ญี่ปุ่นอีกแล้ว แล้วเบื่อไหม?

ถ้าถามเราก็คงตอบว่าไม่ เพราะไปกี่ครั้ง ไปกี่ที ไปกี่ที่ ญี่ปุ่นก็จะมีอะไรเด็ด ๆ ให้เราเสร็จในความฟินทุกครั้งไป และครั้งนี้ เราช่างโชคดีเสียนี่กระไรที่ได้พบพานกับฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสีฤดูกาลท่องเที่ยวที่หลาย ๆ คน อยากมายลด้วยตาของตนสุด ๆ กับหมู่บ้านจิ้งจอกแดงขี้อ้อน ตะลอนหมู่บนชิราคาวาโกะเกร๋ ๆ เดินเทรกิ้งเท่ ๆ ที่คามิโคจิ  พร้อมเรียนรู้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ในแดนดินอาทิตย์อุทัยที่กลับมาแล้วสามารถโม้ให้คนอื่นอิจฉาได้ยาว ๆ เลยจร้า

เอาล่ะ ๆ เตรียมตัวให้ดี แล้วบินตาม จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น ไปด้วยกันเลย !!!!

Day 1 : Bangkok – Tokyo – Takayama

  • Flight

สำหรับสายการบินในทริปนี้ เราขอคอนเฟิร์มว่า Fly Scoot มัน Good จริง ๆ กับการบินตรงส่งเราจากกรุงเทพฯ ด้วยไฟลท์ TR292 ที่ลอยล่องจากสนามบินดอนเมืองเวลา 00:45 มาถึงสนามบินนาริตะเวลา 08:00 ถูกคอคนนอนยาว ๆ แล้วถึงจุดหมายในช่วงเช้าให้เราก้าวขาลากสัมภาระไปป๊ะกับที่พักหลับนอนแล้วตะลอนเที่ยวอย่างทันทีแบบไม่มีช่วงสะดุดเลย

อีกหนึ่งอรรถรสที่สำคัญระหว่างบินก็คือการได้กินอาหารอร่อย ๆ ซึ่ง Fly Scoot ก็เจ๋งใช่ย่อยเพราะสามารถ Choose อาหารที่ใช่ รสชาติที่ชอบ จากเมนูออนไลน์ใน สกู๊ตคาเฟ่ ซึ่งมีตัวเลือกเพียบแต่ทีเด็ดที่เราทานประจำต้องยกให้ ข้าวมันไก่ไหหลำจานเด็ด ที่เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มอร่อยเด็ดสุด ๆ พอทานอิ่มก็งีบแบบสงบฝุด ๆ ใน ScootinSilence หรือโซนงดใช้เสียง อันนี้ขอแนะนำให้จ่ายเพิ่มอีกนิด เพื่ออัพเกรดชีวิตให้หลับฟินฟินสบาย

ลุยทริปต่างประเทศปัง ๆ ต้องมั่นใจทุกครั้งว่าปลอดภัย เราเลยเลือกเพื่อนคู่ใจเป็นประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ Travel Easy กับ MSIG บริษัทดี๊ดีย์ที่การันตีความน่าเชื่อถือ เชื่อมือในการดูแล และแน่นอนว่านางต้องมาพร้อมกับความคุ้มครองที่หลากหลายให้เราเลือกได้ตามความสะดวกใจในราคาเริ่มต้นเพียง 190 บาทเท่านั้น รับประกันความคุ้มครองทั้งต่อร่างกายที่ไม่ว่าจะเป็นประกันอุบัติเหตุ จ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริงขณะป่วยต่างบ้านต่างเมืองจนต่อเนื่องกลับเมืองไทย แถมยังมีเงินให้ระหว่างพักรักษาตัว หรือถ้ากลัวเอกสารสำคัญ Notebook เสียหาย MSIG ก็มีตัวเลือกการดูแลให้เรา และถ้าเข้าคราวโชคร้ายต้องย้ายวันเดินทางทั้งเพิ่มหรือลดแบบด่วน ๆ บริษัทนี้ก็มีตัวเลือกที่ควรชวนเพื่อน ๆ มาทำไว้ให้อุ่นใจไว้ก่อนนะฮะ อีกอย่างสำหรับที่คิดว่าแฟร์สำหรับประกันเจ้านี้ คือ การสมัครเพื่อไปยื่นขอวีซ่าในบางประเทศถ้าเกิดเหตุบางอย่างวีซ่าไม่ผ่าน MSIG  นางคืนเงินเต็มจำนวนนะเหวย

