One Perfect Week in Taiwan

เราไม่แปลกใจเลยที่พาตัวเองมาไต้หวันรอบที่ 5 ในเวลาไม่ถึงสามปี เพราะนี่คือเกาะเล็ก ๆ ที่เที่ยวได้หลายแนว ทั้งอาหารการกินสุดอลัง แหล่งช้อปปิ้งก็ชวนเสียตังค์ ธรรมชาติก็มีให้สัมผัสแบบเต็มตา วีซ่าก็ฟรี ค่าครองชีพก็กำลังงาม สวยครบจบแบบถ้าเป็นนางงามก็คือพร้อมตอบคำถามรอบ 5 คนสุดท้ายแล้วมงลง!!! ส่วนไต้หวันรอบนี้เราก็เที่ยวแบบเยอะ ๆ เน้น ๆ กับ 7 วันสุดปังที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประทับใจที่พร้อมนำมาถ่ายทอดให้พวกเธอฟัง ณ บัดนี้ นี้ นี้ นี้ แชร์โพส แท็กเพื่อน บอกแฟนแล้วค่อยเลื่อนลงไปอ่านนะแกร๊ …

DAY1 : Rainbow Village Taichung — Sun Moon Lake

วันแรกขอเบิกฤกษ์ด้วยสถานที่ที่สดใสใจกลางเมืองไถจง หมู่บ้านสายรุ้ง Rainbow Village หมู่บ้านที่แต่เดิมสร้างขึ้นแบบเรียบๆ เร็วๆ เพื่อให้ทหารของก๊กมินตั๊งและครอบครัวที่ล่าถอยมาจากแผ่นดินใหญ่ และเมื่อผ่านมาในช่วงยี่สิบปีหลังๆ นี้หลายๆ ครอบครัวก็ได้ย้ายออกจากหมู่บ้านไป นาย Huang Yung-Fu ที่ยังอยู่ได้ทำการวาดรูปและระบายสีผนังด้วยสีสันสดใสจนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ที่เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้อย่างมากมาย

ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟไถจงและไม่ใหญ่มากมันจึงเหมาะมากที่จะแวะมาแอ๊บอาร์ตแอ๊บคูล ถ่ายรูปคู่กับเจ้าแมวมีปีก มนุษย์ต่างดาว ตุ๊กตาแม่ลูกดกสีสันสดใสลงโซเซียลบอกเพื่อนทางเฟสที่อยู่เมืองไทยว่าไต้หวันรอบนี้เราไปโผล่ที่ไหนบ้าง ก่อนจะแวะซื้อของติดไม้ติดมือแล้วกลับไปขึ้นบัสได้โดยใช้เวลาทั้งหมดกับนี่ที่ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง …

 

จากไถจงเรานั่งบัสยิงยาวสู่แหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตติดท้อป Five ที่ใครมาใครไปไต้หวันต้องแวะมา Sun Moon Lake ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด โรแมนติกที่สุด และสวยงามที่สุดขอไต้หวัน ภาพผืนน้ำที่โอบล้อมด้วยภูเขา และมีเกาะลาลูเกาะเล็กๆ คอยคั่นกลางทำให้ฝั่งหนึ่งของเกาะมองดูคล้ายพระอาทิตย์ อีกฝากฝั่งหนึ่งดูคล้ายพระจันทร์ ทำให้ที่นี่คงเป็นสถานที่เดียวที่พระอาทิตย์ได้อยู่เคียงข้างพระจันทร์อย่างเปิดเผย นอกจากทิวทัศน์ทางธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรม ร้านค้า ที่พัก วัดวาอารามอีกมากมาย ทำให้มันมีสภาพแวดล้อมที่แสนจะดึงดูดใจเข้าไปอี๊กกกกก ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลภายในทะเลสาบแห่งนี้จึงมีท่าเรือหลักถึง 3 ท่าด้วยกัน คือ Shuishe Pier เป็นท่าที่เราลงรถบัส มีที่พักโรงแรมให้เลือกเยอะ แนะนำให้พักท่านี้เพราะสะดวกในแง่ของการเดินทางไปที่อื่นต่อ ท่าที่สองคือ Xuanguang Pier เป็นท่าที่แวะชมวัดพระถังซัมจั๋งและชิมร้านไข่ต้มใบชาที่เค้าว่าเลิศ ส่วนท่าสุดท้าย Ita Thao Pier เป็นท่าสำหรับขึ้น Cable car และคึกคักไปด้วย Street food โดยแต่ละท่าก็ไปมาหาสู่ด้วยการนั่งเรือข้ามไปข้ามมาแบบง่ายๆ

พอเก็บข้าวของเข้าที่พักเรียบร้อยเราก็ออกมาเช่าจักรยานเพื่อปั่นลัดเลาะเลียบทะเลสาบไปยัง Xiangshan Visitor Center หรือศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไม่ได้ไปเพื่อถามข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราไปเพื่อเดินชมสถาปัตยกรรมแสนมีสไตล์ที่สร้างขึ้นเลียนแบบแขนของมนุษย์ในท่วงท่าที่ดูเหมือนกำลังโอบกอดผืนดิน ด้วยความยาว 34 เมตร สูง 8 เมตร มันจึงเป็นเส้นทางเดินชมทะเลสาบจากมุมสูงสุดชิวของคนทุกเพศทุกวัยเลยแก๊

