“มัลดีฟส์” แค่ได้ยินชื่อก็สามารถทำให้ก๊วนเพื่อนสาวตาลุกวาว หัวใจเต้นโครมครามสั่นระรัว มโนถึงภาพตัวเองกำลังแหวกว่ายในทะเลสีฟ้าครามอันสดใส นอนชิคเก๋อยู่บนรีสอร์ตหรูหรากลางน้ำ ก่อนจะฝันสลายเมื่อเพื่อนคนหนึ่งสะกิดให้ตื่นพร้อมกับตะโกนใส่หูว่ามันแพง ใช่แหล่ะ!! เราเองก็เคยคิดมาตลอดว่าเงินในกระเป๋าคงไม่มีโอกาสได้สั่นเพราะงบไม่พอสำหรับที่นี่
แต่วันนี้เราจะมาสร้างความทรงจำใหม่ๆ เกี่ยวกับเกาะที่สวยงามระดับโลกแห่งนี้ เราจะพาพวกแกไปย้อมผิวสีแทน เชยชมประการังและฝูงปลา ก่อนจะนั่งจิบน้ำผลไม้ปั่นสีสันสดใสชมพระอาทิตย์ตกพร้อมกับเพื่อนสาวกันสอง สาม สี่คน แบบไม่ต้องง้อผู้ ในราคาที่แกอดใจไม่ไหวต้องแชร์และแท็กนัดเพื่อนกันแบบรัวๆ ทันที เพราะทริปนี้เราไปมัลดีฟส์ด้วยงบ 20,000 บาท
หลายคนอาจตกใจว่างบ 20,000 บาท ไปมัลดีฟส์ได้จริงหรอ ต้องไปแบบอดๆ อยากๆ ไหม?? เราบอกตรงนี้เลยว่าไม่ แถมงบนี้ยังสำราญเบิกบานใจได้ทำทุกอย่างที่การไปมัลดีฟส์ควรจะทำ แถมกลับมาพร้อมเรื่องราวที่เล่าแล้วใครๆ ก็ต้องอิจฉา แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นเราควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่ามัลดีฟส์คือประเทศ ประเทศที่มีหลายๆ เกาะรวมกัน มีเมืองมาเลเป็นเมืองหลวง แล้วมัลดีฟส์ก็ไม่ได้มีแค่ Water Villa กลางน้ำราคาหลักหมื่นต่อคืนเท่านั้น ยังมีที่พักในเมือง ที่พักบนเกาะที่เดินนิดเดียวก็ถึงชายหาดราคาพันต้นๆ อยู่ด้วย นางมีโซนถูกโซนแพงเหมือนกับประเทศท่องเที่ยวทั่วไป
แน่นอนถ้าหากจะไปมัลดีฟส์ในธีม On a budget คงไม่มีสายการบินไหนจะเหมาะสมกับทริปนี้ไปมากกว่า แอร์เอเชีย อีกแล้ว เพราะนี่คือสายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดในโลกหลายปีซ้อน แอร์เอเชียนางบินตรงจากดอนเมืองไปมัลดีสฟ์ทุกวัน ราคาโปรต่อเที่ยวก็อยู่ที่ประมาณ 2-3 พัน ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งเราแนะนำให้สั่งข้าวล่วงหน้าตั้งแต่ตอนจองตั๋วเลย เพราะนอกจากจะได้ราคาถูกกว่ากินในสนามบินเพียงมื้อละร้อยแล้ว อาหารบนเครื่องเค้าก็อร่อยไม่กะโหลกกะลานะแก และสำหรับใครที่ชอบสั่งอาหารอยู่แล้ว เราเชียร์ให้เลือกซื้อแพ็คเกจ Value pack ไปด้วยเลย เพราะแกจะได้ทั้งอาหาร สิทธิ์เลือกที่นั่ง น้ำหนักกระเป๋า รวมไปถึงประกันในการเดินทางด้