ในส่วนของการซื้อประกันภัยการเดินทางนั้น เพียงกดเข้าไปที่ www.msig-thai.com  กรอกข้อมูลง่ายๆแค่ 4 ขั้นตอน แล้วก็รอรับกรมธรรม์ออนไลน์ได้ทันที สะดวกรวดเร็วมาก ซึ่งทริปตะลุยญี่ปุ่นรอบนี้เราซื้อแบบรายเที่ยวเลือกแผน Easy 2 เพราะจะมีความคุ้มครองเพิ่มเติมในส่วนของ ความสูญเสียหรือความเสียหายของเงินส่วนตัว และความสูญเสียหรือความเสียหายของเอกสารการเดินทาง เนื่องจากต้องเดินทางไปหลายที่ แต่จริงๆแล้ว ซื้อแผน Easy 3 ก็คุ้มครองเกือบหมดทุกข้อแล้ว แต่เพื่อความชัวร์เรายอมซื้อแผนสูงๆไว้ดีกว่า  แต่ถึงยังไงถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินอะไร เค้าก็มี MSIG Assist คอยให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมงทั่วโลกอีกด้วย

เอฟวายไอ.สำหรับใครมีแพลนจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศช่วงปลายปีนี้ พลาดไม่ได้เพราะแค่กดซื้อประกันการเดินทางกับ Msig ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2560 ก็มีสิทธิ์ได้ลุ้นรับรางวัลแพ็คเกจทัวร์ญี่ปุ่น 5 วัน 3 คือ สำหรับ 2 ท่าน และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย ดูเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ทั้งการเดินทางในญี่ปุ่น และการผ่าน ตม. ข้ามไปละกันเพราะเมนชั่นไว้ในหลายรีวิวแล้ว เราขอเปิด วาร์ป JR จากสนามบินนาริตะมุ่งหน้าสู่ Takayama กันเลย ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง โดยเราจะผ่านทั้ง Tokyo, Nagoya ก่อนจะมาถึง Takayama ซึ่งจริง ๆ จะมีเส้นอื่นให้เลือกเช่นกัน โดยแกรสามารถเช็คเส้นทางรอบรถไฟกันได้ ที่นี่ นะฮะ พอได้ตั๋วเรียบร้อยก็ลากกระเป๋าขึ้นชินคันเซ็นมุ่งหน้าสู่สถานีปลายทาง ไม่มีขาดไม่มีเกินตามเวลาเป๊ะ ๆ เราถึง Takayama ตอนประมาณ 6 โมงเย็น ด้วยการเดินทางที่ยาวนาน ร่างกายของเราก็พาลจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าวันนี้เลยขอตัวลาไปเช็คอิน หาของกินฟิน ๆ และเข้าโรงแรมพักผ่อนหลับนอนเตรียมลุยวันต่อไป

โอยาซึมิ คิโมจี๋ที่คืนแรกก่อนนะฮะ…บร้าย

Day 2 : One day trip in Shirakawa-go

อรุณสวัสดิ์ทุกคนน ในวันที่สองนั้นเราจะไปเที่ยวกันที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะตั้งแต่เช้า เลยต้องรีบก้าวออกจากฝันกันเร็วหน่อย เพื่อรีบไปจองคิวรถที่สถานี Takayama Nohi Bus Center โดยรถรอบแรกจะมีตั้งแต่เวลา 07:50 จนถึงประมาณ 19:00 ฮะ ปกติจะมีแบบจองล่วงหน้าซึ่งสามารถซื้อก่อนวันเดินทางได้ที่สถานีรถบัสเลย แต่ด้วยความที่เรามาถึงค่ำตั๋วแบบจองที่นั่งรอบเวลาที่ดีที่สุดจึงเต็ม เหลือแค่ตั๋วแบบไม่รับจองล่วงหน้าสำหรับรอบเวลา 8:50 น. ใครมาก่อนก็ได้นั่ง ใครมาช้าก็รอรอบถัดไป ถ้าให้แนะนำจองล่วงหน้าดีสุดเพราะเผื่อวันไหนที่นักท่องเที่ยวเยอะ ๆ เราจะได้ไม่ต้องไปรอนานนั่นเองจร้า

