เยือนเกาะฮ่องกง คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณความอุ่นหนาฝาคั่งของแหล่งท่องเที่ยวดังๆ มุมถ่ายภาพแนว Street แบบปังๆ แถมยังมี Street Food และ Shopping Area แบบ Very Good มากมายให้เลือกจับจ่ายใช้สอยห้อยของกันกลับไทยแลนด์ แต่วันนี้  จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น ภูมิใจนำเสนออีกหนึ่ง Route ชิคชิค ที่เหมาะกับการจิกกล้อง ส่องเลนส์ตระเวนเก็บภาพสวย ๆ มาอวยบน Social Media ที่สุดแบบหยุดไม่ได้

มาดูกันดีกว่าว่าทริปเกาะฮ่องกง 1st Time ของเราจะถ่ายทอด 10 ไฮท์ไลท์ ที่ไม่ไปไม่ได้ของฮ่องกงออกมาเป็นยังไง

FLIGHT

เก็บสัมภาระพร้อมสรรพ ก็ขับรถกันไปที่สนามบินดอนเมืองเพื่อไปขึ้นเครื่องกับ Air Asia สายการบินน่ารัก ๆ ที่ใคร ๆ ก็บินได้ด้วยหลากหลายโปรโมชั่นเด็ด ๆ ( เราเองก็เสร็จกับกับโปรฯ ของพี่เขาเหมือนกัน ฮ่า ) ซึ่งใครที่เดินทางบ่อย ๆ ก็อย่าลืมสมัคร Big Loyalty Program ของพี่เขาไว้เพื่อการ Redeem Point เพื่อที่จะสอยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมายเช่นแลกตั๋วเครื่องบินไปฟินกับทริปใหม่ ๆ นอกจากราคาที่จับต้องได้ การบริการที่เป็นกันเองแล้ว บินกับ Air Asia เราก็จะไม่เพลียกับการไปรอต่อแถวเช็คอิน เพราะนางมีอีกสองช่องทางในการเลือก Check in นั่นก็คือ Online เก๋ๆ กับ เช็คอินผ่านตู้คีออสหน้าสนามบิน ส่วนอาหารการกินของนางแนะนำให้จองล่วงหน้าจ่ายเพิ่มนิดหน่อยได้กินของอร่อยแน่นอน

WHERE TO STAY

ระยะเวลาบินจากเดือนเมืองมาฮ่องกงก็จะสบาย ๆ อยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที นั่งไม่เมื่อย ไม่เหนื่อยมากเราก็จะมาถึงดินแดนเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ส่วนที่พักของพวกเราจะอยู่ที่ย่าน Tsim Sha Tsui (จิมซาจุ่ย) ย่านฮอตฮิตติดอันดับสำหรับการมาเยือนเกาะฮ่องกง ซึ่งที่พักย่านนี้ก็มีหลายระดับเริ่มตั้งแต่โฮสเทลยันโรงแรมห้าดาว แถมพักแถวนี้อาหารการกินก็ครบ จะไปเที่ยวสถานที่สำคัญ ๆ ก็สบายง่าย ๆ ด้วยรถไฟใต้ดิน (ฟีลย่านนี้จะอารมณ์แบบย่านแหล่งกิน กับ แหล่งแบรนด์เนมเยอะ ๆ จร้า)

WHAT TO DO

  • Choi Hung Estate

พอบอกว่าไปฮ่องกงปุ๊บ สาว ๆ หนุ่ม ๆ คงจะกระชุ่มกระชวยอยากรวยแบบปุบปับเพื่อไปจ่ายทรัพย์ Shopping ที่ดินแดนนี้ แต่จริง ๆ แล้วฮ่องกงเขาก็มีดีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวชมเมืองเจ๋ง ๆ หรือจะละเลงชัตเตอร์เก็บภาพชิค ๆ เข้าคลังออนไลน์ก็เป็นหนึ่งกิมมิคที่พลาดไม่ได้ที่เมืองนี้เหมือนกัน โลเคชั่นแรกที่เราอยากแนะขอเริ่มกันที่ Choi Hung Estate ในย่าน Choi Hung ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นห้องเช่าราคาย่อมเยาจากสวัสดิการรัฐ แต่ฮ่องก่องเขาก็จัดทาสีสันออกมาแสนวินเทจ เลยกลายเป็นเขตแลนด์มาร์คที่ต้องโพสต์ท่าชิค ๆ กันฮะ

  • Hong Kong Cultural Centre

พิพิธภัณฑ์ศิลปะและวัฒนธรรมของฮ่องกง ตั้งอยู่ที่ถนน Salisbury Road, Tsim Sha Tsu Hong Kong สถานที่แห่งนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 2,000 มีความสำคัญเรื่องการส่งเสริมและจัดแสดงนิทรรศการงานระดับ World Class รวมถึงงานใหญ่ ๆ ภายในเมืองฮ่องกงอีกด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีหลากหลายโซนทั้งฮอลล์คอนเสิร์ต สตูดิโอขนาดใหญ่ แกลเลอรีสำหรับงานนิทรรศการซึ่งจะมีงานสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้ชมกัน และที่สำคัญเลยคืองานสถาปัตยกรรมของที่นี่มันดีมาก ๆ ทั้งมุมแสงและเงาที่เราสามารถเก็บภาพสวย ๆ ได้แนวหลากหลายถ่ายกันแบบอาร์ตหน่อย ๆ จร้า

  • A Symphony of Lights

เดินจาก Hong Kong Cultural Centre มาเพียงห้านาทีก็จะพบกับ A Symphony of Lights จุดชมวิวที่อยู่ที่มีการแสดงแสงสีเสียงเบอร์ใหญ่ที่สุดในโลกการันตีโดยกินเนสส์บุ๊ค โดยโชว์จะมีทุก ๆ วันเวลา 2 ทุ่มนักท่องเที่ยวก็จะมารุมดูแสงสีเสียงที่ใช้ 44 ตึกรอบอ่านวิคตอเรียเป็นเวทีจัดแสดงผลงาน และอลังการไปกับดนตรีบรรเลงเพราะ ๆ ซึ่งเราต้องไปรอ 2 จุดหลักเหมาะ ๆ ได้แก่ บริเวณหน้าหอนาฬิกาตรงอ่าววิคตอเรีย และบริเวณ Avenue of Stars

  • Dragon’s Back Trail

หลังจากเพลิดเพลินเจริญใจกับแสงสีกันไป ก็ถึงเวลาซบไหล่ธรรมชาติกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่แปลเป็นไทยว่า เขาหลังมังกร ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Shek O ทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง ทางเดินก็ขึ้นตรงไปเรื่อย ๆ ไม่เหนื่อยมาก และสามารถฝากความหวังกับทัศนียภาพปังๆข้างบนได้เลยแกร๊ มองจากด้าบนเราจะเห็นเมืองด้านล่างแบบคูลสุด ๆ นอกจากนั้นบางทียังมีทะเลหมอกขาว ๆ เคลื่อนตัวผ่านบนภูเขาสีเขียว ๆ นับว่าเป็นประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่งที่ดีที่ทำให้รู้ว่ามาฮ่องกงก็มาหลงธรรมชาติได้เช่นกันนะ

ฟีลตรงนี้เหมือน Photoshop เอาหลาย ๆ ภูที่บ้านเรามาเข้ากับภาพเมืองทีเดียว ก็ถือว่ามาประเทศเดียวได้เกือบทุกอรรถรสทั้ง Shopping ทั้ง Local food ( ที่จะกล่าวท้าย ๆ ) ทั้ง Street Art ค่าใช้จ่ายในทริปก็ไม่กี่บาทแต่ฟาดหมดทุกสไตล์การท่องเทียวเลยแฮะ

  • Asia Society Hong Kong Center

อีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสายมีความรู้อย่างเราห้ามพลาดก็คือการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นั่นเอง Asia Society Hong Kong Center ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรม Shangri-La Island Hotels บนถนน Supreme Ct เป็นสถานที่ที่ได้รับการปรับปรุงให้โมเดิร์น ทันสมัย น่าตื่นตาตื่นใจเพื่อใช้สำหรับจัดนิทรรศการหรือกิจกรรมต่างต่างโดยสมาคมนานาชาติที่ไม่แสวงหากำไร โดยความดีงามคือนอกจากจะได้รูปชิค ๆ คูล ๆ มาดูกัน ยังได้ชมงานสร้างสรรค์ดี๊ดีมีความรู้เป็นของฝากด้วยจร้า

  • Goldfish Market

อีกหนึ่งมนต์สเน่ห์ของฮ่องกงที่มีกลิ่นอายเอเซียสุด ๆ ต้องมาที่ถนน Tung Choi Street North ในเมืองเกาลูน ที่นี่เราจะพบไลน์ถนนที่ผู้คนขายน้องปลาน่ารักหลากหน้าหลายรูปแบบโดยเฉพาะปลาทอง ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ Goldfish Market ซึ่งผู้คนที่นี่มีความเชื่อว่าถ้ามีปลาทองแล้วจะโชคดีก็เลยนิยมซื้อเจ้าปลาตาโตนี่เป็นของฝากให้กันและกันนั่นเอง

  • Temple Street Night Market

สถานที่แห่งนี้รู้จักกันดีในอีกชื่อว่าตลาดนัดกลางคืนซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับ MTR Jordan Station ทางออก A ถ้าอยากรู้ว่า ณ จุดไหนที่ใกล้จะถึงก็จะบอกว่าถ้าเดินออกมาจากสถานีสักพักและเจอผู้คนเนืองแน่นขวักไขว่และใช่เลยฮะ ตลาดนัดแห่งนี้ก็มีสินค้ามากมายวางเรียงรายให้ปวดลูกกะตากันทีเดียว ทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของจุกจิกจุ๊กจิ๊กน่ารัก ๆ ขนกันมาเหมือนกับว่าเดินสำเพ็งในอีกบรรยากาศหนึ่งเลย ปล. ตลาดนัดแห่งนี้จะเปิดให้บริการนักช็อปตัวยงตั้งแต่เวลาบ่ายสองถึงเที่ยงคืนนะ

  • Hollywood Street

ถนนเส้นนี้สร้างเป็นเส้นที่ 2 ต่อจากเส้น Queen Street ตั้งแต่ปี 1844 ส่วนการเดินทางมาที่นี่ให้นั่ง MRT มาลงสถานี Sheung Wan แล้วเดินตามป้าย Hollywood Street ยาว ๆ เลยฮะ ซึ่งนอกจากที่นี่จะมีทั้งร้านคาเฟ่ ร้านแบรนด์เนมเก๋ ๆ สตรีทสายอาร์ตตามผนังหรืออาคาร ที่เหล่าช่างภาพต้องมาพบพานและห้ามพลาดเด็ดขาด  ระหว่างสองข้างทางนั้น เราจะได้เพลิดเพลินกันกับกราฟฟิติปัง ๆ บนผนังกำแพง เต็มไปหมดเลย

อย่างที่เกริ่นไว้ว่าไฮไลท์เด็ดของที่นี่ คือภาพงานกราฟฟิตี้ที่มีอยู่เยอะให้เราเลือกถ่าย สีสันและรูปแบบมากมายให้เลือกธีมเลือกโพสต์ได้ตามชอบใจ ยิ่งถ้าใครเป็นสาวกสายสตรีทรับรองว่าต้องดีดกรีดร้องและอยากลองถ่ายให้ครบทุกซอกซอยเหมือนเราแน่ ๆ

  • The Peak

ใครเป็นแฟนคลับหนังฮ่องกงคงต้องคุ้นชินกับภาพตรงนี้แน่ๆ เพราะภาพยนตร์หลายเรื่องใช้ทัศนียภาพจากตรง The Peak เป็น Background ส่วนจุดแนะนำต้องไปที่ 3 ไฮท์ไลท์ได้แก่ The Peak Tram, The Peak Tower, and Sky Terrace 428 ซึ่งจะมีมุมเก๋ ๆ ให้เราไปยืนเท่ถ่ายรูปโดน ๆ พร้อมโอนลง Instragram แน่นอน อีกทั้งยังได้วิวเมืองชิค ๆ ที่ทอดยาวทั่วทั้งเกาะฮ่องกงแบบ Wow มาก ๆ  ส่วนการเดินทางจะนั่งรถรางที่ Sky Terrace มา ไม่ก็ Peak Tram รถบัสสาย 15C หรือ ขึ้นรถเมล์ที่ท่าเรือ Bus Terminal ใต้ตึก Exchange สาย 15 ก็ได้

สำหรับแฟนคลับพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าอยากฟินควรเผื่อเวลาไปก่อนสักระยะหนึ่ง เพราะถ้าไปถึงตอนเย็นคงไม่เอ็นจอยกับคนเป็นร้อยที่มาทยอยยัดอัดกันขึ้นไปเพื่อหวังใจจะได้ภาพสุดโรแมนติคเช่นเดียวกับเรา  (ดูจากภาพด้านล่างก็จะรู้ว่าคนแน่นแค่ไหน) และนี่เองเป็นสาเหตุว่าทำไมเราไม่มีภาพตะวันลับฟ้ามาฝากแฟนคลับสำหรับทริปนี้นาจา ฮือออ

  • Yick Fat Building

เอาล่ะ เราจะพามาอีกหนึ่งมุมในตำนานที่ปรากฏในหนังระดับพระกาฬของพี่ Michael Bay อย่าง Transformers กับ Yick Fat Building จากที่ตึกที่อยู่อาศัยที่แออัดยัดเยียดกลายเป็นซีนถ่ายรูปสุดคูลที่ต้องมาดูมาเห็นด้วยตาสักครั้งในชีวิต ส่วนสถานที่ตั้งก็จะอยู่ใกล้กับ MTR Tai Koo ทางออก B จากนั้นเดินไปทางทิศตะวันตกของถนน King’s Road ประมาณสองช่วงตึกก็ถึง

WHAT TO EAT

มาฮ่องกง ต้องมากิน!!! เยาวชนยุคใหม่ใส่ใจอาหาร Local อย่างเรา ๆ ต้องมาเทสอาหารของพี่เขาจริง ๆ เพราะที่เมืองแห่งนี้มีทุกสไตล์อาหารตั้งแต่จานพื้นบ้านยันร้านหรูมิชลิน หมู เห็ด เป็ด ไก่ มีไว้ให้กินหมดครบทุกอรรถรสลิ้นจริง ๆ ฮะ ส่วนทริปนี้เราจะแนะนำอะไรให้กิน ถ้าอยากฟินก็ตามกันมาได้เลยจร้า!!

  • ซันเฮงจ๋าน

ร้านนี้เขาดังจริงหาใน google map พิมภาษาไทยก็ยังขึ้นเลย (ฮ่า) ซันเฮงจ๋านเป็นร้านโจ๊กฮ่องกงที่มีทีเด็ดที่ปลาจีนแล้วก็ยังมีหมู เครื่องในและไข่เยี่ยวม้าตามต้นตำหรับโจ๊กฮ่องกง ส่วนความต่างของโจ๊กไทยและโจ๊กฮ่องกงนั้นจะอยู่ที่รสสัมผัส (เขียนซะเวอร์วัง) พูดง่าย ๆ คือเนื้อโจ๊กเขาจะค่อนข้างข้นเป็นเนื้อครีม ๆ มากกว่าบ้านเรานั่นเอง

  • GYU JIN ShabuShabu & Sukiyaki

ร้านชาบูและสุกี้ยากี้นี้ตั้งอยู่ย่านจิมซาจุ่ยที่ตึก I-Square MTR สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก R ชั้น 7 เรื่องรสชาตินี่คือห้ามพลาดมากจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สหมู เนื้อ ที่เกรดพรีเมี่ยมมาก ๆ ตักมาให้พูน ๆ แบบไม่ต้องเรียกบ่อย ๆ และถ้าอยากอร่อยเด็ดต้องจัดน้ำซุปแบบ Spicy สไตล์ฮ่องกงด้วยนะ ส่วนเครื่องเคียงจะมีผัก ลูกชิ้น เห็ด มีข้าว และไอศครีม Hagen Daz ที่เติมได้ไม่อั้น (เลิฟเลยยยย)

  • Tao Heung

จัดร้านชาบูสุกี้ยากี้ไปแล้ว ก็มาลองติ่มซำชื่อดังกับ Tao Heung ซึ่งร้านจะตั้งอยู่ที่ย่าน Tsim Sha Tsui เช่นกัน บอกแล้วว่าพักย่านนี้ดี อาหารการกินครบ ส่วนมากเดินทางจากสถานทีก็พุ่งตรงมาลง MTR ที่สถานี EAST Tsim Sha Tsui ทางออก N4 ส่วนการตกแต่งภายในร้านก็จะออกแนวจีนร่วมสมัย ดูดีสะอาดสะอ้าน ส่วนเมนูที่แนะนำก็มีทั้งโจ๊กหมู่ไข่เยี่ยวม้า ขนมจีบกุ้ง เสี่ยวหลงเป่าซาลาเปาหมูแดงอบ และที่ห้ามพลาดอย่างแรงก็คือฮะเก๋าลูกใหญ่รสชาติถูกปากถูกใจมาก ๆ ปล.ด้วยความที่คนที่นี่เขาไม่ทานฮะเก๋ากับจิ๊กโฉ่ว เราเลยต้องขอเพิ่มถ้าอยากได้มาจิ้มนะฮะ ( สั่งว่า กิ๊ดจั๊บ นะ )

  • Kam’s Roast Goose

ร้านอาหารมิชลินสตาร์ Kam’s Roast Goose ร้านห่านย่างมิชลินที่ฟินทั้งรสชาติที่ถูกปากแน่นอนและด้วยราคาที่น่ารักน่าชังไม่แพงจนกระเป๋าตังฉีกนั่นเองเลยทำให้คนหลั่งไหลมาต่อแถวกินกันตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด ตัวร้านจะตั้งอยู่ย่าน Wan Chai ซึ่งต้นกำเนิดของร้านนั้นมาจากความดราม่า ทว่าความอร่อยนั้นเป็นของจริงจนหนังสือพิมพ์ฮ่องกงยกย่องให้ร้านนี้เป็นร้านห่างย่างที่ เนื้อนุ่มที่สุด จนได้รับดาวมิชลินในปี 2015 สำหรับเมนูที่แนะนำก็จะเป็นข้าวห่านย่าง และ ข้าวหมูกรอบที่เมื่อมากินจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในรสชาติที่โอเคมาก ๆ สำหรับเราเลยเข้าใจว่าทำไมถึงได้ดาวมิชลินไปครองเลยฮะ ส่วนการเดินทางมาที่นี่ก็ไป MTR Wanchai สายสีน้ำเงินและออกทางออกที่ 4 หลังจากนั้นเดินไปตามถนน Hennessy Road จร้า

  • The Alley

หนึ่งในร้านคาเฟ่ชื่อดังของเกาะฮ่องฮงซึ่งนำเข้ามาอีกทีจากประเทศไต้หวัน (ฮ่า) สถานที่ตั้งก็ยังอยู่ใน Tsim Sha Tsui ซึ่งไปง่าย ๆ ด้วยการลง MTR สถานี Tsim Sha Tsui แล้วออกทางออก A1 และเดินไปอีกเพียง 1 นาทีฮะ ตัวร้านจะออกเป็นแนวแบบ Western Style ส่วนรอบนี้เราสอยชานมไข่มุก กินไป เที่ยวไป ถ่ายรูปเพลิน ๆ เดินเล่นชมเมืองกันดีกว่า

เป็นยังไงกันบ้างกับเกาะฮ่องกงดี๊ดีย์ไม่ได้มีแค่แบรนด์เนมเพียงอย่างเดียว แต่เที่ยวได้ครบทุกแบบทุกสไตล์ไปกับใครก็ฟิน แถมบินง่าย ๆ ด้วยโปรโมชั่นหลากหลายจาก Air Asia สำหรับเราฮ่องกงถือว่าเป็นทริปที่ดีที่เหมาะสมสำหรับมือใหม่ที่หัดเที่ยวไปจนถึงมือโปรที่อยากเจาะทุกซอกทุกมุมให้ถึงขุมอารยธรรมนานาชาติที่ผสมผสานกันออกมาอย่างลงตัว และเราเชื่อว่ายังมีอีกหลายซอกซอยหลายมุมมองการท่องเที่ยวรอให้เราไปค้นหา พบเจอ และนำมาบอกเล่าได้เรื่อย ๆ แน่นอน

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก