Live Like Local : Fukushima Prefecture

Summer in Japan …

เมื่อญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่การเดินช้อปปิ้งเก๋ๆ นั่งชิลล์ตามร้านคาเฟ่ หรือโพสท่าๆ แบบโอตาคุ ซัมเมอร์นี้เราเลยอยากชวนทุกคนไปสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นที่แท้ทรู ชิมลูกพีชสดๆ จากต้น เข้าสวนเก็บผักมาทำอาหารกินเอง แช่ออนเซ็น และเอนจอยทุกโมเมนท์กันที่ฟาร์มสเตย์ ณ ”ฟุกุชิมะ” หนึ่งในจังหวัดของภูมิภาคโทโฮะคุ ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ตำนานทางวัฒนธรรมและประเพณี จังหวัดที่เราเชื่อว่าหลังจากทุกคนดูรีวิวนี้จบ ก็จะจดลิสต์ที่เที่ยวใหม่ในญี่ปุ่นที่ต้องไปโดนให้ได้แน่นอนนน!! ……

ส่วนการเดินทางครั้งนี้เราบินจากประเทศไทยไปกับอีกหนึ่งสายการบิน Full Service สัญชาติญี่ปุ่นที่มีนามว่า ANA Airways นางมีไฟล์บินจากกรุงเทพไปโตเกียวให้เลือกหลายเวลามากเรียกได้ว่าจะบินเช้า สาย บ่าย เย็น ก็สะดวกสุดๆ แถมบินตรงลงทั้งนาริตะและฮาเนดะด้วย เครื่องก็ใหม่ บริการดี ที่นั่งกว้างขวางเหยียดแข้งเหยียดขาได้สบาย แม้พวกแกรจะตัวใหญ่นั่งยังไงก็สบายนะเออ คนอวบเกือบอ้วนแบบเราคอนเฟิร์ม อิอิ

หลังจากนอนหลับสบายน้ำลายไหลท่วมไหล่ท่วมหน้า เราก็ตื่นมาอย่างฟินฟินบนแผ่นดินอาทิตย์อุทัย ลงเครื่อง กางสองแขนแล้วยกขึ้นบิดขี้เกียจสองที จากนั้นก็เดินมั่นมั่นแบบคนพร้อมที่จะเที่ยวผ่าน ตม. ไปหยิบกระเป๋าตรงสายพานแล้วเดินลากเท่เท่ไปรอชินคันเซ็น โดยจากสนามบินนาริตะไปฟุกิชิมา สำหรับคนต่างชาติอย่างเราเรา พี่ยุ่นเขาก็แนะนำว่าให้ซื้อบัตร JR PASS (Japan Rail Pass) ซึ่งเป็นบัตรรถไฟที่ให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเท่านั้น จะคล้ายคล้ายบัตรนั่งรถไฟแบบบุฟเฟต์ เลือก Package ให้เหมาะสมแล้วก็นั่งชมนั่งเที่ยวเปรี้ยวได้ยาวยาว ซึ่งทริปนี้ JR East Tohoku แบบ 5 days คือแพ็คเกจที่เราคู่ควรซู๊ดดดดดดด!!! จากโตเกียวเราใช้บัตร JR Pass เดินทางอย่าง too Fast ด้วยชินคันเซ็นเอ็นจอยวิวเขียวเขียวเที่ยวไปยังสถานี FUKUSHIMA แล้วก็เปลี่ยนเป็นรถไฟท้องถิ่นเพื่อต่อไปลงที่ IOJIMAE ( อิโอจิมาเอะ ) จากนั้นต่อรถอีกหน่อยเพื่อไปสอยลูกพีชที่ Marusei Orchard ( สวนมารุเซย์ ) กันนน!