เราออกเดินทางจาก Takayama Nohi Bus Center รอบ 08:50 ผ่านวิวทิวทัศน์ที่จัดว่าแหล่มแกล้มด้วยเสียงเพลง Easy Listening สร้างฟีลมุ้งมิ้ง ๆ เป็น Quality Moment ที่แท้จริง ทำเราเอาหลังพิงกับเบาะ สายตาลัดเลาะไปตามธรรมชาติของเมืองนี้ที่แสนดีต่อใจ ก่อนจะไปถึงหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ณ เวลา 09:40 นะเออ ชิราคาวาโกะเป็นหมู่บ้านชาวนาเก่าแก่แต่ก็เป็นหนึ่งในมรดกของโลก กว่า 200 ปีที่สถานที่แห่งนี้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแบบดั้งเดิมกับสถาปัตยกรรมของการออกแบบบ้านของชาวนาที่เรียกว่า gasshō-zukuri (合掌造) ซึ่งมีหลังคาแบบแนวเอียงลาด (คล้าย ๆ คนพนมมือ) เพื่อไล่หิมะให้หล่นจากหลังคาลงสู่พื้นซึ่งทำให้เราเห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของพี่ยุ่นที่สืบทอดจากรุ่นต่อรุ่นถึงปัจจุบันจริง ๆ

นี่เป็นการมาเยือนหมู่บ้านชิราคาวาโกะครั้งที่สอง แต่ลองมาเยี่ยมเยือนในเดือนที่ต่าง ในฤดูที่เปลี่ยนก็จะได้ทัศนียภาพที่หมุนเวียนไม่ซ้ำกัน จากฤดูหนาวที่หิมะขาวปกคลุมหมู่บ้านต้นไม้ไร้ใบดอกผลิบานจนเป็นหมู่บ้านที่ดูหงอยเหงา แต่ครั้งนี้เราได้ชื่นชมวิวภาพสีแดงเหลืองส้มผสมเขียว พลางเดินเคี้ยวคดลดเลี้ยงไปตามคันนาที่โอบล้อมด้วยภูผาใหญ่ให้บรรยากาศอบอุ่นในใจอย่างประหลาด ในความสวยงามก็ปนมากับโชคร้ายหน่อย ๆ ตรงที่เราไปหลังพายุเข้าได้ 2 วัน เลยทำให้ระหว่างเยี่ยมชมมีสายฝนโปรยปรายหยุด ๆ ตก ๆ ตลอดทั้งวัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสในการเที่ยวลดลง แถมยังเที่ยวได้อุ่นใจเสมอกับประกันภัย MSIG ที่ถ้าเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือลื่นล้มลงไปท่ามกลางสายฝนก็ไม่ต้องกังวลเพราะมั่นใจในค่ารักษาพยาบาลและการดูแลได้เลย บางทีการยอมเสียน้อยในการทำประกันภัยการเดินทางก็ดีกว่าเสียมากถ้าต้องกลับมารักษาตัวเองนะแกร๊

เราเดินไป เดินมา ลั๊ลลากันบนถนนเส้นหลักในหมู่บ้านชิราคาวาโกะที่เต็มไปด้วย Outlet มากมายให้ลายตา ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ รวมถึงหลาย ๆ ทำเลก็มีเกสต์เฮ้าส์ให้สำหรับคนที่อยากเข้าพักที่นี่ ซี่งถ้านับรวมร้านทั้งหมดนั้นก็น่าจจะประมาณ 80 กว่าร้านเลยนะ นอกจากนั้นความน่ารักของหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือพื้นที่หลาย ๆ ส่วนนั้นยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของชาวนาจริง ๆ ด้วยเหตุนี้เราก็ควรเคารพในความเป็นส่วนตัว อย่ามัวแต่ห่วงภาพสวย ๆ จนเผลอไปรบกวนเขาเข้านะเออ

ด้วยความที่ฝนยังตกตกหยุดหยุดแบบต่อเนื่อง บางครั้งอาจเผลอสะดุดทำ Passport หรือเอกสารสำคัญเปียกจนพัง ซึ่งเป็นส่ิงที่เกิดได้ยากแต่ก็ใช่จะไม่มีโอกาส และหากถ้ามันเกิดขึ้นจริงก็ไม่เป็นอะไร เพราะอย่างที่เราบอกไว้ว่าการทำประกันภัยกับ MSIG ความดูแลของยังครอบคลุมเรื่องค่าชดเชยความเสียหายของเอกสารด้วยนะเหวย ฝนปรอยปรอยลมอากาศหนาวเกือบ 0 องศา เรายังคงเดินอ้อยอิง ไม่เร่งรีบ สังเกตสิ่งของที่เขาเอาตั้งไว้หน้าบ้าน ข้างบ้าน หรือหลังบ้าน อาทิ จักรยาน บัวรดน้ำ บันไดลิงและอีกหลาย ๆ สิ่งที่สะท้อนถึงวิถีชิวิตติดความมินิมอลซื้อของเข้าบ้านเท่าที่จำเป็น ไม่เน้นของฟุ่มเฟือยมาเก็บให้รกรุงรัง

