เกิดเป็นคนทั้งทีชีวิตนี้ต้องมีรสชาติ แต่ถ้าจะมีแค่เปรี้ยวหวานมันเค็มชีวิตก็คงเบื่อน่าดู เพราะชีวิตมันต้อง “แซ่บ” ต้อง “เผ็ช” แล้วก็ต้องเติมผงนัวลงไปนิดนึงมันถึงจะเรียกว่าชีวิต และประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเผ็ด แซ่บ นัว ก็อยู่ใกล้กับไทยอึดใจเดียว บ้านพี่เมืองน้องที่แสนจะน่ารัก เส้นทางในฝันของนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักเดินทางทั่วโลกที่รักในความสงบ อยากสยบทุกความเร่งรีบ เกริ่นขนาดนี้พวกแกคงรู้แล้วล่ะว่าวันนี้ เราจะชวนพวกแกไปเที่ยว หลวงพระบาง มุมเดียวของโลกที่จะมอบความชิวที่แช่มช้อยแต่ก็ไม่เชื่องช้าจนเซ็งและจืดชืด กับการเดินทางเพิ่มความแซ่บแบบสโลวไลฟ์ เราจะไปเที่ยวเหมือนไปเยี่ยมเพื่อนที่ต่างจังหวัด ไปเปลี่ยนที่กิน ไปย้ายที่นอน ไปพักผ่อนสมอง โยนนาฬิกาทิ้งไปแล้วถามหัวใจว่าอยากทำอะไรที่ไหนกี่โมง เพราะไม่มีใครเค้าเดินไวกันหรอกที่หลวงพระบาง เราจะไปตักบาตร เล่นน้ำตก ปั่นจักรยานชมเมือง เดินทอดน่องช้อปปิ้ง ทิ้งตัวในโรงแรมหรู นอนรอดูพระอาทิตย์ตก กับช่วงเวลาคุณภาพ 3 วัน 2 คืน เอาล่ะออกเดินทางได้
หลวงพระบาง เมืองมรกดโลกแห่งลุ่มน้ำโขง ต้นแบบแห่งความสโลว์ไลฟ์ที่แซ่บสุดในสามโลก แถมเป็นเมืองเล็กๆ สงบ ที่มีความน่ารักตั้งแต่ผู้คน บ้านเรือน ภาษา หมาแมว และเรา เมืองที่นึกอยากจะไปก็ไปได้เลยไม่ต้องวางแผนให้วุ่นวาย เพราะหลวงพระบางก็เหมือนกับไทยที่จะเอาอะไรก็มีปัจจัยสี่ก็พร้อมสรรพไม่ต้องจัดเตรียมอะไรให้มากความ แต่ปัจจัยที่ 5 ของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่ถ้าขาดไปเชื่อว่าหลายคนขาดใจแน่นอน ก็คืออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงปรี๊ดดดด ที่ครั้งนี้เราเลือก “ซิม “GO! อินเตอร์ จากดีแทค” ซิมสำหรับพกพาไปต่างประเทศ เน็ต 4 GB นาน 10 วัน ราคา 399 บาท ใช้ครอบคลุมหลากหลายประเทศ ทั้งเอเชีย อเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ โดยซิมสามารถซื้อได้ที่ Dtac Hall สาขาใหญ่ๆ ตามห้าง หรือสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง เลยจ้า
สำหรับเราการเตรียมซิมให้พร้อมไปจากไทยยังไงก็อุ่นใจกว่าไปวิ่งแบบพลิกแผ่นดินหาเพราะจะทำให้เสียเวลาและผิดกฏสโลว์ไลฟ์ ถึงแม้ปัจจุบันซิมสำหรับเที่ยวต่างประเทศจากแต่ละค่ายจะราคาใกล้เคียงจนแทบไม่ต่างกัน แต่แน่นอนว่าคนน่ารักอย่างเราย่อมเลือกอะไรที่ไม่ธรรมดา เพราะ ซิม “GO! อินเตอร์ จากดีแทค” จะมีคุณค่าสองเด้งทันทีเมื่อซื้อแพ็กเกจเน็ตในประเทศเสริมอีก 500 MB ในราคา 85 บาท แกก็จะได้รับประกันเดินทาง Sunday ที่จะคอยคุ้มครองปกป้องตลอดการเดินทางในต่างประเทศ นานถึง 10 วัน ไม่ว่าเจ็บป่วย กระเป๋าพัง ไฟลท์ดีเลย์ ฯลฯ ด้วยวงเงินคุ้มครองกว่า 600,000 บาท เพิ่มมาแบบฟรีๆ ทั้งนี้ทางประกันเค้ายังพร้อมสแตนด์บายบริการข้อมูลสําคัญในต่างประเทศตลอด 24 ชม. ทั้งโทร หรือไลน์หาก็ได้ โอ้โห ดีงามโดนใจให้สิบดาวเลย