พอคืนจักรยานเสร็จเราก็นั่งเรือเอาหน้ารับลมจาก Shuishe Pier ไปยัง Ita Thao Pier เพื่อไปขึ้น Ropeway ชมวิวสวยงามระดับมิชลิน โดยมีจุดมุ่งหมายไปที่ Formosan Aboriginal Culture Village ที่นี่คือแหล่งศึกษาวิถีชีวิตของชนเผ่าดั้งเดิมและสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน บนพื้นที่ถึง 400 ไร่ ซึ่งประกอบไปด้วยสวนยุโรปที่แกสามารถมาวิ่งเล่นสะบัดกระโปรงถ่ายรูปคู่กับเหล่าว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่มักเลือกที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายพรี wedding, หมู่บ้านชนเผ่าเอาบริจิน พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่แกจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองเก้าหมู่บ้านเก้าชนเผ่าแบบอินไซท์ พร้อมรับชมการแสดงจากชาวพื้นเมืองตัวจริง ก่อนที่จะไถลตัวไปเล่นเครื่องเล่นนานาชนิดให้ท้องไส้ปั่นป่วนที่บริเวณเกาะแห่งสวนสนุก

เพลิดเพลินจำเริญใจเลือดสูบฉีดจนทั่วใบหน้าเราก็ลงจากเคเบิลคาร์ตรงกลับมาเดินเล่นหามื้อเย็นทานกันแถว Ita Thao Pier บนถนนที่ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยอาหารแนวสตรีทฟู๊ด แต่ละร้านต่างมีเมนูเด็ดและการจัดร้านที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะของคาวของหวานก็มีให้เลือกตามจริตของแต่ละคน แต่ทีเด็ดที่คนมุงราวกับแจกฟรีคือเมนูเบอร์เกอร์เต้าหู้ที่เค้าเอาเต้าหู้ตุ๋นมาผ่ากลางแล้วจับยัดใส้ด้วยเครื่องเคียงต่างๆ ตามแต่เราจะเลือก ส่วนรสชาตินั้นก็แล้วแต่ลิ้นใครลิ้นมันเพราะฉะนั้นจงมาลองด้วยตัวแกเอง

DAY2 : Sun Moon Lake — Alishan National Scenic Area

สำหรับเราทะเลสาบสุริยันจันทราแห่งนี้ไม่ได้ว้าวจนขนลุก สวยจนต้องร้องขอชีวิต แต่เรารู้สึกว่ามันมีเสน่ห์บางอย่างที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก โดยเฉพาะบรรยากาศช่วงเช้าที่มันดีงามมากพอที่จะทำให้คนขี้เซาอย่างเราสามารถตื่นได้แบบไม่ต้องรอเสียงนาฬิกาปลุก เราออกไปเดินเล่นริมทะเลสาบพร้อมพร้อมกับมองซ้ายมองขวาหามื้อเช้ากินพอกรุบกริบ และเดินเล่นต่ออีกนิดหน่อยแบบสโลว์ไลฟ์ที่ละทิ้งแล้วซึ่งความเร่งรีบทั้งปวง เก็บเกี่ยวบรรยากาศให้ได้มากที่สุดก่อนจะมองนาฬิกาและกล่าวลา สุริยันและจันทรา เพื่อมุ่งหน้าสู่ Alishan ด้วยรถบัส ที่มีสองรอบต่อวัน คือ 8.00น.และ 9.00น.

หลังจากผ่านทางโค้งเลี้ยวขึ้นเขาเป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง เราก็เดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติภูเขาอาลี Alishan National Scenic Area ที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางใต้ของไต้หวันที่เมืองเจียอี้ อีกหนึ่งสถานที่สุดฮิต (อีกแล้วครับท่าน) ที่ไม่ควรพลาด เราไม่รอช้ารีบเช็คอินเก็บข้าวของเข้าที่พักแล้วออกมาซึมซับบรรยากาศตรงหน้าอันชุ่มฉ่ำและเต็มไปด้วยหมอก โดยแพลนของเราในวันนี้คือการเดินไปชมวิวไปบนหนึ่งเส้นทางจากหลายหลายเส้นทางของภูเขาลูกนี้ ซึ่งก็คือการเดินจาก Alishan Station ไป Zhaoping Station แล้วก็เดินต่อไป Sacred Tree Station ที่กินระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ก่อนจะจบเส้นทางด้วยการนั่งรถไฟสีแดงฝ่าดงหมอก สูดไอดินดมกลิ่นหญ้า ลัดเลาะผ่านป่าสนเขียวชอุ่มที่ขนาบสองข้างทาง และวกกลับมาที่ Alishan Station ที่เดิม

อย่าพึ่งอึ้งกิมกี่ช็อคไปกับการที่ เราอธิบายว่าเดินชิวๆ และตบท้ายด้วยคำว่า 5 กิโลเมตร เพราะบนเส้นทางที่ดูเหมือนจะยาวไกลนี้มันเต็มไปด้วยต้นไม้หน้าตาสวยงามชวนแวะถ่ายรูป ก้อนหินก้อนโตที่ชวนให้นั่งพักผ่อน มุมสงบๆ ที่ชวนให้เดินเอื่อยเฉื่อย และมุมสุดเก๋ที่ชวนให้ตื่นเต้น กลางป่าสนที่ถูกหมอกปกคลุม และหยดน้ำบนยอดหญ้า คือบรรยากาศชั้นดีที่จะทำให้แกดึงความเหนื่อยล้าออกเป็นอย่างสุดท้าย ส่วนใครจะนั่งรถไฟกลับต้องกะเวลาให้ดีนะเพราะจาก Sacred Tree Station รถไฟรอบสุดท้ายที่กลับ Alishan Station คือ 16.30 น. ถ้าพลาดก็คือต้องเดินกลับ คราวนี้แหละที่แกจะได้พบกับความเหนื่อยที่แท้จริง อิอิ

ก่อนกลับโรงแรมไปนอนซุกตัวในผ้าห่มนอนเล่นมือถือโลดแล่นในโซเชียว ยามเย็นแบบนี้เราเลยขอเติมพลังกันที่ร้านชาบู ร้านเดียวที่ตั้งอยู่ในโซนร้านอาหารร้านขายของฝากเพื่อเพิ่มความอุ่นกันซักหน่อย กับเซทเมนูที่มีน้ำซุปให้เลือกแบบหลากหลาย ก็เป็นอันจบวันแบบสวยงามตามสโลแกน กินอิ่มนอนอุ่นหุ่นไม่เกี่ยว จ้าาาาาาา

DAY3 : Alishan National Scenic Area — Xiangshan Elephant Moutain

เช้าวันที่สามวันที่เราเริ่มต้นการเดินทางแบบง่วงที่สุดในชีวิตเพราะเราต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เตรียมตัวนั่งรถไฟจาก Alishan Station ขึ้นไปยัง Zhushan Station เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น เมื่อมาถึงด้านบนจะมีจุดชมวิวหลักๆ ด้วยกันสองจุดคือ Zhuzhan Viewing Lot จุดชมวิวที่ห่างจากสถานีไม่กี่ก้าว จึงทำให้ที่นี่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ส่วนอีกจุดก็คือ Ogasawata Mountain Viewing Lot จุดชมวิวที่ต้องเดินขึ้นเนินในระยะที่พอจะเรียกเหงื่อได้ เมื่อแสงแรกพ้นยอดเขากระทบกับยอดไม้เรืองรองหยอกเย้าสายหมอกทุกความเหนื่อยจะได้รับการบรรเทาและตอบคำถามที่ว่าการตื่นตีสี่เพื่อมาชมพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่ทุกเมื่อมันคุ้มมากจริงๆ มันสวยจนอยากบอกต่อ นี่ขนาดว่าเราได้เจอหมอกเพียงเล็กน้อยเรายังรู้สึกว่าโชคดีที่ได้มาแล้วถ้าแกโชคดีได้เจอทะเลหมอกล่ะ คิดดู มันจะฟินกว่าเราขนาดไหน

หลังจากอิ่มฟินกับวิวที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เวลาเดินกลับมาหาอะไรเบาๆ รองท้องก่อนจะนั่งรถไฟกลับจาก Zhushan Station มาที่ Alishan Station เพื่อเข้าโรงแรมเก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อขึ้นรถบัสไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูง HSR Chiayi ให้ทันรอบ 10:40 มิเช่นนั้นหากพลาดรอบนี้ไปแล้วจะมีอีกรอบหนึ่งคือตอนบ่ายสองเลยจ้า ในขณะที่รถบัสค่อยค่อยเคลื่อนตัวออกจากสถานีเราก็ได้พบคำตอบแล้วว่าทำไมอาลีซานจึงเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตลอดทุกช่วงเวลา นั่นก็เพราะว่ามันคือสถานที่ที่เราจะได้พักผ่อนแบบใกล้ชิดธรรมชาติโดยไม่ต้องฝืนเหนื่อยมากจนเกินไป ใครสายธรรมชาติถ้าได้มาก็ต้องชอบกับความอลังการ ยิ่งใครสายชิวชอบเที่ยวแบบเดินไม่เยอะไม่เหนื่อย แต่ก็ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติที่นี่คือตอบโจทย์มาก

