เป็นมติเอกฉันท์แน่นอน ถ้าซาวเสียงเพื่อนๆ ว่าสองวันหนึ่งคืนนี้ จะเก็บกระเป๋าไปสัมผัสธรรมชาติกรีนๆ ใช้ชีวิตแบบฟาร์มเฮ้าส์บนเขาใกล้ๆ กรุงที่ไหนดี เพราะเกินครึ่งเราเชื่อว่าจะต้องเทคะแนนไปที่ “เขาใหญ่” ด้วยความที่เป็นอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ติดอันดับหนึ่งของไทย ทำให้ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ แถมพอกลับก็มีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังได้อยู่เสมอ แต่ถ้าไปเขาใหญ่แบบครั้งก่อนๆ มันก็ดูธรรมดาไป รอบนี้เราเลยขอเปลี่ยนแนวสวมบทบาทเป็น Biker คว้าบิ๊กไบท์สุดเจ๋งออก Road Trip ขี่รถเที่ยวแบบเฟี้ยวๆ ตะลอนให้ทั่วเขาใหญ่ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มความตื่นเต้นให้หัวใจได้ฉูบฉีดกันสักครั้ง …
ประสบการณ์บางอย่างถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ เหมือนการไปเขาใหญ่ครั้งนี้เรามีโอกาสได้จับ Bigbike อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน และคราวนี้ได้ลองขี่ Honda CBR650F ที่มีการปรับปรุงโฉมใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิมเพิ่มเติมที่ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ที่เน้นความสปอร์ตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการพัฒนาเครื่องยนตร์เพื่อเสริมความมั่นใจในการขี่ให้มากขึ้นไปอีกด้วย รถทั้งดี เร็ว และแรงแบบนี้บอกได้คำเดียวว่าเหมาะสมกับ Professional ทั้งหลายสุดๆ ส่วนความดีงามในการขี่ Bigbike ออกไปเขาใหญ่ครั้งนี้ให้ลืมการเร่งรีบแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อไปทนฝ่ารถติดเหมือนทุกครั้งไปได้เลย เพราะเราจะพาไปแบบชิลล์ๆ เน้นสูดอากาศระหว่างทาง เอาหน้าโต้ลมเย็นๆ ก่อนไปลองใช้ชีวิตเป็น Farmer ในดินแดน Farm House ดู นี่แค่คิดก็ประเทืองจิตประดับใจแล้ว ใครสนใจไปเขาใหญ่กับเรารีบกระโดดขึ้นรถซ้อนท้ายเกาะเอวแน่นๆ ได้เล๊ย ฮ่าฮ่า
เพียงสองชั่วโมงนิดๆ จากใจกลางกรุง เราก็พาตัวเองมาถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติสีเขียวสบายตา ระหว่างทางที่ขี่มาเรารู้สึกถึงความสบายในการนั่ง ไม่รู้สึกเมื่อยล้าใดใดเกิดขึ้นทั้งคนขับและคนซ้อน เพราะเบาะนั่งเป็นแบบใหญ่นั่งสบายเต็มก้น ซ้อนใกล้ซ้อนไกลก็ไม่มีบ่น แถมเวลาขี่ก็ไม่ต้องหมอบตัวลงเยอะ สบายไปอีกกก
001 น้ำตกเหวสุวัต
โลเคชั่นแรกที่เราปักหมุดแล้วพุ่งใส่ก็คือน้ำตกเหวสุวัต น้ำตกที่เชื่อว่าหลายๆ คนที่เคยไปเขาใหญ่น่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะเป็นน้ำตกขึ้นชื่อที่อยู่คู่กันกับน้ำตกเหวนรกบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่ความพีคของน้ำตกนี้จะอยู่ในช่วงน้ำลดที่ไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะว่าในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูแล้งเราจะสามารถเดินเข้าไปถ้ำด้านข้างเพื่อถ่ายรูปลอดออกมาได้ แลดูแล้วช่างลึกลับ เว่อร์วังไม่เหมือนที่ไหนดี ซึ่งถ้ามาในช่วงน้ำเยอะ น้ำก็อาจมิดถ้ำจนแทบมองไม่เห็นปากถ้ำเลยทีเดียว! ส่วนระยะทางเดินเข้าน้ำตกคือดีเหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากไม่ไกลและไม่ชันจนเกินไป