เครื่องลงจอดช่วงบ่ายปุ๊บก็มีคนมารอรับเราปั๊บ พร้อมส่งถึงที่พักแบบปลอดภัยหายห่วงเพราะหลวงพระบางรอบนี้เราเลือกพักที่ Sofitel Luang Prabang ที่พักที่เราเห็นมาจากไอจีแล้วทำให้รู้สึกถึงไอความสโลวไลฟ์แผ่ซ่านออกมาจากตัวภาพ เราลากกระเป๋าเดินเข้าสู่ล็อบบี้ที่เป็นเรือนไม้ยกสูงสองชั้น ท่ามกลางบรรยากาศชิวๆ ไม่หวือหวาแต่ว่ามีเสน่ห์เหมือนส้มตำเผ็ดน้อยที่ดูเหมือนจะจืดแต่ซ่อนความนัวไว้ยั่วน้ำลาย พนักงานก็น่ารักตามแบบฉบับชาวลาว ทั้งสระว่ายน้ำที่สั้นกว่าสระโอลิมปิคนิดนึง ทั้งสปาที่แค่เห็นก็ชวนผ่อนคลาย ทั้งฟิตเนสที่แค่คิดจะเข้าก็เหมือนผอมลงไปสองโล รวมไปถึง Afternoon Tea ที่มีให้ทานฟรีช่วงประมาณ 4 โมงเย็นของทุกวัน แบบนี้สิที่เรียกว่าคุ้มที่จะจ่าย แม้จะจ่ายแพงกว่าโรงแรมทั่วไปนิดหน่อยแต่ความคุ้มค่าที่ได้มาเยอะมันก็ถือว่าคุ้มเด้อ
ที่นี่เป็น Sofitel ที่เล็กที่สุดในโลก มีจำนวนห้องพักไม่มากเท่าไหร่ เราได้พักห้องด้านหน้าสระสุดชิว ในอาคารที่ภายนอกดูเก่าดูคลาสสิคจนเกือบจะดูจืดๆ ไปสักหน่อย แต่ภายในตกแต่งได้ลงตัวมาก น่ารัก มันคือความหรูหรา น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ มีสไตล์ ก็บอกละว่านางคือส้มตำเผ็ดน้อยที่ซ่อนความแซ่บไว้ในทุกคำที่ได้กลืนกิน และที่สำคัญทำเลของที่นี่ไม่ได้อยู่ย่านใจกลางเมือง เราจึงได้รับความเงียบ สงบ ไว้นอนฟังเสียงนกในลาวคุยกันได้แบบสบายๆ แถมบ้านเรือนรอบๆ ข้างก็ยังคงความพื้นบ้าน มีความเรียลอยู่มาก เพราะฉะนั้นมันจึงสงบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก
หลังจากโยนกระเป๋า เตรียมออกเดินทาง เราก็ส่องกระจกแล้วตกใจเลยล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยให้ดูสดใสเหมือนวัยแรกรุ่น ก็ได้เวลาปั่นจักรยานไป พระธาตุพูสี พระธาตุแห่งนี้คือพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง เราจึงไม่ควรพลาดที่จะไปสักการะ อารมณ์เดียวกับที่ฝรั่งมาบ้านเราต้องไปวัดอรุณ วัดพระแก้ว พระธาตุทององค์เล็กๆ นี้มีจุดเด่นคือสามารถมองเห็นได้จากทุกมุมของหลวงพระบาง แม้กระทั่งบนอากาศช่วงใกล้แลนด์ดิ้งก็ยังสามารถสังเกตุเห็นได้ เราจึงเลือกช่วงเวลาดีสี่โมงครึ่ง เวลาแสงแดดกำลังอ่อนโยนกับเรา และเป็นช่วงใกล้พระอาทิตย์ตก เพื่อขึ้นไปสักการะ และรอชมพระอาทิตย์อัสดงของหลวงพระบางว่าจะงามระยับจับตาขนาดไหน
นึกดูเอาว่ามองจากทุกมุมของหลวงพระบางก็ยังสามารถมองเห็นพระธาตุแห่งนี้ได้ แสดงว่าความสูงนั้นไม่ใช่เล่นๆ แน่นอน เราเลยต้องหอบร่างขึ้นบันไดคดเคี้ยวมาถึง 328 ขั้น พอให้ร่างกายได้เสียเหงื่อกันนิดๆ หน่อยๆ แต่เมื่อขึ้นมาถึงมันก็คุ้มค่ามากมายนะยูวววว ทั้งฝรั่ง จีน ไทย แม้แต่ชาวลาวก็พากันขึ้นมาจับจองพื้นที่เพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกเหมือนๆ กัน หลักจากไหว้พระและนั่งพักให้หายหอบก็มีเวลานั่งชิวๆ ต่ออีกสักหน่อยเพื่อคลายร้อน และชื่นชมความงานของพระอาทิตย์ยามใกล้ลับขอบฟ้าที่สวยคุ้มค่าหยาดเหงื่อร้อยหยดที่หมดไป แล้วดีดตัวลงจากพระธาตุก่อนที่ฟ้าจะมืด จะได้เดินลงบันไดง่ายๆ ไม่เสี่ยงหัวแตกกระแทกพื้นให้ประกันที่แถมมากับซิมต้องมาจ่ายค่ารักษาเด้อ
