ดินแดนบนฝั่งโค้งแม่น้ำที่คนทั่วโลกจดบันทึกไว้ใน Wishlist บ้านใกล้เรือนเคียงที่มีความสัมพันธ์อันแสนดีงามกับประเทศไทยมาแต่โบราณกาล วัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อและถ่ายทอดจากดินแดนแห่งนี้ทำให้เราคุ้นเคยกับที่นี่แม้ไม่ทันได้พบหน้ากันมาก่อน และยิ่งเมื่อเราได้พบกันยิ่งตอกย้ำความประทับใจแบบลืมไม่ลง ตั้งแต่บ้านเรือนสไตล์โคโรเนี่ยน อาหารอันแสนถูกปาก คาเฟ่ฮิป ๆ ไล่ไปจนถึงอ่าวฮาลอง จากเพื่อนบ้านก็กลายเป็นเพื่อนรักได้แบบไม่ยากนัก …
Flight :
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบิน ฤกษ์งามยามดีกับรูทใหม่ไฉไลเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเส้นทางการบินที่บางกอกแอร์เวย์เปิดทำการบินเป็นเส้นทางบินงามๆ เชียงใหม่ – ฮานอย กับเครื่องบินแบบ ATR 72-500/600 จำนวน 70 ที่นั่ง ภายใต้สโลแกน Asia’s boutique Airline (ความประทับใจแห่งเอเซีย) กับเวลาดี๊ดี เชียงใหม่-ฮานอย 9.55 ถึง 12.00 และฮานอย-เชียงใหม่ 12.45 ถึง 14.50 ทุกวันนนน โดยจะเริ่มบินตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมนี้เป็นต้นไป
และเช่นเดิมที่เราจะสามารถใช้เล้าจ์ของบางกอกได้แบบฟรี ๆ อย่ารอช้าเข้าไปคว้าข้าวต้มมัดของเด็ดที่โด่งดังของบางกอกแอร์ ไหนจะชากาแฟ ช๊อคโกแลต น้ำเปล่า น้ำส้ม และขนม นั่งรอเครื่องแบบไม่ต้องหิ้วท้องรอ เล่นไวไฟฟรีไปด้วยแบบเพลิน ๆในห้องรับรองกว้างขวาง เคลียงาน อัพเฟสวนไปจ้า
เที่ยงตรงสายการบินบางกอกแอร์เวย์ก็พาบินลัดฟ้ามาสู่สนามบินนอยไบอย่างปลอยภัย ไม่รอช้ารีบคว้าเข้าของแล้วมุ่งตรงหน้าสู่เมืองฮานอย เมืองหลวงเก่าแก่ของประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ.1553 ศูนย์กลางธุรกิจการค้าที่สำคัญทางภาคเหนือ ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำแดง ประวัติศาสตร์อันยาวนานและภูมิประเทศที่ลงตัวนี้จะทำให้ 4 วัน 3 คืนของเราร้อนแรงลุกเป็นไฟ เดือดปุด ๆ ขนาดไหนพวกแกจงตามเสพโดยพลัน
วัดหง็อกเซิน ( Ngoc Son หรือ วัดเนินหยก) :
วัดใจกลางทะเลสาบคืนดาบ หรือทะเลสาบฮว่านเกี๊ยม ทะเลสาบกลางเมืองเก่าของฮานอย ทันทีที่เราเดินทางมาถึงเหล่ามนุษย์ป้ามากมายก็เข้ามาห้อมล้อมเรา พร้อมรัวภาษาจีนใส่เพื่อขายของฝากอย่างไม่ยั้ง จะอะไรอีกล่ะ .. ก็ด้วยหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ ดวงตาไม้ขีดไฟของเรานั่นเองที่ทำให้ใครต่อใครมักเข้าใจผิดและนี่ก็เป็นอีกครั้ง แต่ระดับโปรเฟสชั่นนั่ลที่เที่ยวมามากจึงทำให้รอดเงื้อมือมนุษย์ป้ามาได้แบบใส ๆ จากประตูใหญ่ที่เราเดินเข้ามาจะพบประตูเล็กอีกหนึ่งประตูที่มีอักษรจีนและภาพต่าง ๆ ที่ถูกวาดไว้อย่างสวยงามภายใต้ร่มเงาอันร่มรื่น
วัดสไตล์เวียดนามสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนา ความสวยงามและเรื่องราวที่ถูกเล่าผ่านสถาปัตยกรรมสีแดงสด โดยเด่นและเป็นเอกลักษณ์ วัดตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ตัววัดจึงยิ่งเล็กกว่าเกาะเข้าอีก ทำให้ไม่กี่ร้อยลมหายใจเราก็เดินทอดน่องกรุยกรายครบรอบวัดนี้ซะละ