นอกจากความสวยงามแล้วที่นี่ยังมีเรื่องเล่าปากต่อปากกันมาว่า ชื่อน้ำตกเหวสุวัตนี้ เกิดจากโจรที่ชื่อสุวัต หนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาจนมุมยังน้ำตกแห่งนี้ เลยตัดสินใจกระโดดจากด้านบนลงมายังแอ่งน้ำด้านล่างเพื่อหนีต่อ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง เป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น ส่วนเรื่องจริงที่ขอยืนยันและสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ก็คือความดีงามของธรรมชาติที่นี่ ทั้งอุดมสมบูรณ์ มีหินก้อนใหญ่ๆ ทรงสวยๆ ไว้นั่งเล่น ใครใคร่จะเซลฟี่ก็ได้ ใครเหนื่อยล้าจะงีบสักตื่นก็ดี ส่วนเราขอนั่งแช่เท้าดูละอองน้ำเย็นๆ ที่ฟุ้งกระจายตามแรงลมก็ฟินมากพอแล้ว
น้ำตกเหวสุวัต เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่ 07.00 -17.00 น. ไม่อนุญาตให้นำอาหารไปรับประทานบริเวณน้ำตก ส่วนใครที่จะลงเล่นน้ำตกก็ต้องคอยระมัดระวังดูแลตัวเองให้ดีด้วย เพราะถึงน้ำจะใสไหลนิ่งแบบที่เราเห็นแต่ก็มีความลึกอยู่พอสมควรนาจา
แม้ว่าอากศจะร้อนหน่อยๆ แต่พอได้ขี่ Honda CBR650F บิ๊กไบท์คู่ใจของเราในทริปนี้ ก็รู้สึกได้รับพลังลมกระทบกายหยาบให้เย็นสบายขึ้นมาทันที นี่คงเป็นอีกหนึ่งความดีงามของการขี่รถแบบ Open air ที่แท้ทรูที่เราเพิ่งเคยสัมผัสสินะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าบิดเพลินจนขับเร็วเกินไป เพราะบนอุทยานเค้าจำกัดความเร็วไว้ที่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น จะได้ไม่ส่งเสียงดังรบกวนธรรมชาติสัตว์ป่าในเขาใหญ่ และไม่เป็นอันตรายทั้งเราและสัตว์ แถมเป็นการรักษ์โลกเข้ากับนโยบายคนรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยยยย!
002 หอดูสัตว์หนองผักชี
ระหว่างกิโลเมตรที่ 35-36 บนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ บริเวณทางโค้งเนินสวยๆ นั้น เราจะเห็นป้ายบอกทางไปยังยังหอดูสัตว์หนองผักชี จุดนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงสำหรับคนที่อยากเจอสัตว์ป่าตัวเป็นๆ เพราะมีโอกาสสูงมากที่เราจะได้เห็นเหล่าบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ออกมาหากินในทุ่งหญ้า เรียกได้ว่า ที่แห่งนี้เป็นสวรรค์ของสัตว์ป่าเลยก็ว่าได้ หลังจากจอดรถเสร็จสรรพเราก็เดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 800 เมตร โดยระหว่างทางเราจะผ่านทุ่งหญ้ากว้างๆ ถ้าสายตาดีพอแล้วลองเพ่งเล็งไปกลางทุ่ง แกอาจเจอกวาง เก้ง หรือหมูป่าออกมาเล็มยอดหญ้าอยู่ก็เป็นได้ ถ้าแกโชคดีแต้มบุญมากพอก็คงมีโอกาสได้เห็นแต่สำหรับเราแค่เห็นกวางสักตัวก็ดีใจแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า