จากสถานีรถไฟความเร็วสูง Chiayi ประมาณชั่วโมงครึ่งก็มาถึงกรุงไทเป เรารีบเก็บของเข้าที่พักแล้วมุ่งสู่ปลายทางสถานที่เช็คอินเย็นนี้ของเรา Xiangshan Elephant Moutain เขาเซี่ยงซานหรือเขาช้าง จุดชมวิวยามเย็นที่เรียกได้ว่าฮอตในฮอตฮิตในฮิตของจริง เพราะในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นมายังภูเขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแถบชานเมืองไทเปแห่งนี้แบบถ้าเป็นน้ำก็เรียกได้เลยว่าเป็นสาย ส่วนมากคนนิยมขึ้นมาถ่ายรูปกับเมืองไทเปและตึกไทเป101 สัญลักษณ์ของเมืองไทเป เส้นทางปีนเขาช้างนี้เกือบทั้งหมดจะเป็นบันไดตลอดตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดจบที่แม้ว่าจะกินระยะทางเพียง 500 ถึง 600 เมตรเท่านั้น แต่ย้ำกันอีกครั้งว่าทุกก้าวเดินคือการเดินขึ้นบันไดมันจึงเป็นครึ่งกิโลเมตรที่สาหัสสำหรับคนไม่ค่อยออกกำลังกาย เราจึงใช้เวลาเดินขึ้นถึง 30 นาที ในขณะที่คนอื่นๆ ใช้เวลาเพียง 15- 20 นาที เท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วเวลาก็ไม่สำคัญเท่าปลายทางเอาเป็นว่าเราเดินมาถึงยังจุดหมายและได้เห็นภาพพระอาทิตย์ตกลงในเมืองข้างตึกไทเปแบบไม่ต้องเสียงเงินค่าเข้าแม้แต่บาทเดียวจ้า นับว่าคุ้มค่าดีงามแบบกราบเรียนเชิญคนไทยที่จะมาไต้หวันให้มาปีนดูซะ

DAY4 : Jiufen — Houtong Cat Village — Shifen

เริ่มต้นวันกันแบบคึกคักเหมือนลืมตาตื่นมากลางเยาวราชที่ Jiufen เมืองเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่บนภูเขา เราจึงสามารถชมวิวทะเลไปพร้อมพร้อมกับภูเขาได้ไกลแบบสุดลูกหูลูกตา จนกลายมาเป็นสถานที่ต้นแบบของอนิเมชั่นเรื่องดัง Spirited Away โดยเฉพาะฉากโรงน้ำชาไม้ ที่ถูกประดับประดาด้วยโคมไฟสีแดงเรียงรายลดหลั่นกันตามความสูงของหน้าผาคือฉากที่ทำให้ความป๊อบของที่นี่ระเบิดระเบ้อขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในหมู่ของนักท่องเที่ยวชาวจีนญี่ปุ่นรวมถึงคนไต้หวันเองด้วย

นอกจากวิวทิวทัศน์จะสวยงามแล้ว จิ่วเฟิ่นยังโด่งดังในเรื่องของอาหารการกินเพราะตลอดสองข้างทางบนถนนเส้นหลักจะเต็มไปด้วยร้านอาหารท้องถิ่นซึ่งมีร้านขายของกินเยอะชนิดที่ว่าหากลื่นล้มไปด้านหน้า ด้านซ้าย ด้านขวา หรือด้านหลัง ถ้าไม่โดนคนเหยียบก็สามารถหยิบของกินเข้าปากได้ คือมันอลังการสมเป็นสวรรค์ของคนรักการกินอย่างแท้จริง ส่วนเมนูที่เราอยากให้แกได้ลองก็จะมีไอศครีมที่ใส่ถั่วตัดเพิ่มความกรุบกรอบก่อนจะปิดท้ายด้วยผักชีใบเขียว อาหารที่หน้าตาดูขัดกันนี้กลับมีรสชาติดีกว่าที่คิด และอีกหนึ่งเมนูที่ดูคล้ายกับบัวลอยบ้านเรา แต่ตัวแป้งของบัวลอยจะมีความหนึบๆ เหนียวๆ เคี้ยวเพลินดี ที่นี่ยังมีเมนูอีกมากมายแต่เราก็คงไม่สามารถชิมมาเผื่อได้หมดทุกเมนูเพราะต่อให้อยู่อีกเป็นอาทิตย์ก็ไม่แน่ว่าจะกินครบทุกร้านหรือไม่ เพราะฉะนั้นแกควรมาลองแล้วบอกต่อด้วยว่าอันไหนแซ่บครั้งหน้าเราจะได้ไปลองกินตามแกดูบ้าง

จากจิ่วเฟินเรานั่งบัสต่อมายัHoutong Cat Village ที่นี่คือดินแดนที่มีแมวมากกว่า 100 ตัวหลากสีสันหลาย 10 ชนิดอยู่กระจัดกระจายตามถนนหนทางและร้านค้าต่างๆ โดยแต่เดิมเขาเล่าว่าหมู่บ้านนี้เคยเป็นเหมืองเก่า ลูกหลานส่วนใหญ่ก็หนีไปทำงานในเมืองกันหมดเหลือแต่คนเฒ่าคนแก่เฝ้าบ้าน ด้วยความเหงาคนแก่เค้าจึงเลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อนซึ่งเลี้ยงกันเกือบทุกบ้าน แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็ได้มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปแมวที่นี่อัพขึ้นโซเชียลจนสุดท้ายก็กลายเป็นแหล่งเที่ยวของคนรักแมวจากทั่วทุกสารทิศ จากหมู่บ้านเหงาๆ ที่มีแต่คนแก่แห่งนี้ก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง และถ้าแกเป็นทาสของเจ้าสี่ขา ขนปุย แล้วฝันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้ไปยืนงงในดงน้องเหมียว แกต้องไม่พลาดที่จะมายังหมู่บ้านแมวหูต่งแห่งนี้เด้อ

พื้นที่ของหมู่บ้านแมวจะมีด้วยกัน 2 ฝั่ง เชื่อมด้วยทางเดินรูปแมว ที่นี่เต็มไปด้วยร้านขายของฝาก ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ซึ่งแต่ละร้านก็จะบรรจงเรียกแขกด้วยการเพ้นท์ผนังร้านเป็นรูปน้องแมวในอิริยาบถต่างกันออกไป คนรักแมวจะเพลิดเพลินมาก ถ่ายรูปหนักมาก ยิ้มไม่หุบหนักมาก เพราะไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะเห็นความน่ารักของนุ้งแมวแบบยิ้มไม่หุบ นอกจากจุดเด่นจะเป็นแมวแล้วหมู่บ้านแห่งนี้ยังถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาแถมตรงกลางยังมีแม่น้ำไหลผ่าน วิวก็ไม่ต้องพูดถึงมันดีงาม ทุกอย่างจึงล้วนดูน่ารักชวนให้พูดเสียงสองด้วยตลอดเวลา ขนาดเราพิมพ์ไปยังเผลอคิดในใจเป็นเสียงเล็กๆ ให้ดูน่ารักเลยอ่ะแก๊

หลังจากเกือบตายอย่างสงบศพสีชมพูที่หมู่บ้านแมวเราก็พาร่างมาต่อกันที่ Shifen Old Street ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางของคนที่อยากมาอธิฐานขอพรด้วยการปล่อยโคมลอยที่มีหลากสีให้เลือก ซึ่งแต่ละสีก็สื่อถึงการขอพรในเรื่องที่ต่างกันออกไป เช่น ความรัก สุขภาพ การงาน การเงิน แต่สำหรับคนอย่างเราที่มีความต้องการมากมายเหลือล้นก็จัดโคมไฟแบบหลากสีในหนึ่งอัน ไหนๆ จะปล่อยทั้งทีก็ขอพรให้ครบทุกมิติในครั้งเดียวไปเลยยยย

ม่ไกลจาก Shifen Old Street มากนัก แบบเดินไหว จะมี Shifen Waterfall น้ำตกที่ได้ขึ้นชื่อว่าน้ำตกไนแองการ่าของไต้หวัน เพราะตัวน้ำตกมีลักษณะโค้งเป็นรูปเกือกม้าและมีน้ำไหลลงสู่แอ่งน้ำขนาดใหญ่คล้ายกับน้ำตกไนแองการ่าแบบมินิที่มีความสูงเพียง 20 เมตรกว้าง 40 เมตร ด้วยความสวยงามบวกกับเดินทางสะดวกที่นี่จึงได้รับความสนใจจากนักเดินทางที่อยากมาเดินเล่นและสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแบบง่าย

DAY5 : Yangmingshan National Park – Yehliu Geopark – Raohe St. Night Market

ไอสไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ วันที่ห้าเราเลยจะพาพวกแกเริ่มต้นแบบสบายๆ ชิวๆ ออกไปใช้จินตนาการที่มีมากกว่าความรู้อยู่แล้วให้เป็นประโยชน์กันที่ Yehliu Geopark อุทยานหินทรายซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของเมืองนิวไทเป ที่นี่มีลักษณะเป็นแหลมทอดยาวออกไปในทะเลที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นลมจนถูกกัดกร่อนเป็นเวลานับ 1,000,000 ปี จากภูเขาใหญ่ที่ราบเรียบในวันนั้นก็ค่อยๆ แปลเปลี่ยนเป็นผืนแผ่นดินรูปทรงแปลกตาในวันนี้

จากปากทางเข้าเราก็จะได้เห็นน้ำที่หยดลงหินจนเกิดคำถามว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนแต่หัวใจอ่อนๆ ของเธอทำด้วยอะไร ผิด!!! จนเกิดคำถามว่าหินธรรมดาธรรมดาเหล่านี้มันจะดูเหมือนเป็นรูปอะไรได้บ้าง ซึ่งจากที่เราสังเกตนักท่องเที่ยวหลายหลายคนที่มาเดินเล่นที่นี่ก็จะชี้ชวนกันดูพร้อมส่งเสียงหัวเราะ ตื่นเต้นเหมือนเด็กอนุบาลที่ได้เข้าสวนสัตว์เป็นครั้งแรก โดยเฉพาะกลุ่มหินที่มีชื่อเสียงก็จะยิ่งมีคนไปเดินดูหลายหลายมุมแล้วช่วยกันคิดว่าทำไมมันถึงได้ชื่อนี้มา เช่น หินไอศครีม หินทะเลเทียน หินช้าง แต่ที่โด่งดังมากที่สุดก็คือหินเศียรราชินีที่สวยงามโดดเด่นสมชื่อราชินีจริงๆ แต่ถ้าถามเราว่าหินแต่ละก้อนมันสวยอย่างที่ชื่อเขาตั้งไว้หรือไม่ แกก็ต้องมาลองใช้จินตนาการของแกเองดูจะดีที่สุด

