ช่วงหน้าหนาวหลายคนเริ่มเก็บเสื้อขนเป็ด เติมน้ำมันตะเกียง เช็คไฟฉาย และเต็นท์เดินเข้าป่ากันถี่ยิบ ส่วนตัวเราเห็นคนอื่นเที่ยวป่าเที่ยวเขาเดินเหงื่อตกชมทะเลหมอกแล้วได้แต่แอบคิดว่าเก่งจังเลย แต่ถ้าให้เราไปทำแบบนั้นคงแพ้ตั้งแต่หอบสัมภาระขึ้นหลัง เพราะฉะนั้นวันนี้เราเลยจะพาพวกแกไปเที่ยวแบบสบายๆ ชิวๆ สไตล์สาวๆ หนุ่มๆ ปารีเซียง ไม่รีบ ไม่ร้อน สบายๆ แบบมีรสนิยม ไปพักผ่อนแบบปล่อยเวลาให้ไหลไปเรื่อยๆ จิบกาแฟ เดินเล่นริมหาด นอนเล่นให้สายลมตีหน้า หยอกเหย้าเส้นผมไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ ชมนก ชมไม้ กับช่วงเวลาสามวันสองคืนที่เหมือนเกิดและโตเป็นคุณหนูในทุ่งลาเวนเดอร์ ไม่ต้องหวือหวา ไม่มีแสงสี และไม่มีเวลามาบังคับ ก่อนกลับมาผจญโลกแห่งความจริงสไตล์สาวน้อยอ้อยควั่น จะเป็นที่ไหน จะแพลนเที่ยวอย่างไร อย่าไปคิดให้เสียเวลา แค่อ่านรีวิวเราแล้วทำตามเป็นอันจบปี๊ง ง่ายกว่านี้ก็คงมีแต่นอนอยู่บ้าน
Day 1 : Let’s Go To The Beach
- Love Your Trees : Eats · Coffee · Trees
วันแรกของการเดินทางเวลาออกของเราคือเวลาที่เราตื่นเต็มตา อาบน้ำอาบท่า แต่งตัวให้ดูน่ารัก ขับรถมุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข7 มอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรี ในช่วงสายๆ จุดมุ่งหมายคือหาดทรายแก้ว อำเภอสัตหีบ และเนื่องจากวันนี้เรานอนเต็มอิ่ม ตื่นเต็มตา ร่างกายจึงต้องการคาเฟอีนเพื่อเพิ่มความชิคให้กระแสเลือดและเฟสบุ๊คกันสักหน่อย เราเลือกร้าน Love Your Trees คาเฟ่ริมถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าสัตหีบ
ตัวร้านเน้นการใช้ไม้และปูนเป็นหลัก โดยมีสีเขียวจากต้นไม้และใบไม้เข้ามาแซม เน้นโทนธรรมชาติ สีขาว น้ำตาล และเขียวทำให้รู้สึกสบายตา แถมยังมีต้มไม้นานาชนิดใช้ในการตกแต่ง ตัวร้านแบ่งเป็น 2 โซนคือ ด้านในที่เป็นเครื่องปรับอากาศ และด้านนอกที่เป็นสวนเอ้าดอร์ ร้านเปิดเวลา9.00-21.00 ปิดบริการในวันพุธ
เราชอบร้านนี้ตั้งแต่ก้าวเข้ามาเลย เพราะมันเป็นคาเฟ่ที่ตกแต่งดูเรียบง่าย ดีเทลจากลายไม้ ผิวสัมผัสของอิฐ และลวดลายของใบไม้แต่ละต้นเมื่อมาอยู่รวมๆกันแล้วพูดได้คำเดียวว่า พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินนนนนน เป็นความที่น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชึ่นแบบสวนหลังบ้านในฝันมากๆ และถ้าวันไหนฤกษ์งามยามดีเค้าก็มีการจัดตลาดนัด รวมถึงคอนเสริตเล็กๆน่ารักในสวนด้วยนะจ้ะ แต่จะเป็นวันไหนยังไงนั้นต้องติดตามเอาเองน้าแกร
เมนูต่างๆนั้นก็มีให้เลือกจนเวียนหัวตาลาย ทั้งอาหารเช้า อาหารกลางวัน ของหวาน กาแฟ และเครื่องดื่มอื่นๆอีกมากมาย แต่เรามาตกลงปลงใจกับคาราเมลร้อนที่ท้อปด้วยฟองนมฟูนุ่มราดด้วยคาราเมลลายวุ่นวาย พร้อมทั้งสั่งเค้กถั่วอะไรสั่งอย่างเคลือบน้ำตาลดูกรุบกรับ และครีมรสกาแฟหอมละมุนละไม