ฟังเสียงป่า ชมธรรมชาติไปเพลินๆ เราก็มาถึงหอดูสัตว์ ที่เป็นอาคารไม้สูงเด่นเป็นสง่า ด้านบนจะมีเก้าอี้ให้เรานั่งคอยส่องสัตว์และพักเหนื่อยหลบร้อน หากชะเง้อคอมองลอดหน้าต่างออกไปจะเห็นโป่งดิน และโป่งน้ำ ที่เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ ในช่วงตอนเย็นๆ จะมีสัตว์ป่ามาใช้โป่งเป็นจำนวนมากทั้งเก้ง กวาง หมูป่า กระทิง หรือแม้แต่ช้างก็มา เพราะงั้นเวลามานั่งเฝ้าสัตว์ เราก็ไม่ควรส่งเสียงดังโวยวายไป เดี๋ยวสัตว์ตกใจวิ่งหนีเข้าป่าไม่มาให้เห็นนะแก ส่วนเราแฮปปี้กับการเดินส่องสัตว์ครั้งนี้มาก
กลับมาที่บิ๊กไบท์เพื่อเตรียมบิดไปยังจุดหมายต่อไป เราก็เหลือบไปมองเวลาบนหน้าปัดจอ LED ที่แสดงทั้งความเร็ว วัดรอบเครื่องยนต์ รวมถึงเป็นนาฬิกาบอกเวลาว่าจวนจะสี่โมงแล้ว ณ ตอนนี้แสงแดดที่แผดเผาเราให้ไหม้เมื่อบ่าย ก็เริ่มอ่อนลง ทุกอย่างเลยดูซอฟท์ดูละมุนขึ้นทันตา ราวกับเป็นชั่วโมงต้องมนต์
003 อ่างเก็บน้ำสายศร
แลนด์มาร์คที่สามก่อนที่พักก็คือ “อ่างเก็บน้ำสายศร” เป็นสถานที่ชมแสงสุดท้ายของวันที่ฮิตที่สุดบนเขาใหญ่เลยก็ว่าได้ ที่นี่มีอีกชื่อว่า อ่างเก็บน้ำมอสิงโต โดยเรียกตามชื่อของเขามอสิงโตที่อยู่บริเวณหน้าอ่างเก็บน้ำ แต่ด้วยเมื่อก่อนมักมีคนเข้าใจผิดคิดว่าที่นี่มีต้องสิงโต จึงมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็นอ่างเก็บน้ำสายศรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จริงๆ แล้วอ่างเก็บน้ำนี้ใช้สำหรับกินดื่มได้ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่ายามแล้ง ถ้าเราเดินเล่นบริเวณนั้นก็อาจเจอบ่าวสาวจูงมือกระหนุงกระหนิงมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันที่จุดนี้ด้วย บอกแล้วว่าโลเคชั่นมันสวยจริงๆ
ไฮไลต์ที่นอกเหนือจากพระอาทิตย์ตก เรามักจะเห็นบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ ทั้ง เก้ง กวาง ลิง และนก มาดื่มน้ำบริเวณนี้ด้วย สำหรับคนรักสัตว์น่าจะชอบมากเลยทีเดียว เพราะเราจะได้ใกล้ชิดกับสัตว์ป่ามากๆ แบบไม่มีต้นใหญ่ๆ มาขวางกั้น
เราจอดพักรถนั่งชมแสงสุดท้ายของวัน ทิ้งตัวนั่งลงบนหญ้าพักกายพักใจก็เพลินดีนะแก สำหรับเราอ่างเก็บน้ำนี้มีดีมากกว่าแค่การขับรถผ่าน แล้วก็อย่าลืมล่ะว่าการมาเที่ยวในที่ส่วนรวมอย่างอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เราก็ควรปฏิบัติตามข้อบังคับของอุทยานฯ อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย และอย่าลืมช่วยกันรักษาธรรมชาติอันสวยงามของที่นี่จะได้มีสถานที่ดีดีแบบนี้คงอยู่กับเราอีกไปนานๆ