นอกจากประวัติที่ยาวนานแล้ว วัดแห่งนี้ยังมีมุมเก๋ ๆ ที่พลาดไม่ได้ไล่ตั้งแต่กำแพงสีแดงที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ โคมไฟสีส้มที่สาดแสงส่งกำแพงสีแดงให้ดูสว่างไสวขึ้นไปอีก ต้นไม้ใหญ่สีเขียวขยายกิ่งก้านทอดกายให้ร่มเงา เป็นแบคกราวในการถ่ายรูปที่จัดว่าพรีเมี่ยม แสนเก๋ นี่แค่เพียงสถานที่แรกยังเต็มอิ่มทั้งประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า และมุมถ่ายภาพไว้ฟาดลงโซเซี่ยว บอกได้คำเดียวว่าฮานอยไม่มาไม่ได้แล๊วแก๊
CHO Coffee :
หลังจากเดินชมวัดวาอารามรับแต้มบุญกันเป็นที่เรียบร้อย คอก็เริ่มแห้งกระหาย สายตาก็พลันเห็นวัยรุ่นแต่งตัวชิค ๆ เดินเข้าออกร้านคาเฟ่เก๋ ๆ สีเขียวตัดเหลือง มีความดิบ ๆ คล้ายสไตล์อินดรัสเทรียลหน่อย ๆ ด้วยเพดานเปลือยโชว์สายไฟ มุมนึงเป็นกำแพงอิฐสีส้ม และเก้าอี้ตัวเตี้ย ๆ โต๊ะเล็ก ๆ ทำให้อะไร ๆ ก็ดูมินิมอลไปหมด แถมมีเมนูหลากหลายให้เลือก แต่ทีเด็ดที่อยากแนะนำให้ดื่มก็คือกาแฟมะพร้าวหอม ๆ และพวกน้ำผลไม้ปั่นสด ๆ ไม่ใส่น้ำเชื่อมเจือปนแบบบ้านเรา บอกได้เลยว่าสดชื่น
Quan An Ngon :
กระพริบตาสามทีก็ได้เวลาอาหารเย็น เราถูกใจกับร้านที่มีชื่อว่า Quan An Ngon ร้านอาหารที่ดัดแปลงมาจากบ้านหลังเก่าแล้วรวมเอาร้านแผงลอยและไม่แผงลอยมาอยู่ด้วยกัน คล้าย ๆ พวกอเวนิวบ้านเรา การจัดร้านจะป็นแบบฟู๊ดคอร์ทในห้างที่แต่ละเจ้าจะมีเมนูเด็ดดวงของตัวเอง แต่การสั่งจะมีพนักงานมารับออเดอร์ที่โต๊ะและนำมาเสริฟ ข้อดีคือความหลากหลาย มาที่เดียวครบ จบ และราคาไม่ต่างกับที่เราทานริมถนนมากนัก ทำให้ที่นี่ฮิตทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวและชาวเวียดนามเองก็นิยมมาเช่นกัน เรียกว่าฮิตจนเปิดหลายสาขารวมถึงโฮจิมินด้วยนะแก
ทันทีที่มาถึงออเดิฟจานแรกก็ถูกเสริฟอย่างฉับไว ชื่อเมนูเราก็เรียกไม่ถูก แต่มันจะเป็นข้าวเกรียบสีขาวแผ่นกลม ๆ ใหญ่ประมาณฝ่ามือ ทานคู่อาหารที่คล้าย ๆ กับยำมะม่วง แต่ชนะขาดตรงที่หมึกและกุ้งตัวโต ยิ่งได้เบียร์เวียดนามเย็น ๆ มาแกล้มสักแก้วยิ่งอร่อยแซีบเข้ากั๊นเข้ากัน
ฟินส์กันยังไม่ทันจบอาหารที่สั่งไว้ทั้งหมดก็ทยอยมาเสริฟจนเต็มโต๊ะ ทั้งปอเปี๊ยะทอด เฝอ ขนมเบื้องญวน ฯลฯ แต่ที่เราเทคะแนนเต็มให้ก็คือเจ้าหมูสามชั้นแผ่นบางกินคู่กับแผ่นแป้งที่คล้าย ๆ แป้งแหนมเนืองแต่ไม่แช่น้ำ เอาผักวางตามใจชอบ ราดน้ำจิ้มหวานอมเปรี้ยวนิด แล้วบุ๊ง ก็กลายเป็นเมนูจานโปรดของทุกคน ตอนนี้พวกเรากินกันท่ามกลางอากาศหนาว ๆ จิบเบียร์เย็น ๆ เม้าท์กันเพลิน ๆ ตั้งแต่เรื่องเพลงคุ๊กกี้เสี่ยงทายไปจนถึงเรื่อง(ยาแก้ไอตรา)เสือดำ พอรู้ตัวอีกทีอาหารตรงหน้าก็ย้ายจากจานไปสู่กระเพาะทุกคนจนเกลี้ยงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว อิ่มจุกจนแทบต้องคลานกลับโรงแรมกันเลยทีเดียว ณ จุดนี้
Muong Thanh Ha Noi Hotel :