Marusei Orchard

อย่างที่เราเกริ่นไว้ตั้งแต่แรกว่าที่ภูมิภาคโทโฮะคุมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ได้ใจ จึงทำให้บริเวณนี้มีสวนผลไม้มากมายโดยเรียกกันว่าเส้น Fruit line ซึ่งสวนมารุเซย์ก็เป็นหนึ่งในนั้นฮะ สำหรับค่าเข้าสวนจะอยู่ที่ประมาณ 860 เยนต่อคนสนนเวลาที่ 30 นาที ซึ่งเขาก็ไม่มีเจ้าหน้าที่มานั่งจับผิดนะ ( เป็นเรื่องที่น่าประทับใจในวินัยของคนญี่ปุ่นมากมาก ) ซึ่งพอเข้าไปเราก็จะพบกับสวนกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยก้อนแดงแดงชมพูชมพูที่อยู่บนต้นไม้เขียวเขียวเต็มไปหมด โดยเราสามารถยื่นมือไปปลิดลูกพีชจากขั้วมารัวกินกันสดสดได้เลย!

หลังจากกินลูกพีชสดสดจนหนำใจ เราเดินต่อไปที่ร้านของหวานภายในสวนที่ชื่อว่า Mori no Garden (โมริ โนะ การ์เด้น) ซึ่งร้านนี้จะมีเมนูคู่ใจสุดแซ่บ Fruit Parfait ของหวานเกร๋เกร๋ที่เสริฟพร้อมลูกพีชสดหั่นชิ้นโตโปะอยู่บนไอศครีมเย็นเย็นเหมาะสำหรับทานเล่นเล่นระหว่างเอ็นจอบวิวชิลในสวนที่สุด!!

• Tatsusawa Fudotaki waterfall

จากสวนพีชย้อนลงใต้ของจังหวัดฟุกุชิมะประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที พวกเราก็มาโผล่ที่ Tatsuzawafudo Falls ( น้ำตกทัตซึซาวะฟุโด ) น้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Urabandai ณ Inawashiro เขต Yama ด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ที่ปกคลุมหนาแน่นจึงทำให้อากาศภายในบริเวณน้ำตกเย็นสบายแม้จะเป็นฤดูร้อนก็ตาม

จากที่จอดรถเดินสบายง่ายง่ายเข้าไปภายในแค่ 3 นาทีก็จะปรากฏภาพต้นไม้สูงสูง น้ำตกสวยสวย จุดถ่ายรูปก็มากด้วยวิวน้ำตกและลำธารจร้า นอกจากวิวธรรมชาติจะดี๊ดีย์ ต้นไม้ที่นี่ก็สูงใหญ่เหมาะสำหรับใช้เป็นทั้ง Foreground และ Background ในการเซลฟี่เก็บภาพดีดีเป็นที่ระลึกมากฮะ

• Urabandai Lake Resort

ดื่มด่ำธรรมชาติจนวันแรกกันจนเต็มอิ่ม พอใกล้เย็นก็เป็นเวลาเดินทางเข้าที่พัก โดยจากน้ำตกเราใช้เวลาค่อนชั่วโมงไปทางคิตาชิโอบาระเพื่อไปป๊ะกับ Urabandai Lake Resort ที่พักคืนนี้ของพวกเรา ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบฮิบาระ ซึ่งแกรจะสามารถเอ็นจอยวิวยอดเขาอุระบันไดจากในห้องพัก แต่ถ้าไม่เหนื่อยนักก็มีเรือคายัคให้พาย หรือจะออกเดินสายแทรคกิ้งก็โอเค แต่ถ้าล้าเหลือนเกิน ก็ไปเพลิดเพลินกับออนเซ็นได้เลย นอกเหนือจากบริการที่ครับครันแล้ว รีสอร์ทแห่งนี้นั้นยังตั้งอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่างเช่น Lake Inawashiro หรือ Mount Bandai ด้วยนะเหวย

ในส่วนของห้องพักที่นี่นั้นมีทั้งแบบเป็นห้อง Deluxe มาตรฐานทั่วไป หรือจะ Insight หน่อยก็เลือก Choice แบบญี่ปุ่นสไตล์ที่เธอจะได้ใส่ยูกาตะหลังแช่น้ำร้อนก่อนจะปูที่นอนลงบนเสื่อทาทามิน่ารักตะมุตะมิแบบห้องนอนของโนบิตะเลยแกร๊ ( แต่กว้างกว่ามากกกก )

เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเที่ยวเฟี้ยวฟ้าวกันมาทั้งวัน มื้อเย็นวันนี้ขอจัดหนักจัดเต็มกันด้วยอาหารญี่ปุ่นแบบ Buffet Sytle ที่มีบริการภายในโรงแรม วัตถุดิบก็แสนสด รสชาติก็อร่อยล้ำคำเดียวไม่เคยพอเลยฮะ ณ จุดนี้ต้องนำคำว่ากินวนไปมาใช้อีกรอบ 🙂

• Ao Numa

เช้าวันใหม่สดใสซาบซ่า เราก็ตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันและออกเดินทางไปกันที่อุทยานอุระบันไดเพื่อไปพบกับ Goshiki Numa ( บ่อน้ำห้าสี ) แลนด์มาร์คที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟบันไดเมื่อ 100 ปีก่อน และด้วยแร่ธาตุที่ตกตะกอนพากันสะท้อนสีของน้ำออกมาหลากหลายเฉดฮะ ซึ่ง Ao Numa ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีสีฟ้าใส แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่ไม่ควรพลาดกัน

ที่ Ao Numa ค่อนข้างจะเป็นที่สำหรับชมธรรมชาติที่แท้ทรู ต้นไม้ใบหญ้าอยู่ครบและไม่ค่อยพบสิ่งก่อสร้างหรือที่ทางของมนุษย์เท่าไร เราใช้เวลาดื่มด่ำที่นี่สักพักเพื่อสูดอากาศดีดีให้เต็มปอด ฟอกไต ก่อนจะเดินไปแลนด์มาร์คใหม่ที่ Benten Numa

• Benten Numa

Benten Numa เป็นหนึ่งในบ่อน้ำวิวสวยสวยที่ปูแบ็คกราวน์ด้วยทัศนียภาพของภูเขาอะกาซึมะ ที่นี่เราจะพบเจอบึงน้ำสีฟ้าใสแจ๋ว แต่ที่ดีงามกว่าคือมีเรือให้แจวเผื่ออยากหวานแหว๋วกับคู่รัก ซึ่งค่าบริการก็ตกเพียงแค่ 700 เยนต่อ 30 นาที แกรจะเซลฟี่ จะทำตัวเกาหลีที่ญี่ปุ่นก็เชิญเอาที่สบายใจเลยฮะ

เดินเที่ยวจนเมื่อย ภายเรือจนเหนื่อยแขน ก่อนไปต่อขอสามารถแวะนั่งทานซอฟต์ครีมแทนกันก่อนได้นะฮะ ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 300 เยน กับของหวานเย็นเย็นเอ็นจอยโมเมนท์กันไป

• Sannokura Kougen

นั่งพักจนเหงื่อแห้งก็ออกตัวแรงกันไปต่อที่ SANNOKURA KOUGEN ( ที่ราบสูง ซันโนคุระ ) ซึ่งจากอุระบันไดจะใช้เวลาเดินทางมาที่นี่หนึ่งชั่วโมงจร้า เมื่อขึ้นมาสู่ที่ราบสูงนี้ก็จะพบแลนด์มาร์คโคตะรีมีนามว่าฮิมาวาริ บาตาเกะ ( himawari batake ) ซึ่งเป็นทุ่งดอกทานตะวันที่ปังสุดสุดเพราะจะเป็นจุดที่เราได้รับการโอบล้อมไปด้วยดอกทานตะวันมากกว่า 1.5 ล้านดอกถึงขั้นต้องบอกต่อว่าเป็นจุดห้ามพลาดถ้ามาที่นี่เพื่อความทรงจำและภาพดีดีบน Social Network ฮะ (ฮ่าฮ่า)