004 Coolliving Farmhouse
ออกตระเวณมากันทั้งวันร่างกายก็เริ่มล้าโหยหาที่พักกายเป็นธรรมดา เราจึงขับรถจากเขาใหญ่ตรงมายังวังน้ำเขียว และด้วยพลังเครื่อง 4 สูบเรียงทรงพลังของ Honda CBR650F นี้ทำให้เรามาถึงจุดหมายได้ไวและปลอดภัย แถมมีการปรับใช้ไฟหน้าแบบ Full LED ที่ทำให้ขับกลางคืนได้สบาย มองทางได้ชัด สว่าง ไม่ต้องกลัวหลงอีกต่อไป เรียกได้ว่ามันตอบโจทย์ผู้ที่ต้องขับทางไกลแบบขั้นสุดเลยทีเดียว อะอะมัวแต่เม้าท์เรื่องรถซะยาว ขอพากลับมาเม้าเรื่องที่พักในคืนนี้กันบ้างดีกว่า สำหรับ Coolliving Farmhouse เป็นฟาร์มสเตย์สวนผักออร์แกนิกส์สไตล์ญี่ปุ่นแห่งแรกของวังน้ำเขียว ที่ขึ้นชื่อการันตีว่าเป็นแหล่งโอโซนแห่งใหญ่ของประเทศไทย ที่นี่จึงเป็นมากกว่าที่พักเพราะจะได้สัมผัสการเที่ยวฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่ปลูกผักสลัดขาย โดยที่เรามีส่วนร่วมในการลงมือได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดิน การเพาะเมล็ด การปลูก จนถึงตัดผักกินด้วยตัวเอง เอาเป็นว่าพอมาถึงฟาร์มก็ขอให้ทิ้งชีวิตที่ติดโซเชียลและสัญญาณ wifi ไปได้เลย มาดื่มด่ำกับธรรมชาติและความสโลไลฟ์ติดดินตรงหน้าดีกว่า
เจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีของเช้าวันใหม่ เป็นฤกษ์งามยามดีที่เราจะสวมบู๊ทลงแปลงไปตัดผักด้วยตัวเอง ที่นี่มีทั้งบัตเตอร์เฮท เบบี้คอต กรีนโอ้ค เรดโอ้ค ที่ช่วยเพิ่มไฟเบอร์ในการขับถ่ายแถมลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ด้วย สโลแกนของที่นี่ก็คือตัดเท่าไหร่ก็กินเท่านั้น หมายความแบบไม่งงตรงๆ ว่า มื้อเช้าวันนี้เราต้องกินสลัดผักจากที่เราตัดเองกับมือนี่แหละ เพราะงั้นควรตัดให้กินแต่พอดี ใครรู้ว่าตัวเองกินเยอะจะตัดหมดแปลงเค้าก็ไม่ว่าหรอกแก และนอกจากสลัดผักแล้วก็ยังมีอาหารออแกนิคที่ปรุงแบบปลอดน้ำตาลขาวและผงชูรสให้เราได้ลิ้มลองอีกด้วย
ตามสไตล์ของ Organic Cool Living Farmhouse ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพเป็นสำคัญ ห้องพักที่นี่จึงออกแบบสไตล์มินิมอล เรียบง่ายแต่พอดีเอาไว้ต้อนรับเรา ภายในห้องก็จะปลอดสารเคมีแรงๆ ปลอดแร่ใยหิน VOCs แถมมาพร้อมชุดเครื่องนอนออแกนิคจากธรรมชาติในระดับฟรีฟอร์มัลดีไฮด์ ที่ไม่มีโรงแรมใดเคยทำมาก่อน อีกทั้งพวกสบู่แชมพูหรือน้ำยาทำความสะอาดก็ปลอดเคมีอีกเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เรารู้สึกว่าการมาพักผ่อนอยู่กับธรรมชาติที่นี่เวลาหายใจเข้าปอดแต่ละที เหมือนเป็นการฟอกปอดที่เราเคยสูดดมกลิ่นควันในกรุงมาทั้งปีได้เลย