อีกหนึ่งกิมมิคของที่นี้ก็คือบ้านเรือนบางหลัง เขาเปิดให้เข้าไปชื่นชมข้าวของเครื่องใช้ข้างในที่จัดแสดงไว้ให้นักท่องเที่ยวไปดูเข้าไปเรียนรู้ถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน นอกเหนือจากนั้นยังได้เก็บตกพวกงานศิลปะที่จะแทรกอยู่ตามรูปภาพบนฝาผนัง หมอนรองนั่ง และภาพเขียนที่ตั้งแสดงไว้ซึ่งงดงามได้ใจในแบบฉบับคนญี่ปุ่นเลยฮะ ราคาค่าเข้าชมบ้านแต่ละหลังจะอยู่ที่ 300 เยน

หลังจากเดินเที่ยวหมู่บ้านกันจนชินเหลืออีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ต้องไปนั่นก็คือจุดชมวิว แต่ด้วยเวลาก็ปาเข้าไปบ่ายสองคงต้องคลายหิวกันสักหน่อยกับ Irori ร้านอาหารสุดฮอตซึ่งคนแน่นตล๊อดตลอดด้วยความป๊อบของนาง และเมื่อถึงคิว (หลังจากต่อแถวนานมาก) เข้าข้างในก็จะรับรู้ถึงบรรยากาศความเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นซึ่งถ้าโชคดีก็จะได้นั่งบนเสื่อทาทามิเป็นบุญก้นด้วย (แต่เราไม่ได้นั่งไง ฮ่า) ทางร้านมีเมนูให้เลือกหลากหลายแต่อยากฟินแบบที่เรากิน กูดูรูปแล้วจิ้มเราเทียบเมนูเค้าแล้วจิ้มสั่งว่า Lunch Set ได้เลยฮะ จะมีปลาทอด ยำสาหร่าย เต้าหู้ ซุปโซบะร้อนแล้วก็หม้อไฟไข่กับปลาย่างซึ่งอร่อยจนพุงกางกันทุกคน

เติมพลังกันเรียบร้อยก็ได้เวลาขึ้นดอยไปจุดชมวิวของหมู่บ้าน ที่ต้องผ่านเส้นทางที่ค่อนข้างชัน แต่ด้วยอากาศเย็น ๆ เอ็นจอยกับธรรมชาติสองฝั่งถนน กับต้นไม้ใบหญ้าไล่ระดับสายตาไปหาภูเขาและขอบฟ้าในวิวมุมสูงก็จูงใจให้เดินได้เรื่อย ๆ ถ่ายรูปได้ไม่หยุดหย่อนจนรู้ตัวอีกทีค่อนทางเรียบร้อยแล้วจร้า

และในที่สุดเราก็มาถึงจุด View Point ซึ่งหากเคยได้รับโปสการ์ดของเมืองจากเพื่อน แฟน หรือคนที่สำคัญ พวกแกรก็จะคุ้นชินกันดี เพราะว่าพวกช่างภาพก็จะมาถ่ายจากมุมนี้นั่นเอง แต่เราเชื่อว่าถ้ามาเห็นของจริงก็จะยิ่งฟินเป็นทวีคูณด้วยภาพทะเลใบไม้ไล่เฉดสีจากเขียวเหลืองส้มแดงทแยงไปทั่วทิวเขา สัมผัสลมเย็น ๆ ที่ปะทะหน้าเราเบา ๆ ก่อนจะยกกล้องเข้าถ่ายภาพมาเป็นไว้สร้างความทรงจำดี ๆ สำหรับสถานที่แห่งนี้ฮะ หลังจากที่เราเก็บภาพความประทับใจนี้เสร็จ ก็ได้เวลาระเห็จระเหินกลับโรงแรมเพื่อพักกาย พักใจ เก็บแรงไว้ลุยกันใหม่พรุ่งนี้ มะตะ อะชิตะ (แปลว่าเจอกันพรุ่งนี้เน้อ)

