เมืองฝนแปดแดดสี่ ดินแดนชุ่มน้ำที่เราจะได้พบความเขียวตลอดทั้งปี และความอุดมสมบูรณ์นี้เองที่ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์แม้มองผ่านเมฆหมอกของสายฝน แดนใต้แห่งน่านน้ำอันดามัน เขตแดนที่ติดกันกับเพื่อนบ้านประเทศพม่าที่กำลังป๊อบปูล่าสุด ๆ กับเกาะน้องใหม่ใสกริ๊งซิงกว่าใคร แดนดินที่หลายคนมองข้ามแต่นี่คือไข่มุกเม็ดงามที่จับใจทั้งบนบกและในน้ำ แถมของกินก็ลือลั่นเลื่องชื่อในแผ่นดินขวานทอง และที่เรากล่าวมาทั้งหมดคือ ระนอง เมืองที่ถ้าจัดอันดับจังหวัดน่าเที่ยวในไทยแล้วมงไม่ลงจะงงมาก และถ้าใครได้ลองไปรอบแรกแล้วไม่อยากกลับมาอีกรอบก็จะงงมากเช่นกันแก
ไประนองไปกับแอร์เอเชีย
———-
และแล้วความดีใจที่พอ ๆ กับรายการวันนี้ที่รอคอยก็มาถึง กับการเดินทางไประนองด้วยตั๋วเครื่องบินในราคาสุดสบายกระเป๋า เพราะล่าสายการบินแอร์เอเชียสากการบินโลวคอสที่ดีที่สุดของโลกหลายสมัยซ้อนได้เปิดรูทบินใหม่ ซึ่งบินตรงลัดขอบฟ้าจากเมืองฟ้าอมรสู่เมืองฝนแปดแดดสี่กับเวลาที่ลงตั๊วลงตัวหนึ่งเที่ยวบินต่อวัน จากที่แต่เดิมบินทีขนหน้าแข้งแทบร่วง หรือต้องทนขาแข็งนั่งรถทัวร์ก็ได้เดินทางสบายขึ้น มีทางเลือกเยอะขึ้น ดีขนาดนี้อย่าพลาดจองตั๋วไปสัมผัสเมืองระนองให้ฉ่ำปอดนะเหวย ยัง ยัง ยังไม่ตามไปจองอี๊ก https://www.airasia.com
เกาะพยาม
———-
หนึ่งในตำบลที่สำคัญของอำเภอเมืองระนอง เกาะขนาดใหญ่แหล่งอาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมาก มีหาดทราย และป่าชายเลนอยู่หลายแห่ง เกาะพยามจึงเป็นแหล่งเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองระนอง และแต่ก่อนการมาที่นี่นั้นต้องอาศัยความพยายามและกว่าจะมาถึงเกาะได้ก็เป็นช่วงพอยาม หรือยามเย็นแล้ว ที่นี่จึงได้ชื่อว่าต้องใช้ความพยายามในการมาตามชื่อเกาะนั่นแหล่ะ แต่ปัจจุบันความโด่งดังทำให้ที่นี่เป็นที่รู้จักและเป็นเป้าหมายหลักในการท่องเที่ยวมากขึ้น การมาเกาะพยามเลยไม่ต้องพยายามเท่าแต่ก่อน แค่มีเงินกับมีเวลาก็มาได้ละ
หนึ่งไฮไลต์เด็ดที่ทำให้เกาะพยามกลายเป็นดรีมเดสติเนชั่นของหลาย ๆ คนก็เนื่องมาจาก Blue Sky Resort ที่พักที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมัลดีฟเมืองไทย ที่นี่มันเก๋กู๊ด แถมได้ฟีลสุด ๆ ราวกับได้ร่องเรือ ทอดน่อง นอนอาบแดดที่มัลดีฟยังไงอย่างงั้น สำหรับเราแล้ว Blue Sky Resort เป็นมุมที่สวยที่สุดในการชมวิวบนเกาะแห่งนี้เลย ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ในยามเช้า สะบัดหัวที่เพิ่งมัวเมาจากที่นอนหนานุ่ม ลืมตาตื่นมารับแสงทองของวันใหม่แบบสดใสไฉไลในวันหยุดอันแสนเบิกบานแบบนี้ เชื่อได้เลยว่าทำให้อายุยืนยาวขึ้นอีกไม่มากก็น้อยแน่ ๆ พอสาย ๆ หลังทานข้าวก็แต่งตัวน่ารัก ๆ ออกมาเดินตลาดทักทายชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสร้างมิตรไมตรีตามประสานักเดินทางก็สนุกอีกแบบ พอเที่ยงก็ไปทานอาหารชมวิว 180 องศากันที่ห้องอาหารพาโน แล้วต่อด้วยการเดินย่อยถ่ายรูปรอบรีสอร์ท ก่อนไปนั่งอาบแดดยามเย็น กินอาหารทะเล และล้มตัวลงบนที่นอนในอ้อมกอดอันอบอุ่นอีกครั้ง โอ้โหนี่มัน Perfect Day ชัด ๆ
ด้วยความที่เรามีเวลาน้อยเลยไม่ได้มีโอกาสทำอย่างที่มโนไปเมื่อกี้หรอก เราได้แค่มาพิสูจน์ความเป็นมัลดีฟเกาะพยามด้วยการเปย์ตัวเองด้วยเงินเพื่อนั่งสปีทโบ๊ทมาทานข้าวกรุ๊ปกริปที่บูลสกายรีสอร์ทเฉย ๆ ซึ่งมุมด้านหน้าที่เราเล่าให้ฟังว่าน้ำสวยใส สีเขียวมรกตสะท้อนแสงแดดวิบวับ ๆ หลอกล่อให้เรามานั่งทิ้งเวลาแบบชิว ๆ สั่งเครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้วมานอนไกวเปลเงยหน้าให้แดดเข้าตาเล็กน้อย ก่อนก้มลงอ่านหนังสือเล่มโปรดในมือ ใต้ต้นมะพร้ามสูงโย่งที่กำลังสั่นเบา ๆ จากแรงไกวเปล พร้อมเสียงนกที่อยู่ลิบ ๆ คล้ายกำลังเม้าส์กันอย่างออกรส
ถ้าเป็นแขกที่มาพักเค้ามีกิจกรรมหลากหลายที่น่าสนใจให้ทำ อย่างกิจกรรมที่ฮิตพอ ๆ กับกินอาหารเย็นก็เห็นจะเป็นพายเรือคายักไหลล่องไปตามน้ำสีมรกต ท่ามกลางต้นโกงกางที่ขยายรากลึกยึดกับดินเลน แนวป้องกันภัยพิบัติตามธรรมชาติที่ทั้งสวยและเก่ง หรือถ้าไม่อยากเปียกจะเลือกขี่จักรยานแม่บ้านพลางร้องโอ๊ เย โอ๊ เย โอ๊ ๆ เย โอ๊ เย โอ๊ เย หรือจะลาวดวงเดือนอะไรก็ว่าไปตามแต่รสนิยมก็สุขใจไม่แพ้กัน คิดภาพออกเลยว่ามันจะเลิศขนาดไหนถ้าได้ใช้เวลาคุณภาพทำกิจกรรมที่เรารักในรีสอร์ทที่ดีงามพระรามแปด
Farmerboy กระเตงฟาร์มหอย
———-
กลับถึงฝั่งก็ตะตอนยอนไปกันที่บ้านดินเพื่อไปเจอกับพี่เบสและพี่กีตาร์ ซึ่งพี่เจ้าของทั้งสองจะพาพวกเราไปกระเตงฟาร์มหอย อ้อไม่ต้องตกใจว่าเราจะไปอุ้มกระเตงฟาร์มหอยอะไรนะ เพราะกระเตง หมายถึงจุดที่พักชั่วคราวของผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงหอย แล้วผู้เพาะเลี้ยงหอยอย่างพี่ ๆ เค้าจึงเห็นว่าจุดนี้เป็นจุดที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการหลีกหนีความวุ่นวายในสังคมเมืองมาสัมผัสธรรมชาติและวิถีชาวประมงพื้นบ้าน ได้เอนกายสัมผัสวิวธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์ นอนเล่นชาร์จพลังพร้อมนั่งชมพวงหอยแมลงภู่นับหมื่นพวงเริงระบำท้าคลื่นทะเล และนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นในดินแดนฝั่งเมียนมาร์ที่แผ่แสงสะท้อนสีเหลืองทองอร่ามทั่วผืนน้ำทะเล
สาเหตุที่ต้องรีบมาเพราะช่วงที่เราไปเป็นช่วงน้ำขึ้นน้ำลงซึ่งน้ำจะเริ่มลดตั้งแต่บ่ายสามทำให้เราต้องออกจากท่าเรือเร็วหน่อย ซึ่งใช้เวลาแค่ 30 นาทีก็มาถึงกะเตง ทันทีที่มาถึงเวลคัมอีทของกะเตงก็คือหอยนางรมใหญ่สดไม่คาวคนละหนึ่งตัวกับน้ำจิ้มรสเด็ด เปรียบได้กับน้ำส้มของเวิลคัมดริงโรงแรมหรู หอยนางรมที่ต้อนรับเราขอบอกว่าได้ซี๊ดปาก ดูดนิ้วกันจ๊วบจ๊าบเพราะความอร่อยสดใหม่ของหอย เป็นตัวเรียกน้ำย่อยได้ดีมาก ๆ
ด้วยความที่น้ำลดสุด ๆ เราเลยมีโอกาสดีได้เห็นหอยแมงภู่ทั้งฟาร์มโผล่พ้นน้ำ หอยนับร้อย ๆ ตัวหรืออาจจะมากกว่านี้กำลังห้อยต่องแต่ง เรียงรายกันรับลมและแดดอ่อน ๆในยามเย็น แม้น้ำจะหายไปแต่หอยยังอยู่ เพราะเค้าผูกหอยไว้!!! ดินเลนนิ่ม ๆ กลางป่าโกงกางที่บริสุทธิ์และการดูแลที่พิถีพิถันนี่ล่ะคือต้นกำเนิดหอยชั้นยอด ถ้าใครมาเราอยากบอกว่า หอยดี หอยเด็ด หอยสดใหม่ ต้องมากินหอยให้ถึงถิ่นนาจาาาา (ตอนอ่านอย่าลืมทำเสียงแบบรถขายเงาะหน้าหมู่บ้าน)
หลังจากเอนจอยกับการเก็บภาพฟาร์มหอย ท้องไส้ก็เริ่มประท้วงส่งเสียงร้องขออาหาร พวกเราเลยรีบลงมือบรรเลงมื้อเย็นแบบปิ่นโตชาวเลกันอย่างจริงจัง ที่นี่เค้ามีเซทปิ่นโตให้คนละเซทในเซทก็จะเป็นเมนูปรับเปลี่ยนไปตามแต่เวลาและฤดูกาล ของเรารอบนี้ก็จะมีไปเหลียงผัดไข่ของดีเมืองใต้ แก้งส้มใต้รสจัดจ้าน ไข่เจียวห่อหอยแมลงภู่จากฟาร์ม และความสเปเชียลคือหอยแมลงภู่ลวกสดสดจากฟาร์มที่เราเพิ่งไปถ่ายรูปเอ็นดู๊ เอ็นดูมันอยู่เมื่อตะกี๊ เผลอแปลบเดียวมานอนน่าอร่อยอยู่ข้างเราละ ถัดไปอีกนิดคือกุ้งมังกรที่เนื้อหวาวอร่อยไม่แข็งแบบมังกรยักษ์ที่กินในร้านหรูหรู กุ้งที่สดเนื้อเด้ง เป็นมือเย็นที่โคตรฟินส์ ราวกับเจ้าพวกนี้เดินขึ้นจากท้องทะเลแล้วมานอนรอน้ำจิ้มซีฟู๊ดข้าง ๆ เราก็ไม่ปาน เพราะนี่นี่เค้าคือฟาร์มหอยถ้าจะหาหอยสดกว่านี้อาจจะต้องเกิดเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ดำน้ำได้แล้วลงไปกินหอยถึงใต้ทะเลแล้วล่ะ!!!
ตะวันลับตาท้องฟ้าก็ทาสีดำ น้ำที่ลดก็เริ่มเพิ่มขี้นเรื่อยเรื่อยจนะประมาณเกือบ 1 ทุ่มเรานั่งเรือกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม เป็นการจบวันที่อิ่มท้อง อิ่มใจ ยิ้มได้เต็มที่ มีความสุข ระนองไม่เคยทำให้เราผิดหวังจริ๊งจริ๊ง ระหว่างนั่งเรือกลับแหงนหน้ามองฟ้าเห็นดวงดาวที่สุกสกาวนับล้านดวง นี่ถ้าอยู่แบบครบโปรแกรมรวมนอนค้างคืนที่ฟาร์มด้วยรับรองว่าความฟินส์จะยิ่งบังเกิดกว่านี้อี๊ก
Cock Burn Island
———-
เช้าวันใหม่สดใสซ่าบซ่า สายวันนี้เราข้ามทะเลจากเมืองไทยมาฝั่งพม่ากันบ้าง ก็อย่างที่บอกว่าระนองกับพม่านั้นมีรอยต่อที่แนบชิดติดกัน ณ น่านน้ำอันดามัน ความสัมพันธ์อันดีงามของสองประเทศ ทำให้วันนี้เรามีโอกาสได้นั่งเรือมาเยือนเกาะใหม่ที่สด และซิง พอ ๆ กับหอยจากกระเตงฟาร์ม จากท่าเรือเกาะสองของพม่า เราใช้เวลาชั่วโมงกว่า ๆ ก็เดินทางมาถึงเกาะใหม่ที่ฮิตที่สุดที่มาพร้อมกับชื่อภาษาอังกฤษสุดจั๊กจี้หัวใจว่า Cock Burn หรือ ชื่อไทยคือหมู่เกาะช้างเผือก เกาะที่ดีเด็ด เผ็ชไปทุกมุมมอง และแน่นอนว่าถ้านึกถึงการเที่ยวทะเลบริษัทแรกที่เราจะนึกถึงจะต้องเป็น Love Andaman มันลอยเข้ามาในหัวเป็นเจ้าแรกทุกครั้งไป