- Sai Kaew Beach
เติมความชิคเกร๋เข้าเส้นเลือดแล้วก็เดินทางต่อไปยังหาดทรายแก้ว จุดมุ่งหมายที่เราจะไปเดินเล่นชิวๆ สูดกลิ่นไปทะเล เอาเท้าย่ำน้ำเบาๆ และทำกิจกรรมต่างๆ พอให้เหงื่อออกเลือดฝาดเบาๆ ในส่วนของหาดทรายแก้วนั้นนางเป็นหาดที่อยู่ในพื้นที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ บริเวณอ่าวน้อย อำเภอสัตหีบ มีความยาวหาดประมาณ 1,700 เมตร น้ำทะเลใสสะอาด มีพันธุ์ไม้ธรรมชาติขึ้นอยู่หลากหลายชนิด ถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การท่องเที่ยว ดำน้ำ และพักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง เพราะสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนธันวาคม เนื่องจากลมไม่แรงและคลื่นลมสงบ
ด้วยความที่มีลักษณะคล้ายหาดในฝั่งอันดามัน ทั้งความใสของน้ำทะเลและความสงบ หาดนี้จึงกลายเป็นแลนมาร์คที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจีน ฝรั่ง ปักหมุดกันรัวๆ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของหาดพัทยามานอนแหกแข้งอ้าขาอาบแดดกัน และที่สำคัญที่นี่ยังมีกิจกรรมสนุกๆให้ทำมากมาย จะสายกิจกรรม สายชิว หรือสายกินที่นี่ก็ตอบทุกโจทย์ ทั้งเก้าอี้ชายหาด เสื่อ เรือคายัค อุปกรณ์ดำน้ำ หรือจะเช่าเต็นท์ เช่าที่พัก เค้าก็มีบริการหมด
มาร์คไว้สักนิดก่อนมาว่า การท่องเที่ยวบริเวณหาดทรายแก้ว เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบยั่งยืน โดยจะรักษาความสวยงามตามธรรมชาติไว้เป็นหลัก ดังนั้น ในวันจันทร์ – วันศุกร์ สามารถนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปจอดที่บริเวณหาดได้ แต่ในวันเสาร์ – อาทิตย์ ไม่อนุญาตให้นำรถยนต์เข้าหาด แต่มีบริการรถรับ – ส่ง เข้าไปภายในหาดนะจ้ะ
สายชิวที่แท้ทรูอย่างเราเลือกเช่าเก้าอี้ชายหาด นั่งบนเตียงผ้าใบใช้เวลากับหนังสือเล่มโปรดเคล้าคลอเสียงลมเสียงคลื่น เมื่อยก็พักสายตามองทะเลสีฟ้าครามที่ไกลสุดลูกหูลูกตา หรือจะแอบมองลอดสันหนังสือชมผิวขาวๆที่กระทบแสงแดดของฝรั่งข้างๆก็ไม่ผิดกติกา แค่อย่าต้องจนเค้ารู้ถึงสายตาประหลาดๆก็พอ
Day 2 : Spend a weekend in these enchanting U Pattaya
หลังจากเพลินกับชายหาดเราก็เลี้ยวกลับมายังที่พัก ซึ่งพัทยารอบนี้เราเลือก U Pattaya อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าเราจะมาในคอนเซปชาวปารีเซียง ที่โตมาใมทุ่งลาเวนเดอร์ เพราะฉะนั้นที่พักต้องมีการความสงบและเป็นส่วนตัว เดินทางสะดวก รวดเร็ว มีความร่มรื่น ความชิว ความสบาย และที่สำคัญต้องไม่มีการเร่งรีบเกิดขึ้นในทริปนี้ เราจะโยนนาฬิกาทิ้งไป และสไลด์ผ่านนาฬิกาปลุกแบบไม่ใยดี เพราะแกจะไม่มีสิทธิมาบงการอะไรในทริปนี้
