะม่วงที่เป็นเมนูแนะนำในช่วงนั้นกับลาเต้ร้อนสักแก้วมาลองทานสักแก้ว
จากคาเฟ่สุดชิคเราแวะมาทาน ขนมจีนโกจ้อย ทีเด็ดของกระบี่ที่ห้ามต้องห้ามพลาด ร้านนี้เป็นร้านขนมจีนเก่าแก่อยู่แถวอำเภอเหนือคลอง เปิดมายาวนานหลายสิบปี เห็นร้านเล็กๆ แบบนี้แต่คนแน่นมาก แย่งโต๊ะเก้าอี้กันประหนึ่งเล่นเก้าอี้ดนตรีแบบนั้นเลยแกกก จุดเด่นของร้านก็จะอยู่ที่น้ำยาซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็นน้ำยาใต้ แกงไตปลา น้ำยาป่า น้ำยากะทิ แกงเขียวหวาน หรือน้ำยาปู ทุกอันดูน่ากินมาก ปกติเค้าจะให้สั่งได้ทีละจานราดน้ำยามาเลยในราคา 20 บาท แต่ด้วยที่อยากลองชิมไปซะทุกอย่างเราเลยสั่งน้ำยาแยกใส่ชามมาเพิ่มด้วย มาทั้งทีก็อยากจะชิมให้มันครบๆ
เที่ยวเล่นข้างนอก แวะคาเฟ่ ชิมอาหารท้องถิ่นเสร็จ เราก็กลับเข้ามาพักผ่อนในรีสอร์ทกันต่อ เราเลือกนั่งพักในมุมสุดชิวริมสระอ่านหนังสือสองสามหน้าให้อาหารย่อย ก่อนจะไปเบิร์นเอาไขมันส่วนเกินออกที่ Deevana Plaza Krabi Aonang ฟิตเนสที่อยู่ติดกันกับรีสอร์ทที่เราพักนั่นเอง ที่นี่อุปกรณ์ออกกำลังกายมีให้เลือกเยอะและครบครัน จะเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษก็มีให้เล่นไม่ต้องห่วง หรือจะแค่หยิบฮูลาฮูปมาโยกเอวไปมาเบาๆพร้อมเหล่หนุ่มฝรั่งกล้ามโตก็ยังได้ และสำหรับใครที่เบื่อจากการออกกำลังกายแบบเดิมๆ ที่นี่ก็ยังมี Class Boxing มวยไทยให้ได้ฝึกเล่นกันด้วยเด้อ
ตาม Step ของการมาพักผ่อนที่แท้ทรูนั้น เรามักจะต้องปรนเปรอร่างกายด้วยสปาทุกครั้งไป … และที่ Deevana Krabi Resort ก็มีสปาอย่างดีในเครือ Orientala Spa ไว้บริการ แค่เพียงก้าวเท้าเข้าโซนนี้เราก็จะรู้สึกผ่อนคลายไปกับเสียงดนตรีเบาๆ และกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติที่สร้างให้บรรยากาศดีขึ้นทวีคูณ เราเลือกนวดแบบอโรม่า เน้นผ่อนคลายขั้นสุดด้วยน้ำมันที่มีให้เลือกถึง 5 แบบ โดยก่อนเริ่มนวดจะมีการล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นที่ผสมมะกรูดและดอกไม้ลงไปเพื่อให้เรารู้สึกสบายเท้า จากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วพนักงานก็จะค่อยๆ เร่ิมบรรจงนวด นี่บอกเลยว่าเค้านวดดีมากๆ น้ำหนักมือดี นวดเพลินจนเราเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีพี่เค้าก็มาเสิร์ฟน้ำขิงอุ่นๆ ให้เราดื่มหลังนวดซะแล้ว สำหรับคนที่ชอบนวดแบบไม่หนักเกินไปไม่ชอบดัดแขนดัดขาดัดการนวดอโรม่านี่แหละคือคำตอบที่เริ่ดที่สุด แนะนำจ้าาาาาา …
เช้านี้เราขอเริ่มต้นชิลๆ กับอาหารบุฟเฟ่ห์ที่ให้บริการ ณ ห้องอาหารชาวเล อาหารเช้าที่นี่มีความหลากหลายไม่แพ้ที่ไหน มีทั้งสลัดสำหรับคนรักสุขภาพ ซีเรียลกับนมสำหรับเด็ก ขนมปัง แยม เนย นม น้ำผลไม้ อาหารคาว อาหารว่าง สารพัดเมนูไข่ เรียกว่ามาหมดทั้งไทย ทั้งเทศ ฝรั่ง จีน ครบทุกสไตล์ โอ๊ยย แถมยังนั่งกินไปได้ยาวๆ เพราะเค้าเปิดตั้งแต่ 6.30-11.00 เลยแก ส่วนบรรยากาศก็ดี๊ดี โต๊ะนั่งกว้างขวาง อยู่ติดกับสระน้ำสามารถนั่งทานมื้อเช้าไปมองสาวๆ หนุ่มๆ ที่กำลังว่ายน้ำก็ย่อมได้ ฟินทั้งอาหารการกินแล้วยังฟินไปถึงอาหารตาอีกด้วย