ดำน้ำจุดแรกเราก็ได้เจอของดีมากมาย เริ่มจากลืมตาตื่นเมาขี้ตาอยู่หยก ๆ พอเดินออกมาท้ายเรือกก็เจอน้ำทะเลที่ใส กริ้ง กิ่ง ก่อง แก้ว แวววาวสาดแสงเข้าตา จนคนทั้งเรือส่งเสียงจอแจ ชี้นก ชี้ไม้ ชี้น้ำกันแบบเพลิดเพลิน เพราะนี่มันไม่เกินราคาคุยที่เลิฟอันดามันได้โปรโมทไว้จริงๆ จะมัวรอช้าอยู่ได้ยังไง รีบหยิบฟินและสนอคเกิ้ลดำดิ่งสู่ท้องทะเลแบบไม่ยอมให้เสียเวลา ตีฟินสองสามทีก็เจอความมหัศจรรย์สุดฟินส์ ที่อยากจะกรีดออกมาดัง ๆ แต่กลัวน้ำเข้าคอเลยได้แต่งึมงำ ๆ เพราะนี่มันคือดงนีโม่ ส้มปานดำที่หาได้ยากยิ่งในไทย ตีไปอีกสองสามทีเจ้าปลาหมึกยักษ์ขอบฟ้าที่นอนแน่นิ่งโชว์ตัวอยู่ติดกับพื้นทรายขาวสะอาดตา พอเห็นอย่างนี้ก็ต้องรีบตีฟินกลับขึ้นมาบนฝั่งแล้วล่ะ เพราะขืนอยู่ต่ออาจจะลืมหายใจสำลักน้ำเป็นภาระให้ไกด์สุดน่ารักแน่ ๆ
จุดแรกก็ฟินส์จนขนลุ๊กกกกก พอมาเจอจุดที่สองกรรมการก็ยังต้องต้องยกคะแนน สิบ สิบ สิบอย่างต่อเนื่อง เพราะที่นี่มันคือมหานครประการังหูกวางที่เยอะจนเรานึกว่ามาเดินเล่นปากคลองตลาด แล้วที่เห็นเยอะ ๆ แบบนี้ขอบอกว่าตื้นมาก ๆ ขนาดมาตอนน้ำสูงแล้วยังห่างจากพื้นน้ำประมานสองสามเมตรเท่านั้น ใครฟรีไดรฟ์ได้ขอบอกว่านี้มันสวรรค์แห่งการม้วนตัว ตีขา โพสท่าท่ามกลางเหล่าประการังจริง ๆ แต่ก็ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าตีขาเพลินจนไปเตะปะการังอันน่าทะนุถนอมนี้จนพังเสียหายล่ะ เพราะอย่างที่บอกว่ามันตื้นมาก ๆ แล้วถ้ามันหักขึ้นมานี่คงใช้เวลาประกอบร่างใหม่อีกหลายสิบปีชนิดที่ว่าแก่แล้วถึงจะได้เห็นอีกรอบเลยนะ
ถ้าทัวร์เลิฟอันดามันเป็นผู้หญิงเราก็แทบอยากจะขอแต่งงานเลยล่ะ เพราะสวยครบเครื่อง เก่งทั้งเรื่องเที่ยวเรื่องกินครบไปซะทุกอย่าง โดนใจสายเที่ยวมาก ๆ ยิ่งอาหารกลางวันบนหาดทรายสีขาวเนียนนุ่ม ท้องฟ้าอันสดใส และผืนน้ำที่ใสจนมองเห็นเท้าตัวเอง กับไลน์อาหารที่จัดมาแบบไม่กลัวเราจะจุกกันเลยทีเดียว ไล่มาตั้งแต่ของคาว ของหวาน น้ำผลไม้ และส้มตำ!!! อยากรู้ว่าพี่มาจัดกันตอนไหนคร้าบบบบ ยอมใจในความดูแลจริงๆ
ไฮไลท์เด็ดๆๆๆเผ็ชๆๆๆ ก็คือส้มตำนี่ล่ะ มันเจ๋งตรงที่คนตำคือชาวพม่า แถมมีให้เลือกได้ทั้งตำไทย ตำปลาร้า รสชาติก็ตั้งแต่เผ็ดเล็กพริกติดครก ไปยันเผ็ดอู้ซ่าอู้ซ่าพริกยกสวน นั่งทานเพลินเพลินมองฟ้า มองน้ำ มองคนข้าง ๆ หันกลับมาอ้าวหมดซะแล้ว เพราะโดนเพื่อนตัวแสบแอบแซ่บจกส้มตำเราไปกินซึ่ง ๆ หน้า แต่แล้วไงใครแคร์ หมดก็เติม หมดก็ตักใหม่สิครัช