Day 3 : One day trip in Kamikochi

เช้าวันใหม่แข็งแรงสดใส เรายังปักหลักพักใจที่ Takayama โดยแพลนวันนี้เราจะไปเทรคกิ้งที่ Kamikochi ส่วนการเดินทางนั้นก็ยังคงโดยสารรถบัสจาก Takayama Nohi Bus Center ทว่าวันนี้เราต้องนั่งรถสองต่อ ต่อแรกเราจะไปลงที่ Hirayu Onsen และต่อรถที่ Hirayu Onsen เพื่อไปลง ณ จุดหมายปลายทางที่ Kamikochi จร้า อย่างไรก็ตามสำหรับ Route Kamikochi จะไม่มีตั๋วแบบจองล่วงหน้า ดังนั้นจึงควรวางแผนการเดินทางเผื่อสักนิด ให้ชีวิตพิชิตญี่ปุ่นก็ง่ายขึ้นนะฮะ หรือในทางกลับกันหากเราอยากเช่ารถมาเองก็ไม่ต้องเกรงกลัวในกรณีเฉี่ยวชน เพราะว่าประกันภัย Travel Easy ของ MSIG เขาคลอบคลุมความเสียหายส่วนแรกสำหรับรถเช่าด้วยนะแกร๊!!

ตัดภาพมาที่คามิโคจิซึ่งจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น (Japan Alps.) จังหวัดนากาโน่ (Nagano) สถานที่แห่งนี้จะเปิดให้บริการเฉพาะช่วงกลางหรือปลายเดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ความพีคของที่นี่คือทิวเขาโฮทะกะ (Hotaka) ที่ทอดตัวยาวป๊ะกับแม่น้ำ อาซุสะใส ๆ ในระยะทางยาวถึง 15 กิโลเมตร และสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้โอเคมาก ๆ สำหรับการมาเดินเล่น หรือมาปีนเขาเอาบรรยากาศสวย ๆ อากาศดี ๆ ที่การันตีว่างดงามทั้งสี่ฤดูกาลเลย

สำหรับวิธีที่ง่าย ๆ ในการเที่ยวคามิโกจิภายใน 1 วันที่ครบ จบแบบดี๊ดีย์ คือเริ่มเดินตามที่เส้นริมแม่น้ำอาซุสะ ผ่านสระน้ำไทโช (Taisho Pond) ไปยังสะพานเมียวจิน (Myojin Bridge) ที่ ๆ ซึ่งสามารถมาฟินได้ทุก ๆ เดือน ความน่ารักของ Route นี้คือเส้นทางจะเป็นพื้นที่ค่อนข้างราบทำให้เดินเที่ยวได้ไม่ยาก และถึงแม้หากไม่เคยเดินป่ามาก็ยังอินชินบรรยากาศชิค ๆ ได้สบาย  ขนาดคุณตาคุณยายยังมาเดินจูงมือกันแถว ๆ นี่เลยฮะ

หากใครที่เสพทริปนี้มาอย่างตามติด และอยากคิดมาลองเทรคกิ้งกัน ก็ลองหาวันระหว่างกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกันยายนมาชมบรรยากาศเขียวๆ ให้ฉ่ำใจ หรือฤดูใบไม้ร่วงช่วงกลางเดือนตุลาคม ทว่าเราที่ไปในเดือนพฤศจิกายนก็ยังได้ยลใบไม้สีแดงที่แฝงไปด้วยสีขาวแลดูเหงา ๆ จากปุยหิมะ ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ดีงามน่ามาตามเช่นกัน และอย่างที่กล่าวว่าที่นี่มีจุดขายเรื่องการปีนเขา ถ้าสนก็เข้ามาลุยได้ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนพฤศจิกายนฮะ จะเดินแบบวันเดียว หรือจะค้างคืนก็เอาตามอัธยาศัยที่ใจชอบได้เลย สนใจจิ้ม!

วกกลับมาที่การเดินทางกัน และตามที่แจ้งไว้นั้นว่าต้องใช้บริการรถบัส Takayama Nohi Bus Center เป็นหลัก ก็เลยอยากให้แกรควักตังซื้อตั๋วแบบไป – กลับในราคา 5,040 เยน เพื่อความสะดวกสบายที่จะได้นั่งรถได้ทุกเที่ยวเวลาเพราะ Route ที่มา Kamikochi จะเป็นแบบ Non -Reserve หมด (หมายความว่าจองออนไลน์ไม่ได้) และอีกหนึ่งเหตุผลคือคุ้มค่ากว่าการซื้อเป็นรอบๆ ได้ตั๋วเรียบร้อยก็มุ่งหน้าไปลงกันที่ป้ายแรก Taisho-ike Pond จุดแรกของการเริ่มเดินเทรคกิ้ง ตามพี่มาดูอะไรงาม ๆ เพื่อสร้างความอยากไปญี่ปุ่นกันอีกหลาย ๆ ที

  • สระน้ำไทโช ( Taisho Pond )