อิ่มมื้อเช้าเราก็ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยเราเลือกไปพายคายัคที่ คลองหรูด หรือคลองน้ำใสแห่งนี้ เมื่อก่อนนางคือคลองน้ำจืดสายเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับป่าพรุ เต็มไปด้วยเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ แต่ต่อมาได้มีการก่อสร้างฝายน้ำล้นที่บริเวณกลางลำคลองขึ้น เพื่อชะลอน้ำไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้ง จากลำคลองเล็กๆ และป่าพรุ จึงกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่มีเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ลึกประมาณ 5 เมตร และกลายเป็นสถานที่พายคายัคในปัจจุบัน ระยะทางที่เราจะพายไป-กลับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าใครอยากเล่นน้ำต่อก็ได้เด้อออ
ช่วงแรกที่เริ่มพายเราเป็นบึงกว้างๆ มีตอไม้ใต้น้ำอยู่บ้าง ทัศนียภาพห้อมล้อมไปด้วยป่าสีเขียวและภูเขา พายเรื่อยๆ มาถึงครึ่งทางจะมีทางเข้าสู่ป่า ลัดเลาะเข้าไปตามช่องเล็กๆ น้ำจะใสขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มมองเห็นปลาตัวน้อยและสาหร่ายสีเขียวด้านล่าง จุดนี้ถือว่าสวยและแปลกตามาก บรรยากาศจากบึงกว้างเริ่มแปรเปลี่ยนคล้ายป่าทึบจนไปสิ้นสุดที่ตาน้ำผุด ซึ่งน้ำจะใสกิ๊งเย็นชื่นใจ มองลงไปเห็นถึงพื้นด้านล่างและนี่ก็เลยกลายเป็นที่มาของชื่อคลองน้ำใสนี่แหละจ้า
จากคลองหรูดเราก็มาฟินต่อกับความใสและความเย็นฉ่ำชื่นใจกันที่ คลองสระแก้ว ที่นี่เป็นธารน้ำจืดที่ใสไหลเย็น อยู่ท่ามกลางธรรมชาติของป่าดงดิบและป่าพรุที่อุดมสมบูรณ์ มีความร่มรื่นมาก อากาศสดชื่นเย็นสบาย กิจกรรมก็มีให้ทำหลายอย่างตั้งแต่พายคายัค เล่นน้ำ หรือเช่าห่วงไปลอยตัวกลางน้ำก็ได้ แต่ถ้าใครไม่อยากเปียกเค้าก็มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ได้เรียนรู้เหมือนกันนะ
ท้ายสุดสุดท้ายก่อนกลับกรุง เราแวะมาไหว้พระขอพรกันที่ วัดมหาธาตุวชิรมงคล หรือชาวบ้านในจังหวัดกระบี่เรียกว่าวัดบางโทง เป็นวัดที่สวยงามสะกดตาตั้งแต่ประตูทางเข้าที่ดูแล้วเหมือนว่าเราไม่ได้อยู่ในประเทศไทย จะคล้ายคลึงไปทางพุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระมหาธาตุเจดีย์เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในภาคใต้สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รชกาลที่ 10 มีความสูงถึง 45 เมตร เราไปถึงในช่วงทำวัตรเย็น จึงไม่ได้เข้าไปชมภายในเจดีย์ เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสรอบหน้าจะต้องแวะมาอีกครั้งให้ได้ และสำหรับใครที่มีแพลนไปเที่ยวกระบี่ควรเพิ่มลิสต์วัดนี้เข้าไปด้วย รับรองว่าจะได้รูปสวยๆ จนเพื่อนในโซเชียลต้องมาถามว่าที่นี่ที่ไหนแกร๊
และนอกจากเรื่องราวทั้งหมดที่เอามาแบ่งปันเราเชื่อว่ากระบี่ยังมีที่เที่ยวที่กินที่ชิคอีกเพียบที่รอให้ทุกคนไปพิสูจน์ ถ้าทริปหน้ายังคิดไม่ออกว่าจะไปไหน ส่งรีวิวนี้ให้แก๊งค์เพื่อนแล้วบอกไปว่ากระบี่นี่แหละคือคำตอบ และถ้าจะให้ดีก็ควรพาร่างที่แสนเหนื่อยล้ามาพักที่ Deevana Krabi Resort เพราะนอกจากจะเป็นที่พักราคาไม่แรงแล้ว ยังแสนคุ้มค่าเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีกิจกรรมสนุกๆ ให้ผ่อนคลาย รวมถึงดีไซน์การตกแต่งที่ทันสมัยแต่กลมกลืนกับธรรมชาติ เหมาะสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ยิ่งเป็นวัยรุ่นคูลๆแบบชาวเราแล้ว จะยิ่งชอบที่นี่จนเก็บเกี่ยวความสุขกลับมาเต็มกระเป๋าเลยแกร๊ ….