หลังจากอิ่มแซ่บจนจะถึงคอหอยก็ได้เวลาทำกิจกรรมเบา ๆ ให้อาหารได้ย่อยเป็นพลังงานแก่กายหยาบ ส่วนใครยังไหวเค้าก็มีกิจกรรมริมหาดให้เลือกทำอีกหลายอย่าง ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องฉกชิง วิ่งแย่งอุปกรณ์กัน ใครใคร่นอนแปลก็นอน ใครใครไกวชิงช้าก็ไกว ใครใคร่พายคายัคก็พาย หรือจะเลือกว่ายน้ำดำน้ำเล่น ๆ แถวหน้าหาดก็สวยอย่างแรงนิ อ้อ ณ จุดนี้อยากให้ระวังแค่เรื่องเดียวคือระวังเมมเต็มกับระวังแบตหมด เพราะมุมและพร้อบถ่ายรูปเยอะมาก รับลองถ่ายวันเดียวอัพรูปไปได้อีกหลายปีอ่ะขอบอก
จุดสุดท้ายที่เราไปกันก่อนกลับเข้าฝั่งอันนี้ถือเป็นอีกไฮไลท์ที่ทางเลิฟอันดามันจัดให้ ทะเลแหวก ณ หมู่เกาะนี้แหล่ะทีเป็นต้นกำเนิดของชื่อ หมู่เกาะช้างเผือก เพราะพอมองจากมุมบนจะเห็นว่าเกาะมีลักษณะเหมือนช้างกำลังนอนเล่นน้ำอยู่ จุดนี้ก็การันตีในเรื่องความขาว ยาว ใหญ่ ใส ๆแบบเฟรชชี่ได้เลย ว่ายน้ำก็เพลินตา ดูปลาก็เพลินใจ วิ่งเล่นก็สดใส มองทางไหนก็ดีงาม โอ๊ยยยยย พิมพ์ไปฟินส์ไป สารความสุขหลั่งไหลจนอยากกลับไปอีกรอบแล้วเนี่ย!!!!
สุดท้ายและท้ายสุดจุดสุดยอดของทริปนี้คือการได้ปีนป่ายเขาขึ้นมาชมวิว 360 องศาบนยอดเขาหญ้า ที่บอกได้เลยว่าแม้จะแสบตาเพราะโดนแดดกระทบน้ำทะเลแยงตา หรือแอบเกร็งขาเบา ๆ กับการที่ต้องปีนป่ายขึ้นมา แต่มันก็คุ้มสุดคุ้มเพราะจะมีที่ไหนที่เราจะได้เห็นวิวทะเลที่น้ำสีฟ้าใสจนเห็นทรายและแนวประการังใต้ท้องทะเล หรือแม้แต่ยอดเกลียวคลื่นสีขาวที่กระทบโขดหินได้แบบเต็มตาขนาดนี้ ทริปนี้คือพีคในพีค ฟินส์ในฟินส์ ไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่โดนใจตั้งแต่ใต้น้ำจนสุดขอบฟ้า เหนือความฝันความหวังที่วาดไว้จากคำในโฆษณาและคำ ๆ เดียวที่เหมาะกับที่นี่คือ แกต้องมาหว่ะ
เรามาถึงท่าเรือช่วงยามเย็นพอดี ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีส้มและทอง สายลมอุ่น ๆ เริ่มเย็นขึ้นหน่อย ๆ ทุกการเดินทางโอบกอดจิตใจเราเสมอ เพราะมันคือความฝันและความหวังในการที่จะมีฝัน และอยู่ต่อไปเพื่อทำตามความฝันนั้น และจุดจบของทุกที่คือการเริ่มต้นของที่ต่อไปเสมอ เรากำลังมุ่งหน้าสู่กะเปอร์กันต่อ …
บ้านไร่ไออรุณ
———-
เรากลับจากหมู่เกาะช้างเผือกก็ตรงดิ่งไปบ้านไร่ไออรุณ มาถึงก็ค่ำซะแล้ว วันนี้ยังไม่ได้เห็นที่นี่แบบเต็มตา เรามาเริ่มจากทานมื้อเย็นแล้วก็พักผ่อนจากการวิ่งร่าทั้งบนบก และก้มหน้าดำน้ำจนหลังไหม้ก่อน บ้านพักในค่ำคืนนี้เงียบ สงบ ส่วนตัว ดีงาม และการต้อนรับของเจ้าของก็เป็นเลิศ ดูแลเอาใจใส่ประดุจญาติมิตรก็มิปาน อาหารทะเลตรงหน้าก็ล้วนแต่เป็นของโปรด ทั้งหอยแครง ปูนึ่ง ปลาทอด น้ำพริก น้ำจิ้ม อิ่มฟินส์ก็ได้เวลาหลับตานอนฝันถึงสวรรค์ที่ได้เห็นเมื่อกลางวัน ทำไมวันนี้ช่างมีความสุขเสียจริง ๆ
เช้าวันใหม่ที่แสนสบายใจ เราเชื่อว่าบ้านไร่ไออรุณคือที่พักที่มีคนกล่าวขานถึงมาก ๆ อย่างแน่นอน ด้วยความสงบ และมีสไตล์อันได้ไอเดียมาจากเจ้าของที่จบสถาปนิกในเมืองหลวง แต่อยากย้ายกลับมาที่บ้านเกิดใช้ชีวิตเรียบง่าย ปลูกผัก ปลูกหญ้า ควบกับใช้สิ่งที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์เปลี่ยนโฉมที่ดินเดิมให้เป็นที่ดินเดิมที่สดใสไฉไลกว่าเดิม จนเกิดเป็นฟาร์มสเตย์ที่มีชื่อว่า บ้านไร่ไออรุณ ที่อบอวลไปด้วยมวลความสุขแห่งนี้
แค่ก้าวเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงความร่มรื่นในทัน ที่นี่เหมือนอาณาจักรอีกแห่งที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี สะพานไม้ไผ่ที่เชื่อจากถนนสายชนบทสู่ใจกลางบ้านไร่ ไออรุณแห่งนี้ พร้อมกับด้านหน้าที่เป็นแผนกต้อนรับ สาวน้อย สาวใหญ่คอยส่งยิ้มหวาน ๆ และะคำถามที่เป็นห่วงเป็นใยให้กับทุกคนที่ก้าวเข้ามา ดอกไม้สดและแห้งที่อยู่ในภาชนะโทนสีอบอุ่น ตัดกับต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รายล้อมให้ความรู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติและเสมือนคำกล่าวต้อนรับที่สุดแสนจะหวานหู ที่แรกที่เราจะได้เห็นคือห้องครัวไม้ไผ่ที่ติดกับที่นั่งเล่นสำหรับใช้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน น้ำสมุนไพรหอมเย็นชื่นใจถูกเสริฟมาให้เราจบพลางมองดูสวนผักจากมุมสูงอันสงวนไว้ให้เฉพาะผู้เข้าพักเท่านั้นถึงจะเข้าชมได้ ดูเป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัวมาก ๆ
ธรรมชาติคือเครื่องดนตรีที่ไพเราะที่สุด ท่วงทำนองที่ไม่เคยซ้ำกัน บรรเลงผ่านผู้เล่นทั้งหน้าใหม่และหน้าเดิมที่อยู่นอกหน้าต่างทางขวามือของห้องนอน ทำให้เราอยากกระโจนตัวเข้าซุกกลางผ้านวมสีขาวผืนนุ่ม แนบหน้ากลางหมอนที่แสนนิ่มก่อนจะกลิ้งไปมาพร้อมเสียงเรไรและนกในป่าที่ไม่อาจล่วงรู้พันธุ์ของมัน ทำการมาพักผ่อนที่นี่เราจะพบกับความสงบแต่ไม่สงัดอันแสนผ่อนคลาย
หลังจากนอนเอาเรี่ยวเอาแรงมาทั้งคืนเช้านี้เราเริ่มต้นด้วยการบุกท้องร่องเก็บผักออแกนิคที่เค้าได้เตรียมปลูกไว้ต้อนรับผู้มาเยือน หนอนน้อยและแมลงตัวจ้อยก็ได้รับเชิญในแปลงนี้ด้วย แม้หลาย ๆ สวนจะขับไล่เจ้าตัวเล็กแต่ที่นี่ก็ไม่ได้รังเกียจ ขอเพียงอย่าถล่มจนไม่เหลือให้เก็บกิน การป้องกันจึงใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเช่นกัน เป็นการป้องกันแต่ไม่ใช่ทำลายจึงเป็นมิตรทั้งกับคนและสรรพสัตว์
ความสุขเล็ก ๆ แต่พื้นที่กว้างใหญ่ ใครจะอดใจไม่ออกสำรวจไหว เรารีบคว้าจักรยานที่เค้าเตรียมไว้ ยกขาตั้ง แล้วปั่นไปตามทาง ลมเย็น ๆ ยามเช้าพัดผ่านหน้าเบา ๆ แสงแดดอ่อน ๆ กำลังดีกับสุขภาพผิว เส้นทางการปั่นถ้าใครขยันก็ปั่นให้รอบไปได้เรื่อย ๆ แต่เราคือสายชิวก็ปั่นพอให้กระดูกแข็งแรงเป็นอันได้เวลาพักก่อน!!! เพราะปาท่องโก๊และกาแฟร้อน ๆ อีกทั้งข้าวเหนียวมูลและข้าวเหนียวปิ้งกำลังส่งเสียงเรียกเรา
หลังจากจัดการของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ หมดไปหนึ่งกระเช้า ก็ได้เวลาของอาหารเช้าตัวจริง กับเมนูขนมจีนแกงต่าง ๆ ไข่ต้ม และผักสดจากสวนของบ้าน ความเผ็ดร้อนของแกงและเส้นขนมจีนหมักเส้นเล็กนุ่มนิ่ม บวกกับความมันของไข่แดง ความกรุบกรอบของผักสด และความเปรี้ยวเค็มนิด ๆ จากผักดอง ทั้งหมดถูกรวบรัดไว้ในคำเดียว มันคือรสชาติของชีวิตชัด ๆ อาหารที่ครบ 5 หมู่แบบง่าย ๆ ทั้งอร่อยและมีคุณค่า เป็นฤกษ์งามยามดีของการเริ่มต้นวันใหม่จริง ๆ
บ่อน้ําร้อนรักษะวาริน
———-
หนึ่งในสถานที่ที่ไม่ควรพลาดไม่ว่าด้วยประการใด เพราะระนองเค้าโด่งดังในเรื่องของธารน้ำแร่มาก แม้ว่าการมาที่นี่อาจจะดูไม่ชิคคลู ไม่ใช่คาเฟ่แนวเกาหลี ไม่ใช่สรีตอาร์ตสุดชิค แต่มันคือธารน้ำร้อนจี๋ที่ดี๊ดีต่อสุขภาพ แถมยังฟรีนาจาาาาาา จะรออะไรรีบอาบน้ำล้างตัว เตรียมเครื่องแต่งกายให้พร้อม แล้ว ค่อย ๆ ค่อย ๆ จุ่มกายหยาบลงในบ่อน้ำ แนะนำว่าควรมาช่วงแดดล่มลมตกกันสักหน่อย จะยิ่งฟินส์ ความร้อนของแต่ละบ่อจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับประสบการ์ณและความสามารถล้วน ๆ ก่อนลงก็เดินวน ๆ จิ้มบ่อนั้น เตะบ่อนี้หยั่งเชิงดูก่อน ถูกใจบ่อไหนก็ค่อย ๆ สไลด์ตัวลงบ่อไปทีละนิด ๆ บอกเลยว่าเลือดลมเดินดี สะดวก ปรู๊ดปร๊าด
บ้านแม่
———-
หลังจากแช่น้ำร้อนกันจนเต็มอิ่ม ก็ถึงเวลามื้อกลางวันซึ่งวันนี้เราเลือกไปทานกันที่ร้านอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการอยากแบ่งปันรสมือแม่ให้คนอื่น ๆ ได้ลองทาน และเมื่อเรามาถึงถิ่นแดนใต้การไม่ได้ซดแกงเหลือง แกงปูใบชะพลู หมูฮ้องเราว่ากระเพาะเราคงทนไม่ได้ มันต้องออกมาเต้น ๆ ประท้วงเราสามวันเจ็ดวันอย่างแน่นอน ดังนั้นเราเลยหอบกระเพาะมาร้านที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ารสมือแม่ร้านนี้เด็ดจริง ๆ ร้านที่ตั้งอยู่ในโครงการที่ชื่อว่าสุขพาร์ค (Sook Park) ถนนเรืองราษฎร์ มีที่จอดรถมากมาย แต่ร้านจะอยู่หลัง ๆ หน่อย
ร้านตกแต่งด้วยสีขาวเป็นหลัก แซมด้วยสีนน้ำตาลเข้มออกสไตล์จีนชัดเจน บวกกับรูปผู้หญิงหน้าคม ผิวเข้ม ผมดำขลับในชุดย๊ะหย๊าชุดประจำถิ่นของชาวใต้ทำให้ร้านนี้ดูมีสไตล์สุด ๆ และที่เด็ดดวงพวกมาลัยไม่แพ้สไตล์ของร้านก็คือรสชาติอาหารที่จัดจ้าน ถึงทรวง ได้รสชาติแบบชาวใต้แท้ ๆ แถมเครื่องแต่ละจานเรียกได้ว่าแน่นจนล้น จนงงว่าถูกไปมั้ย!!!!