หรือที่เรียกว่า Taisho-ike Pond จะตั้งอยู่ใกล้ ๆ จุดจอดรถ Taisho-ike Pond ซึ่งบ่อน้ำแห่งนี้เกิดจากการที่แม่น้ำอาซุสะได้ถูกทับถมจากโคลนตะกอนที่ไหลจากการระเบิดของภูเขาไฟ Yakedake ในปี 1915 จนเกิดเป็นทัศนียภาพที่แปลกตาของภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะลูกใหญ่ ๆ สะท้อนบนผืนบ่อน้ำใส ๆ ให้เป็นรางวัลแด่ผู้ที่ไปเยี่ยมเยือน

ส่วนกิจกรรมที่ต้องมาทำ คือการมาเดินจ้ำที่เส้นทางริมน้ำใส ๆ ทอดยาวไปตามแม่น้ำอาซุสะโดยเส้นทางนั้นจะยาวตั้งแต่สระน้ำไทโซถึงสะพานกัปปะ Kappa Bridge (Kappa-bashi) ซึ่งในวันที่เรามาทุกอาณาบริเวณจะมีหิมะปกคลุม แต่ก็อบอุ่นด้วยแสงแดด และได้เดินเก็บภาพใบไม้สีแสด ๆ น้ำตาล ๆ สวย ๆ ช่วยเติมเต็มความสุขของเราได้ดีจนต้องขอมอบคะแนนไว้ที่ 10 10 10 !!

  • สระน้ำทาชิโระ ( Tashiro Pond )

เดินจากสระน้ำไทโชประมาณ 12 นาที ก็มาพบอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค สระน้ำทาชิโระ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำคล้ายกับนาข้าวที่เราสามารถก้าวมาเยี่ยมชม ที่แห่งนี้มีสมญานามว่า non-freezing pond หรือ สระน้ำที่ไม่เคยเยือกแข็ง เพราะถึงแม้อุณหภูมิของอากาศจะติดลบ บ่อน้ำแห่งนี้ก็ยังไม่กลายเป็นน้ำแข็งจร้า โดยที่นี่จะมีวิวต้นไม้ใบหญ้าและสายน้ำใส ๆ เป็น Background ให้ภาพแชะภาพว้าว ๆ ได้ตามที่คิดเลย

หลังจากได้ภาพ Profile จากสระน้ำไทโช เราก็จะเดินโก้ ๆ ต่อไปยังสะพานคัปปาบาชิ ( Kappa Bridge ) ปกติเค้าใช้เวลาเดินกันไม่นาน แต่เราก็ดันเดินโทง ๆ ไปเกือบครึ่งวัน เพราะมัวแต่อัศจรรย์ใจในความสวยงามของธรรมชาติ นวยนาดกับทางเดินริมน้ำคูล ๆ ยืนดูภูเขา เอาหิมะมาเล่น เอ็นจอยกับทุ่งหญ้าสีแดง จนหมดแรงก็นั่งพักสักระยะ ( เราไม่ค่อยรีบ ขอแค่ให้กลับทันบัสคันสุดท้ายเป็นพอ ฮ่า ) และหลังจากนั้นเราก็เดินลัดเลาะริมแม่น้ำอาซุสะไปเรื่อยๆ โดยมีแลนมาร์คต่อไปเป็นสะพานคัปปาบาชิจร้า

  • สะพานคัปปาบาชิ ( Kappabashi / Kappa Bridge )

เดินจนขาใกล้จะลากเราก็มาถึงสะพานคับปาบาชิที่ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำอาสึซะ ห่างจากสถานี Kamikochi Bus Terminal ปลายทางของเราเพียง 5 นาที สะพานคัปปาบาชิแห่งนี้เป็นหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่โด่งดังและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศที่อยากมาพิชิตวิวที่นี่ ทั้งผืนน้ำใส วิวภูเขา Yakedake หรือ Hotaka ลูกใหญ่ ให้เราเก็บภาพชิค ๆ ไว้อวดคนอื่นกันฮะ

เนื่องด้วยเป็น Tourism Spot ที่ฮอตฮิต พื้นที่ข้าง ๆ ติด ๆ กันเลยกลายเป็น Outlet ทั้งโรงแรม ร้านขายของที่ระลึก หรือร้านขายอาหารที่ตั้งอยู่บานเบอะ และราคาก็ต้องจ่ายเยอะเช่นกัน ดังนั้น เราขอแนะนำว่าตุนเสบียงเองมานิด เพื่อต่อยอดชีวิตกระเป๋าตัง ๆ ส่วนช่วงเวลาที่เป็นที่นิยม มหาชนจะมาชมช่วงวันหยุดฤดูร้อน ( กลางเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม ) และวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ( เดือนตุลาคม ) จร้า