กลิ้งกลับมาพร้อมหนังตาที่เริ่มหย่อน หนังท้องที่เริ่มตึง เราก็ถึงที่พักในคืนแรก Muong Thanh Ha Noi Hotel โรงแรมชื่อดังที่มีสาขามากมายในเวียดนาม และที่นี่โรงแรมตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากถนน nanjing ทำให้เดินทางสะดวก ที่สำคัญอาหารเช้าหลากหลาย เลือกได้เพลิดเพลินดีมาก ราคาไม่แพง รวม ๆ แล้วแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินคุ้มค่ากับการเสียตัง
ยามเช้าของฮานอยค่อนข้างจะคึกคักจนบางช่วงก็คึกจนวุ่นวาย เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่าคนเวียดนามส่วนมากใช้มอเตอร์ไซและบีบแตรกันเก่งกว่าแตรวงบ้านเราอี๊กกก แต่จะนับว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่งก็ไม่ผิด แม้จะรีบเดินทางแต่เราก็ยังแอบเห็นได้ว่าอาหารเช้าตามท้องถนนของที่นี่มีเมนูยอดฮิตคือเฝอกับขนมปังฝรั่งเศษ ประมาณที่บ้านเรามีข้าวเหนียวหมูปิ้งและหมูทอดเจียงฮายอยู่ทั่วหัวระแหงนั่นล่ะ
ระยะทางแสนสั้นแต่ระยะเวลาแสนยาวนาน ที่เป็นอย่างนี้ก็ด้วยความที่ที่นี่ไม่มีทางด่วน บางพื้นที่กำหนดความเร็วรถ และคนก็ปฎิบัติตามกฎหมายทำให้เราค่อนข้างช้า แต่ก็เป็นความช้าแต่ชัวร์นะเธออออ พอมาถึงเราก็ตรงดิ่งไปยังท่าเรือ Syrena Cruise เรือที่จะพาเราล่องวน 2 วัน 1 คืนบนอ่าวฮาลองอันแสนโด่งดัง ที่พักบนเรือถูกตกแต่งให้เป็นสไตล์เวียดนามสุดหรูและโมเดิร์น 3 ชั้น โดยชั้น 1 และ 2 เป็นห้องพัก ส่วนชั้น 3 เป็นห้องอาหาร แถมดาดฟ้าเรือไว้รับลมชมฮาลองเบย์
เช็คอินรับกุญแจเพื่อเข้าห้องพัก แม้ว่าจะเป็นห้องพักบนเรือ แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดตกบกพร่องนาจาาา เพราะว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แอร์ ทีวี ตู้เย็น ไดร์ น้ำอุ่น คือทุกอย่างมันครบมากกก มากแบบโรงแรม 5 ดาวเลยอ่ะ และเนี่ยก็เป็นครั้งแรกของเราที่นอนในเรือแบบนี้ คือมันประทับใจมากเว่อออ ดีกว่าที่คิดมากเว่ออออ ตื่นเต้นมากเว่อออออ และเรือมันไม่โครงเครงเลยแก เราว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ควรลองสัมผัสสักครั้งในชีวิต แล้วแกจะรู้ว่าแค่เปลี่ยนที่นอนใหม่มันก็ทำให้รู้สึกถึงความตื่นเต้น เติมไฟ เติมฝันให้เราอีกได้หลายอัตตรา
แต่จุดที่ทำให้เรากรีดร้องที่สุดต้องยกให้ระเบียงห้องที่วิวจะเปลี่ยนไปทุก ๆ นาที ถ้าพลาดคือพลาด ถ้าเฝ้ารอก็จะได้พบสิ่งมหัศจรรย์ในชั่วพริบตา เพราะนี่คือที่พักแบบเคลื่อนที่ได้ เรานั่งชิวตรงระเบียงเพลิน ๆ ยิ้มอ่อน ๆ นึกถึงนิทานปรัมปราของชาวเวียดนามที่กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ จึงเป็นที่มาของชื่อฮาลอง ซึ่งแปลว่า มังกรร่อนลง นั่นเอง
ดื่มด่ำกับวิวตรงระเบียงห้องจนท้องร้องหิวก็ได้เวลามื้อเที่ยง เราไม่รอช้าเพราะเวลาบนเรือจะเป๊ะมากกก ถ้าได้เวลาอาหารออกเค้าก็จะไม่รอนะเธอถ้าไปไม่ทันคืออดเป็นอดนาจา ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราไม่ใช่กรุ้ปเดียวบนเรือ เมื่อเดินขึ้นไปถึงห้องอาหารชั้น 3 จะเห็นเค้าปักธงของชาติต่าง ๆ ไว้ที่โต๊ะ เป็นการบอกอาณาเขตของเราแบบน่ารัก ๆ สำหรับเที่ยงนี้เป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์กินได้ไม่อั้น เน้นหนักไปที่กุ้ง หมึกช้ินใหญ่ ๆ สด ๆ มีอาหารเสริมอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ทั้งกุ้งสดหมึกสดจะมงลงไม่ได้ถ้าขาดขาดน้ำจิ้มซีฟู๊ดและพวกเราก็รอบคอบพอที่จะเตรียมมันมาด้วย ฮ่า ๆ รู้สึกชนะ