ช่วงบ่ายเราไปเดินเล่นกันที่ Yangmingshan National Park ที่ที่เหมาะกับคนเวลาจำกัดแต่อยากสัมผัสธรรมชาติของไต้หวันแบบไม่ต้องเดินทางออกนอกเมืองไปไกลมาก และมีกิจกรรมต่างๆ ให้เลือกทำหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเดินป่า ชมบ่อน้ำร้อน ชมนกชมไม้ ชมดอกซากุระในช่วงกุมภาพันธ์ ชมดอกกุหลาบ 1000 ปีสีขาวช่วงเดือนสิงหาคม ชมสายรุ้งในช่วงฤดูฝน ชมเมฆหมอกในฤดูหนาว และชมวิวภูเขาไฟที่ดับไปแล้วแต่ยังมีไอร้อนพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นกำมะถันที่ Xiaoyoukeng  ส่วนความตั้งใจของเราคือขึ้นไปที่ Qingtiangang ไปเดินลัดเลาะกลางทุ่งหญ้า สะบัดผ้าให้พริ้วไหว หมุนตัวรับไปแดด โบกมือทักทายฝูงควายตรงหน้า แต่ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่าเมื่อสภาพอากาศไม่เป็นใจ ทั้งลมและฝนที่ตกๆ หยุดๆ ทำให้เราต้องตัดใจจากเขาแล้วเดินกลับทางเดิมพร้อมน้ำตาอาบแก้ม

หลังจากตะลอนเที่ยวจนเน็ตเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งวันเราเลยต้องหามื้อค่ำมาเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจกับสตรีทฟู๊ดสไตล์ไต้หวันในตลาดกลางคืนที่เราชอบมากที่สุดในตลาดทุกๆ ที่ที่เคยไปมาในครั้งก่อนก่อน Raohe St. Night Market ย่าน Street Food ยามค่ำคืน ที่ติดท็อป 1 ใน 3 ของไทเป ที่สายชิม สายแดรกทั้งหลายต้องมาล้มตายยกธงขาวกันที่นี่อย่างมากมาย เพราะตลอดระยะทาง 600 เมตรล้วนเต็มไปด้วยร้านอาหารทั้งคาวหวานที่นับจากนิ้วมือนิ้วเท้าของเราและของเพื่อนคาดว่ามีไม่ต่ำกว่าร้อยร้านแน่นอน และร้านที่เราจะพาไปชิมในครั้งนี้แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ใช่ร้านที่ดีที่สุดอร่อยที่สุด เพราะเราก็ยังชิมไม่ครบทุกร้าน แต่เราก็เลือกด้วยหลักการของสายแดรกง่ายๆ ด้วยการเพ่งเล็งตามจำนวนคนที่ยืนรอเป็นหลัก

แม้ท้องจะหิวแต่เราก็ยังยืนยันว่าจะขอเลือกกินจากร้านที่มีคนมุงเยอะที่สุด เริ่มจากซาลาเปาหมูพริกไทย หรือ Pepper Buns ร้านนี้ถือว่าเป็นร้านดังที่คนต่อแถวรอซื้อยาวสุดของย่านนี้ เพราะซาลาเปาเจ้านี้ไม่ได้อยู่ในซึ้งนึ่งแบบเจ้าอื่นแต่เป็นการอบซาลาเปาให้สุกและกรอบด้วยเตาถ่าน ส่วนถ้าให้เทียบความอร่อยกับระยะเวลาที่ต้องยืนต่อคิวเราว่ายังไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่เพราะไส้หอมๆ ร้อนๆ คือดี แต่แป้งสีน้ำตาลอ่อนอ่อนมันแข็งเวลาเคี้ยวแล้วเมื่อยกราม ส่วนอีกเมนูที่เราจำพิกัดร้านไม่ได้แต่ถ้าแกอยากทานแค่ยืนหายใจลึกๆ แล้วเดินตามกลิ่นเหม็นๆ นั้นไปรับรองว่ายังไงก็จะเจอร้านขายเต้าหู้เหม็นเรียงกันอยู่เป็นแถบๆ การตกแต่งก็จะคล้ายๆ กันเพราะฉะนั้นก็ไปวัดตามบุญกันเอาเองแล้วกันว่าจะได้เจอร้านเด็ดร้านดังหรือร้านพัง นอกจากสองเมนูที่เราแนะนำก็ยังมีอีกหลายอย่างที่น่ากิน ยังไงก็ลองไปกินกันดูเด้ออออ …

DAY6 : Taroko National Park

อีกหนึ่งสถานที่สำหรับคนชอบเที่ยวแนวธรรมชาติแต่เป็นปฎิปักกับความลำบาก เราขอแนะนำให้มาเดินชิวๆ สวยๆ ชมภูเขาหินอ่อนอายุกว่า 200 ล้านปี บนพื้นที่กว่า 1200 ตารางกิโลเมตร กันที่ อุทยานแห่งชาติทาโรโกะ (ไทหลู่เก๋อ) อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวัน ด้วยความกว้างของอุทยานแห่งชาติการเดินทางไปเที่ยวแบบ 2 วัน 1 คืน น่าจะดูเหมาะสมและไม่เหนื่อยจนเกินไป แต่ถ้าใครมีเวลาในไต้หวันไม่มากแต่อยากมาก็ควรจะให้เวลากับที่นี่ 1 วันเต็มๆ ซึ่งการไป Taroko ของเรารอบนี้ก็เป็นแบบ One day trip โดยเริ่มออกจากกรุงไทเปตั้งแต่ 6 โมงเช้า นั่งรถไฟความเร็วสูงไปลงที่ Hualien Station

ความใหญ่โตทำให้ที่นี่มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติหลากหลายเส้นทาง หลากหลายจุดชมวิว ให้เราได้ออกแบบเส้นทางการเดินด้วยตัวเองตามความสนใจและเวลา รวมถึงกำลังวังชาของแต่ละคนว่าจะเลือกแนวชะโงกทัวร์เน้นเก็บแต้มแบบไวๆ ครบๆ หรือจะช้าๆ เน้นๆ เต็มอิ่มไปเรื่อยๆ ก็ย่อมเลือกได้ และสำหรับคนที่มีเวลาจำกัดจำเขี่ยแบบเราแนะนำให้กางแขนยื่นมือไปโบกแทกซี่ จากสถานี Hualien แล้วเหมารถให้คนขับพาไปถ่ายรูปตามจุดที่เป็นแลนด์มาร์คหลักของที่นี่อย่างเช่น Eternal Spring Shrine ศาลเจ้าริมผาที่มีน้ำผุดขึ้นมาจากใต้ดินตลอดทั้งปี จนกลายเป็นลำธารน้ำใส ณ  วัดฉางชุน และเดินต่อไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติแบบง่ายๆ อย่าง Shakadang Trail เส้นทางเดินป่าริมผาที่เลียบไปกับแม่น้ำ และแนวต้นไม้ บนทางเดินปูนที่เค้าลาดไว้อย่างดี แล้วก็ไปเช็คอินที่จุดชมวิวอีกสักสามจุดก็เป็นอันสบายใจมีภาพเช็คอินเก๋ๆ บอกเพื่อนว่าเคยมาไท่ลู่เก๋อแล้วเด้อ

DAY7 : Taipei Fish Market — Chiang Kai Shek Memorial Hall — White Whale Cafe’&Flowers — Huashan 1914 Creative Park — Ximending

และแล้วการเดินทางแห่งความสุขอันยาวนานก็ผ่านมาถึงวันสุดท้ายแต่รับรองว่าไม่ใช่ครั้งท้ายสุดแน่นอน เราเริ่มต้นวันจบกับแบบเบาๆ ที่ Taipei Fish Market เพื่อหามื้อเช้าทานแบบจุกๆ จากโซนต่างๆ ในตลาดที่มีอาหารทะเลให้เลือกเหมือนกับเดินเลือกอยู่ในอควาเลี่ยม เพียงแต่เจ้าพวกเหล่าสัตว์ทะเลที่แกเห็นนี้มันพร้อมที่จะให้แกลิ้มรสความหวานและความสด ที่นี่แบ่งออกเป็นโซนอาหารทะเลสดที่ให้เดินเลือกซื้อง่ายๆ เอากลับไปปรุงเองที่บ้าน โซนบาร์อาหารทะเลให้เราสั่งกินที่บาร์หรือซื้อกลับบ้านก็ได้ โซนซูชิที่มีพ่อครัวยืนเรียงแถวพร้อมหน้าซูชิต่างๆ คอยบริการ โซนอาหารกล่องที่มีอาหารปรุงสำเร็จให้เลือกเองตามชอบ และโซนปรุงอาหารที่ให้เรานำของทะเลที่ซื้อจากโซนแรกมาปรุงสุกกันตรงนี้ หรือจะไปโซนหม้อไฟกับปิ้งย่างก็มีแบบครบๆๆๆๆ แบบที่แกอดใจยากมากที่จะไม่ทำตัวมูมมามไอ้นู่นก็อยากกิน ไอ้นี่ก็อยากลอง

อิ่มท้องก็ไปเดินเล่นกันต่อที่แลนด์มาร์ค Chiang Kai Shek Memorial Hall อนุเสาวรีย์ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อยกย่องอดีตประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค เป็นสถานที่สำคัญที่ต้องมาของเมืองไทเป เหมือนมาเชียงรายแล้วต้องไปเที่ยววัดร่องขุ่นฉันใดมาไทเปก็ต้องมาอนุสรณ์สถานเจียงไคเชกฉันนั้น ส่วนไฮท์ไลท์หลักหลักที่ถ่ายรูปแล้วดูคูลก็จะเป็นซุ้มประตูตรงทางเข้า หินสุดยิ่งใหญ่ กับอาคารสีขาวขาวหลังคาน้ำเงินเข้มที่มีรูปปั้นท่าน เจียง ไคเช็ค อยู่ด้านใน และขนาบข้างด้วย Concert Hall กับ National Theater ให้เราไปยืนแอกอาร์ตแบบเก๋ๆ ในมุมสุดอลังการ