  • ที่ลุ่มทาเกะซาวะ ( Takezawa Marsh )

หลังจากนั่งพักชิล ๆ กินข้าวกันจนหายหิวแล้ว เราจะออกเดินทางออกจากสะพานคัปปาบาชิไปอีก 5 – 10 นาทีก็จะมาถึงที่ที่ลุ่มทาเกะซาวะ ( Takezawa Marsh ) หนึ่งในแลนด์มาร์คที่ฝากความหวังกับวิวได้ ที่ลุ่มทาเกะซาวะเองก็เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติโดยหิมะที่ไหลหรือละลายลงจากบนเขามารวมตัวกันเกิดเป็นลำธารใส ๆ ให้เราเดินชมไป สูดหายใจลึก ๆ ไปให้ฟินลึกลงใจ สไลด์ลงปอด

  • สระน้ำเมียวจิน ( Myojin Pond /Myojinike )

จ้ำอ้าว ก้าวกันต่อรวมเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากที่ลุ่มทาเกะซาวะ เราก็จะมาสุดสายปลายทางที่ สระน้ำเมียวจิน ( Myojin Pond / Myojinike ) ที่รับรองว่าจะฟินอินกันมาก ๆ ด้วยความใสของน้ำที่มาจากภูเขา Myojin-dake ซึ่งสระน้ำแห่งนี้จะประกอบไปด้วยสองสระเล็ก ๆ รวมกันได้แก่ Ichino-ike และ Nino-ike และที่ตั้งก็อยู่ท่ามกลางอาณาเขตศักดิสิทธิ์แห่งศาลเจ้า Hotaka ( Hotaka-shrine ) และ คามอนจิโงยะ ( Kamonjigoya ) จุดนี้ต้องจ่ายค่าเข้า 300 เยน

และหลังจากเดินไปเกือบครึ่งค่อนวัน One day trip ใน Kamikochi ของเราก็จบลง ซึ่งเราก็คงบอกได้แค่ว่ามันสาแก่ใจอีช้อยยิ่งนักกับธรรมชาติของญี่ปุ่นที่มอบความอบอุ่นในใจไปกับความฉ่ำเย็นของอากาศ ความอาร์ตของสีสันตามเส้นทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของ Kamikochi ที่ชวนให้เที่ยวดูได้ไม่มีเบื่อไม่ว่าจะมากับใคร เที่ยวแบบไหน หรือจะปวดขาเท่าไรก็ตาม และหลังจากที่เราเสพบรรยากาศแห่งความฟินเกินจะเอ่ยนี้เสร็จสรรพ เราก็นั่งรถกลับไปสลบสไลกันในโรงแรมแทบจะทันทีฮะ มินนาซัง โอยาซึมิ (ฝันดีฮะทุกคน)

– Day 4 –

One day trip in Takayama

เช้าวันใหม่ที่พร้อมออกผจญภัยอย่างไม่มีหวั่น (แน่นอนเพราะเราทำประกันภัยกับ MSIG มาเรียบร้อย) วันนี้ได้คิวไปท่องเที่ยวเปรี้ยวใน Takayama กันสักทีหลังจากตระเวนไปที่อื่นมาตั้งสามวัน ซึ่ง Takayama นั้นเป็นเมืองเก๋ ๆ ที่เราจะได้สัมผัสสเน่ห์แห่งยุคเอโดะ ได้ซึมซับวิถีชีวิตของผู้คนที่ส่งต่อมานับรุ่นสู่รุ่นและยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต นอกจากนั้นเมืองนี้ยังเป็นที่รู้จักขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของทักษะงานไม้ของคนในชุมชนด้วยจร้า

ไม่รู้ว่าเผลอ หรือเธอตั้งใจ สีสันของบ้านเรือนในเมือง Takayama ที่สร้างไว้ช่างโดนใจสายมินิมอล อาคารสถาปัตยกรรมเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตที่เน้นโทนสีขาว น้ำตาลทำให้ถ่ายรูปได้เกือบทุกบ้าน ทุกร้านโดยไม่ยากเย็นนัก และด้วยความที่เรามาช่วงใบไม้เปลี่ยนสี Mood and Tone ที่ได้นี้บอกเลยว่าการันตีความดีงามเพาะกดภาพมาจนเต็มเมมกล้อง