เมื่อเต็มอิ่มเพิ่มพลังกันเรียบร้อยเราก็ย้ายกองทัพไปยังดาดฟ้าเพื่อนอนตีพุงชมวิวบนเก้าอี้เอนกายรับลมชิวๆ ถ่ายรูปกันบนดาดฟ้า เปลี่ยนอิริยาบทต่าง ๆ ตามอัธยาศัย และสิ่งที่เราเห็นจะเป็นภาพชาวบ้านหญิงสาววัยกลางคนถึงสูงอายุ จับพายด้วยสองมือ พายแหวกทะเลจนน้ำเป็นสายเข้าหาครูซของนักท่องเที่ยว เพื่อขายขนมนมเนยบ้าง ของฝากของที่ระลึกบ้าง เป็นภาพวิถีชีวิตที่ลงตัวและเข้ากับบรรยากาศทิวเขาของอ่าวฮาลองเบื้องหน้าที่เราเห็นเป็นอย่างมาก
แดดร่มลมตก ลมพัดโชยเอื่อย อากาศอยู่ที่ 15 องศา บรรยากาศช่างแสนดีงามชวนฝัน เราสูดหายใจเข้าลึก ๆ รับอากาศบริสุทธิ์ เรือก็แล่นมาจนถึงจุดแวะพักเที่ยวจุดแรกของมรดกโลกใจกลางสายธาราแห่งฮาลองเบย์นามว่า Hang Sung Sot มรดกโลกที่เป็นจุดแวะพักของนักเดินทางแห่งวารี ทางเข้าอยู่บนหน้าผาที่ไม่สูงมากนัก ภายในถ้ำอากาศเย็นสบาย เดินเล่นกันได้แบบชิว ๆ ไม่ต้องกลัวเหงื่อซึม มีแสงสีที่ถูกประดับประดาด้วยไฟอยู่เต็มไปหมด ทางเดินคดเขี้ยวแต่ปรับให้เดินได้สะดวกสบายเดินง่าย
ระหว่างทางเดินในถ้ำจะเจอหินงอก หินย้อย ลวดลายแปลกตาแล้วแต่การจินตนาการตลอดเส้นทาง ซึ่งความสวยงามเหล่านี้เกิดจากกระแสของลมและน้ำกัดกร่อนจนเกิดเป็นศิลปะที่มีชิ้นเดียวในโลก เราใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาทีเป็นอันว่าทั่ว ครบรอบความประทับใจ เดินกลับไปขึ้นเรือที่มารอรับแบบสวย ๆ ไปพักขาก่อนถึงสถานที่ต่อไป
ส่วนใครที่คิดว่าการเดินขึ้นบันไดเข้าถ้ำจะต้องเหนื่อยแน่ ๆ ขอบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวล เพราะระหว่างทางเดินเค้าจะมีจุดนั่งพักให้นั่งพักหายใจหายคอ จิบน้ำคลายความเหนื่อยล้า ชมวิวฮาลองเบย์ไปด้วย ซึ่งตั้งแต่เราก้าวขาเพื่อจะเข้าถ้ำจะมีจุดให้เราได้พักชิวถ่ายรูปกันยาว ๆ ถึงสองจุด ก่อนจะเดินตามทางทะลุเข้าถ้ำชมความงาม และไต่กันต่อไปที่จุดท้อปวิวที่สูงที่สุดของเส้นทางเดินนี้ให้ได้ฟินกันจนเต็มอิ่ม
จากถ้ำมรดกโลกเราล่องเรือมาต่อกันที่ Ti Top Island เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งตามชื่อของวีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่ 2 Ghermann Titov ที่นี่เราจะพบกับบันได 500 ขั้น ที่จะนำเราขึ้นสู่จุดสูงสุดของวิวใจกลางฮาลองเบย์ที่ไม่อาจลืมเลือน
ไฮไลท์เด็ดที่หลายคนไม่อาจพลาดมีมากมาย เช่น ว่ายน้ำกลางชายหาดเล็ก ๆ ที่มีน้ำใสไหลเย็น , จุดชมวิว 100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลกับวิวพานอราม่า พายเรือคายัค แตะบอล วอลเลย์บอล หรือเดินเล่นถ่ายรูปเล่นก็เพลิน ๆ บนหาดทรายวงพระจันทร์หนึ่งในหาดทรายไม่กี่แห่งของฮาลองเบย์