Note : ถ้าอยากมาโดนภาพแบบนี้ต้องมาที่นี่ช่วงเดือนสิงหาคม ถึง ต้นเดือนกันยายนเท่านั้นน้า

• Kuru Ken

หลังจากตระเวนเที่ยวรอบรอบจนหนำใจก็ขอเข้าไปทานมื้อเที่ยงในตัวเมือง Aizuwakamatsu กันหน่อย ซึ่งร้านที่เราไปนั้นมีชื่อว่า Kuru Ken เป็นร้านราเม็งแบบ Local ที่เราว่าโอเคมาก ตัวอาคารจะเป็นบ้านสไตล์เก่าเก่าที่แขวนป้ายภาษาญี่ปุ่นซึ่ง “ราเม็ง” อยู่ที่หน้าประตูและมีเมนูแปะอยู่ที่บอร์ดข้างข้าง

เมนูของเราวันนี้จะมีมิโสะราเม็ง ส่วนอีกจานน่าจะเป็นทงโคะทซึราเม็ง คิดเป็นราคาไทยจะตกอยู่ที่ชามละประมาณสองร้อยนิดนิดแต่รสชาตินี่ติดปากกระชากใจเราสุดสุดเลยฮะ ( อร่อยมว๊ากก )

• Wakakusa Monogatari

อิ่มท้องจากราเม็งไอซึสไตล์ ก็ถึงเวลาไฮท์ไลท์เด็ดของทริปฟุกุชิมะกับ Farm Stay เท่เท่ในเวย์ท้องถิ่น ที่ที่เราจะได้ลองทำมาหากินแบบชาวบ้าน ฝึกทำอาหารแบบพี่ยุ่น อบอุ่นกับบรรยากาศแบบเป็นกันเองและครื้นเครงไปกับเพื่อนบ้านในชุมชนแห่งนี้

ความน่ารักของที่นี่คือเราจะได้อยู่ที่บ้านของคนท้องถิ่นจริงจริง ได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ทุกสิ่งที่อิงจากชีวิตประจำวัน เป็นการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ความมินิมอลให้ตัวเองเลยนะ ฮ่าฮ่า

มาถึงไม่ทันไร คุณป้าก็บอกให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะว่าต้องออกไปเก็บพืชผักมาจัดสำรับเย็น เราก็เอาวะเป็นไงเป็นกัน ตะบี้ตะบันกุลีกุจอเปลี่ยนชุดแล้วก็รุดขึ้นรถกระบะเพื่อไปปะทะกับพืชไร่พืชสวนกันเล้ยยยย!!

วิวทิวทัศน์ที่นี่ก็จะดีมากมากหน่อย ถ้าสังเกตจะไม่ค่อยมีบ้านเรือนมากนักเนื่องจากชุมชนแห่งนี้จะยึดวิถีเกษตรกรรมจึงทำให้แต่ละบ้านจะมีพื้นที่ปลูกพืชผักเป็นของตัวเองพอสมควร

เห้ยแกร๊!! มันคิโมจี๋ รู้สึกดีมากมากกับการแปลงร่างเป็นเกษตรกรดีเด่นที่เมืองไอซึแห่งนี้ ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณที่อากาศไม่ร้อนเราเลยตะต่อนยอนเก็บผักกันอย่างสนุกสนาน พี่ป้าน้าลุงเขาก็คอยพยุงคอยสอนขั้นตอนการเก็บผักพื้นบ้านไม่ว่าจะเป็นฟักทอง มะเขือเทศ มะเขือม่วง ไม่ให้เราทำป่วงจนพังเละเทะฮะ