จากยอดพระธาตุพูสีเราเดินตรงลงบันไดมายังจุดกึ่งกลางของ “ตลาดมืด” ตั้งแต่ยังไม่มืดแบบไหว้พระปุ๊บก็ลงมาช้อปต่อได้เลย ซึ่งตลาดมืดก็ไม่ใช่ตลาดค้าของเถื่อนอะไรนาจา แต่คนลาวเค้าก็เว้าซื่อๆ ตลาดมืดก็คือตลาดกลางคืนนั่นเอง ในตลาดที่ใหญ่ประมาณหนึ่ง นับก้าวเดินก็คงพอๆกับขึ้นลงพระธาตุพูสีสองรอบแค่นั้นเอง ที่นี่ก็มีของมากมาย ทั้งฝาก ของกิน ขอท้องถิ่นให้ช้อปกันแบบเพลินๆ ท่ามกลางผู้คนที่น่ารัก เราก็เดินไปช้อปไปยิ้มไป ปล่อยตัวปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องรีบร้อนไปไหน ก็บอกแล้วว่าเนี่ยเรามาเพื่อนบ้านที่เหมือนบ้านเพื่อน
เดินไปจนสุดทางไม่รู้จะไปทางไหนต่อ เพราะมาบ้านเพื่อนแต่เพื่อนไม่ได้มาด้วย ก็ได้แต่แหงนมองฟ้าขอคำตอบจากดวงดาว แล้วสายตาของเราก็ไปพบร้านนั่งชิวด้านบนที่ดูสวยสงบอยู่ไม่ไกลนัก แน่นอนว่าเราก็หอบร่างขึ้นมาด้านบนอีกรอบเพื่อชมวิวทิวทัศน์ ชมตลาด ชมตลาดมืดจากมุมสูง ดูผู้คนเดินไปมา พร้อมสั่งน้ำมะม่วงปั่นหวานน้อยมาจิบเบาๆ ปล่อยให้หมดหนึ่งวันไปแบบเรื่อยเปื่อยช้าๆ คูลๆ มาเมืองช้าก็อย่าไปเร่งไปรีบ ทำอะไรแล้วชิวก็ทำไป
ก่อนเดินกลับไปเอาจักรยานเราเหลือบมองเห็นซอยเล็กๆ มีควันลอยออกมาพร้อมกลิ่นหอมๆ ด้านในเต็มไปด้วยของกิน หมูย่าง ปลาแม่น้ำโขงย่างที่นอนเรียงสงบนิ่งเชิญชวนกันเป็นแถว และอีกสาระพัดเมนู แน่นอนว่าถ้าเราแค่มองแล้วจากไปเฉยๆ คงทำให้คืนนี้นอนไม่หลับเพราะภาพความแซ่บนัว อูมามิ มันติดตามากเว่อร์ ไม่รอช้าใดๆ ทั้งนั้น เราก็พาตัวเองมานั่งกินปลานิลย่างหนึ่งตัว หมูย่าง และส้มตำที่กำชับแม่ค้าว่าขอแซ่บสุดในหลวงพระบาง คือทุกอย่างดีไม่ผิดหวังจริงๆ ยิ่งกินกับข้าวเหนียวร้อนๆ แล้ว ชวนกลับห้องไปนอนพึ่งพุงมาก อิ่มเว่อร์ ฟินเฟร่ออออ
เริ่มต้นเช้าวันที่สองให้ผิวผุดผ่องเป็นยองใยกับกิจกรรมที่มาหลวงพระบางแล้วไม่ทำถือว่าไม่ผิด แต่จะติดใจจนต้องจองตั๋วกลับมาทำสิ่งนี้ให้ได้ เราตื่นมา ตักบาตรข้าวเหนียว กันตอนตีห้าครึ่ง!!!! นี่ตอนพิมพ์ยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองตื่นมาได้ไงเช้าเบอร์นี้ อาจเพราะมันเป็นวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบางที่เรียลไม่ประดิษฐ์จริงๆ และมันไม่ได้เซทขึ้นมาเพื่อให้เป็นจุดขาย ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งคนหนุ่มคนสาวชาวหลวงพระบางก็ตื่นมากใส่บาตรกันเยอะเว่อร์ เราเลยรู้สึกว่าการตักบาตรครั้งนี้มันคืออีกหนึ่งเสน่ห์ของหลวงพระบาง ที่ทำให้เราสามารถดีดตัวเองจากที่นอนอันแสนนุ่มนิ่ม และภวังค์อันแสนดูดดื่มเพื่อลุกขึ้นมารับบุญในวันนี้ได้
เพิ่มแต้มบุญเสร็จก็ไปเดิน ตลาดเช้า กันสักหน่อย และตลาดของที่นี่มันก็คือตลาดจริงๆ วิถีชีวิตของคนที่นี่จริงๆ ไม่ใช่ตลาดจอมปลอมที่ขายของเหมาโหลเหมือนที่อื่นๆ เราเดินดูกองผัก กองผลไม้ ของป่า อาหาร สิ่งละอันพันละน้อยที่ชาวบ้านนำมาวางขายอยู่บนพื้น พร้อมๆ กับฟังเสียงสำเนียงของชาวบ้านที่ทักทายกันบ้าง ต่อราคาซื้อขายบ้าง ต่างๆ นาๆ ที่ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างอย่างสุขใจ