นอกจากกิจกรรมตัดผักเก๋ๆ ที่เป็นกิมมิคของที่นี่ ก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ในฟาร์มที่น่าสนใจอีก เช่น ชมโรงเพาะขนาดยักษ์ สนุกไปกับการขึ่จักรยานรอบไร่ นอนเล่นริมบ่อ ชมสวนสมุนไพรต่างๆ เพาะเมล็ดให้เป็นต้นกล้า เก็บไข่และอื่นๆ อีกเยอะ เอาจริงๆ เวลาหนึ่งคืนที่นี่มันสั้นไปสำหรับเรา ถ้ามีโอกาสคิดไว้แล้วว่าจะต้องมาซ้ำอีกสองสามรอบเพิ่มความฟินให้หัวใจอีกแน่นอน Recommend ตัวโตๆ กับกิจกรรมให้อาหารน้องไก่และเก็บไข่จากเล้า อันนี้ห้ามพลาดเลยจริงๆ แก เพราะมันเป็นกิจกรรมที่ดูเหมือนธรรมดาแต่สนุกมากเวอร์
แนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์เราคือธรรมชาติ ทำให้ Coolliving Farmhouse ได้สร้างสรรค์ผลิตสินค้ากรีนๆ ไม่ว่าจะเป็น หมอนร้อยปี ที่นอนฝ้ายเดอฟูตง เครื่องสำอางค์ออแกนิค pumipure หรือจะเป็นสเปยร์ไรฝุ่น ก็มีให้เราช็อปติดไม้ติดมือเอาไปฝากคุณแม่คุณยายที่บ้านได้ด้วย สำหรับใครที่สนใจมาลองเป็น Farmer ในดินแดน Farmhouse สวมบทบาท Havest Moon แบบเรา ที่นี่น่าจะให้คำตอบพวกแกได้ไปเถอะไปใช้ชีวิตคูลๆ ที่คูลลิฟวิ่ง รับรองว่าแกจะสำลักความสุขและได้พลังงานบวก ๆ กลับมาอย่างเต็มอิ่ม
005 บ้านนอกคอกนา
ทำตัวเป็น Farmmer จนเป็นที่พอใจแล้วแต่รู้สึกว่าร่างกายต้องการความออแกนิคอีกหน่อย เราจึงขับบิ๊กไบท์คุ่ใจมาฝากท้องมื้อกลางวันกันที่ “บ้านนอกคอกนา” จุดเช็คอินแลนมาร์คใหม่ในโซนปากช่อง-เขาใหญ่ที่กำลังฮ็อตขั้นสุดไม่มาไม่ได้ แค่แป๊บเดียวเหมือนวาร์ปได้เจ้า Honda CBR650F ก็มาพาเราถึงที่หมาย ถึงปุ๊บจอดปั๊บได้ไม่ต้องกลัวรถหาย เพราะบิ๊กไบท์โฉมใหม่คันนี้นางมีกุญแจนิรภัยแบบ HISS และ Wave Key ฝังชิป ป้องกันพวกกุญแจผีที่จะมาแงะรถเราได้ด้วย ถือว่าตอบโจทย์เน้นๆ กับพวกที่ชอบลืมล็อครถ
บนพื้นที่กว่า 9 ไร่ ของบ้านนอกคอกนา ได้ดัดแปลงพื้นที่นาเดิมให้เป็นที่เที่ยวใหม่ที่น่าสนใจ เป็นทั้งคาเฟ่ ฟาร์มสเตย์ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และที่พักแบบฟูลออฟชั่น ที่นี่สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจในคำสอนของในหลวง ร.9 และได้เดินตามรอยแนว “ความพอเพียง” ของพ่อ ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกอยากเก็บกระเป๋ากลับบ้านนอก และไปสร้าความฝันเล็กๆ ของตัวเองเหมือนอย่างที่นี่
บรรยากาศการตกแต่งชวนสะดุดตาตั้งแต่เห็นแวบแรก มีการใช้ไม้ไผ่แบบบ้านๆ มาเป็นวัสดุในการก่อสร้าง แต่แฝงไปด้วยความร่วมสมัย ทางเดินเด่นๆ ตรงกลางเป็นไม้ไผ่สาน เกิดจากแถวนี้ชาวบ้านเก็บหน่อไม้ขายกันเยอะ ก็เลยสนับสนุนชุมชนโดยการรับซื้อไม้ไผ่นำมาสานเป็นทางเดิน และยังนำไม้ไผ่มาดัดแปลงเป็นเก้าอี้ หลังคา และฉากกั้นตามส่วนต่างๆ นอกจากจะทำให้ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้นแล้ว ยังเป็นกิมิคเก๋ๆ ที่ทำให้เรายิ่งหลงรักร้านนี้เข้าไปอีก
เสน่ห์ของบ้านนอกคอกนาอีกอย่าง อยู่ที่การปลูกผัก ทำนา ทุกอย่างได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอม ใส่ใจไม่ใช้สารเคมี แล้วนำผลผลิตที่ได้มาเป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงอาหารให้เรากิน เมนูเด็ดแนะนำส่วนมากจะเป็นอาหารอีสานสไตล์ไทยฟิวชั่น โดยซิกเนเจอร์ของทางร้านที่มาแล้วพลาดไม่ได้ต้องสั่งมาลองคือ ลาบข้าวโพดม่วง ยิ่งได้กินคู่กับ ส้มตำบ้านนอกแล้ว ช่างอร่อยลงตัวเข้ากันเป็นที่ซู๊ดดดด ฟินชนิดที่แบบเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
006 Please Don’t Tell Khaoyai
“ขับตรงเข้าไปเรื่อยๆ นะครับ แล้วเลี้ยวขวา ตรงเข้าไปอีกจะมีเนินขึ้นไปสูง ๆ ทางซ้าย ร้านกาแฟอยู่บนนั้นเลยครับ” นี่คือคำบอกทางของพี่ยามตรงปากทางเข้า Monlada ซึ่งพี่แกกำลังชี้พิกัดของร้านกาแฟลึกลับที่เช็คอินสุดท้ายที่เราจะพาไปของทริปนี้ ‘Please Don’t Tell’ ได้นิยามตัวเองว่าเป็น Café and Safehouse เมื่อมาถึงเราก็จะเจอกับภาพวาดสุนัขท่าทางมาเฟียที่มีสายตายียวนกวนประสาทนิดๆใส่หมวกทักซิโด้แถมคาบไปป์ในปาก ที่บอกว่าเราได้มาถึงเซฟเฮาส์ซึ่งเป็น ‘Hidden Place’ แห่งนี้แล้ว
ตั้งแต่ก้าวขาลงจากบิ๊กไบท์เราก็รู้สึกได้ถึงความเงียบสงบของที่นี่ พอเข้าไปในตัวร้านก็จะเห็นบรรยากาศกึ่ง Open-air ที่ตกแต่งอย่างลงตัวด้วยสไตล์รัสติก ซึ่งไอ้ความลงตัวที่เราว่าก็คือ ไม่โล่งไป ไม่อึดอัดไป ทุกอย่างดูมีระยะห่างที่พอดี มีความเป็นส่วนตัว ที่นั่งก็มีให้เลือกหลากหลายแบบแล้วแต่สไตล์ จะนั่งโซฟาหนังวินเทจนุ่มนิ่มกับครอบครัวก็ได้ นั่งบาร์ล้อมกับแก๊งเพื่อนก็ดี หรือจะนั่งโต๊ะคู่กับหวานใจก็ได้เหมือนกันหมด
พอเลือกที่หย่อนก้นได้เสร็จสรรพ เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้านที่เราสั่งก็มาเสิร์ฟ Mango Crush มะม่วงปั่นไม่ใส่น้ำแข็งที่ให้ความหวานแบบธรรมชาติ เย็ดชื่นใจด้วยการนำไปแช่เย็นก่อนนำมาปอกแล้วปั่นจนเนียน ตกแต่งด้วยผลไม้อย่างกีวี่ ทับทิม และสตรอว์เบอร์รี่ เป็นอีกหนึ่งแก้วสุขภาพที่ทานแล้วไม่อ้วน ส่วนใครที่เป็นคอโกโก้แบบเราขอแนะนำเมนู Anchan Iced Cocoa จุดเด่นไม่ใช่โกโก้ธรรมดาทั่วไปแบบร้านอื่น แต่ร้านนี้เค้าท็อปด้วยน้ำอัญชันหวานหอม ทำให้เห็นเป็นเลเยอร์สามสีดูสวยดี แถมรสชาติอร่อยด้วย ถือเป็นการปิดทริปที่ดีต่อใจสุดๆ
เรายังคงเชื่อเสมอว่าจุดหมายปลายทางของการเดินทางไม่ใช่แค่การไปถึงและเที่ยวให้จบไปวันๆ แต่ระหว่างทางที่เราผ่านมาก็มีสิ่งที่น่าสนใจ รอวัยรุ่นครุ่นคิดอย่างเราๆ เข้าไปเก็บเกี่ยวก่อนกลับมาแบ่งปันผ่านโซเชียล แบบ Road Trip เขาใหญ่ของเราในครั้งนี้นี่เอง สุดท้ายการตัดสินใจลองขี่บิ๊กไบท์ไปเที่ยวเขาใหญ่ของก็เป็นการเปิดมิติใหม่แห่งการท่องเที่ยวที่เราไม่เคยทำมาก่อน ทั้งสนุกและเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ที่หาจากไหนก็ไม่ได้แบบนี้อีกแล้วละ ส่วนเขาใหญ่รอบหน้าถ้าคิดไม่ออกว่าจะไปลุยแบบไหน ลองขี่ Honda CBR650F แล้วออกตระเวนเที่ยวแบบเราได้เลย รถดีๆ มีคุณค่าที่เหล่า Professional ด้าน Bigbike แบบเราๆ คู่ควร