เมื่อวัตถุดิบครบ ( เก็บทุกอย่างที่ขวางหน้า ) เราก็นึกว่าถึงเวลาโชว์ฝีมือเข้าครัวแล้ว แต่ก็แห้วเมื่อคุณป้าบอกว่าแค่ล้างผักก็พอแล้วก็ไปนั่งรอกินเฉยเฉยนะจ๊ะ

เมนูที่ออกมาก็จะง่ายง่ายแต่มีความหมายกับเราสุดสุด (เพราะไปเก็บมาเองเชียวนะ ฮ่าฮ่า) ส่วนใหญ่จะเป็นผักทอด ปลาทอด แล้วก็ทุกสิ่งที่หาได้จากบริเวณบ้านพัก แม้ว่าหน้าตาจะดูเฉยเฉยแต่รสชาติออกมาอร่อยมากเลยนะแกร๊ ความน่ารักของคุณป้าคุณลงยังไม่จบ เพราะเมื่อกินอิ่มท่านก็เริ่มปรบมือร้องเพลงพื้นบ้านให้เราเบิกบานกันไป คิดถึงทีไรก็อบอุ่นหัวใจทุกทีฮะ ( อยากกลับไปอีกกกก )

ค่ำคืนที่มีความสุขผ่านพ้นไป เช้าวันใหม่ที่เราต้องลาจากคุณป้าไปก็เข้ามาแทนที่ แต่ก่อนที่เราจะโบกมือบ้ายบาย คุณป้าก็ได้สอนวิถีนำผลฝ้ายมาทำให้เป็นใยก่อนนำไปทำเป็นเสื้อผ้าที่พวกเราสวมใส่กันนั้นเอง

• Aizu Kodawari Don

ลาจากจากที่พักสุดจะประทับใจแล้วไปต่อพวกเราก็ออกเดินทางไปต่อกันที่ร้าน Tontei ซึ่งที่ร้านนี้มีดีที่เมนู หมูทงคัตซึทงชิน (Tonkatsu-Tonchin) ที่หากไม่ได้กินจะเสียใจมากและถือว่ามาไม่ถึง เพราะข้าวหน้าหมูทอดราดซอสสุดพิเศษสูตรลับของร้านเป็นตำนานที่ส่งจากรุ่นสู่รุ่นมาตั้งแต่ปี 1972 เลยนะแกร๊

• Kakure Kura AIYA

เทสอาหารท้องถิ่นดั้งเดิมเพิ่มความฟินกันไปแล้ว ขอเชิญน้องแก้วมาที่ร้าน Kakure Kura AIYA ซึ่งที่นี่จะมีชุดกิโมโน ยูกาตะ และสัมภาระสิ่งของเครื่องใช้ในสไตล์ญี่ปุ่นโบราณให้เราเลือกบานก่อนจะเช่าสวมใส่เข้าไปเดินเก็บภาพเกร๋ไกร๋กับบ้านร้านแบบญี่ปุ่นสไตล์ในบริเวณแถวแถวนี้

ข้อมูลเพิ่มเติม:  ร้านนี้ปิดทุกวันพุธนะฮะ แล้วก็จะเปิดตั้งแต่ 10: 00 ~ 18: 00 ส่วนการเดินทางก็สามารถเดินเท้าจากสถานีรถไฟ Aizuwakamatsu ประมาณ 15 นาทีจร้า

อาจเป็นเพราะไอซึนั้นยังเป็นเมืองที่ไม่ค่อยดังปังเหมือนย่านอื่นอื่นเท่าไร จึงทำให้อาคารบ้านเรือนยังเหมือนแต่ก่อนเก่า ซึ่งส่วนตัวเราชอบมากเพราะว่ามาที่นี่จะได้เปิดประสบการณ์ดีดีที่ไม่เหมือนโตเกียว เกียวโต โอซาก้าที่ที่ทุกคนเห็นจนคุ้นตา ที่ไอซึจะไม่มีคนเดินขวักไขว่ ไม่มีป้ายไฟระยิบระยับ แต่จะมีท้องฟ้าสีฟ้ากว้าง ทุ่งนาสีเขียวเขียว และดวงดาวเต็มฟ้าเชียวเมื่อยามกลางคืนฮะ