U Pattaya เป็นโรงแรมที่มาในคอนเซ็ปต์ “หมู่บ้านชาวประมง” แต่ไม่ใช่ชาวประมงธรรมดา เป็นชาวประมงเวอร์ชั่นที่ขนกุ้งล๊อบเตอร์จากกลางทะเลมาขายยังแผ่นดินแบบเต็มลำด้วย โดยการตกแต่งจะเน้นวัสดุธรรมชาติจากท้องถิ่น การใช้ไม้และไม้ไผ่มาผสมผสานจนเกิดเป็นเส้นสาย ที่ดูสมบูรณ์แบบ และสถาปัตยกรรมที่ทำให้ทุกมุมของโรงแรมดูมีเอกลักษณ์ ไม่จืดชืด จะถ่ายรูปตรงไหนก็ออกมาสวยแบบมือโปร เพราะเค้าจัดเส้นและแสงไว้ได้อย่างลงตัวเรียบหรู และทันสมัยสุดๆ
- Breakfast
สำหรับเช้าวันที่สองขอทริปขอเริ่มต้นชิวชิวกับอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ ที่ให้บริการ ณ ห้องอาหารปาปิญอง โดยอาหารเช้าของทาง U Pattaya มีความหลากหลายไม่แพ้ U อื่นๆ ทั้งสลัด ซีเรียล ขนมปัง แยม เนย นม น้ำผลไม้ ผลไม้สด ผักสด อาหารร้อน อาหารว่าง ขนม ขนมจีบ เรียกว่ามาหมดทั้งไทย ฝรั่ง จีน ครบทุกสไตล์ โอ๊ยยยย นั่งกินวนได้ยาวยาวเพราะเค้าเปิดตั้งแต่เวลา 06.30 – 11.00 น. เราไม่รีบ เน้นชิว จิบชา ทานอาหารเช้า อ่านหนังสือ แต่งรูปลงไอจี ก็ทำวนไปได้เรื่อยๆ
ถ้านอนเพลินหรือมัวแต่รำฉุยฉายอยู่ จนแกยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้า แกก็สามารถสั่งชุดอาหารเช้าเสิร์ฟที่ใดก็ได้ ภายในโรงแรม ตามคอนเซ็ปต์ปังปังของ U hotel คือ whenever/wherever โดยแกสามารถสั่งทานได้ถึง 22.00 น. หรือเรียกง่ายๆว่าทานอาหารเช้าตอนสี่ทุ่มครึ่งก็ได้ เป็นไง? ลูกคุณหนูป่ะล่ะ ส่วนเมนูเซ็ทก็มีให้เลือกถึง 4 แบบ 4 สไตล์ ได้แก่ เซ็ทไข่เบเนดิกกับแซลมอนรมควัน, เซ็ทอเมริกันเบรคฟาสท์, เซ็ทข้าวผัดคะน้าปลาเค็มกับแกงจืด และสุดท้ายเซ็ทโจ๊คหรือข้าวต้ม
- Room
จบจากมื้อเช้าอันแสนสำราญ ก็ได้เวลาเคลื่อนร่างกายของเรามาชิวต่อกันที่ห้องพัก ซึ่ง U เค้ามีห้องพักหลากหลายถึง 8 room type เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทุกการมาพักผ่อนไม่ว่าจะคู่รัก ครอบครัว ก๊วนเพื่อน มากับลูก มากับหลาน ก็เลือกได้ตามใจ ครั้นจะให้เราเดินขาลากพาชมห้องทั้งแปดแบบมันก็จะโหดกับเราไปหน่อย เดี๋ยวเราพาไปดูแค่ตัวท๊อป เบอร์ตองกันสัก 3 แบบไว้เป็นช้อยส์เป็นแนวให้ละกัน
Deluxe Seaview
ห้องดีลักซ์ ซีวิว ห้องพักขนาด 32 ตร.ม. อยู่บนชั้น 3 ของตึก ทำให้ทุกห้องสามารถมองเห็นวิวทะเลได้อย่างเต็มที่ มีอ่างน้ำขนาดหนึ่งคนลงไปแช่ได้ที่ระเบียง เตียงมีความใหญ่คิงไซส์ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะกับคู่รักคู่เพื่อนที่งบไม่มาก แต่รับรองได้ว่าห้องสีขาวสะอาดตา ที่มาพร้อมความอบอุ่นจากไฟหัวเตียงและเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ถูกจัดวางไว้อย่างใส่ใจ จะทำให้ 24 ชั่วโมงที่ยู พัทยาแห่งนี้ กลายเป็นสถานที่ๆคุณจะต้องนึกถึงอีกทุกครั้งที่อยากพักผ่อนเลยทีเดียว