เย็นย่ำค่ำลงก็ได้เวลาที่โลกจะโคจรลาจากดวงอาทิตย์ เราเลือกกลับขึ้นเรือเพื่อไปนั่งชิวชมพระอาทิตย์ลับฟ้ากันที่ดาดฟ้า ณ เวลานี้อ่าวฮาลองได้สีครามฉาบด้วยแสงอาทิตย์สีทอง อากาศเย็นขึ้นเรื่อย ๆ เราเริ่มเอามือซุกเสื้อกันหนาวผลัดกับยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ เป็นเวลาดีที่มีความสุขจริง ๆ
เราเดินลงจากดาดฟ้าหลังจากพระอาทิตย์ลับหายไปบนอ่าวฮาลอง พาตัวเองมายัง cooking class เพื่อเรียนทำอาหารเวียดนามที่ชาวไทยคุ้นเคย ถั่วงอก ผัก เห็ด หมูสับ และกุ้ง รวมถึงแป้งสีขาวแผ่นบางถูกวางเรียงไว้ให้อย่างดี ปอเปี๊ยะคือเมนูที่เรากำลังจะได้เรียนไปกินไป เป็นการเรียกน้ำย่อยได้อย่างดี คลาสนี้นอกจากเราก็ยังมีผู้โดยสารอื่น ๆโดยเฉพาะลุงป้าวัยเกษียรที่จูงมือมาเรียนด้วยกันอีกหลายคู่
หลังจากได้รองท้องด้วยปอเปี๊ยะทอดสุดอร่อยฝีมือเราเอง ก็ได้เวลาอาหารเย็นที่ถูกเสริฟทีละจาน เราชอบหอยนางรมย่างโป๊ะหน้าด้วยเนยหอม ๆ พอตักเข้าปากจะได้รสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ ออกเปรี้ยวหน่อย ๆ จากเลม่อน หอยนางรมสดใหม่ให้ความรู้สึกชดชื่นทันทีที่เข้าปาก อร่อยอิ่มหนำสำราญ พร้อมแยกย้ายกันเข้านอนแบบหลับสบาย
ก่อนจะหลับตาลงคืนนี้เราปิดนาฬิกาปลุก ปิดเครื่อง เปิดม่านหน้าต่างก่อนล้มตัวลงนอนบนที่นอนนิ่ม ๆ หวังใจให้แสงอาทิตย์เป็นนาฬิกาปลุกไร้เสียงที่ทรงประสิทธิภาพ และเช้านี้เราเลยตื่นเต็มตาพร้อม ๆ กับแสงอาทิตย์ที่สาดขยับเข้ามาในห้องเราเรื่อย ๆ ยามเช้าสุดสดใสเรายื่นหน้าออกไประเบียงพร้อมสูดหายใจเข้าเต็มปอด
อาบน้ำอาบท่าทาแป้งให้น่ารัก ทานอาหารเช้าให้เสร็จสรรพก่อนขยับร่างกายไปชมแลนด์มาร์คสุดท้ายของฮาลองเบย์ เราย้ายจากเรือใหญ่ลงต่อที่เรือลำเล็กเพื่อเข้าชมถ้ำลอด สำหรับเก้าเข้าถ้ำลอดจะมีให้เลือก 2 ทาง คือชาวสูงวัยใกล้เกษียร หรือกลุ่มบอบบางอ่อนแอ สวยใสสไตล์เจ้านาง ก็จะมีทีมงานมาพายเรือพาชมถ้ำลอด ส่วนวัยใสวัยน่ารักคึกคักเวลาลงเล่นก็พายคายัคจ้ำกันเข้าไป ใครสกิลสูงหน่อยก็พายตรงพายไว ส่วนใครสายฝึกหัดก็อาจจะพายคล้ายงูเลื้อยจากเส้นทางห้านาทีเป็นสิบนาทีได้
เสียเวลาเสียเหงื่อในการพายได้สักพักจากกลางแดดก็เข้าสู่ร่มเงาใต้ถ้ำ เรายังต้องพายกันต่อไปอีกสักหน่อย ก่อนจะลอดถ้ำมาเจอถ้ำรอด เวิ้งน้ำสีเขียวโอบล้อมด้วยภูเขาและต้นไม้ ที่เยอะพอ ๆ กับต้นไม้ก็คือเรือคายัคและเรือนักท่องเที่ยวเนี่ยแหล่ะ นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจกันใหญ่ แต่เราไม่ว้าวเท่าขนาดต้องอุทานว่าสวยจนต้องร้องขอชีวิต เพราะที่ไทยเราเจอมาว๊าวกว่านี้เยอะ แต่ถ้าถามว่าควรมามั้ย เราก็ยังยืนยันว่าควรมานะ เพราะในที่ ๆ เหมือนกันหรือแม้แต่สวยน้อยกว่าก็ยังล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนกันรอให้เราได้สัมผัสอยู่เสมอ
ขณะที่เรากำลังกวาดสายตาชื่นชมความงามปล่อยจินตนาการให้โลดแล่นไปเหมือนกับผีเสื้อที่ติดปีกแห่งความฝัน และพลันโดนเด็ดปีกทิ้งจากเสียงกรี้ดกราดปนหัวเราะชอบใจลอยมาเข้าหู แก๊งฝรั่งวัยเกีษยรจำนวนมากกำลังตื่นเต้นกับการให้อาหารเจ้าจ๊อกันอย่างสนุกสนาน คล้ายเด็กน้อยที่ผู้ปกครองพามาเที่ยวสวนสัตว์เป็นครั้งแรก ดูแล้วก็แอบอมยิ้มไปด้วยไม่ได้ และนี่คืออีกหนึ่งไฮไลต์ ณ สายธาราสีมรกตแห่งนี้ แต่แม้ว่ามันเจ้าจ๊อจะคือบรรพบุรุษของเราและดูน่ารักปุกปุย แต่เราก็ขอไม่ข้องเกี่ยวเพราะไม่อาจทนกับความซนเกินเบอร์ของมันได้
เรียบร้อยโรงเรียนเวียดนามก็ได้เวลาเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ส่งยิ้มเบา ๆ ก่อนหันหลังแบบฟลูเทิรน์แทนการกล่าวขอบคุณสายน้ำและทิวเขา ณ ฮาลองเบย์ เราไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมคนทั่วโลกถึงยกย่องให้ที่นี่เป็นจุดหมายในฝัน และถ้าหากโบรโม่คือลมหายใจแห่งเทพเจ้า ฮาลองเบย์ก็คงเป็นน้ำใจของเทพเจ้าที่มอบไว้ให้เพื่อเยียวยามนุษย์
Cafe Giang 39 :
หลับ ๆ ตื่น ๆ ได้สี่ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงฮานอยอีกครั้งกับภารกิจอันแสนสำคัญนั่นคือการหาร้านคาเฟ่สุดชิคเก๋ เติมคาเฟอีนเข้าเส้นเลือดสักแก้วนึง และหวยก็มาออกที่ร้านในซอก ๆ หนึ่ง ชื่อว่า Cafe Giant 39 ต้นตำรับร้านกาแฟไข่ แม้ชื่อจะใหญ่แต่ไข่น่ารัก ทางเข้าเลยจิ๋วหลิว ดูเป็นซอกเล็ก ๆ งงงวยกว่าชาญชลาที่ 9 เศษ 3 ส่วน 4 เสียอีก แต่พอหลุดจากซอกทางเข้าก็เหมือนเข้ามายังตรอกไดแอนกอน เก้าอี้และโต๊ะที่เรียงราย ผู้คนมากมายที่กำลังจิบกาแฟบ้าง อ่านหนั่งสือบ้าง นั่งอยู่บนชั้นที่ 1 และ 2 ของร้าน
ร้านตกแต่งได้เป็นเวียดนามสุด ๆ มีความคลาสิค ความเก่า ความเก๋า ความเท่ห์ และความขลัง สมอายุอานามของร้านที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1946 ร้านเพดานสูงโปร่งสีครีมตัดขอบล่างด้วยน้ำตาลเข้ม มีรูปภาพเก่า ๆ เล่าเรื่องราวในอดีต และต้นไม้น้อยใหญ่คอยให้ความสดชื่น โต๊ะเก้าอี้ตัวจิ๋วถูกปัดกวาดเช็ดถูอย่างดี เป็นการต้อนรับที่แสนอบอุ่นจริง ๆ
กาแฟไข่ชื่อน่ากลัวนิด ๆ สำหรับมือใหม่ และกับเราก็เช่นกัน อึกแรกเราจึงกลั้นหายใจเล็กน้อยเผื่อว่ามีอะไรไม่ถูกปากก็ยังกลั้นนได้ทัน แต่ผิดคาด เพราะฟองของเค้าจะนวล ๆ ละมุน ๆ หวาน ๆ ลอยอยู่เหนือกาแฟดำร้อน ๆ ที่ขมกำลังดี กินด้วยกันแล้วสรุปได้ง่าย ๆ เพียงว่า เป็นเมนูที่ควรไปลอง
ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม หรือ ทะเลสาบคืนดาบ :
หลังจากได้คาเฟอีนจากกาแฟไข่ก็ช่วยให้เรามีแรงฟื้นจากความเหนื่อยหลังการเดินทางอันยาวนาน พร้อมตะลอนเที่ยวฮานอยกันต่อไปค่ะ!!! เรากลับมาที่ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมหรือทะะลสาบคืนดาบที่ตั้งของวัดที่เราไปมานั่นล่ะ แต่คราวนี้เปลี่ยนมาแค่เดินเล่นหาทอดน่อง ชมวิถีชีวิตชาวเวียดนามกันเฉย ๆ บ้าง ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เมืองเก่าใจกลางกรุงฮานอย เป็นทะเลสาบและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่ผู้คนตั้งแต่เด็กยันผู้สูงอายุสามารถใช้พื้นที่นี้ร่วมกัน ในการพักผ่อนหย่อยใจ วิ่งเล่น เกี้ยวพาราสี หรือออกกำลังกายก็ไม่ผิดกติกา
36 Old Street :