• Tsuruga Castle

ลากเกี๊ยะ สวมกิโมโนถ่ายรูปโก้โก้จนพอใจ Destination ต่อไปคือแลนด์มาร์คยิ่งใหญ่ที่มีนามว่า Tsuruga Castle หรือ ปราสาทสึรุกะนั่นเองจร้า ปราสาทแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 1384 ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านรอยร้าวของสงครามมาหลายสมัยจนได้รับการฟื้นฟูให้สวยหรูในปี 2011 และรัฐบาลได้ทาสีบางส่วนของปราสาทแห่งนี้ใหม่เพื่อไม่ให้ซ้ำกับปราสาทที่ไหนไหนในญี่ปุ่นด้วยนะแกร๊!!

นอกเหนือจากปราสาทสวยสวย ที่แห่งนี้ยังแวดล้อมรอบสวนสาธารณะสึรุกะ (Tsuruga Castle Park) ซึ่งเป็นจุดชมวิวซากุระยอดนิยมในเดือนเมษายน ใกล้เคียงปราสาทยังมีโรงน้ำชารินคาคุซึ่งเราสามารถเข้าไปนั่งผ่อนคลาย จิบชาและชิมขนมอร่อยอร่อย ( มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ) และห่างออกไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์จังหวัดฟูกุชิมะ ( Fukushima Prefectural Museum ) และพิพิธภัณฑ์สาเกไอซึ ( Aizu Sake Musuem ) จร้า

อีกหนึ่งจุดที่ควรมาหยุดดูคือชั้นสุดของปราสาทสึรุกะ ที่ที่จะเห็นทัศนียภาพรอบเมืองแห่งนี้ซึ่งขอบอกเลยว่ามันดีมาก ก.ไก่ สามร้อยล้านตัว

• Ashinomaki onsen ookawa-so

เดินชมปราสาทจนขาลาก ก็มาฝากยามเย็นกันที่ Ashinomaki Onsen Okawaso โรงแรมแบบญี่ปุ่นจ๋าสไตล์ในทำเลที่ได้รับการโอบกอดจากหุบเขาโอกาวะ แขกผู้มาเยือนจะตื่นตาตื่นใจไปกับธรรมชาติที่ต้องห้ามพลาดทั้งสี่ฤดู อาทิ ยามฤดูใบไม้ผลิ ภูเขาจะเขียวชะอุ่มชุ่มตา ยามหน้าร้อนก็ผ่อนคลายกับวิวผืนน้ำใสไปกับแม่น้ำโอกาวะ หรือจะป๊ะกับใบไม้เปลี่ยนสีก็มีในฤดูใบไม้ร่วง และสุดท้ายก็แช่ออนเซ็นอุ่นสบายคลายห่วงช่วงฤดูหนาวจร้า

ด้วยความเป็นญี่ปุ่นจึงอบอุ่นด้วยการบริการที่เราต้องขอยกนิ้วให้ เพราะที่นี่ดูแลใส่ใจลูกค้าทุกย่างก้าว ตั้งแต่เปิดประตูเก็บของแนะนำห้องตลอดถึงรินน้ำชา ประทับใจสุดดดเลยฮะ

ตัดภาพมาที่มื้อเย็นที่เราเอ็นจอยสุดสุดกับอาหารที่เสริฟมาด้วยหน้าตาน่ากรีดร้องในความงาม ถามจนได้ความว่านางคืออาหารแบบ Kaiseki ซึ่งก็คือรูปแบบของอาหารที่ต้อง balance ทั้งรูปลักษณ์ รสชาติ สี และที่สำคัญคือต้องใช้วัตถุดิบที่มีเฉพาะฤดูกาลและท้องถิ่นนั้นนั้นด้วยแกร๊!! ( โอมากอยากกินอีกก )