ชุมชนบ้านหงาว
———-
ชุมชนเก่าแก่อีกชุมชนนึงของเมืองฝนแปดแดดสี่ มีร้านรวงหลากหลายของชาวบ้านที่ทำกินเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมถึงตลาดสด ชาวบ้านที่นี่แต่เดิมคือชาวบ้านจากอำเภอกะเปอร์และชาวบ้านเชื้อสายจีนที่ได้อพยพถิ่นฐานมาจากจังหวัดภูเก็ตเพื่อทำเหมืองแร่และเลี้ยงวัว บริเวณนี้เลยชาวบ้านจึงเรียกว่าทุ่งเลี้ยงวัว หรือ ทุ่งหงาวในภาษาจีน
ที่นี่มีร้านโรตีเจ้าเด็ดที่ควรมาทานนั่นก็คือโรตรีนิสราที่เสริฟโรตีทั้งแบบคาวและแบบหวาน แป้งโรตีที่ทำเองแผ่นกรอบ ๆ บาง ๆ ทอดลงบนกะทะที่มีน้ำมันผสมกับเนย อาศัยความชำนาญเฉพาะตัวค่อย ๆ ทอดอย่างใจเย็น เสริฟพร้อมนม น้ำตาลแบบไม่อั้น หรือจะกินคู่กับแกงเนื้อตุ๋นน้ำแกงละลายในปากก็ฟินส์จนต้องเผลอสั่งมาเพิ่มอีกรัว ๆ หรือจะกินคู่กับไข่ลวก กาแฟ โอวัลติน บลา ๆ ก็มีให้เลือกอิ่มท้องกันแบบมากมาย
จุดชมวิววัดบ้านหงาว
———-
ห่างจากร้านโรตีนิสรามานิดหน่อยเรามาชมวิวกันต่อที่จุดชมวิววัดบ้านหงาว ซึ่งเดิมทีเป็นเพียงที่พักพระสงฆ์จนกระทั่งหลวงพ่อเขียด พระธุดงค์มาจากปัตตานี มาปักกรดบำเพ็ญ แล้วชาวบ้านเกิดการเลื่อมใส ศรัทธา จึงได้สร้างวัดขึ้นในปี พ.ศ.2530 ตามประสาคนเลื่อมไสในศาสนาก็เลยขอแวะไหว้พระแล้วขึ้นมาบนจุดชมวิวสักหน่อย
ระหว่างทางเดินขึ้นมาก็มีหอบบ้างเล็กน้อย เพราะเดินไปเม้าส์ไป แต่ก็เม้าส์แบบสงบเสงี่ยมเพราะที่นี่คือวัดวาอาราม เหนื่อยแต่เหงื่อก็ไม่มีสักหยดเพราะที่นี่ลมดีมากกกก พัดให้ความเย็นสบายอยู่ตลอด ๆ จนคนขี้หนาวต้องมีสะท้านบ้างล่ะ ส่วนถ้ามาตอนเช้าและโชคดีก็จะยังได้เจอหมอกขาว ๆ ปกคลุมวิวเมืองเป็นความสวยอีกแบบเหมือนกัน ส่วนเราที่มาในยามเย็นก็ขอยืนรับลม ชมวิวด้านล่างแบบโปร่ง ๆ โล่งทั้งกายและใจ เพราะได้กราบพระ เคาะระฆัง นับได้ว่าเป็นการเดินที่คุ้มค่ามากจริง ๆ
ภูเขาหญ้า
———-
โลเคชั่นสุดท้ายก่อนกลับสนามบินเราแวะไปสถาที่ที่มาระนองแล้วไม่แวะถือว่ามาไม่ถึง ภูเขาหญ้า หรือชาวบ้านเรียกว่าภูเขาหัวโล้น เนื่องจากที่นี่เป็นภูเขาหญ้าเตี้ย ๆ มีต้นไม้น้อยมาก จนแทบเกือบจะไม่มีเลย แต่ที่นี่ก็ได้รับความนิยมเพราะความโล้นเลี่ยนของมันก็สวยงามไปอีกแบบ แถมถ้ามาต่างฤดูก็ยังได้ฟีลคนละแบบอีกด้วย เช่น ถ้ามาฤดูแล้งภูเขาหัวโล้นลูกนี้ก็จะเป็นทุ่งหญ้าสีทองเหลืองอร่าม และถ้ามาฤดูฝนที่พืชพรรณงอกงาม ภูเขาหญ้าสีทองก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั่วท้องทุ่ง ที่นี่ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 1 ตำบลหงาว อยู่ริมถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ห่างจากอำเภอเมืองระนองประมาณ 13 กิโลเมตร
เมืองฝนแปดแดดสี่ ที่สุดแห่งความอุดมสมบูรณ์ งามล้ำค่าตั้งแต่ใต้น้ำจรดท้องฟ้า อุดมคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะท่องเที่ยวหรือดื่มกิน ที่นี่ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังแม้แต่นิดเดียว แถวยังเกินความคาดหวังไปมากอีกด้วย ความธรรมชาติที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลยคือความสมบูรณ์และเสน่ห์อันยากจะลืมเลือนของเมืองระนอง ถ้าลองได้มาเยือนสักครั้งรับรองได้ว่าจะมีครั้งที่สองและสามตามมาอย่างแน่นอน เอ้า อย่ารอช้ามุ่งหน้าสู่แดนใต้อันอุดมสมบูรณ์กันเถอะ