จุดเด่นของห้องนี้ยกให้เรื่องวิวที่แกจะได้เห็นจากชั้นสูงสุดของตึก ทั้งช่วงที่พระอาทิตย์กำลังอสัดง หรือยามค่ำท่ามกลางหมู่ดวงดาว ในขณะที่ร่างกายของแกกำลังแช่อยู่ในน้ำอุ่นๆ พร้อมกับกลิ่นหอมของสบู่ที่ลอยฟ่อง อบอวลจากกลิ่นที่แกเป็นคนเลือกเองกับมือ แค่คิดก็เคลิ้มแล้ว
Pool Villas
เขยิบไซส์กันขึ้นมากอีกนิด กับห้องที่เหมาะกับครอบครัวหรือก๊วนเพื่อน พูล วิลล่า วิลล่าขนาดใหญ่พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 5×3 เมตร ที่นั่งพักผ่อนริมสระ เตียงอาบแดด และอ่างน้ำวนกลางแจ้ง พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตกแต่งด้วยโทนสีขาวเน้นความโปร่งสะอาด สบายตา แต่เพิ่มพื้นที่ในการทำกิจกรรมต่างๆของเพื่อนหรือครอบครัวให้มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้แกสามารถตั้งวงเล่นไพ่ นั่งล้อมวงเล่าเรื่องอกขรมตรมไหม้ จะเม้าส์ถึงปาร์ตี้เมื่อคืนวานแบบออกรสออกชาติได้อย่างสบาย หรือจะจัดปาร์ตี้เล็กๆริมสระว่ายน้ำ โยนบอลหลากสี หรือห่วงยางยูนิคอนลงไปสักตัวสองตัว ค่ำคืนนี้ก็คงยังอีกยาวนาน และตราตรึงใจแน่ๆ
ส่วนห้องน้ำก็กว้างขวางแถมมีแยกส่วนเปียกแห้ง และอ่างล้างหน้าถึงสองอ่าง พร้อมอุปกรณ์อาบน้ำให้แบบครบเซต ไดร์ และปลั๊กไว้สำหรับสายโซเชี่ยวหรือนักธุรกิจที่ไม่อยากพลาดแม้เสี้ยวการติดต่อ ให้แกแปลงฟันไป อัพงาน อัพรูป แบบไม่ต้องตัวติดหัวเตียง หรือลากปลั๊กสามตาติดตัวตลอดเวลา ทีนี้ก็หมดห่วงว่าตอนที่เร่งรีบจะอาบน้ำล้างหน้ากันไม่ทันแล้วนะ
ส่วนใครจะแอบเปิดน้ำร้อนตีฟองฟู่ฟ่าในอ่างอาบน้ำก็ยังสามารถเม้ามอยกับคนอื่นได้แบบไม่ต้องกลัวพลาดเรื่องเด็ด เพราะสระว่ายน้ำกับอ่างอาบน้ำติดกันแค่ไม่เกินสามก้าว แถมใครเป็นสายชิวไม่เน้นกิจกรรม ข้างๆสระก็ยังมีเตียงชายหาดไว้ให้นอนเล่น ตาอ่านหนังสือหูฟังเพื่อนเม้าส์ หรือดูลูก มองหลานเล่นน้ำไปด้วยก็ยังได้ เรียกได้ว่าจัดพื้นที่มาเหมาะกับครอบครัวและเพื่อนฝูงแบบลงตัว โดนใจเป๊ะ
Beach Front Pool Villas
บีชฟร้อนท์ พูลวิลล่า วิลล่าขนาดใหญ่ส่วนตัวติดวิวทะเล พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 8×3 เมตร ที่นั่งพักผ่อนริมสระน้ำ ห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ และอ่างน้ำวน ห้องพักเตียงใหญ่ มีพื้นที่นั่งเล่นภายในห้องพัก พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เรียกได้ว่าเป็นห้องที่ครบ เหมาะกับการมาแบบคู่รักที่อยากจะมีเวลาสวีทกันทั้งวันทั้งคืน มีโลกส่วนตัวกันสองต่อสองแบบไม่ต้องออกไปไหน
จุดเด่นของความโรแมนซ์คือห้องนี้เป็นห้องรูปแบบเดียวที่มีสระส่วนตัวที่สามารถมองเห็นสระส่วนรวม เสมือนว่าเราเป็นเจ้าของสระถึงสองสระเลยทีเดียว แต่ถ้ามองจากสระส่วนรวมก็จะมองไม่เห็นสระส่วนตัวของเรานะแกร ไพรเวทสุดๆ ยังไม่พอห้องนี้ยังเป็นห้องประเภทเดียวที่อยู่ติดกับชายหาดตอนนอนเราก็จะได้ยินเสียงคลื่นชัดเจน ราวกับจ้างเหล่าคลื่นมาเป็นนักดนตรีส่วนตัว แถมด้วยหมู่ดาวมาล้อมวงสร้างความโรแมนติค อย่าลืมพกเทียนหอมๆมาด้วย รับรองได้ว่าดื่มด่ำ หวานชื่นจนมดขึ้นทะเลเลยล่ะ
- Papillon Restaurant
เป็นห้องอาหารเดียวกันกับที่ทานบุปเฟ่มื้อเช้า ส่วนมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นสามารถทานแบบ A la carte ได้ที่ห้องอาหารนี้เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็น all day dining เสิร์ฟอาหารสไตล์ฝรั่งเศสบิสโทร ที่ปรุงด้วยวัตถุดิบสดใหม่ ห้องอาหารริมชายทะเล มีที่นั่งทั้งอินดอร์และเอ้าดอร์ จะเลือกนั่งในห้องแอร์เย็นฉ่ำ หรือออกมานั่งรับลมทะเลฟังเสียงคลื่นไปด้วยก็แล้วแต่ความชอบ และที่สำคัญที่นี่ยังคงคอนเซปของหมู่บ้านชาวประมงไว้ในทุกๆจุด รวมถึงห้องอาหารห้องนี้ด้วย เราจะเห็นได้จากเพดานห้องอาหารที่ตกแต่งด้วยกระชังจับปลา และโทนสีอุ่นๆคล้ายสีของลำเรือ ทำให้เราได้รู้สึกสบายๆและสงบเหมาะกับช่วงเวลารับประทานอาหารเสียจริงๆ
ส่วนเมนูโดยหลักๆจะเป็นอาหารสไตล์ฝรั่งเศสบิสโทร หรือพูโให้เห็นภาพคือเป็นอาหารฝรั่งเศสแต่ไม่ได้เป็นทางการส้อมสิบอัน มีดหกอันไรแบบนั้น เป็นอาหารที่พิถีพิถันในการทำ แต่สามารถนั่งกินอย่างสบายๆชิวๆได้ และนอกจากอาหารฝรั่งเศสแล้วเมนูแซ่บๆประเภทอื่นก็มีนะ อย่างผัดไทย กระเพราทะเล ออเดิฟของทอด ส่วนเรื่องราคาถือว่าโอเคเพราะถึงจะเป็นราคาโรงแรม แต่ก็ยังถูกกว่าร้านซีฟู้ดแถวนี้อีกหลายๆร้าน ยิ่งรสชาติอาหารและคุณภาพขนาดนี้ถือว่าคุ้มค่า ทานแล้วไม่เสีบดายตังค์หรือรู้สึกเหมือนโดนฟันหัวเบะแน่นอน
กินคาวไม่กินหวานสันดารไดร่ สำหรับของหวานที่นี่เป็นเมนูลาวาที่อร่อยสุดติดหนึ่งในสามเท่าที่เคยกินบนโลกนี้มา มันอร่อยเข้มข้น ด้านนอกนุ่ม ด้านในมีลาวาชอคโกแลตร้อนๆ ไหลเยิ้มเวลาที่เราใช้ส้อมกดลงเบาๆ เจ้าชอคโก้ลาวาก็จะไหลออกมา เวลานี้แหล่ะที่เราต้องรีบตักลาวาและไฮศกรีมให้ได้ในคำเดียวกัน ความหวานเย็นของไอศกรีมตัดกับความร้อนและขมนิดๆของชอคโกแลตลาวาเมื่อทุกอย่างสัมผัสลงบนลิ้นของเรา บอกได้คำเดียวว่า เรารอคอยรสชาติแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ อยากจิกหัวตัวเองที่พบเจอจานนี้ช้าไป 555
- Afternoon Tea
พอท้องเริ่มเข้าสู่กระบวนการย่อยเราจึงออกไปนั่งเล่น อ่านหนังสือ มองฟ้า มองน้ำกันที่ริมสระว่ายน้ำ นั่งเพลินๆเผลอแป๊บเดียวก็บ่ายอ่อนๆ ซึ่งเวลาแบบนี้จะมีอะไรน่าทำไปกว่าการจิบชาช่วง afternoon tea ได้อีกล่ะ อย่ารอช้า จัดแจงจรดนิ้วลงบนโทรศัพท์สั่งชามาจิบแบบผู้ดีอังกฤษกันสักนิด ชาหอมๆเย็นๆสุดสดชื่น เสริฟมาพร้อมกับบราวนี่ แครเกอร์ ชีสเค้ก ครีมบูเร่ และพายกรอบ อาหารมณ์ดี๊อารมณ์ดีจนเหมือนโตมาในทุ่งลาเวเดอร์มากๆ จ้า
- U Spa
บ่ายแก่แก่หลังจากชาและของว่างเริ่มย่อยก็ถึงเวลาไปทำให้ร่างกายผ่อนคลายกันที่ U Spa กับการนวดแบบเทอราปิสการนวดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของยู สปา โดยพี่พี่พนักงานมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พร้อมนวดให้เราผ่อนคลายทั้งร่างกาย จิตใจ ไปจนถึงจิตวิญญาน ทั้งนี้ก็มีนวดไทยให้เลือกด้วยจ้า
อาคารนวดเป็นอาคารไม้มีสองชั้น ชั้นบนเป็นโอเพ่นแอร์แต่ร่มรื่น มีเงาร่มไม้คลายร้อน ใครชอบแบบธรรมชาติๆ เราแนะนำ ส่วนชั้นล่างเหมาะกับคนที่ชอบแอร์เย็นฉ่ำ แถมยังมีอ่างอาบน้ำให้อาบน้ำแร่แช่น้ำนมด้วย
- La Vela
บาร์สุดโรแมนติคที่อยู่ชั้นบนสุดของห้องอาหาร บาร์เป็นแบบเปิดโล่ง ชมวิวทะเล และห้องพักได้แบบ 180 องศา แนะนำว่าควรมาช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกสักหน่อย และพอใกล้ช่วงพระอาทิตย์ตกก็พร้อมหามุมสวยๆกดชัตเตอร์แบบรัวๆเก็บภาพในบรรยากาศแสนเฟอเฟค ก่อนนั่งทอดน่อง ใช้เวลาชิวๆ ฟังเสียงคลื่นจากทะเลสีดำ สั่งคอกเทลเบาๆพอให้เลือดสูบฉีด เพราะที่นี่เค้ามีบริการเครื่องดื่ม ของว่าง และค็อกเทล เปิดบริการทุกวันเวลาบริการจองที่นั่งทุกวัน 10:00 – 23:00 น. เหมาะแก่การมานั่งกับคู่รัก เพื่อนพ้อง หรือครอบครัวก็ดี๊ดี
- Swimming Pool
อีกมุมหนึ่งของโรงแรมที่ควรมาจับจองในยามที่ตะวันทอแสงกระทบแผ่นน้ำยามเย็น เพราะนี่คือเวลาสุดแสนโรแมนติกและเหมาะแก่การมาใช้เวลาที่สระว่ายน้ำส่วนกลางของโรงแรมที่อยู่ติดกับชายหาดเป็นที่สุด และนี่คือสระว่ายน้ำที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในทะเลจริงๆ การออกแบบที่ทำให้สระขนานกับเส้นของฟ้า มอบอิสระและระเบิดจินตนาการชวนให้นึกถึงวัยเด็กที่เราเคยวาดเส้นของฟ้าที่ส้มทอง ทอแสงเป็นประกาย ณ ชายทะเลแห่งหนึ่งในจินตนาการ และวันนี้เราได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในพื้นที่แห่งจินตนาการของตัวเอง ไม่ว่าจะลอยตัวอยู่บนเบาะลอยน้ำ ดำน้ำแบบลืมเวลา หรือลอยคออยู่ที่ขอบสระ ไม่ว่ามุมไหนที่นี่ก็จะมอบความทรงจำที่มิอาจลืมให้กับพวกแกได้อยู่ดี
หมดหนึ่งวันแบบอิสระ ไร้กรอบของเวลา เราค่อยๆทิ้งตัวลงในอ่างอาบน้ำร้อนที่หยดด้วยอโรม่ากลิ่นที่ชอบ ผสมกับฟองสบู่นุ่มๆที่ห่อหุ้มตัวเราไม่ให้เขิลอายดวงจันทร์ที่แอบจ้องมองจากระเบียงห้อง คิดถึงช่วงเวลาสบายๆ ตั้งแต่เช้าอันแสนสดชื่น บ่ายอันสนุกสนานอิ่มหนำ และเวลาเย็นอันผ่อนคลายที่เราได้มีโอกาสอยู่กับตัวเอง จนถึงตอนนี้ยามค่ำอันแสนดื่มด่ำและอบอุ่น เราไม่เคยคิดเลยว่าในที่วุ่นวายแบบพัทยาจะยังมี safe zone แบบ ยู พัทยา ให้เราได้มาหลบภัยจากแสงสี และความวุ่นวายทั้งจากภายนอกและภายในใจของเราเองขนาดนี้
Day 3 : Pattaya Coffee Guide
- Dripoly : Drink · Sweet · Brunch
Dripoly ร้านคาเฟ่เปิดใหม่ในโครงการ The Commons Pattaya คาเฟ่ที่เน้นโทนขาวดำแซมสีเขียวเข้มจากใบไม้เล็กน้อย บวกกับเส้นสายทรงสามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยมที่แปลกตา แต่ดูเรียบเท่ห์ ชวนให้เรานึกถึงอ้ปป้าเกาหลี ที่หวีผมเนี้ยบๆ ใส่เสื้อยืดสีขาวแล้วสวมสูทสีน้ำเงินเข้มทับ ท่าทางเรียบโก้ แต่ดูสบายๆมีสไตล์ลงตัวสุดๆ
ที่นี่มีเมนูให้เลือกตั้งแต่อาหารเช้าง่ายๆ อาหารไทยเล็กน้อย เครื่องดื่ม เบเกอร์รี่ และกาแฟต่างๆ ส่วนเราเลือกสั่งชาเย็นมาลอง ซึ่งทางร้านเสริฟชาเย็นมาในถาดสีเงินดูเรียบหรูไม่เบา แถมชาเย็นเค้าก็เอาไปแช่ให้แข็งเสริฟใส่มาในแก้วแบบก้อนเหลี่ยมๆ ราดนมจืด รอให้ชาเย็นที่เป็นก้อนละลายสักนิดนึง แล้วบุ้งงง ก็กลายเป็นชาเย็นที่เราคุ้นเคย ในรูปแบบที่เราไม่ค่อยจะเคยคุ้นสักเท่าไหร่ ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 9.00-20.00 นะ
นอกจากมุมสวยๆในร้านแล้วโครงการ The Commons Pattaya ก็ยังมีมุมถ่ายรูปที่ชิคเกร๋ให้เราเลือกแอค เลือกโพสท่ากันได้อย่างจุใจอีกด้วย โดยเจ้า The Commons Pattaya แห่งนี้เค้าเครมว่าเป็นคอมมูนิตี้ที่เอาใจคนที่รักสุขภาพอีกด้วย เพราะภายในโครงการมีทั้ง สตูดิโอออกกำลังกาย และคลาสออกกำลังกายกว่า 20 คลาส คาเฟ่ โรงเรียนสอนดนตรี และชอปต่างๆ ส่วนการเดินทางมาก็แสนง่ายดาย เพราะ The Commons Pattaya แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณพัทยาใต้ ห่างจากถนนสุขุมวิทแค่400เมตรเท่านั้นเอง
- Blue Tang Cafe & Bar
ร้านคาเฟ่เรียบง่าย ตกแต่งด้วยการคุมโทนสีฟ้า น้ำเงิน และเทาตามชื่อร้าน เสริฟอาหาร เบเกอร์รี่ และเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงเบียร์ก็มีด้วยนาจา งานนี้นั่งกันเพลินๆยาวๆได้ตามสบายเลยล่ะ เพราะร้านเปิดตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงสามทุ่ม ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนเสาร์-อาทิตย์จะปิดเร็วหน่อยคือสองทุ่ม แต่เปิดแปดโมงเท่าเดิม
ตัวร้านด้านนึงจะเป็นกระจกดังนั้นเราแนะนำให้มาช่วงบ่าย เพราะแสงจะสาดเข้ามาในร้านสร้างแสงและเงาที่ลงตัว ช่วยให้การถ่ายรูปดูเก๋ไก๋ ไฮโซ มีรายละเอียดยิ่งขึ้นไปอีกนะแกร๊
ส่วนเมนูแนะนำสุดพิเศษสำหรับคอกาแฟคือเมล็ดกาแฟแบบออแกนิคที่ได้มาจากทางภาคเหนือที่นอนเรียงเมล็ดรอเข้าเครื่องบดและเสริฟลงในถ้วยกาแฟอย่างพิถีพิถันเลยล่ะ ส่วนสายอาหารเราแนะนำสปาเก๊ตตี้คาโบนาร่าที่เส้นหนึบหนับกำลังดีเลยจร้า
- Yello Submarine, Ice-cream Pattaya
ติดติดกับ Blue Tang Cafe & Bar มีร้านสีเหลืองสดใจ คาวาอี๊ คิมูจิ๊ ครั้งแรกที่เห็นก็ได้แต่คิดในใจว่าอะไรจะสดใสปานนี้ว้า แค่เห็นก็ได้บรรยากาศของสวนสนุกในวัลเดอร์แลนด์ดินแดนมหัศจรรย์เลยล่ะ ยิ่งบอกว่าเป็นร้านไอศกรีมโฮมเมคยิ่งโอ๊ย คือบับเดินออกมาจากความฝันป่ะว๊ะแกร๊ นี่แทบจะกระโดดบัลเล่ต์วิ่งเข้าร้านเพราะบรรยากาศมันพาไปมากๆ
ไฮคกรีมนี่ก็ฮาร์ทเมคนะจ้ะ แอดว๊านซ์กว่าโฮมเมคอีกอ่ะแก ทำด้วยใจ ใส่ด้วยรัก เสริฟด้วยยิ้ม ฟาดมาก มีสิบคะแนนก็ให้สิบคะแนนอ่ะ สีสันละลานตาเลือกไม่ถูกทำใจไม่ได้ถ้าต้องตัดใจจากรสใดรสหนึ่ง งั้นขอ 5 รสไปเลยละกัน ไม่ว่าจะเป็นสตอเบอร์รี่ ชีส วนิลา คุกกี้แอนด์ครีม บราวนี่ และตั่งต่าง หลังจากชิมไปบอกได้เลยว่านอกจากน่ารักแล้วแถมรสชาติยังอร่อยด้วย แล้วถ้ามาในช่วงคริสมาสเค้าก็มีเมนูพอเศษสำหรับช่วงเทศกาลอีกด้วย นั่นก็คือ Red vavet และ Chocolate mint and chip อร่อย สดใส เย็นชื่นใจต้องมาลองให้ได้นะแกร ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่เที่ยงถึงสามทุ่ม
- Bowl of Joy
ร้านสุดท้ายของเราในทริปนี้มาแนวหรูหรา อลังการ งานฝ้าสูงโปร่งต้องมา ร้านนี้เน้นโทนสีเย็น ทั้งขาว ดำ เทา น้ำเงิน และเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยวัสดุจากหินอ่อน ปูน และเหล็ก เสริมความอ่อนนุ่มไม่ให้ดูกระด้างด้วยเส้นสายของพื้น ลายหมอนอิง และสีของไม้ ตัวร้านมีทั้งอินดอร์และเอ้าดอร์แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน ร้านหาง่ายเพราะอยู่หน้าโรงแรม The Zing มีที่จอดรถมากมาย
Bowl of Joy” ร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นในเครือของโรงแรม Tsix5 ในเครือ The Zign ภายใต้สโลแกน “You Only Live once. Lick the Bowl!” อารมณ์แบบเราเกิดมาครั้งเดียว จะกินทั้งทีก็ต้องอาหารอร่อยเด็ดจนต้องเลียชามเท่านั้นสิ เครมแรงเว่ออออออออ อาหารก็มีหลากหลายตั้งแต่อาหารไทยแท้ๆ อย่างยำหมูยอ เมี่ยงปลาทู ข้าวผัด ไปจนถึงอาหารฝรั่ง พวกสเต๊ก เบอร์เกอร์ สปาเก๊ตตี้ ของหวาน เบเกอร์รี่ และเครื่องดื่มต่างๆก็มีให้เลือกแบบอ่านเมนูจนตาลายกว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะเอาไรดี ถือว่ามีความหลากลายดี ถ้ามาหลายคนก็ไม่ต้องเถียงกันว่าอยากกินอะไร มาที่นี่ก็มีครบระดับหนึ่งเลยทีเดียว
จบทริปแบบอิ่มท้อง อิ่มกาย อิ่มใจ และสุขไปจนถึงจิตวิญญาณ นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้พักผ่อนแบบไม่ต้องกังวลกับอะไร ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องหนีรถติด ไม่ต้องทำแพลนทำข้ามวันข้ามคืน เมืองพัทยาที่เราเคยอยากมาก็ต่อเมื่อต้องการปาร์ตี้ หนีกรุงเทพมาแบบแปบๆ และเคยมองข้ามหากคิดจะมาพักผ่อนแบบสงบจิตสงบใจ ห่างไกลแสงสี แต่ท้ายที่สุดเราก็พบแล้วว่ามันยังมีที่ดีๆแอบซ่อนอยู่เป็นส่วนหนึ่งของพัทยา และบริบทแต่ละอย่างของทริปนี้ก็แสนพิเศษ ทั้งเดินทางใกล๊ใกล้ เส้นทางก็สะดวกสบาย ที่พักก็มีกิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจนเราไม่ต้องออกไปไหน นอนและกินแบบโยนนาฬิกาทิ้งไปได้เลย แถมระหว่างทางก็ยังมีที่เที่ยว และคาเฟ่เก๋ๆอีกมากมาย เสน่ห์ของพัทยาต้องบอกว่ามีให้ค้นหาแบบไม่รู้จบจริงๆ ถ้าพัทยาเป็นผู้หญิงเราก็ต้องยกย่องให้เธอเป็นสาวสองพันปี นางพญาลึกลับที่ทำให้เรางุงงง ฉงนฉงาย และหลงใหลได้ไม่ยากเย็น