แต่เมื่อหนังท้องตึงก็ใช่ว่าหนังตาจะหย่อนได้เพราะทางโรงแรมมีกิจกรรมที่เตรียมไว้ให้ตอนสองทุ่มครึ่งซึ่งก็คือ Mochitsuki หรือพิธีกรรมตำข้าวเพื่อทำขนมโมจินั่นเองซึ่งหลังจากตำกันไปกันมาสักพัก เราก็จะได้ชิมขนมโมจิสดสดฝีมือตัวเองกับชาร้อนร้อนก่อนนอนคืนนี้จร้า

ในที่สุดเช้าวันสุดท้ายก็มาถึงซึ่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวมากมาก เราตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันและออกมาทันทะเลหมอกที่ลอยล่องท่องอยู่เหนือโรงแรมเลยเอาภาพมาแถมให้สักรูป หลังจากนั้นก็ได้เวลาเช็คเอ๊าท์และเข้าไปหมู่บ้านโบราณ 400 ปี โอจิจูคุ

• Oouchijyuku

จากโรงแรมมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงตาม GPS : https://goo.gl/DxddS8 เราก็จะมาพบกับหมู่บ้านที่ยังคงดำรงลักษณะการก่อสร้างแบบมุงหลังคาซึ่งรักษาอัตลักษณ์ของตนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้บ้านบางหลังก็ตั้งเป็นร้านค้า ร้านอาหารให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม เดินกิน เดินเที่ยวกันนานนานท่ามกลางอากาศชิลชิลเพราะที่ตั้งนั้นอยู่บนเขา

ซึ่งของกินที่ฟินเว่อร์ที่นี่ก็จะมีดังโงะ ปลาเทร้าต์ย่าง และเนกิโซบะ ที่เธอจะต้องลองให้ได้จร้า ความพิเศษของเมนูจะอยู่ที่พี่เขาจะให้ต้นหอมเรามาเป็นส้อมแทน วิธีการกินคือการใช้ต้นหอมจ้วงเส้นมาดูดซู๊ดดดเข้าปากไปเล้ยยย ราคาก็เฉยเฉยไม่แพงมากประมาณ 900 เยนเท่านั้น!!

• Nanko Park

อิ่มหมีพลีมันก็ออกเดินทางกันสู่จุดหมายสุดท้ายที่ Nanko Park สวนสาธารณะแบบญี่ปุ่นโบราณที่อาจเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุด ซึ่งความสวยของสวนนี้จะเปลี่ยนแปลงตามที่ฤดูกาลจึงเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจไปได้ตลอดเลยจร้า แต่ถ้าถามเราว่ามาช่วงไหนดีก็เห็นคนที่นี่บอกว่าช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็เกร๋ไม่หยอกนะฮะ

และมาถึงที่นี่ทั้งที ต้องได้มาเทสต์ขนมดี๊ดีย์อย่าง “นังโกะดังโงะ” ขนมดังโงะนุ่มนุ่มราดหน้าชุ่มด้วยซอสรสชาติเปรี้ยวเปรี้ยวหน่อยและยังมีทั้งหน้าชาเขียว หน้าถั่วแดงทานคู่กับชาเขียวร้อนร้อนรับรองจะติดใจ

จบไปอีกหนึ่งทริปดีดีที่ฟุกุชิมา เมืองที่เรารับรองว่ามาแล้วจะติดใจในความเป็นญี่ปุ่นที่แท้ทรูซึ่งมีวิถีชีวิตอยู่คู่ธรรมชาติทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน ยังคงมีกลิ่นอายความเก่าแก่ที่ผู้คนเขาดูแลรักษาไว้อย่างดี สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจมองญี่ปุ่นในมุมใหม่ใหม่ จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น ก็ขอฝาก ฟุกุชิมะ ไว้ในอ้อมใจด้วยนะจร้า

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก