รีวิวญี่ปุ่น :: Road trip from Sendai to Tokyo in 4 Days

อิรัชชัยมาเสะ….. พูดปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าจะไปไหน ญี่ปุ่นรอบนี้เราจะขอพาทัวร์ให้ทั่วแบบชิล ๆ ฟีลโร้ดทริป โดยเริ่มตั้งแต่ตั้งแต่เซนได จังหวัดมิยางิ (Miyagi) ของภูมิภาคโทโฮกุ เมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสุดอลังการ อาหารสุดฟิน รวมถึงวัฒนธรรมชวนว้าว แล้วลัดเลาะเก็บที่เที่ยวลงมาเรื่อย ๆ จนมาจบแบบฟิน ๆ ว้าว ๆ ที่โตเกียว มาตามดูกันสิว่า ล้อทั้ง 4 เส้นจะหมุนพาไปชมความงามของแดนอาทิตย์อุทัยได้เฮฮาขนาดไหน คาดเข็มขัดไว้ให้ดี เพราะงานนี้บอกบอกได้คำเดียวว่าเปรี้ยวเที่ยวทั่วภาคกลางตลอดระยะเวลา 4 วัน ได้ครบรสทั้งเรื่องกินเที่ยวแบบเกินเบอร์มากเวอร์

เดินทางเที่ยวในญี่ปุ่นแต่ละที เราใช้แต่ รถไฟ-รถบัส เพราะเชื่อว่าสะดวกที่สุด แต่ความจริง … มันมีอีกตัวเลือกหนึ่งที่กำลังนิยมกันคือ การเช่ารถขับ ตัวเลือกชิล ๆ เที่ยวแบบไม่ต้องเครียดเรื่องเวลา ด้วยถนนที่ดีทั่วประเทศทั้งตัวเมืองและชนบท ทำให้มีหลายเส้นทางในญี่ปุ่นเหมาะสำหรับเช่ารถขับเที่ยว อย่างเส้นทางเซนไดสู่โตเกียวที่เราหยิบยกมาเล่าในครั้งนี้ก็สามารถเที่ยวแบบยิงยาวไม่มีสะดุด แค่โยนกระเป๋าขึ้นรถแล้วเลาะเที่ยวไปเรื่อย บอกเลยว่าภาพทิวเขาระหว่างเมืองบนทางด่วนเนี่ย มันสวยมาก บางจุดพักรถก็มีจุดชมวิวแกรนด์ ๆ ให้เราดูด้วย ที่สำคัญในต่างจังหวัด สถานที่ท่องเที่ยวและที่พักบางที่ต้องใช้รถส่วนตัว หรือแท็กซี่ถึงจะเข้าถึง เพราะฉะนั้น วิธีนี้แหละสะดวกที่สุดสำหรับทริปนี้  อ่อ.. อย่าลืมเลือกบริษัทรถเช่าที่มีหลายสาขา สามารถคืนรถต่างเมืองได้ด้วยนะ

ถ้าใครกลัวว่าจะต้องขับรถไป-กลับยาว ๆ จะเหนื่อยก็ไม่ต้องกลัว เพราะเดือนตุลาคมนี้การบินไทยเขากำลังจะเปิดเส้นทางใหม่ จากไทยบินตรงสู่เซนได ซึ่งเป็นเส้นทางที่ส่งเสริมการขับรถเที่ยวไปเรื่อยของเรามาก ไม่ต้องไปตั้งต้นที่โตเกียวอีกต่อไปโดยเส้นทางกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ)-เซนได จะบินเฉพาะวันอังคาร, พฤหัสบดี และอาทิตย์ ซึ่งช่วงเวลาดีงามมากคือบินดึกถึงตอนเช้า เที่ยวต่อได้เลย ส่วนเที่ยวบินขากลับเซนได-กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) ก็จะกลับถึงไทยตอนเย็น ๆ มีบินเฉพาะวันจันทร์ พุธ และศุกร์ โดยเราเลือกบินลงเซนไดตั้งแต่เช้า ส่วนขากลับบินจากโตเกียวเลยก็ประหยัดเวลาดี หรือจะบินลงโตเกียว แล้วกลับจากเซนไดก็ย่อมได้เช่นกัน เส้นทางนี้จะเริ่มบินปีนี้ปีแรกในนช่วงฤดูใบไม้ร่วงพอดี บอกเลยว่าถ้าจองทันต้องฟินแน่นอน เพราะที่เซนไดมีธรรมชาติว้าว ๆ วัดในป่างาม ๆ เพียบ!! ส่วนใครจองไม่ทันก็รอโปรโมชั่นดี ๆ เผื่อฤดูหนาวไว้ได้เลย เพราะกิจกรรมสกีมันส์ ๆ และออนเซ็นกลางหิมะก็รอคุณอยู่เช่นกัน

ขึ้นชื่อว่าการบินไทย สายการบินประจำชาติที่บินทีก็ Feel like home สิ่งอำนวยความสะดวกครบ เช็คอินออนไลน์ได้ ที่นั่งกว้างเอนนอนสบาย อาหารอร่อย แล้วยังมีคนดูแลเราอย่างดีจนได้เป็น 1 ใน 10 สายการบินดีที่สุดในโลก …ในขณะที่โลกดิจิตอลก้าวไกล สายการบินนี้ก็ไม่เคยหยุดพัฒนาอย่าง live on board ในบางเส้นทางให้เราได้ดูรายการสดกันยาว ๆ ไม่พลาดสักแมทช์การแข่งขัน พร้อมจอทัชสกรีนที่ไม่ต้องใช้รีโมท ถ้าใช้แล้วเมื่อยต้องยกแขนไปจิ้มก็เปลี่ยนมาจิ้มมือถือได้ แค่เพียงโหลด TG Xperience Application ที่สามารถทำหน้าที่เป็นรีโมท บังคับทิศทางหน้าจอ เปลี่ยนรายการได้เพียงแค่ปลายนิ้ว

Day 1

ศาลเจ้าโกโคขุ (Gokoku shrine)

เพื่อการเริ่มต้นที่ดีในการขับรถท่องเที่ยว เพื่อความโชคดีไปไหนไม่พัง ไม่ผิด ไม่หลงก็ต้องเล่นของกันหน่อย เราต้ังใจมาไหว้ขอพรที่ ศาลเจ้าโกโคขุ ศาลเจ้าสีแดงสดใสที่มีสถาปัตยกรรมแบบ Karahafu หน้าจั่วที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชินโต อยู่คู่เมืองเซนไดมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามชื่อ Gokoku ที่แปลว่า “ปกป้องประเทศ” ที่นี่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่ผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมือง แสดงเจตจำนงให้มีความสุขสงบตลอดไป ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ยังดูใหม่เอี่ยมอยู่ เป็นเพราะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองเซนไดถูกระเบิดจากอเมริกาจนทุกอย่างถูกทำลายไปจนหมด และเพื่อเก็บรักษาประวัติศาตร์ของประเทศเอาไว้ ทางการญี่ปุ่นจึงสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นใหม่ให้คล้ายเดิมมากที่สุด

ปราสาทเซนได (Sendai Castle)

ใกล้ ๆ กัน เราจะพบ ปราสาทเซนได หรือ ปราสาทอาโอบะ (Aoba Castle) ปราสาทที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันเมืองเมื่อปี 1600 โดยขุนนางศักดินาดาเตะ มาสะมุเนะ (Date Masamune) ผู้ปกครองเมืองเซนไดคนแรก ขณะที่เวลาล่วงเลยมา มีการต่อต้านมากมายทำให้บางส่วนของปราสาทถูกเผาไป แต่ตัวปราสาทก็ยังอยู่ได้อย่างมั่นคง จนมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งตัวปราสาทและบริเวณโดยรอบถูกระเบิดพังทำลายอย่างย่อยยับ เหลือเพียงซากหินของกำแพงเมืองที่เราเห็นนี่แหละ และทางการญี่ปุ่นได้สร้างอนุสาวรีย์ของท่านดาเตะ ในท่วงท่าขี่ม้า ชูดาบ งามสง่าดั่งนับรบเอาไว้ที่บริเวณนี้

ปราสาทเซนไดแห่งนี้สร้างบนภูเขาอาโอบะ สูงจากเมือง 100 เมตร สร้างบนหน้าผาเพื่อใช้เป็นปราการธรรมชาติ บวกกับมีแม่น้ำฮิโรเสะเป็นอุปสรรคสำหรับศัตรูที่จะมาบุกรุก ด้วยจุดยุทธศาสตร์ที่สร้างเพื่อสู้รบในวันนั้น กลายเป็นจุดชมวิวสุดแกรนด์ในทุกวันนี้ เราสามารถมองเห็นเซนไดได้แบบพาโนราม่า เห็นทั้งตึกน้อยใหญ่สมัยใหม่ และธรรมชาติเขียวชอุ่มแทรกร่วมกันอย่างลงตัว แกเห็นเจ้าแม่กวนอิมองค์โตตรงนั้นมั้ย? นั่นเป็นเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่สุดในญี่ปุ่น และเป็นอีกจุดหมายของเราในทริปนี้เหมือนกันนะ

นอกจากศาลเจ้า อนุสาวรีย์ และจุดชมวิวแล้ว บนนี้ยังมีร้านค้า ร้านขายของฝาก และร้านอาหารเช่นกัน เหยื่อการตลาดอย่างเรา เวลาเจอซิกเนเจอร์ของเมืองก็ต้องกำเงินแล้วเดินเข้าไปทันที จุดขายของฝากด้านหน้าจะมีร้านชื่อ “ซุนตะโมจิ” (Zunda Mochi) อยู่ สังเกตง่าย ๆ คือมีแก้วน้ำสีขาวแก้วโตอยู่ด้านหน้าแบบนี้แหละ.. ซุนดะ คือขนมพื้นเมืองของเซนได ประกอบด้วยถั่วแระบดละเอียดผสมด้วยเกลือ-น้ำตาลเล็กน้อย ที่สามารถเอามาทำขนมรูปแบบต่าง ๆ ได้ทั้งแบบ Moji, Ohagi, rollcake ฯลฯ แต่ถ้าใครไม่ชอบความหนึบของโมจิ ก็มีอีกเมนูที่เราแนะนำคือ “สมูทตี้ซุนดะ” (Zunda Saryo Shake) ซุนดะปั่นที่ได้ มีความนมและเท็กเจอร์ของถั่วให้เคี้ยวเล่นสนุก ๆ หวานเย็นชื่นใจ แถมอิ่มท้องด้วย

Masatora Restaurant

ขนมพื้นเมืองไปแล้ว.. มาที่อาหารกันบ้าง ถ้าพูดถึงเซนได คนญี่ปุ่นต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “ลิ้นวัว!!” ที่นี่มีลิ้นวัว (Gyutan) ที่ดีที่สุด เป็นของขึ้นชื่อเลยทีเดียว ในเซนไดมีให้เลือกหลายร้าน หรือจะซื้อเป็นเบนโตะตามสถานีรถไฟก็ยังได้ แต่มากับเราก็ต้องแกรนด์หน่อย ขอพามาเช็คอินกินอิ่มที่ “ร้าน Masatora” ซึ่งบรรยากาศไม่เหมือนร้านปิ้งย่างทั่วไป มันมีความหรูหรากึ่งตะวันตกด้วยแชนเดอเลียร์แสงส้ม ไม้โทนเข้ม และเบาะหนังบุสีไวน์แดง ที่สามารถมากับเพื่อนหรือจะมาเดทกับแฟนก็ได้ทุกฟีล ส่วนเมนูร้านนี้คัดสรรวัตถุดิบอย่างดี เนื้อวัวก็ต้องเป็นเนื้อ Hidakami ที่ผลิตในท้องถิ่นเท่านั้น คุณภาพคับแน่นจานจนจุกอกแน่นอน.. กระซิบบอกก่อนว่าใครจะมาต้องจองก่อนนะจ๊ะ เพราะร้านนี้เป็นร้านท๊อป ๆ สำหรับ Beef lover ทั้งคนญี่ปุ่นและต่างชาติเลยแก

และแน่นอนสิ่งที่เราสั่งมาก็ต้องเป็นเนื้อวัวกับลิ้นวัวนี่แหละ มันทั้งนุ่มทั้งหอม ไร้กลิ่นสาบจนเรารู้เลยว่า นี่เป็นเนื้อจากวัวที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน ชั้นไขมันบนชิ้นเนื้อเป็นลายสวยงามจนแทบละสายตาไม่ได้ และลิ้นวัวที่หั่นเป็นชิ้น ๆ คำโต ๆ นี่ก็ทำให้เราพริ้มจนไม่อยากหยุดเคี้ยว ด้วยเท็กเจอร์ความหนึบ ๆ กรึบ ๆ ไร้ซึ่งความเหนียวนี้คือความดีงาม แต่ถ้าใครไม่ทานเนื้อ ก็สั่งหมู ไก่ และทะเลมาลองให้ก่อน ปรากฏว่า.. อุไมมมมมมมม!! อร่อยจนอุทานเป็นภาษาญี่ปุ่นเลย อาหารทะเลสด เนื้อหมู เนื้อไก่ก็มันเด้งกำลังดี ทานกับผักสลัดตัดเลี่ยน แกล้มเบียร์เพลินไปจนถึงเที่ยงคืน ร้านเกือบปิด สรุปคือมื้อนี้ให้คะแนนล้านเต็มร้อยไปเลยจ้า

Day 2

เกาะมัตสึชิมะ (Matsushima)

จากเมืองสู่ทะเล นี่แหละเสน่ห์เมืองเซนได จากตัวเมืองไม่ถึงชั่วโมง เราสามารถไปเที่ยวเกาะได้แล้วที่ “เกาะมัตสึชิมะ” (Matsushima) 1 ใน 3 สถานที่ท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น การันตีความสวยด้วยรางวัล “อ่าวงดงามที่สุดในโลก” เมื่อปี 2013 รองจากอ่าวของมหาวิหารมงต์ ชาน มิเชล ประเทศฝรั่งเศส และอ่าวซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้ว่าปี 2011 ญี่ปุ่นจะพบกับเหตุการณ์สึนามิ แต่เกาะมัตสึชิมะก็ได้รับผลกระทบน้อยมาก เพราะอ่าวนี้มีเกาะน้อยใหญ่กว่า 260 เกาะ ทำให้เกาะอื่น ๆ ช่วยดูดซับความรุนแรงของคลื่นไปได้มาก นอกจากความสวยของวิวแล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และเป็นแหล่งเลี้ยงหอยนางรมสด ๆ ตัวโต ๆ อีกด้วย

วัดโกไดโด (Godaido)

ด้วยความเก่าแก่ของวัดที่ถูกค้นพบเมื่อค.ศ. 807 ทำให้ที่นี่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเกาะมัตสึชิมะไปโดยปริยาย เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป 5 องค์ โดยรูปปั้นนี้จะนำออกมาให้คนทั่วไปได้ชมทุก ๆ 33 ปี (ครั้งล่าเมื่อปี 2006) ซึ่งท่านดาเตะ มาสะมุเนะได้มาสร้าง บูรณะใหม่เมื่อปี 1604 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมโมยามะ โดยมีการตกแต่งด้านนอกอาคารด้วยไม้แกะสลักเล็ก ๆ รูป 12 นักษัตร มีระเบียงสี่ด้าน การข้ามมาที่ศาลเจ้านี้จะต้องข้ามผ่านสะพานสั้น ๆ 3 ช่วง สองช่วงก่อนถึงศาลเจ้าเรียกว่า “ซึคิบาชิบาชิ” สร้างด้วยไม้ เว้นช่องระหว่างกระดาน ทำให้เรามองเห็นพื้นทะเลด้านล่างได้ เชื่อกันว่าหากคู่รักเดินข้ามสะพานนี้ไป จะสานความรักแนบแน่น สดใสยิ่งขึ้น

ความสนุกที่ทำให้เรารักการเที่ยวศาลเจ้าของญี่ปุ่น นอกจากจะได้รู้ความแตกต่างของแต่ละพื้นที่แล้ว เครื่องรางของขลังที่ออกแบบอย่างน่ารักน่าเก็บสะสม ก็ทำให้เราไม่เบื่อเลย เพราะทุกที่จะมีเครื่องรางซิกเนเจอร์ของตัวเอง ไม่ใช่สายมู-สายดำแต่อย่างใด แต่เป็นสายอธิฐานตั้งแต่เรื่องทั่วไป จนไปถึงเรื่องแบ๊ว ๆ เฉพาะกิจ เช่น คลอดปลอดภัย ขอให้สอบผ่าน ขับรถเดินทางดี ๆ เป็นต้น กลายเป็นว่าเราซื้อเครื่องรางญี่ปุ่นเป็นของฝากให้เพื่อนบ่อยกว่าซื้อขนมอีก ยิ่งบางที่ต้องตามล่าหาแสตมป์ หรือตราประทับจากจุดต่าง ๆ ในพื้นที่นั้น ๆ เรายิ่งเพลิน

Matsu

จากที่รู้มาว่าที่นี่เป็นแหล่งเลี้ยงหอยนางรม มีหรือจะพลาดการได้ลิ้มลองหอยสด ๆ สักมื้อ ที่ “ร้าน Matsu” มีให้เลือกทานทั้งแบบเป็นจาน ๆ และแบบไม่อั้น ด้วยความหิวจนตาลาย และอยากเอาใจสายหอยได้ดูเมนูกันแบบจุก ๆ เราเลือกจ่าย 2,000 เยน สำหรับกินหอยตลอด 40 นาทีนั่นแหละฮะ.. โดยใน 1 วัน ร้านนี้สามารถขายหอยได้ถึง 400 กิโลกรัม ปริมาณการันตีความอร่อยที่บอกเลยว่า ถ้ามาแล้วไม่กิน ถือว่าชีวิตนี้พลาดอย่างแรง

ถ้าถามว่าคุ้มมั้ย ตอบได้เลยว่ามากกกก เพราะในราคานี้ นอกจากได้หอยเน้น ๆ ไม่อั้นกับการปรุงในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนึ่ง ย่าง ทอดแล้ว ยังสามารถสั่งเซตอาหารเพิ่มอีกเพียง 1,240 เยนก็จะได้เครื่องเคียงอย่างข้าว ซุปหัวหอม ผัก และน้ำจิ้มมาตัดเลี่ยนด้วย รสชาติอยากจะบอกว่าสดจนลืมน้ำจิ้มซีฟู๊ด สดจนน้ำมันหวานมีกลิ่นน้ำทะเลออกมาคละเคล้าจนไม่ต้องแต่งเติมรสอะไรอีก อร่อยกินเพลินจนลืมกังวลเรื่องคอเลสเตอรอลไปเลย กินเสร็จได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า.. พรุ่งนี้ค่อยลด เพราะมันหยุดไม่ได้จริง ๆ ปิดท้ายด้วยของหวานจากเซตล้างปากแบบไม่กลัวอ้วนด้วยซุนดะคำเล็ก ๆ แกล้มวิปครีม ไอติมชาเขียว เค้กชิ้นจิ๋ว และผลไม้สดอย่างสองอย่าง

ตลาดปลามัตสึชิมะ (Matsushima sakana ichiba)

ใกล้ ๆ กับร้าน Matsu มีตลาดปลาชื่อว่ตลาดปลามัตสึชิมะ” (Matsushima sakana ichiba) ที่เราสามารถไปเดินเลือกซื้อ หรือเลือกทานอาหารทะเลสด ๆ ที่จับจากทะเลท้องถิ่นได้ ของเด่นของดังของเขา แน่นอนแหละว่าต้องเป็น หอยนางรม สำหรับใครที่ชอบกินแบบชิม ๆ เดินไปซื้อแล้วมานั่งกินแชร์กันก็ได้นะ ส่วนเมนูแนะนำที่อยากให้ลองคือ เบอร์เกอร์หอยนางรมราคาน่ารัก มีขายตั้งแต่หน้าทางเข้าเลยจ้า เห็นแล้วน่าลองมากแต่อิ่มจนหอยจุกขึ้นมาที่ตาแล้ว ต้องขอผ่านไปก่อน นอกจากหอยแล้ว อะนะโกะ (ปลาไหลทะเล) สาหร่ายโนริก็เป็นของขึ้นชื่อเช่นกัน หรือใครหาของฝากเป็นพวกอาหารทะเลอบแห้ง ที่นี่ก็มีขายเช่นกัน เอากลับไปอร่อยกันต่อที่ไทยยังได้

หมู่บ้านอะคิอุ โคเงอิโนะ ซะโตะ (Akiu Traditional Craft Village) 

หมู่บ้านศิลปะหัตถกรรมเปรียบประหนึ่งโรงงานสร้างผลงานทำมือสุดคลาสสิคที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น เกิดจากช่างฝีมือหลาย ๆ คนมารวมตัวกันเพื่อหาพื้นที่ในการสร้างผลงานแบบไม่รบกวนชาวเมือง พวกเขาจึงได้พูดคุยกับทางจังหวัด และขอพื้นที่เพื่อสร้างหมู่บ้านช่างฝีมือของตนเอง ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 9 หลัง เป็นของช่างฝีมือ 9 คนที่มีความถนัดแตกต่างกันไป..​ และงานฝีมือที่ว่า ไม่ใช่งานทั่วไปจ้า จะต้องเป็นงานที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น การประดิษฐ์พิถีพิถัน อนุรักษ์วิถีดั้งเดิมเอาไว้ ช่างบางคนหลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวในญี่ปุ่น คือช่างแกะสลักไม้สไตล์เซนไดเรียกว่า “bogwood artisan” (umoregi saiku) หรือจะเป็นเครื่องชงชาที่แสนประณีต สิ่งทออันสูงค่า ตู้เก็บของแบบเซนได เรียกได้ว่ามีตั้งแต่ของเล่นพื้นบ้านโบราณ ยันเฟอร์นิเจอร์เลยทีเดียว นอกจากจะเป็นแหล่งผลิตแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ฝึกสอนสำหรับคนที่ต้องการสืบทอดศิลปะเหล่านี้ ถ้าหากใครอยากลองทำบ้าง เขาก็มีกิจกรรม workshop ให้นักท่องเที่ยวเช่นกัน แต่ถ้าให้สลักไม้คงจะโหดไป เราเลือกทำแค่ “ตุ๊กตาโคเคชิ” แล้วกัน โคเคชิเป็นตุ๊กตาไม้โบราณที่ชอบเห็นตามร้านของฝากหน้าตาน่ารัก แต่ถ้าเราเอามาวาดเองล่ะ.. จะเป็นยังไง?

ตุ๊กตาโคเคชิ (Kokeshi) คือตุ๊กตาไม้พื้นเมืองที่เมื่อ 300 ปีก่อน เป็นของเล่นสมัยเอโดะ แต่ตอนนี้กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่เราเห็นแล้ว รู้เลยว่ามาจากประเทศญี่ปุ่น ของฝาก never die อยู่มาแล้วทุกยุคสมัย เพราะเราเห็นตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาพ่อแม่ได้ของฝากจากเพื่อน ๆ บางทีก็กลายเป็นของสะสมที่สร้างมูลค่าให้ผู้ถือครองได้เช่นกัน ตุ๊กตาชนิดนี้ถูกริเริ่มจากช่างไม้ในจังหวัดมิยางิแห่งนี้นี่แหละ อุปกรณ์ที่เขาให้เรามา คือไม้ที่เป็นทรงตุ๊กตา 1 อัน พู่กันใหญ่-เล็กไว้ใช้ทา สีดำและสีแดงเพื่อแต่งแต้ม ที่เหลือคือจินตนาการว่าอยากวาดหน้าอะไร แอบกดดันอยู่เล็กน้อยเพราะนี่จะเป็นผลงานที่เราเอากลับบ้าน เป็นความทรงจำสำหรับสถานที่นี้ ก็ต้องทำให้เต็มที่หน่อย โดยทั่วไปเขาจะมีแบบร่างเอาไว้เริ่มคิ้ว ตา จมูก เติมลูกตา ลงดำที่ผม ทาปากสีแดง แล้วแต่งองค์ด้วยการวาดกิโมโนลายโปรด ปัดบรัชออนด้วยสีแดงอ่อนให้ดูเป็นสาวซอฟ จากนั้นส่งให้ร้านเคลือบอีกชั้นเพื่อให้สีติดทน เท่านี้เราก็ได้ของที่ระลึกกลับบ้านแบบมีชิ้นเดียวในโลกแล้ว

วัดไดคันมิตสุจิ (Daikanmitsuji)

ที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่เรามองเห็นจากปราสาทเซนไดนั่นแหละฮะ เพิ่งสร้างเมื่อปี 1991 เพื่อระลึกถึงการพัฒนาของเมือง ด้วยความสูงถึง 100 เมตรทำให้เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เป็นองค์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีความสูงที่สุดในโลก และใหญ่อันดับ 6 ของโลกอีกด้วย ด้านในขององค์เจ้าแม่ก็เปิดให้เยี่ยมชมถึง 13 ชั้น (ค่าเข้า 500 เยน)  มีองค์พระพุทธรูปหลายองค์ให้เราได้ชม และสามารถชมวิวเมืองจากด้านในได้ด้วย เพราะเหตุนี้ ที่นี่จึงกลายเป็นแลนด์มาร์คของเมืองเซนไดไปโดยปริยาย 

 

ถนนคลิสโรด (Clis Road)

หลังจากที่เราเที่ยวเล่นรอบเมืองจนเต็มวัน เราก็ตีรถกลับเข้าเมืองเพื่อมาเดินดูความเจริญกันบ้าง ที่ถนนคลิสโรด (Clis Road) ถนนคนเดินเอาใจสายเปย์ จะเปย์คนอื่นหรือเปย์ตัวเอง ถ้ามาตรงนี้ รับรองเงินลอยออกจากกระเป๋าแน่นอน เพราะเซนไดเป็นเมืองใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ธรรมชาติ วัดวารายล้อมเท่านั้น ย่านคนทำงาน ย่านชอปปิ้งก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันนะ ถนนคลิสโรดนี้เป็นถนนช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุด มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ร้านอาหารทุกรูปแบบ ท้องถิ่น ฟาสต์ฟู้ด คาเฟ่ ศูนย์เกมส์ เสื้อผ้า รองเท้าแบรนด์แฟชั่น จนไปถึงแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์ มีหมด ย่านนี้เปิดตั้งแต่ 9:00 – 22:00 น. ด้วยความยาวหลายช่วงตึกพร้อมห้างสรรพสินค้ามากมาย ใครอินก็แพลนวันเพิ่มอีกสักวันมาเดินได้ตั้งแต่เช้ายันดึกไปเลย

On-yasai Shabu Shabu

นึกขึ้นได้อีกที ตั้งแต่หอยมื้อนั้น เราก็ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย รู้ตัวอีกทีไส้แทบบิดแล้วแกเอ้ย..​ ไม่รอช้ารีบเปิดลิสต์ร้านอาหารที่เลือกไว้ แล้วตรงดิ่งไปทันที ที่ร้าน On-yasai Shabu Shabu ร้านชาบูแบบ all you can eat ราคาเริ่มต้นหัวละ 2,780 เยน พร้อมเมนูให้เลือกสรรกว่า 60 เมนู ซึ่งราคาก็จะต่างกันตามความพรีเมี่ยมของเนื้อ.. นี่ขนาดเลือกราคาถูกสุดยังได้ทั้งเนื้อ หมู ไก่ ผักก็มีให้เลือกเยอะแยะ แต่เราไม่กินอะแหละ เนื้อสไลด์บาง ๆ ที่จุ่มน้ำซุปดาชิกลมกล่อม หอมซึมเข้าเนื้อเพียงไม่กี่วินาทีก็สุกกำลังดีพร้อมจิ้มใข่ดิบไร้คาวอีกสักที ก่อนเอาเข้าปากเพลิน ๆ ทำเวลาได้ถาดละห้านาทีเองมั้ง มันอร่อยมากแก ตีเป็นเงินไทยแปดร้อยกว่าบาทถือว่าคุ้ม ไม่หนีร้านตามห้างในไทยเลย

Day 3

Ginzan Onsen

หมู่บ้านออนเซ็นเล็ก ๆ กลางหุบเขาที่แต่ก่อนเป็นเหมืองแร่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี หลังจากปิดเหมืองไปแล้ว ก็กลายเป็นเมืองออนเซ็นเพียงอย่างเดียว กินซันออนเซ็นมีคุณสมบัติเป็นออนเซ็นกำมะถันใส ไม่มีสี และมีรสเค็มเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยรักษาบาดแผลโดนบาด, บาดแผลไฟไหม้, โรคผิวหนังเรื้อรัง, โรคเรื้อรังยอดฮิตของผู้หญิง และโรคหลอดเลือดแข็ง จึงเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติมาก ๆ แต่การสำรองที่พักเป็นเรื่องยากหน่อย เพราะเขาเต็มแทบตลอดทั้งปี หลายคนมาไม่ได้นอนเหมือนอย่างเรา ก็ไม่เป็นไร เพราะด้วยหมู่บ้านทรงโบราณเหมือนอยู่สมัยเอโดะ มีลำธารไหลเอื่อยผ่านกลางหมู่บ้าน พร้อมสะพานไม้ที่สร้างได้แบบเนียน ๆ ไปกับหมู่บ้าน แค่ได้แวะชม เราว่าก็คุ้มมาก ๆ นอกจากเรียวกัง โรงแรม ออนเซ็นทั้งแบบค้างคืนและรายวันแล้ว ตามบ้านเรือนต่าง ๆ ยังเปิดเป็นร้านคาเฟ่เล็ก ๆ น่ารักมากมาย มีที่แช่เท้าในออนเซ็นสาธารณะเปิดให้แช่ฟรีด้วย เที่ยวแน่น ๆ มาตลอดสองวัน หลังจากนี้ จะเป็นการเที่ยวแบบช้า ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศเหมือนสะกดเวลาให้อยู่กับที่แล้วล่ะ 

เราเริ่มใช้เวลาช้า ๆ เพื่อซึมซับความสงบให้จิตใจด้วยร้านคาเฟ่ที่เราบังเอิญเดินผ่าน ร้านริมธารตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้ และไฟสีส้มอ่อน ๆ ผสมกับแสงธรรมชาติที่ส่องทะลุกระจกเข้ามาทำให้ร้านแคบ ๆ ดูสว่างสะอาดตาขึ้นมาทันที โชคดีวันที่มาไม่ใช่วันหยุด.. จึงมีเพียงเราและบริกรของร้านเท่านั้นที่อยู่ภายในร้าน สามารถนั่งชมบรรยากาศเมืองเล็ก ๆ เงียบ ๆ นี้ได้อย่างเต็มที่ หลังจากที่เราสั่งและนั่งรอกาแฟอย่างใจจดจ่อไปกับธารน้ำด้านนอก.. กลิ่นหอมของการบดกาแฟก็ฟุ้งขึ้นมาเต็มร้าน จนกลายเป็นโมเม้นที่เราจำได้จนถึงวันนี้ ว่าชีวิตที่ได้รับเพียงวิวสวย ๆ ที่เงียบ ๆ อากาศดี ๆ กลิ่นกาแฟหอม ๆ และรสแสนละมุน มันดีแค่ไหน

Shiroishi-umenchaya

ร้านในจังหวัดมิยางิ ระหว่างทางจากหมู่บ้านออนเซ็น สู่จุดหมายต่อไปที่ร้านขายเนื้อย่างเตาถ่าน ราคาจับต้องได้ มีขายทั้งเบนโตะ, lunch set และมื้อดึกแกล้มเบียร์ชิล ๆ จุดเด่นของที่นี่คือใช้เนื้อวัวจากเซนได!! ใช่ค่ะ แม้ออกจากเมืองเซนไดมาแล้ว ถ้ายังไม่หนำใจ เราก็มาซ้ำเนื้อที่นี่กันได้ ขายดีสุดเห็นจะเป็นลิ้นวัวเหมือนกัน ความนุ่มของเนื้อที่นี่เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่นักทานเนื้ออย่างมาก และด้วยราคาที่ย่อมเยาแล้ว เราคิดว่าคงไม่เลวเลยที่จะมีมื้อเที่ยงแบบจัดเต็มที่นี่ เซตราเมงเส้นเหนียวนุ่ม เสิร์ฟมาพร้อมกับชาบูเนื้อหม้อเล็กร้อน ๆ แกล้มกับผักสลัด และเนื้อย่างที่หมักสูตรพิเศษจากทางร้านคนละจาน ก็คงไม่หนักเกินไป แต่บอกได้คำเดียวว่าอร่อยมากกก.. อร่อยจนวางตะเกียบไม่ได้เลยแก ทางร้านจะเปิดเป็นช่วงเวลา 11:00 – 14:30 น. และ 17:00 – 21:30 น. ใครจะมาก็แพลนเวลาดี ๆ ก่อนนะจ๊ะ

หมู่บ้านจิ้งจอก (Kitsune mura)

หมู่บ้านสุดคิ้วท์ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเซนได สิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่มาต้อนรับพวกเราคือเจ้าหมาจิ้งจองขนฟู น่ากอดนี่แหละ ซึ่งช่วงเวลาที่น้อง ๆ จะขนปุยที่สุดคือช่วงฤดูหนาว ก่อนจะร่วงผลัดขนในช่วงฤดูร้อน (กรกฎาคม-สิงหาคม) เพราะฉะนั้น อยากเจอน้องร่างไหนก็เช็คให้ถูกช่วงด้วยนะจ๊ะ แม้ที่นี่จะเป็นสถานที่เลี้ยงหมาจิ้งจอก แต่เขาก็เลี้ยงแบบอิสระทำให้น้อง ๆ ดูไม่เครียด พบเจอคน มาเล่นมาทักทายได้อย่างไม่เหนียมอาย แต่ถึงอย่างไรหมาจิ้งจอกก็เป็นสัตว์ที่ไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้นะจ๊ะ เราสามารถเดินเข้าไปชมใกล้ ๆ ได้ แต่ไม่ควรยื่นมือหรือเข้าไปจับตัวเขาเด้อ.. เพื่อความปลอดภัยของเราเองและตัวน้องด้วย การเดินทางมาที่นี่ ถ้าขับรถมาก็เข้าได้เลย แต่ถ้านั่งรถไฟมา ลงที่สถานี Shiroishi-Zao แล้วต่อบัสที่มีแค่ 2 เที่ยวต่อวันมาลงที่ Shiroishi หรือเรียกแท็กซี่มา 3,000 เยน/เที่ยว ค่าเข้าอีก 1,000 เยน บอกเลย.. เช่ารถขับเนี่ยแหละคุ้มสุด!

สวนผลไม้อัตสึมะ (Azuma Orchard)

หากใครเที่ยวเซนไดจนครบ อยากลองไปเมืองข้าง ๆ บ้าง เรามีที่เที่ยวชื่นชมวิถีชีวิตใกล้ชิดคนญี่ปุ่นและธรรมชาติมาฝาก ที่จังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) ที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าโมโมะหรือลูกพีชของจังหวัดนี้ มันเด็ดขนาดไหน ยิ่งช่วงหน้าร้อน (กรกฎาคม – สิงหาคม) ยิ่งออกผลสวย หอมฉ่ำ สดชื่น เราแวะมาที่สวนผลไม้อัตสึมะ (Azuma Orchard) เพราะเปิดไปเจอว่า เขามี Peach Picking เป็นไฮไลท์ของสวน ในราคา 800 เยนเราสามารถเด็ดลูกพีชทานไม่อั้นถึง 30 นาที เลือกเอง เก็บเอง กินเอง ฟินเอง เคล็ดลับที่ทำให้สวนนี้ยืนหนึ่งเรื่องลูกพีช เป็นเพราะเขาพิถีพิถันเรื่องดินเป็นอย่างมาก อย่างปุ๋ยคอกก็ต้องเป็นปุ๋ยจากการหมักทับถมของใบไม้ บำรุงเลี้ยงดูทั้งกิ่งที่แข็งแรงและไม่แข็งแรงสลับกันไป ด้วยการดูแลอย่างดีทำให้ลูกพีชที่นี่เป็นเมนู must try ของจังหวัด ถ้าใครมาช่วงฤดูอื่น เขาก็มีผลไม้ตามฤดูกาลให้เราเก็บได้เช่นกัน อาทิ แอปเปิ้ล องุ่น เชอร์รี่ เป็นต้น

ซึ่งสายพันธุ์ของลูกพีชที่นี่ก็มีหลากหลายให้เราได้เปรียบเทียบกันให้เห็นจะจะว่าชอบแบบไหน ใครชอบรสสัมผัสแบบแข็งหรือนิ่ม เนื้อฉ่ำน้ำหรือแน่นปั๊ก ก็สามารถเลือกได้ แต่ที่ได้เหมือนกันคือความสด ความกรึบที่เราเด็ดออกมาจากต้นเองกับมือนี่แหละ เราเดินเข้าไปในสวนที่มีต้นพีชขึ้นต่ำ ๆ แต่ลูกเนืองแน่นแบบใช้เวลาทั้งวันก็เก็บไม่หมด สีสวยพาสเทลชมพู เขียวให้ความรู้สึกหวานตั้งแต่ยังไม่ทันได้ชิม และการเด็ดลูกพีชที่ถูกต้อง ควรเด็ดจากข้างล่างตรง ๆ ไม่บิดตัวผล สำหรับมือใหม่ถ้าเด็ดตรง ๆ อาจจะร่วงลงมาทั้งต้นก็ใช้มือนึงจับกิ่งแล้วอีกมือเด็ดออกมาน่าจะถนอมน้องได้ดีที่สุด ถ้าใครคิดว่าเก็บสดมันยังแข็งไป ลองทานแบบที่เก็บมาแล้ว 1 วันจากเต็นท์ภายในสวนแบบน้ันจะนุ่มกำลังดีเลยแก.. สำหรับการเก็บทานสามารถเก็บทานได้เฉพาะในสวน เก็บกลับบ้านไม่ได้นะฮะ

ซูริกามิเทอิ โอโตริ (Iizaka Onsen Surikami Tei Ohtori)

เที่ยวมาตั้งนาน ไม่ได้แช่ออนเซ็นสักที ค่ำคืนนี้เรามานอนในหมู่บ้านเล็ก ๆ Iizaka Onsen จ.ฟุกุชิมะ ที่ ซูริกามิเทอิ โอโตริ (Iizaka Onsen Surikami Tei Ohtori) ที่พักสไตล์เรียวกังระดับ 3 ดาว เลือกนอนแบบสากลบนเตียงนุ่มก็ได้ แต่เราขอนอนบนเสื่อทาทามิแบบฉบับญี่ปุ๊นญี่ปุ่นที่เราแสนชื่นชอบ ไม่รู้ทำไม ฟูกนอนเขาถึงได้นอนสบายนุ่มมุดสนุกได้ขนาดนี้.. สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรมก็มีครบครัน ทั้งห้องน้ำส่วนตัว เรียวกังทั้งแบบ indoor และ outdoor ของใช้ในห้องแบบครบครันทั้งไดร์เป่าผม รองเท้า ชุดยูกาตะ มินิบาร์ ของใช้ในห้องน้ำ ค่ำ ๆ มีคนมาปูฟูกให้นอน เรียกว่าเดินเข้าไปตัวเปล่าก็อยู่ได้เลย ด้วยราคาคืนละไม่ถึง 5,000 บาท/2คน ถือว่าเป็นเรียวกังราคาสุดคุ้มอีกที่หนึ่งเลยทีเดียว

ใครเคยอ่านรีวิวเรา หรือมาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อย ๆ จะรู้ว่าโรงแรมสไตล์นี้จะต้องมีอาหารเย็นเตรียมไว้ให้เราอยู่เสมอ และการเสิร์ฟส่วนใหญ่จะเป็นแบบไคเซกิ การทานแบบ traditional ญี่ปุ่นแท้ๆ ทุกวัตุดิบมาจากของที่คัดสรรมาอย่างดี เริ่มกินอย่างเป็นขั้นตอน ถ้าให้ทานแบบถูกต้อง เราต้องเริ่มจากจานเย็น จานร้อน ตัดด้วยออเดิร์ฟจำพวกปลาดิบ แล้วถึงจะมาที่อาหารจานหลักคือ ของนึ่ง ทอด ย่าง ตามลำดับ.. แต่ด้วยความหิวตามัว เมื่อเขาเสิร์ฟมาเป็นเซต เราก็กินสลับกันไปนั่นแหละ ผลคืออร่อยไม่แพ้กันเลยแก เนื้อสไลด์ที่เอาไปจุ่มกับหม้อร้อนสีครีมเข้มข้นนั้นทำให้ความอุ่นกระจายไปทั่วท้อง รสกลมกล่อมที่คละเคล้ากับผักเครื่องเคียงต่าง ๆ ทำให้เรารู้สึกอิ่มท้อง อิ่มใจ จนหนังตาเริ่มหย่อนพร้อมนอนอย่างเป็นสุขเลย

Day 4

หมู่บ้านโบราณโออุจิ จูคุ (Ouchi-juku)

หมู่บ้านสมัยเอโดะอยู่ทุกที่ทั่วญี่ปุ่น บ่งบอกได้จริง ๆ ว่ายุคนั้นญี่ปุ่นรุ่งเรืองขนาดไหน และหมู่บ้านนี้ก็เป็นอีกที่ที่มีรูปลักษณ์สมัยเอโดะเช่นกัน แต่ด้วยทัศนียภาพและภูมิประเทศที่แตกต่าง ทำให้แต่ละหมู่บ้านมีเสน่ห์แตกต่างกันไป โออุจิ จูคุแห่งนี้เหมือนจะดูรุ่งเรืองกว่าหมู่บ้านเอโดะที่อื่น ๆ นั่นเป็นเพราะ.. สมัยก่อน ตรงนี้เป็นเมืองแวะพักสำหรับพ่อค้า เนื่องจากอยู่ริมถนนชิโมสึเคะ (Shimotsuke) ถนนเส้นหลักสำหรับเดินทางค้าขายระหว่างอาณาจักรไอสึ (Aizu city ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด Fukushima และจังหวัด Niigata) และเมืองอิไมชิ (Imaichi จังหวัด Tochigi) และเส้นทางเป็นไปอย่างยากลำบากไกลถึง 130 กม. ทุกคนจึงต้องแวะพักแรม และหาอาหารจากหมู่บ้านนี้ จนภายหลังมีการเปิดเส้นทางใหม่ ที่นี่ก็เงียบเหงาลงไปตามกาลเวลา เมื่อทางการเห็นถึงความสำคัญ และร่วมมืออนุรักษ์บ้านโบราณหล่านี้ ส่งเสริมให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จึงเริ่มคึกคัก คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักเดินทาง จนเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

อาชีพส่วนใหญ่ของคนพื้นที่ นอกจากทำการเกษตรแล้ว ก็คงจะเป็นการค้าขายที่ขายทั้งของฝากและขนมที่เป็นซิกเนเจอร์ของเมือง ทั้งขนมโบราณ ของเล่นวินเทจสไตล์ญี่ปุ่น เครื่องใช้ที่ทำจากไม้ต่าง ๆ ตลอดทางเดิน 500 เมตรของหมู่บ้าน แต่เขตอนุรักษ์ก็ยังลึกเข้าไปในป่ามากเช่นกันเพื่อรักษาบรรยากาศของสถานที่นี้เอาไว้ การได้เห็นหมู่บ้านในหุบเขา ห้อมล้อมด้วยพืชพรรณธรรมชาติใหญ่โตแบบนี้ อากาศมันสดชื่นมากจริง ๆ นะ มิน่าคนเฒ่าคนแก่ที่นี้ถึงยังแข็งแรง มีกำลังในการทำงานกันอยู่ ก่อนที่เราจะไปทานอาหารประจำถิ่น ตาแสนเฉียบคมของเราปราดไปเห็นไอติมโซบะ.. สายหวานอย่างเราหรือจะพลาด ไม่เคยพลาดสักรสหรอก เดินไปซื้ออย่างไว เอาจริง ๆ คือเนื้อเหมือนซอฟเสิร์ฟทั่วไปแต่มันแปลกที่เป็นรสและกลิ่นโซบะที่ออกหวาน ๆ หน่อยนี่แหละ

กินหวานแล้วต้องกินคาว เอ๊ะ!! ใช่เหรอ? นั่นแหละ ถึงเวลามื้อเที่ยงของเราแล้ว สำหรับเมืองนี้จานเด็ดที่ต้องลอง คงจะหนีไม่พ้น บะหมี่โซบะต้นหอม (Takato Soba) และปลาเทร้าต์ย่าง ที่กินแบบกรรมวิธีญี่ปุ่นโบราณประหนึ่งเราเป็นนักเดินทางสมัยเอโดะ คือใช้ต้นหอมญี่ปุ่นตักเส้นพร้อมซุปขึ้นมาแทนตะเกียบและช้อน อันนี้คือ..วัดสกิลการตักอาหารของเรามาก ๆ  กินไปตะคริวจะกินนิ้วไปด้วย เกร็งแบบสุดกว่าจะได้แต่ละคำ แต่เชื่อเถอะว่ามันเป็นอรรถรสที่หาไม่ได้ที่ไหนแล้ว มาที่รสชาติเส้นโซบะกันบ้าง ..เส้นเหนียวนุ่มกินพร้อมซุปหวานอ่อน ๆ เค็มหน่อย ๆ แต่กลมกล่อมพร้อมกลิ่นหอมที่โชยตีจมูกเพราะโดนความร้อนของซุปนั้น เป็นความผสมผสานที่สร้างความสุขสมให้เราได้ไม่น้อย กินแกล้มกับปลาเทร้าต์ประจำท้องถิ่นย่างเป็นโปรตีนเสริม จากโซบะหน้าตาธรรมดา แต่ถ้ามีพรีเซ้นท์แปลกตาเสริมรสชาติให้ดีขึ้น มันก็กลายเป็นจานโปรดได้เหมือนกันนะ 

Kawagoe

เข้าใกล้โตเกียวขึ้นทุกที ๆ ก่อนจะไปเสพความเจริญ เราขอเที่ยวเมืองเก่าให้อิ่มตาโดยแวะเช็คอินที่ Kawagoe เมืองโบราณสมัยเอโดะ ที่ได้ชื่อว่าเป็น Little Edo ที่อยู่ใกล้โตเกียวมากที่สุด มีความเก่าแก่ถึง 500 ปี มีหน้าที่ส่งเสบียงไปให้เมืองหลวงนั่นก็คือโตเกียวนั่นแหละ ในยุคนั้นเมืองคาวาโกเอะเป็นเมืองที่สำคัญมาก สังเกตได้จากมีการสร้างปราสาท Kawagoe Castle ไว้เพื่อรองรับท่านโชกุน จนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โตเกียว ศูนย์กลางของประเทศสมัยเอโดะกลายเป็นเป้าหมายหลักของฝ่ายตรงข้าม ทำให้มีทั้งระเบิด ไฟไหม้ และแผ่นดินไหวจนบ้านช่องสมัยเอโดะไม่หลงเหลือให้เก็บรักษา แต่คาวาโกเอะกลับได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย จึงได้รับการดูแลสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในพื้นที่นี้มีทั้งร้านค้า พิพิธภัณฑ์ อาคารทางประวัติศาสตร์ วัด ศาลเจ้ามากมายให้เราได้เข้าไปเยี่ยมชม แต่สิ่งที่มาแล้วห้ามพลาดคือ ขนมท้องถิ่นต่าง ๆ ที่มีให้เราชิมตลอดทาง เพราะฉะนั้นจะมาที่นี่ก็ล้างท้องรอได้เลยนะจ๊ะ อย่าเพิ่งกินอะไรมาเด้อ.. 

เพราะเมื่อก่อน คาวาโกเอะเป็นที่ส่งเสบียงให้กับเมืองหลวง ดังนั้นความหลากหลายทางของกินจึงค่อนข้างเยอะมาก โดยเฉพาะขนมที่ถึงขนาดมี Candy alley (Kashiya Yokocho) ย่านขายขนมที่มีขนมประจำเมือง ลูกอม เซมเบ้ ขายตลอดทาง 80 เมตร ราคาก็เริ่มต้นที่ 50 เยนเท่านั้น เหมาะสำหรับซื้อชิม และเอากลับไปเป็นของฝากมาก แล้วยังมีร้านโดรายากิอร่อย ๆ แป้งโมจิถั่วแดงที่นึ่งสด ๆ ขายแบบร้อน ๆ ให้เราได้กินก็ฟินมาก ตามร้านขายของฝากก็มี craft เยอะแยะทั้งตะเกียบ เครื่องแก้ว ผ้าเช็ดหน้าลายญี่ปุ่น หรือของเล่นจุกจิกเอาใจเด็ก ๆ  ศาลเจ้าไหว้ขอพรก็เยอะ สถาปัตยกรรมแบบเก่าทั้งญี่ปุ่นและยุโรปก็มาก ร้านคาเฟ่สวย ๆ ก็มี อยากชอปปิ้ง.. เดินออกไปทางรถไฟก็เป็นถนนคนเดินเส้นยาว เอาเป็นว่า มาตรงนี้แล้วแยกตัวกันเดินก็ตอบโจทย์ได้ทุกความชอบเลย.

ส่วนเรามิตรรักซอฟเสิร์ฟขอสอย มิกซ์ซอฟต์ครีมของร้านคาโชอุมง (Kashou Umon) มาชิมแท่งเดียวกินได้สองรส แถมหัวใจมุ้งมิ้งข้างบนด้วย ร้านนี้มีจุดเด่นที่ทำเมนูของหวานจากมันหวาน ซึ่งมีซอฟครีมมันหวานเพียงที่เดียวในเมืองนี้เท่านั้น ด้วยส่วนผสมของนมวัวชั้นดีจากฮอกไกโด มันม่วง และมันหวานทำให้มีความหนืดนุ่ม และหอมมันในเวลาเดียวกัน กลิ่นมันและกลิ่นนมเข้ากันได้ดี ความหวานที่ได้ก็เป็นไปตามธรรมชาติของวัตถุดิบด้วย เพราะฉะนั้น หวานละมุนไม่แสบคอแน่นอน

มาถึงนี่ ก่อนกลับก็ต้องมาดูสัญลักษณ์ของที่นี่กันหน่อย นั่นก็คือหอนาฬิกาที่ใช้บอกเวลามากว่า 350 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันหอนาฬิกานี้ยังตีบอกเวลาอยู่เช่นเดิม บอกเวลาวันละ 4 ครั้ง ทุก ๆ 6:00, 12:00, 15:00 และ 18:00 น. เสียงระฆังเก่าที่เราได้ยินนั้นทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในยุคเอโดะจริง ๆ และด้านหน้าจะมีบริการรถลากที่เราสามารถจ้างเพื่อให้เขาพาเที่ยวรอบ ๆ เมืองเก่าได้ด้วย เพราะรอบ ๆ ยังมีตึกเก่าแปลกตาให้เราได้สังเกตอยู่เรื่อย ๆ ทำให้เราใช้เวลาครึ่งวันหมด และอิ่มหนำไปกับที่นี่ ถือเป็นการอำลาการเที่ยวโรดทริปก่อนเข้าเมืองใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แม้จะเป็นเส้นทางที่ยาวไกลจากเซนไดสู่เมืองหลวงโตเกียว เรากลับไม่รู้สึกทรมานกับการเดินทางหรือการนั่งรถเลย เพราะทุกที่ที่ไป ทุกจุดที่แวะ เรามองเห็นความประทับใจตั้งแต่จุดเล็ก ๆ จนไปถึงจุดใหญ่ การเดินทางที่สะดวกทั้งรถไฟ หรือขับรถเที่ยว มีที่จอดรถรองรับแทบทุกสถานที่ จุดแวะพักก็เป็นระบบ ระเบียบ ร้านค้าครบครัน จนมาถึงเรื่องคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวิถีชีวิต สังเกตได้ว่าทริปนี้ เราเจออะไรที่เกี่ยวกับความโบราณเยอะมาก ทั้ง ๆ ที่อยู่ในประเทศแสนเฟื่องฟูเรื่องความเจริญ และเทคโนโลยีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก การพยายามผลักดันของเก่าเก็บจนทั่วโลกเห็นคุณค่า นี่แหล่ะเป็นหนึ่งในร้อยเหตุผลที่ทำให้เรามาแล้วอยากมาอีก มาปีละสองครั้ง สามครั้ง ยังไม่เบื่อ.. เที่ยวที่เดิม ๆ จนคนอื่นคิดว่าซ้ำ ก็ไม่ช้ำตาสำหรับเรานะ อย่างรูทนี้ เราเคยมาฟุกุชิมะหลายครั้ง คาวาโกเอะร้อยรอบ เราก็ยังเดินได้ไม่เบื่อ.. ลองมาสักครั้งสิ แล้วแกจะรู้ว่าเรารู้สึกยังไง