รับแต่บุญแต่ไม่ได้รับอาหารท้องก็ไม่อิ่มนาจา เดินตลาดเสร็จ เลยมาทานอาหารเช้ากันที่ ร้านประชานิยม ร้านที่ถือว่าเป็นร้านเคียงคู่ทุกการรีวิวหลวงพระบางของคนไทย สมชื่อประชานิยมจริงๆ และมันก็อร่อยจนน่านิยมจริงๆ นั่นล่ะ ร้านนี้เป็นร้านขายโจ๊กเตาถ่าน ข้าวนิ่มๆ หอมๆร้อนๆ โรยปาท่องโก๋ตัวอวบ แล้วก็หอมเจียวสูตรเด็ดของร้าน ก่อนจะจบด้วยกาแฟร้อนๆ สักแก้ว เป็นอันเสร็จพิธีกรรมมื้อเช้าได้อย่างสุดฟินส์ ง่ายๆ แต่มงลง
อิ่มท้องปากก็เริ่มว่าง ไม่รอช้าเม้าท์มอยหอยกาบกับแม่ค้าสักเล็กน้อยว่าโจ๊กเค้าดีงู้นงี้งั้น ชมจนแม่ค้าอยากจะแถมให้เราอีกถ้วยแต่เราก็ยังไม่อยากเป็นชูชกเลยขอกลับโรงแรมมานอนต่อเอาแรงกันสักนิสในช่วงเจ็ดโมงครึ่ง เพราะสำหรับเราสมองยังสั่งการว่าพระอาทิตย์ยังไม่กลางหัวยังออกเดินทางไม่ได้อยู่เลย และการได้กินอิ่มนอนหลับก็คือความใฝ่ฝันอันสูงสุดของมนุษยชาตินี่หน่า
ฤกษ์งามยามดีนาฬิกาไม่ต้องมีเราก็ตื่นจากการนอนรอบสองของวันในเวลาประมาณ 9 โมงครึ่ง อาบน้ำปะแป้งให้หอมฟุ้งและดูน่ารัก ก็เป็นเวลาดี 10 โมงตรง การเดินทางกับ 4 สถานที่ของเราในวันนี้ก็เริ่มขึ้น ที่แรกเราจะไปกันที่บ้างม้ง หมู่บ้านที่ขายพวกงานผ้าทอ งานเย็บปักถักร้อย ของฝากของที่ระรึกกระจุกกระจิกเป็นหลัก รถจอดให้เราตรงทางเข้าแล้วเราก็เดินตามทางดูของไปเรื่อยๆ เพื่อไปทะลุอีกทางออก โดยตลอดเส้นทางเราจะพบกับพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพที่อายุต่ำกว่า 10 ขวบเป็นส่วนใหญ่ พร้อมกับประโยคที่เหมือนถูกเทรนมาจากสำนักเดียวกันคือ ช่วยชื้อหน่อยไม่มีตังค์ไปโรงเรียน อารมณ์เหมือนเราเป็นเหยื่อที่หลุดเข้าไปในดงผู้ล่ามาก แต่เด็กเค้าน่ารักนะรู้จักทำมาหากิน ถ้าเป็นเราสมัยก่อนคงดีดลูกแก้วไม่รู้ว่าเงินหายากขนาดไหนอยู่เลย แต่ถามว่าโดนล่ามั้ยก็ตอบเลยว่า “ไม่” เพราะเสือไม่มีทางเป็นเหยื่ออย่างแน่นอน …
ไฮไลท์ของวันนี้ก็คือ ตาดกวางสี น้ำตกที่มีจำนวนชั้นทั้งหมด 4 ชั้น มีความสูงโดยรวมประมาณ 75 เมตร ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะน้ำที่นี่คือฟ้ามากกกกกก ฟ้าจนต้องเหลือบมองบนว่าท้องฟ้ายังอยู่ที่เดิมหรือย้ายมาอยู่ในน้ำตกนี้แล้ว(ก็ไม่ขนาดนั้น แต่คือเปรียบเปรยไงแก๊) ที่นี่จึงเป็นแลนด์มาร์คหลักที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายต้องมา แต่ไม่มาก็แล้วแต่ แถมระหว่างทางเดินเข้าเราก็จะได้พบกรงหมีควายคอยต้อนรับอีกด้วย
นอกจากความสวยงามของน้ำตก ที่นี่แหล่ะคือแหล่งอาหารตาชั้นเลิศ ทั้งซิกแพคฝรั่งเกาหลี สาวในชุดบิกี่นี่ ที่ต่อแถวกระโดดน้ำกันตู้มตาม น้ำกระจายก็เป็นจุดดึงดูดผู้คนได้อย่างมาก เราเลยขอยกให้ตาดกวางสีแห่งนี้คือน้ำตกที่น่ากินมากที่สุดเท่าที่เคยไปน้ำตกใดใดมาแล้วกัน
กลับจากน้ำตกก็มาแวะ ปางช้าง กับค่าเข้าชมราคา 40,000 กีบ ราคานี้สามารถทำตัวสวยๆ รักสัตว์หยิบอาหารป้อนช้างได้สบายๆ เพราะราคานี้จะมีอาหารให้เราป้อนช้างแบบบุฟเฟ่ต์รวมอยู่แล้ว ก็ป้อนวนไปป้อนจนกว่าจะพอใจได้เพอเฟคช็อตโพสโซเซียล หรือจะป้อนจนกว่าช้างจะบ้วนกล้วยใส่หน้าก็ตามสะดวก แต่ถ้าจะขี่น้องช้างก็ต้องจ่ายเพิ่มอีกซึ่งสำหรับเรามันแพงไป ก็ให้ฝรั่งเค้าขี่เถอะ ส่วนเราก็ยืนมองตาปริบๆ กำเงินไว้มาจ่ายที่ปางช้างบ้านเราดีกว่า
สถานที่สุดท้ายที่เราแวะก็คือ ฟาร์มควาย เอาจริงฟังตอนแรกก็ไม่ได้มีไรตื่นเต้นหรือสนใจเท่าไหร่ แต่ก่อนมาพี่หนักงานโรงแรม เค้าแนะนำว่าให้แวะเพราะมันเพิ่งเปิดให้เข้าชมได้ไม่นาน แล้วก็ให้ลองไปทานไอติมจากนมควายดู เอ้อออ เหมือนเค้ารู้ใจว่าเราเป็นคนไม่ค่อยเห็นแก่กินและไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ เราก็แค่ตาลุกวาวจากคำว่าไอติมนมควาย เพราะกินไอติมจากนมวัวมาทั้งชิวิตวันนี้ขอลองไอติมจากนมควายให้ชีวิตมีเรื่องเล่าเพิ่มหน่อยล่ะกัน โดยควายที่นี่เค้าก็ไม่ใช่ควายธรรมดา แต่เป็นควายมีสตอรี่นะจ๊ะ เพราะควายทั้งหลายที่เรากำลังชมอยู่นี่คือควายท้อง ที่เค้าเช่ามาจากชาวบ้าน เพื่อเอามาเลี้ยงดูปูเสื่อให้นม ให้หญ้า จนกว่าจะคลอด แล้วค่อยรีดนมจากแม่ควายก่อนส่งกลับให้ชาวบ้านไปเลี้ยงดูกันต่อ แล้วนมที่ได้เค้าก็จะเอามาทำพวกชีส ไอติมให้พวกเราได้กินกันแบบอร่อยปาก
จบกิจกรรมนอกเมืองรถเหมาก็พาเรามาส่งโรงแรม ให้เราได้นั่งพักผ่อน หายใจหายคอ ปะแป้งเพิ่มเติมความน่ารัก ก่อนจะยืมจักรยานแสนเกร๋ที่ทาง Sofitel หลวงพระบาง เค้าจัดไว้ให้ยืมไปปั่นเที่ยวรอบเมือง หรือจะปั่นแค่หน้าปากซอยแล้วยืนถ่ายรูปให้กิ๊บเก๋ หรือจะแค่ลากไปเป็นพร้อบสุดชิคก่อนเอามาคืนเค้าก็ไม่ว่า
ส่วนคนมีความสามารถและร่างกายแข็งแรงอย่างเราก็ปั่นตรงดิ่งสู่ย่านเมืองเก่าโดยเล็งเป้า มื้อเที่ยง ที่กินเกือบบ่ายสองไปที่ Le Cafe Ban Vat Sene ร้านสองชั้นตกแต่งได้เก๋ ชิค มีสไตล์ ราวกับหลุดมากจากหนังสือบ้านและสวน นั่งลงพักให้หายตะคริวกินขารับลมธรรมชาติเย็นๆ ปราศจากแอร์คอนดิชั่นเนอร์ เพราะที่หลวงพระบางโดยมากเค้าจะไม่มีแอร์แต่ก็ไม่ร้อนนะ ก็ได้เวลาสั่งน้ำมะม่วงปั่นแก้วนึง และเฝ๋อร้อนๆ อีกชาม ที่ได้ผักสดมากินคู่แบบฟรีๆ อีกหนึ่งเซท พออิ่มก็นั่งย่อยมองผู้คนสัญจรไปมา แล้วก็แต่งรูปอัพลงเฟสสักหนึ่งที ก่อนเดินน่ารักๆ ออกจากร้านแบบจ่ายตังค์แล้ว
บ่ายแก่ๆ แบบนี้ แล้วเพิ่งทานมื้อเที่ยงเสร็จคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้กาแฟสักแก้ว เราถีบจักรยานต่อมายังร้าน Joma ร้านดังแห่งหลวงพระบางที่ใครๆ ก็ต้องขอมาลองสักครั้งกับบรรยากาศปูนเปลือยอันแสนอบอุ่น เราสั่งอเมริกาโนเย็นหนึ่งแก้ว คุกกี้หนึ่งชิ้น และขนมที่เล็งแล้วว่าน่าทานอีกอย่างซึ่งจำชื่อไปได้ กินไปนั่งชิวๆ เสียบหูฟังฟังเพลง เพื่อหลบแดด และใช้เวลาคุณภาพ ดูนู่นนี่นั่นเพลินๆ โอ๊ยยยย บองตรงๆ ว่าหลวงพระบางชิวไปอี๊ก อยู่กรุงเทพฯก็ทำไม่ได้ อยู่ลอนด๊อนหรออย่าหวัง
พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน คงจะไม่มีสถานที่ไหนในหลวงพระบางจะทำให้เราชิวได้เท่า Upotia ที่นี่มันเป็นกึ่งบาร์กึ่งร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ ที่อยู่ริมน้ำ แม้จะกึ่งไปเสียทุกอย่างแต่ความชิวรับรองได้ว่าเต็มๆ ไม่มีก้ำกึ่ง สมชื่อยูโทเปียหรือโลกในอุดมคติเสียจริงๆ เบาะนั่งลายเดียวกับทางเหนือบ้านเรา ถูกปูอยู่กับพื้นหลายสิบเบาะ ผู้คนมากมายนอนบ้าง นั่งบ้าง กินดื่มบ้าง ตามแต่ใจตัวเอง ส่วนเราก็ทั้งกิน ดื่ม ถ่ายรูป และนอนชิวรับลมเย็นๆ บอกเลยว่าทุกอย่างทุกกิจกรรมริมน้ำของที่นี่มันคือโลกในอุดมคติของจริง!!! ซึ่งเราบอกได้เลยว่าถ้าแกมาหลวงพระบางแกต้องมาที่นี่นะ
หมดไปอีกหนึ่งวันที่แสนจะต๊ะตอนยอน สบายๆ สุดชิว ชิวจนอยากมาที่นี่ปีละสองสามครั้ง เพราะที่นี่มันเรียบง่ายแต่ก็แซ่บมีสีสันไม่น่าเบื่อ คือวิถีชีวิตที่โคตรแตกต่างจากเมืองใหญ่ๆ เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนที่อยู่ที่นี่ถึงได้ดูมีความสุขนัก เพราะถ้าแกได้ลองใช้ชีวิตแบบฟังเสียงหัวใจมากกว่าฟังเสียงนาฬิกา ใช้ชีวิตแบบได้กลิ่นหญ้ามากกว่ากลิ่นฝุ่น ใช้ชีวิตเพื่ออัพเรื่องราวดีๆ และรูปที่ชวนหลวงไหลมากกว่ากระแทกนิ้วบนคีย์บอร์ดตามคำสั่งของใครๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะมีเหตุผลไหนที่จะบอกมากกว่านี้อีกแล้วว่าทำไมแกถึงควรออกเดินทางมาหลวงพระบาง
เช้าวันสุดท้ายขอสายที่สุดตื่นมาก็ไปทานอาหารที่ รร อันนี้ชอบความห้องอาหารมากเป็นแบบโอเพ่นแอร์ ทำเป็นกระโจมที่ภายในตกแต่งได้อย่างลงตัว มีการเอาพวกภาชนะต่างๆ ของคนลาวมาะประยุกต์ใส่อาหารเก๋ดี ของกินก็มากมายหลายสิ่งทั้งอเมริกันเบรคฟาส น้ำผลไม้ต่างๆ ชา กาแฟ รวมถึงเฝ่อด้วย เรากินกรุปกริปนิดหน่อยให้พออยู่ท้องก่อนจะยกกระเป๋าไปเชคเอ้าท์แล้วฝากไว้ เพื่อไปตะลอนทิ้งท้ายก่อนกลับ
เริ่มสายวันสุดท้ายด้วยการปั่นจักรยานเอาหน้าบางๆ รับลม มุ่งหน้าสู่วัดที่เค้าว่าสวยที่สุดในหลวงพระบาง และด้วยพลังแห่งบุญหนุนนำเราก็พบกับร้าน La Beneton Cafe ร้านขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสที่ตั้งใจจะมาทานอยู่แล้ว เราเลยแวะสักนิดให้อิ่มท้องก่อนอิ่มบุญเนอะ ร้านนี้คือร้านขนมปังเจ้าดังงงงงง(อีกแล้ว) อีกแห่งหนึ่งของหลวงพระบาง ที่ส่งกลิ่นออกมาต้อนรับเราก่อนจะถึงร้านอยู่หลายสิบเมตร ร้านที่แต่ละคนรีวิวไว้ดีเด็ด ดังนั้นถ้าเราไม่แวะร่างกายของเราคงประท้วงไม่ยอมไปไหนต่อแน่ๆ
ภายในร้านตกแต่งแบบเรียบง่าย ขนมปังก็ดูทั่วไป แต่กลิ่นและรสชาตินี่ระดับพระกาฬแน่นอน เมื่ออาหารที่ปรารถนาอยู่ตรงหน้ามีหรือว่าเราจะรอช้า รีบสั่งครัวซองเมนูดังสุดของร้านมาทานกับอเมริกาโน่ร้อนๆ จากที่กะว่าจะกินแค่หนึ่งจานแต่เมื่อได้กัดไปคำแรก ความกรอบนอก แต่ชุ่มฉ่ำทั้งเนยและนมด้านในก็ทำให้ต่อมความอยากเราปะทุถึงขีดสุด ต้องสั่งมาทานเพลินๆ เพิ่มอีกสักชิ้น กินไปพักน่องไปดูผู้คนที่ผ่านไปมา อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ ไปเพลินๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะเมืองมันสโลว์ของจริง
อิ่มสุดฟินส์กับครัวซองแสนอร่อยเราก็มาปั่นจักรยานกันต่อจนถึงทางเข้าประตู วัดเชียงทอง วัดโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2503 ใกล้ริมแม่น้ำโขง มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง เพราะได้รับอิทธิพลมาจากวิหารวัดโลกโมฬี จังหวัดเชียงใหม่ นับเป็นวัดที่เป็นสุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมลาวล้านช้างเลยก็ว่าได้ การปั่นมาเที่ยววัดแห่งนี้ก็ง่ายๆ สโลวไลฟ์ไม่ต้องกลัวรถจะเฉี่ยว คนจะลากไปไหน เพราะเมืองนี้เหมาะแก่การปั่นจักรยานเป็นที่สุด คือเส้นทางแต่ละเส้นเชื่อมถึงกันหมดไม่ต้องกลัวจะลำบาก ถ้าหลงก็จอดถามชาวบ้านเค้าก็จะน่ารักใจดีชี้ทางสว่างให้เราอย่างแน่นอน
ไฮไลท์เด็ดของวัดที่ว่างามที่สุดในหลวงพระบางก็คือบานหน้าต่าง รอบโรงเมี้ยนโกศหรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา โดยภาพที่เห็นจะเป็นภาพแกะสลักวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ เช่น ตอนพิเภกกำลังบอกความลับที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์ให้กับพระราม ตอนพระรามพระลักษณ์ต่อสู้กับทศกัณฑ์ ตอนนางสีดาลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์กับพระราม ฯลฯ ถือเป็นจุดที่ควรค่าแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างมากกกกกกกก
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก นี่และน้าที่เค้าว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสอมเผลอแพพเดียวก็ได้เวลามื้อเที่ยงอีกแล้ว และเที่ยงนี้เราจะมาทานมื้อกลางวันที่ร้าน 3Nagas ร้านอาหารให้เครือโรงแรม sofitel ความเก๋ที่ต้องแวะคือรถสีแดงคันเท่ห์สุดคลาสิคที่สามารถสังเกตุได้ตั้งแต่ก่อนถึงร้านไปสามเสาไฟฟ้ากันเลยทีเดียว
ร้านตกแต่งได้คลาสสิคมาก ถ้าเป็นหนังไทยก็คงนึงถึงเรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพ มีความคลาสิคที่ผสมทั้งตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัว ทำให้ที่นี่มีมุมแสนเกร๋สำหรับถ่ายรูปอยู่หลายมุม เดินไปเดินมาก็ชักจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นชายหนุ่มใส่สูทผูกหูกระต่ายยืนรอโค้งขอสาวเจ้าในชุดเดรสลายจุดเพื่อเต้นรำ แต่ยังคิดไม่ทันถึงตอนเต้นรำท้องก็ร้องเสียก่อน เราจึงรีบอ่านเมนูที่อยู่ในมือถึงรู้ว่าร้านนี้เป็นร้านอาหารแนวลาวประยุกต์ เราเลือกสั่งหมูสับพันตะไคร้กับน้ำซอสกาแฟ แค่ชื่อก็เก๋มากละ แล้วก็ต้มส้มปลานิล โดยปลานิลในที่นี้ต้องเป็นปลานิลจากแม่น้ำโขงเท่านั้น และทีเด็ดอีกอย่างคือสลัดหลวงพระบาง ที่ความเก๋คือน้ำซอสแบบใส่ถั่ว แม้ว่าจะดูงงๆ แต่ก็กินแล้วก็แอบลงตัวอย่างน่าประหลาดใจ จบมื้อเที่ยงไปแบบเอนจอยทั้งรูป และรส กันไป
อากาศวันนี้ฟ้าแสนครึ้มไม่มีแดด แต่โชคดีที่ฝนไม่ตก มีเพียงลมเย็นๆ อากาศช่างเป็นใจเหมาะแก่การปั่นจักรยานเล่นในย่านเมืองเก่า ที่ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของการเที่ยวหลวงพระบาง ปั่นเรื่อยๆ เราก็มาแวะที่ พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง อดีตพระราชวังหลวงที่พำนักของเจ้ามหาชีวิต เป็นหมู่อาคารชั้นเดียว ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส โดยผสมผสานตัวอาคารแบบฝรั่งเศสกับศิลปะแบบล้านช้างได้อย่างงดงาม น่าเสียดายที่ภายในเค้าห้ามถ่ายรูป เราจึงเอามาฝากกันได้แค่หน้าทางเข้า แต่ก็สามารถบอกต่อได้เลยว่างามสมกับเป็นวังเก่าจริงๆ
ระหว่างทางกลับท่ามกลางตึกเก่าที่เต็มไปด้วยร้านคาเฟ่ ร้านขายของฝาก ร้านนั่งชิว เราปั่นจักรยานผ่านร้านสีขาวโดดเด่นชนิดที่ แม้ขับผ่านไปแล้วก็ยังต้องหันกลับมามองจนคอแทบเคล็ด และสุดท้ายต้องวนกลับมานั่งที่ DEXTER Cafe’ ที่เป็นร้านสาขาย่อยในหลวงพระบาง สาเหตุที่บอกว่าเป็นสาขาย่อยก็เพราะสาขาหลักเค้าตั้งอยู่ที่สุขุมวิทบ้านเฮานี่เอง ด้วยเวลาเหลือไม่มากก็ต้องกลับโรงแรม บวกกับร้านโทนขาวดำสุดคูล ทำให้เราเลือกนั่งแช่ที่นี่ยาวๆ เป็นสถานที่ปิดทริปแบบเก๋ๆ คูลๆ กับคาเฟ่ที่ควรค่าแก่ความสโลว์ไลฟ์
และสำหรับคนที่ชอบการทำสปา เราขอแนะนำว่าให้เผื่อตารางไว้สักนิดเพื่อไปทำสปาก่อนไปขึ้นเครื่องที่โรงแรม Sofitel เพราะลูกค้าที่พักจะได้ลดราคาถึง 50% เลยแกร๊ เรียกว่าคุ้มสุดๆ เป็นการคอมพลีตให้ทริปสโลวไลฟ์อันแสนแซ่บของเราปิดฉากอย่างลงตัวมากขึ้นอีกด้วย เพราะจะได้แฮปปี้สวยทั้งภายนอกและภายในจากการพักผ่อนอย่างจริงจัง ลากกระเป๋ากลับบ้านแบบหน้าเด้ง ผิวใส บ่าผ่อนคลาย กายก็จะพร้อมใจก็จะพร้อมสำหรับการนั่งคัดรูป แต่งลงโซเชี่ยวแบบชิคคูลจนเพื่อนต้องมาเม้นว่า “ทำไมไม่ชวน เป็นรอบที่ยี่สิบ”
ถ่ายรูปในมุมสุดอเมซิ่งปั้บก็ไม่อยากปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน หามุมสงบหลบผู้คน คิดแคปชั่นเด็ดๆ แต่งรูปให้ดูเท่ แล้วอัพลงโซเซี่ยวแบบรัวๆ ทั้งไอจี เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ก็ไม่มีสะดุด เพราะสัญญาณ ซิม “GO! อินเตอร์ จากดีแทค เค้าดีครอบคลุมทุกสถานที่เที่ยวในหลวงพระบาง หรืออยากจะวีดีโอคอลหาแฟน พ่อแม่ เพื่อน เพื่อบอกเล่าเก้าสิบเรื่องราวดีๆ ที่เจอมาทั้งทริป ก็ทำได้แบบลื่นปรื๊ดดดดด สำหรับซิม “GO! อินเตอร์ จากดีแทค ที่เราได้ลองใช้ครั้งนี้ถือว่าดี บอกต่อให้ลองเลือกใช้สำหรับทริปต่างประเทศครั้งหน้าของพวกแก …
สามวันสองคืนก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก ณ เมืองมรดกโลก ในธีมสุดชิวอันแสนแซ่บ ที่ทำให้เรารับรู้ถึงการพักผ่อนอย่างแท้จริง เพราะการเดินทางไม่ใช่การล่าแต้ม ที่ใครไปเยอะสถานที่ที่สุดคือผู้ชนะ ความสุขของคนเราล้วนแตกต่างกัน แต่เราเชื่อว่าการได้ฟังเสียงหัวใจตัวเอง ย่อมทำให้ทุกคนมีความสุข และถ้าจะถามว่าหลวงพระบางมีอะไรเราคงตอบได้ง่ายๆ สั้นๆ แค่เพียงว่า หลวงพระบางมีความสุข ความสุขจากความเรียบง่าย ความสุขจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความสุขจากสิ่งที่มี ความสุขที่เผ็ด แซ่บ นัว คือความสุขที่แกคว้าได้ง่ายๆ แค่ออกเดินทาง หยิบกระเป๋า แล้วชวนเพื่อนไปเพื่อนบ้านกันเถอะ