ออกจากทะเลสาบมาได้นิดนึงเราก็จะพบกับถนนเก่า 36 สาย หรือ 36 old street ย่านหัตถกรรมที่มีประวัติยาวนานกว่า 600 ปี แหล่งขายของที่ระลึก และของพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดกลางกรุงฮานอย แต่ปัจจุบันสินค้ามีความหลากหลายมากขึ้น กลายเป็นแหล่งช็อปปี้งทั้งของชาวเวียดนามและของชาวต่างชาติ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ทั้งแบบโลวคอลและแบบสมัยใหม่ป่ะปนกัน ถือเป็นถนนที่มีความคึกครื้น สนุกสนาน และชวนเสียเงินเป็นอย่างมาก
Mam Restaurant :
มื้อเย็นวันนี้ ณ ร้าน mam restaurant ที่ไม่ทีอะไรพิเศษมากมายนัก แต่ก็เป็นร้านฮอตฮิตของนั่งท่องเที่ยว ซึ่งต่างจากร้านอาหารเย็นในวันแรกที่เรายังได้เห็นคนท้องถิ่นมากกว่า แต่เราก็เลือกร้านนี้เป็นที่กินอาหารเย็นในค่ำคืนสุดท้ายจองทริปนี้ เพื่อเป็นการกล่าวลารสชาติอาหารเวียดนามปิดท้ายกันสักหน่อย
สำหรับเมนูที่แนะนำให้ทานก็คือ Bun Cha (บุ๋นจ๋า) เมนูที่เราชอบเป็นการส่วนตัว เส้นขนมจีนนิ่ม ๆ กินคู่กับหมูย่างนุ่ม ๆ หอม ๆ ราดน้ำอาจาดที่ใส่แครอทและมะละกอดิบรสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ กินแกล้มกับผักสดตามใจชอบ ให้ความรู้สึกสดชื่น และเพิ่มความอยากอาหารได้อย่างดี น้ำอาจาดเนี่ยถ้าเป็นสูตรต้นตำหรับจะต้องเป็นน้ำอาจาดที่ไม่ร้อนด้วยนะแก ต่างจากบ้านเราที่บางร้านเป็นแบบร้อน ๆ ซึ่งเค้าคงดัดแปลงให้เข้ากับจริตคนไทย อิ่มอร่อย มงลง ก็ทำการเม้าท์มอยให้กระเพาะได้ย่อยอาหาร ก่อนจะย้ายกองทัพกลับโรงแรมเดียวกับที่พักในคืนแรกนั่นล่ะ
Ba Đình Square ( จัตุรัสบาดิ่ญ ) :
เช้าวันสุดท้ายของทริป หลังเช็คเอ้าออกจากโรงแรมพวกเราก็มุ่งหน้าสู่จตุรัสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศเวียดนาม สถานที่อ่านคำประกาศอิสรภาพของประธานาธิบดีคนแรกแห่งเวียดนาม มหาบุรุษที่คนเวียดนามเรียกว่าพ่อ “ประธานาธิบดีโฮจิมินห์” ที่นี่คือจตุรัสบาดิ่ญที่เก็บศพลุงโฮจิมินห์ ศูนย์รวมจิตใจของชาวเวียดนาม ณ เขตบาดิ่ญ เขตรวมสถานที่สำคัญทางราชการหลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงวางแผนและลงทุน รวมถึงอาคารสภาแห่งชาติหลังใหม่ด้วย
Ho Chi Minh’s Stilt House :
ถัดจากจตุรัสบาดิ่ญศูนย์รวมใจของชาวเวียดนามในอากาศคลูคลู จั้กแร้ยังไม่ทันเปียก เหงื่อยังไม่ทันออก เราก็มาถึงจุดขายตั๋วสำหรับเข้าเยี่ยมชม Ho Chi Minh’s Stilt House บ้านไม้ยกพื้นสูงที่ดูเรียบง่าย ถ่อมตนหลังนี้คือที่อยู่อาศัยของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ในช่วง 1958-1969 ช่วงสุดท้ายของชีวิต แม้ว่าเค้าจะได้รับพระราชวังสำตล์ฝรั่งเศษในการรับตำแหน่งประธานาธิปดี แต่ความถ่อมตนทำให้ท่านเลือกที่จะอยู่ในบ้านไม้หลังเล็ก ๆ นี้มากกว่า โดยมันยังถูกเก็บรักษาดูแลไว้อย่างดีเพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงคุณงามความดีที่ท่านได้กระทำ
เราเดินผ่านจุดตรงตั๋วเข้ามาก็พบตึกสูงตระหง่านสีเหลือง สไตล์โคโลเนียล ฝรั่งเศษ นี่แหล่ะคือพระราชวังที่เราบอกว่าท่านโฮได้ปฏิเสธที่จะอยู่ มันถูกสร้างในปี1900-1906 ใจกลางเมืองฮานอย เพื่อเป็นที่อยู่ของประธานาธิปดีและไว้สำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญของเวียดนาม
ถัดมาไม่ไกลด้านหลังตึกใหญ่สวยหรูสีเหลือง เราก็พบกับอาคารไม้ยกพื้นสูงสีน้ำตาลเข้ม และสีเขียวเข้มหลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ความแตกต่างของสถานที่ทั้งสองในอาณาเขตเดียวกัน ทำให้เราเห็นถึงความเรียบง่ายและถ่อมตนของประธานโฮจิมินห์ได้เป็นอย่างดี ภายในบ้านมีเพียงห้องเล็ก ๆ สองสามห้อง ที่ท่านโฮใช้ในการพักผ่อนและร่ำเรียนสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม แต่เข้าจะกั้นไว้ไม่ให้เราเข้านะแก ได้แต่ชะโงกหน้ามอง แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะเข้าใจว่าทำไมคนเวียดนามถึงรักท่านโฮมากนัก เพราะท่านเป็นฮีโร่ที่อ่นน้อมและถ่อมตนจริง ๆ
ในอาณาบริเวณเดียวกันจะมีกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่น่าสนใจนั่นก็คือ วัดเจดีย์เสาเดียว one pillar pagoda วัดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชาแด่เจ้าแม่กวนอิม ในปี 1049 โดยพระเจ้าหลีไทโต ที่ทรงพระสุบินว่าเจ้าแม่กวนอิมประทานพระโอรสให้ หลังจากทรงอยากมีโอรสมานาน และต่อมาก็ได้พระโอรสจริง ๆ ที่นี่จึงถูกสร้างขึ้น
หลังจากใช้เวลาซึมซับบรรยากาศรอบ ๆ ฮานอยในเช้าวันนี้ ก็ได้เวลาหักดิบตัดอกตัดใจมุ่งหน้าสู่สนามบิน เพื่อนบินกลับกรุงเทพฯ ด้วยสายการบินที่เราไว้วางใจมาโดยตลอด “บางกอกแอร์เวย์” และการเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในเวียดนามเท่านั้นเอง แม้ว่าที่นี่จะมีควาคึกคักจนเกินเบอร์ไปบ้าง แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็เป็นอีกสีสันเหมือนกันนะ และแม้ว่าที่นี่จะไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอึ้งตะลึงไปสามสี่วัน แต่ความเรียบง่าย ความเป็นธรรมชาติ ไม่พิเศษแต่ไม่ธรรมดาก็ทำให้เราค่อย ๆ ซึมซับทุกอนูแห่งความสุขจนเต็มแมกซ์ได้อย่างไม่รู้ตัว ที่นี่ยังมีสถานที่อีกมากที่เราจะต้องไปให้ได้ ฮานอยยังมีกล่องสมบัติล้ำค่ำให้เราไปเปิดดูอีกเยอะ ทั้งยอดเขาฟานสิปัน หลังคาแห่งอินโดจีน ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศเวียดนามด้วยความสูง 3,143 เมตร หรือจะเป็นซาปา เมืองชายแดนตอนเหนือของเวียดนามที่ทำนาขั้นบันไดกันกว้างใหญ่ไพศาลจนเกิดเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามชวนตะลึง แน่นอนว่านี่จะไม่ใช่การมาฮานอยครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน
สุดท้ายเราอยากบอกทุกคนว่าทุกการเดินทางมันคือการเรียนรู้ เรียนรู้ที่จะมีชีวิต และใช้ชีวิตให้คุ้มกับที่เรายังมีมัน อย่าปล่อยให้หัวใจเต้นไปตามจังหวะ แต่จงออกเดินทางเพื่อเพิ่มให้ทุกจังหวะของหัวใจมีความหมาย ออกเดินทางไปในที่ ๆ แกยังไปได้ กินอาหารในขณะที่แกยังรู้ว่าความอร่อยเป็นยังไง ลองทำสิ่งใหม่ในวันที่แกยังแสวงหาความตื่นเต้น
ออกเดินทางได้แล้วพวกแก …