จากแลนด์มาร์คหลักเราก็มาหานั่งเม้าท์มอยหอยกาบแบบออกรสกันที่ White Whale Cafe’&Flowers ที่สวยจนไม่อาจเดินผ่านไปเฉยๆ เพราะมันคือร้านคาเฟ่ที่มาในธีมร้านดอกไม้สีขาวสะอาดตา ตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้สดดอกไม้แห้งนานาชนิด ให้เราได้จิบคาแฟ กินเค้ก เคล้าไปกับกลิ่นหอมของดอกไม้ชวนฝันหวาน

ออกจากคาเฟ่แสนเก๋เรามาต่อกันที่ Huashan 1914 Creative Park ศูนย์ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ในตึกเก่าสุดคลาสสิคที่อดีตเคยเป็นโรงงานผลิตไวน์และบุหรี่ใน สถานที่เดินเล่นของเหล่าวัยรุ่นที่หลงไหลในการถ่ายรูป ชื่นชมงานศิลปะ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยแบบมีคุณภาพในร้านคาเฟ่ และด้วยความที่ที่นี่จัดนิทรรศการหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นแกสามารถกลับมาได้ซ้ำๆ โดยไม่เบื่อเลย แต่หากหิวๆ หรืออยากพักเหนื่อยสบายๆ ก็มีคาเฟ่ ร้านอาหารให้มา

ถ้ายังมีเงินเหลือแล้วขี้เกียจไปแลกคืนแนะนำให้มาละลายทรัพย์ที่ย่าน Ximending แหล่งแฟชั่นฮิปๆ ทันสมัย ล้ำสมัยที่เริ่มขึ้นในยุคที่ไต้หวันอยู่ภายใต้อาณานิคมของจักรวรรดิญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ. 1922 มีการสร้างโรงภาพยนตร์ ร้านคาราโอเกะ รวมถึงห้างสรรพสินค้า จนปัจจุบันมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านคาเฟ ร้านขนม ต่างๆ มาเปิดกันมากมาย และทั้งหมดที่ร่ายยาวมาก็คือเหตุผลว่าทำไมแกควรจะมาย่านนี้ก่อนกลับไทย

ก่อนกลับไทยถ้าท้องไม่อิ่มก็กลัวน้ำหนักจะลดแล้วแม่ทักว่าไม่ดูแลตัวเอง เลยขอแวะชายูเจ้าดังที่ใครมาไต้หวันก็ต้องมาโดน กับเมนูที่เราไปไหนแล้วเจอก็มีอันตรงหลงเดินตามเข้าไปด้วยทุกที Mala Hot Pot ร้านดังที่มีถึง 10 สาขา!!!! เป็นร้านชาบูแบบบุฟเฟ่ต์เต็มอิ่มสองชั่วโมง จัดเต็มที้งหมู เนื้อ ไก่ ลูกชิ้น ทะเล เต้าหู้ เครื่องใน ผัก เห็ด ไข่ ผลไม้ เครื่องดื่ม ขนมหวานฯลฯ คือถ้าจะให้พิมพ์รายการอาหารนี่อาจต้องยกมือขอกระดาษเพิ่มเพิ่มกันเลย ส่วนรสชาติสำหรับคนไทยสายปูปลาร้าอย่างเรายังรู้สึกว่าไม่เผ็ดเท่าไหร่ แต่ก็อร่อยนะชาๆ ตามแบบหม่าล่า อิ่มๆ จุกๆ ปิดทริปแฮปปี้เอนดิ้งกันไป

เยอะคือดี ดีคือเยอะไม่ใช้จะใช้ได้กับทุกสิ่งนาจา แต่ไต้หวันนี้ยกเว้นให้เค้าแบบพิเศษๆ จริงๆ เพราะมันเยอะแต่สิ่งดีๆ จนรอบที่ 5 แบบมา 7 วันเรายังเก็บได้ไม่ครบ สงสัยต้องต่อรอบ 6 รอบ 7 รอบต่อๆ ไปอีกนั่นล่ะ ยืนยัน นอนยัน นั่งยันว่ามันน่าเที่ยว น่ามาเก็บเกี่ยวความสุขความสนุก ทั้งกิน เที่ยว ถ่ายรูป ทั้งชนบท ทั้งในเมืองก็ปัง ปัง ปัง แต่มันจะปังจริงๆ ก็ต่อเมื่อแกไปสัมผัสด้วยตัวแกเองนั่นล่ะ จะลอกแพลนเที่ยวแบบเป๊ะๆ ทั้งดุ้นหรือตัดต่อเปลี่ยนแปลงก็ได้ตามอัธยาศัย รออะไรแพลนดีๆ ก็มีแล้ว กดตั๋วเลงวันลาหาเสื้อผ้าชิคๆ แล้วไปกันจ้าาา