พอทานเสร็จหนังตาหย่อนก็นอนเสียบหูฟังเปิดเพลง “ฮูล้า ฮูลา ฮูลาๆๆ ไปทะเล” ก่อนเผลอหลับและตื่นมาอีกทีตอนเครื่องกำลังจะเตรียมลงจอดบนเกาะที่สวยงามระดับโลก ณ จุดนี้แนะนำให้เบิกเนตรชมวิวอันตระการตาที่ริมหน้าต่าง เพราะมันว๊าวมากจริงๆ กับน้ำทะเลสีครามไล่เฉดตั้งแต่ฟ้าอ่อนไปจนถึงเขียวเข้ม มันสวยเกินกว่าภาพที่เคยเห็นแบบคูณ 10 ซึ่งไม่มีเลนส์ตัวไหนที่ดีเท่ากับตาเราเอง ไม่มีกล้องตัวไหนบันทึกภาพได้ดีเท่ากับความทรงจำ ไม่มีเรื่องราวไหนดีมากกว่าเรื่องราวที่เราได้พบพร้อมๆ กับเพื่อนที่เรารัก และแน่นอนหากอยากได้เห็นมุมดีๆ กับวิวที่เหมาะเจาะที่สุด เพื่อสร้าง First impression ดีๆ กับมัลดีฟส์ แกควรเลือกที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้าย (ถ้าเป็นขากลับให้เลือกที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งขวา)
หลังจากฟินกับวิวดีๆ บนเครื่อง สิ่งแรกที่แกควรทำหลังจากเดินสวยๆ ผ่าน ตม. ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็คือการมองหาซิมการ์ด ซึ่งที่นี่จะมีโลคอลซิมอยู่ 2 เจ้า คือ Oreedoo และ dhiraagu เราซื้อ Oreedoo เพราะถูกว่า ราคา 15 USD เน็ต 4 GB ใช้ได้ 7 วัน สัญญาณโอเค อัพรูป อัพสเตตัส ไลน์บอกพ่อบอกแม่ได้ตลอดเวลา แต่เห็นรีวิวอื่นๆ เค้าบอกว่า dhiraagu เน็ตแรงกว่าซึ่งเราก็มิอาจรู้ได้เพราะยังไม่ได้ลอง เอาเป็นว่าแกก็ลองเดินเช็คดูว่าชื่อไหน สีไหนแลดูถูกโฉลกกับแกทำให้แกสบายใจที่จะจ่ายเงินก็ซื้อเจ้านั้นได้เลย ส่วนเรื่องเงินถ้าแลกจากไทยเป็น USD มาแล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อแถวแลกเป็นเงินท้องถิ่นหรอก เพราะที่นี่ทุกร้านรับเงิน USD หมด แถมบางรีสอร์ทไม่รับเงินท้องถิ่นไปอี๊ก …
ถึงสนามบิน Velona International Airport (MLE) แล้วทำไงต่อ ต้องจ่ายแพงเพื่อนั่ง Seaplane ไปที่พักไหม? คำตอบคือไม่ อย่างที่เราบอกไปว่ามัลดีฟส์คือประเทศที่มีหลายเกาะซึ่งมันมีทั้งเกาะที่อยู่ใกล้และไกลสนามบิน เพราะฉะนั้นถ้าแกเลือกเที่ยวเลือกพักในเกาะที่ไม่ได้ไกลมากนัก Speedboat ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่รวดเร็วและไม่ต้องเสียเงินเยอะ หรือถ้าแกมีเวลามากพอก็สามารถเลือกนั่ง Ferry ในราคาที่ถูกลงไปอีก อย่างทริปนี้เราเลือกพักที่ Maafushi Island ตลอดทั้ง 3 คืน การเดินทางของเราก็แค่นั่งเรือข้ามฝากจากสนามบินไปเมืองหลวงมาเลคนล่ะ 1 USD จากนั้นจ่ายแท็กซี่อีก 5 USD เพื่อไปท่าเรือ T Jetty แล้วนั่ง Speedboat จากมาเลไป Maafushi อีกคนละ 25 USD
Note : Speedboat จากมาเลไปมาฟูชิมีวันละ 4 รอบคือ 09.00 am/ 12.00 pm/ 13.00 pm /18.30 pm และจากมาฟูชิกลับเข้ามาเล 08.00 am /10.00/ 12.00 pm / 16.30 pm
DAY 1 — Go local and Enjoy
Mafushi เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ในกลุ่มของ Kaafu Atoll (อะตอลคือหมู่เกาะเล็กๆ ที่รวมตัวใกล้ๆ กันเป็นรูปวงแหวน) มีประชากรโดยมากนับถือศาสนาอิสลาม แม้จะเป็นเกาะเล็กๆ แต่ที่นี่ก็เป็นเกาะเล็กๆ ที่สวยไม่แพ้เกาะอื่นๆ มี One day Tour หลายรูปแบบให้เราเลือกซื้อ ไม่
เนื่
ด้วยความที่มาฟูชิเป็นเกาะที่เล็ก เราจึงสามารถเดินได้ทั่ว และที่สำคัญเดินไปตรงไหนก็เจอหาดได้ง่ายๆ ส่วนหาดที่ไม่ควรพลาดแนะนำให้แกเปิดแมพแล้วเดินไปที่ Bikini Beach หาดเดียวบนเกาะนี้ที่สามารถใส่บิกินี่เดินเล่นไปมาได้ เพราะหาดอื่นๆ เค้าจะมีป้ายปักเตือนห้ามใส่บิกินี่เนื่องด้วยชาวเมืองส่วนใหญ่เค้านับถือศาสนาอิสลาม นอกจากจะเป็นหาดเดียวที่ใส่บิกินี่ได้แล้ว หาดนี้ยังเป็นหาดที่สวยสุด แซ่บสุด นักท่องเที่ยวเยอะสุด ดูพระอาทิตย์ตกสวยสุด เออเห็นม้ะ ที่ๆ เค้าอนุญาติเค้ายังเลือกที่ๆ ดีที่สุดให้เราเลย เพราะฉะนั้นตรงไหนเค้าห้ามใส่บิกินี่ ห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราก็ต้องทำตามให้ถูกกฎด้วยนา
ถ้าแกชอบแนวกีฬามันส์ๆ ก็ไม่ต้องรอเปิดช่องเจ็ดเพราะหาดนี้เค้ามัดรวมกีฬา Extreme ทั้ง Banana Boat ให้แกขี่เรือกล้วยล้มคว่ำกลางน้ำใสๆ ฟินๆ หรือจะมาเหนือเล่น Parasailing ล็อคตัวเองติดกับร่มแล้วใช้เรือลากไปในท้องทะเลเพื่อให้ตัวเราลอยขึ้นบนฟ้าชมความงามของเกาะก็เกร๋ไก๋แก่นแก้ว หรือจะเลือก Fly Board กีฬาสุดว๊าวที่ผสมระหว่าง Jetski และ Jetpack (เครื่องไอพ่นติดหลัง) เข้าด้วยกัน การเล่นจะใช้แรงดันของน้ำดันให้คนเล่นลอยขึ้นบนอากาศก็จะให้ความรู้สึกเหมือนกลายร่างเป็นยอดมนุษย์ เหาะ เหิน เดินบนน้ำได้ หรือถ้าเน้นชิวจะเลือกปูเสือนอนชมทะเลกันแบบเบาๆ ก็สวยอยู่
คนเยอะของขายก็เยอะเป็นธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือการตกแต่งร้านค้าของที่นี่มันมีความสดใส ชิคคูล อาหารเครื่องดื่มก็มีหลากหลายให้เลือก และแน่นอนว่าสายสุขภาพดี เฮลตี้จัดแบบเราเลยขอสั่งน้ำแตงโม และน้ำมะม่วงสดๆ สีสันจัดๆ มากินดับความกระหายจากการเดินซอกแซกไปมา ระหว่างที่น้ำในแก้วลดลงพร้อมๆ กับพระอาทิตย์ขยับเข้าใกล้ผิวน้ำขึ้นเรื่อยๆ เรากับเพื่อนก็เมามันส์ หัวเราะตามประสา Long lost friend ที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่ความสัมพันธ์ไม่เคยเปลี่ยน และทุกครั้งที่เราได้เจอเพื่อนเก่าแต่ไม่แก่ก็มักทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ก่อนจะกลับไปพักผ่อนนอนบนเตียงหนานุ่มขอบชีท เราก็รู้สึกเหมือนชีวิตมันขาดอะไรไปจนอยากร้องไห้ฟูมฟาย จนเพื่อนเตือนสติว่าแกๆ ใจเย็น แกแค่หิว เห็นม้ะมีเพื่อนมามันดีแบบนี้ เราเลยไปฝากท้องแบบไม่มีครรภ์กันที่ Pizza & Pasta Mamma Mia ร้านพิซซ่าที่พนักงาน รร. ของเราบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ายูต้องไปลอง ร้านไม่เล็กไม่ใหญ่ขวัญใจนักท่องเที่ยวที่มีเมนูเด็ดคือพิซซ่าแป้งบางกรอบที่หนาไปด้วยชีสและเครื่องเทศกับวัตถุดิบที่สดใหม่ กลิ่มหอมอ่อนๆ ของแป้งที่ไหม้และรสชาติอาหารที่ไม่ได้ปรุงแต่งมากแต่เน้นไปที่รสจากธรรมชาติ ทำให้วันแรกของเราจบลงแบบ Happy Starting กับค่าเสียหาย 45 USD
DAY 2 — One day excursion “snorkeling and sand bank”
เช้าวันที่สองเราตื่นมาพร้อมกับความสดใสและตื่นเต้นที่จะได้ออกเรือไปแหวกว่ายในทะเลมัลดีฟส์ สำหรับเดย์ทัวร์สามารถเลือกซื้อได้ตามเคาน์เตอร์ตรงชายหาดหรือโรงแรม ซึ่งเราเลือกซื้อแพ็กเกจจากโรงแรมที่เราพักในราคาคนละ 35 USD รวมมื้อเที่ยง ผ้าเช็ดตัว และไกด์ที่จะพาเราไปเดินเล่นสวยๆ บน Sand Bank และดำน้ำพอกรุบกริบอีกประมาณ 2-3 จุด
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย 9 โมงตรงพวกเราก็ลงเรือมุ่งหน้าออกสู่ความเวิ้งว้างสีครามอันไกลโพ้นเพื่อไปยังจุดดำน้ำ ทันทีเมื่อการเดินทางเริ่มต้นขึ้นเราก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า ชักชวนเพื่อนถอดผ้าไปยืนโพสต์ท่าถ่ายภาพกันที่หัวเรือแบบเริงร่าท้าแดดให้ดูฮอตเว่อร์ และถึงแม้ว่าในช่วงแรกแสงอาทิตย์จะดูขมุกขมัว ฟ้าหม่นชวนน้อยใจ แต่น้ำทะเลก็ยังคงความใสพอให้ใจชื่นและมีความหวังอยู่บ้างว่าจะได้เจออะไรที่สวยงาม
โดยปกติไกด์จะพาเราไปดำน้ำประมาณ 3 จุด ซึ่งทุกอย่างก็ล้วนขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ความแรงของคลื่นและแต้มบุญที่ทำมา แต่วันนี้แต้มบุญเราคงก้ำๆ กึ่งๆ ทะเลมีคลื่นและลมแรงทำให้เราได้ดำน้ำแค่ 2 จุด และเห็นสัตว์ทะเลไม่มากเหมือนคนอื่นเค้า แต่สวรรค์ยังเห็นใจในความน่ารักของพวกเราเลยส่งเต่ามาให้เจอถึง 4 ตัว ซึ่งเอาจริงแค่นี้ก็ว๊าวมากละนะแก แต่ถ้าหากมาในช่วงไฮซีซั่นคลื่นลมสงบไกด์เค้าเคลมว่าจะได้เจอกับสัตว์น้ำที่พาเหรดกันมาเหมือนปะหนึ่งพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และอาจแจคพอตแตกได้เจอปลากระเบนอีกด้วย แต่เชื่อเราเหอะว่าการที่แกได้มากับเพื่อนรักเพื่อนเลิฟไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ได้เจอหรือไม่ได้เจออะไร สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันก็สนุกขึ้นมาได้แน่นอน
นอกจากการดำน้ำแล้วไฮไลท์ของเดย์ทริปอีกอย่างก็คือการจอดเรือแวะเช็คอินและเติมพลังลงท้องกันที่ Sand Bank ซึ่งเจ้า Sand Bank เนี่ยมันคือเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีเจ้าของ โดยส่วนมากจะมีแต่หาดทรายให้เราเดินเล่นสวยๆ บนหาดขาวๆ หมุนตัวฟลูเทริน เดินสะบัดผ้า สับขารัวๆ ถ่ายรูปไว้อัพลงโซเชียลได้ยันปีหน้า
ทั้งชิทแชทกับเพื่อนสาว ทั้งว่ายน้ำ ทั้งถ่ายรูป พอหมดวันก็แทบหมดพลังกายกันเลยทีเดียว แต่ในแง่พลังใจนั้นกลับเพิ่มขึ้นแบบเหลือเฟือ เป็นสองวันสองอารมณ์ที่ฟินจนอยากให้ถึงกิจกรรมสำคัญที่จะทำให้การมามัลดีฟส์นั้นสมบูรณ์แบบวันพรุ่งนี้เร็วๆ แต่ถ้าไม่พักร่างสังขารคงพังไปก่อน เพราะฉะนั้นการนอนเอาแรงดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับค่ำคืนนี้
DAY 3 — Water Villa Tour
ไฮไลท์ของมัลดีฟส์ที่ถ้าใครมาแล้วพลาดมันอาจจะเกิดเป็นอาการฝังใจ กลับไทยแล้วนอนไม่หลับจนต้องหาทางกลับมาซ้ำ ไฮไลท์ที่ว่าก็คือการได้สัมผัส Water Villa ในราคา On a Budget แทนราคาหลายหมื่น ด้วยการจอง Water Villa Day Tour จากโรงแรมบนเกาะมาฟูชิที่เราพัก ซึ่งเค้าจะมีคอนแทคกับ Water Villa หลายแห่งให้เราเลือก และรอบนี้เราเลือกที่ Olhuveli Beach & Spa Maldives ราคาค่าเข้าจะอยู่ที่คนละ 90 USD โดยราคานี้เราจะได้เข้าไปสัมผัสทุกซอกทุกมุมของ Water Villa เหมือนกับคนที่เข้าพักปกติทุกประการ
Note : การเดินทางไปยัง Water Villa ที่เราเลือก จะต้องจ่ายค่าเรือแยกต่างหากอีกคนละ 30 USD แต่ถ้าวันนั้นมีคนเดินทางไปที่เดียวกันหลายคนค่าเรือก็จะถูกลงไปอีก
พอทานมื้อเช้าจากโรงแรมบนเกาะมาฟูชิเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะหยิบชุดที่สวยที่สุด พริ้วลมสุด เจิดจ้าสุด พร้อมหมวกปีกว้าง และกล้องถ่ายภาพคู่ใจ ลง Speedboat เพื่อมุ่งหน้าไปเดินเล่นถ่ายรูปแบบทั่วทุกซอกทุกมุมของ Olhuveli Beach & Spa Maldives ซึ่งจุดนี้แนะนำให้คิดท่าโพสต์ เสิร์ชหามุมเด็ดๆ ตั้งแต่ก่อนไปจะได้ไม่พลาดทุกท่วงท่าและอารมณ์
รอบวิลล่าเราจะเจอกับสัตว์ทะเลมากมายที่แวะเข้ามาร่วมเฟรม ตั้งแต่สัตว์เล็กๆ ไปจนถึงฉลามตัวน้อย บางทีก็มีนกหลากชนิดบินอวดโฉมกันให้ว่อน ทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไม Water Villa ถึงได้แพงนักหนา เพราะน้ำใสจริง สัตว์น้ำเยอะจริง นกเยอะจริง บริการดีจริง ห้องหรูจริง คือแบบมันดีคุ้มราคาจริงๆ อ่ะแกถ้าแกจ่ายไหว แต่ถ้าไม่ไหวมาแบบเราก็ฟินได้ใจในราคาไม่ลำบากตัวเองเหมือนกัน
เผลอแปบเดียวก็ถึงเวลาไปทานบุฟเฟ่ต์มื้อเที่ยงกับเมนูอาหารที่ค่อนข้างหลากหลาย รสชาติถือว่าใช้ได้ ขาดแต่ความจัดจ้านที่เราต้องการ แต่โดยรวมก็ถือว่าคุ้มเพราะสามารถสั่งเครื่องดื่มได้ไม่อั้น หรือจะนั่งกินผลไม้สดกับของหวานตบท้ายก็รวมในแพ็คเกจแล้วไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มแล้ว
เอนกายผึ่งพุงให้อาหารย่อยพร้อมๆ กับอ่านหนังสือให้ไม่เกินโควต้าแปดบรรทัด หรือจะงีบใต้ร่มไม้สักหน่อย ก่อนจะเอี้ยวตัวขยับแข้งขยับขาออกไปทำกิจกรรมแซ่บๆ เย้ยฟ้าท้าแดด อัพความแทนให้ผิวกับกิจกรรมทางน้ำที่มีมากมายตั้งแต่ดำน้ำตื้น พายเรือคายัค Paddle board Parasailing หรือ Fly board ก็มีให้เล่นครบ แต่ถ้าอยากลอยตัวสวยๆ เบาๆ ก็สามารถลงเล่นในสระว่ายน้ำได้ ส่วนเราขอแบบกลางๆ กับการพายคายัค และ Paddle board
สวยในน้ำกันแล้วก็ขึ้นมานั่งชิวๆ สั่งน้ำผลไม้สดปั่นหวานน้อยมายืนดื่มแบบเผลอๆ เผยอปากเบาๆ แบบที่ใครดูก็รู้สึกว่าไม่ได้ตั้งใจให้เพื่อนถ่ายรูปเลยจริงจริ๊งงงง โดยในส่วนของค่ากิจกรรมทางน้ำและน้ำผลไม้เราจ่ายเพิ่มอีก 45 USD เป็นการปิดจ๊อบวันนี้กับฟิวลิ่งดื่มกิน ทำกิจกรรม ใช้ชีวิตสุขสำราญจนตัวเองยังต้องอิจฉาตัวเอง ถือเป็นสามวันสามสไตล์อันเลอค่าที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมเลยล่ะ
สำหรับทริปของเราครั้งนี้ อยากบอกต่อเพื่อนๆ ว่ามัลดีฟส์ไม่ต้องเก็บเงินทั้งชีวิตก็มาได้ และประเทศนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ เพราะมันจบ ครบแบบสมบูรณ์ แถมยังมีสิ่งที่เราได้รู้มากกว่ามัลดีฟส์ที่เราเคยได้เห็นและได้ยินมา รู้ว่ามัลดีฟส์ไม่ได้มีดีแค่ Water Villa รู้ว่ามัลดีฟส์เที่ยวได้ทั้งปีและมีดีทุกวัน จะไปเที่ยวแบบครอบครัวก็ได้ แบบคู่รักก็ดี หรือจะฟอร์มทีมแก๊งค์เพื่
ขากลับเราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียคนดีคนเดิม ที่เพิ่มเติมคือตั้งแต่ 16 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไป แอร์เอเชียจะเปลี่ยนเวลาบินขากลับเฉพา
สุดท้ายอยากบอกแกว่าอย่ารอให้ฝันเป็นจริงโดยไม่ลงมือทำอะไร อย่าอ้างนั่นอ้างนี่จนไม่กล้าฝัน อย่ากลัวที่จะออกเดินทาง เพราะวันที่ดีที่สุดที่จะออกเดินทางคือวันนี้ ฤดูที่สวยที่สุดก็คือฤดูที่เราเจอ สถานที่ที่ดีที่สุดก็คือสถานที่ตรงหน้า ความสุขหาได้ง่ายๆ แค่ออกเดินทาง มัลดีฟส์ไปได้ง่ายๆ แค่แชร์ไปบอกเพื่อนว่าจองตั๋วกันเถอะ …