เดินชมเมืองจนอิ่มใจ ก็แวะไปที่ตลาดเช้า Takayama (Morning Markets) ซึ่งเปิดทุกวันตั้งแต่ 6:30-12:00 (แต่ว่าฤดูหนาวเขาจะขยับเวลาเปิดเป็น 7 โมงเช้านะตัว) ซึ่งตลาดเช้าแห่งนี้จะมีอยู่ 2 จุดได้แก่ ตลาดจินยะเมะ (Jinya-mae Market) ที่ตั้งอยู่หน้าอาคาร (Takayama Jinya)  และตลาดมิยางาวะ (Miyagawa Market) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมิยางาวะในเขตเมืองเก่า Takayama แต่ด้วยความที่เราทำการบ้านมานิดนึงจึงเชื่อว่าการไปที่ตลาดมิยางาวะจะได้เจอของเยอะกว่า ชิลกว่า มีคาเฟ่ให้ชิคมากกว่า จะช้าอยู่ไยไปกันเลยดีกว่าฮะ

สินค้าที่วางขายก็มีมากมายให้เราเดินนวยนาดอืดอาดชมได้เรื่อย ๆ ทั้งผลิตผลทางการเกษตร ผลหมากรากไม้ พืชผัก หรือขนมคบเคี้ยวท้องถิ่นให้เราเลือกซื้อเลือกกินกันอย่างเอร็ดอร่อย และด้วยความน่ารักของคนญี่ปุ่นคือแม้ว่าเราไม่ได้อุดหนุนเขาก็จะชวนพูดคุย ทักทายเหมือนญาติมิตรสหายที่ใกล้ชิดจริง ๆ เดินไป ๆ มา ๆ คือได้ชิมจนอิ่มไปเลย โดยเฉพาะแอ๊ปเปิ้ลญี่ปุ่นที่ละมุนลิ้น กินแล้วอินไปยังโลกหน้าจริงๆ นะ (อันนี้อวยส่วนตัว)

เดินไปเดินมา ชะตาก็มาพบจุดหมายด้วยความเป็นสายคาเฟ่ที่แท้ทรู เราจะแฮปปี้เมื่อเจอร้านกาแฟชิค ๆ คูล ๆ ทุกครั้ง และที่ตลาดมิยางาวะก็มีร้านกาแฟที่ดูแลโดยสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ตั้งเต็นท์ขาย ภายใต้ก็จะมีโต๊ะขาว ๆ ให้เรานั่งจิบกาแฟริมน้ำ เมนูเด็ดของที่นี่คือ cafe’ macchiato ที่เสิร์ฟใน cookie cup ดื่มปั๊บ กัดปุ๊บ กรุบ ๆ แสนอร่อย ๆ จิบไป ชมผู้คนเดินผ่านหน้าร้านไป ก็เป็น moment ดี ๆ ที่อยากฝากไว้ให้มาลองด้วยตัวเอง

เติมพลังคาเฟอีนกันเต็มที่ ก็ไปแฮปปี้กันต่อที่แลนด์มาร์คน่ารักโดนใจในเมืองเก่า Old Town ณ แหล่ง Shopping “ย่านซันมาชิซูจิ” หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า “Little Kyoto” ย่านนี้เป็นย่านสุดเฟี้ยวอายุมากกว่า 300 ปีที่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล ส่วนบริเวณพื้นที่ก็จะเต็มไปด้วยบ้านญี่ปุ่นเก่าในยุคเอโดะ กล่าวคือเป็นบ้านไม้สองชั้นทาสีน้ำตาลเข้มหรือดำเกือบทุกหลัง ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่ชื่อดังทั้งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งการค้าตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน โดยพื้นที่แห่งนี้จะแบ่งเป็น 3 ซอยต่อกันแต่กั้นโดยถนนเส้นเล็กที่เดินทะลุเข้าไปส่วนในได้จร้า!!

ถ้ามาที่ “Little Kyoto” นี้จะมีเมนูห้ามพลาดต้องมาฟาดให้ได้ได้แก่ Hida Gyuuman หรือซาลาเปาไส้เนื้อ Hida เมนูนี้มีความดีงามที่ความฉ่ำของเนื้อวัวและแป้งที่นุ่มชุ่มปาก ซึ่งเราสามารถเดินถือกินนัว ๆ ได้อย่างสบายใจ ต่อมาคือ Senbei Plate ที่มีสาหร่ายทานง่าย ๆ เขี้ยวกรุบ ๆ กินไปเดินไปได้เช่นกัน และสุดท้ายที่อยากแนะนำ Hida-beef ใน Sushi-style ที่เสิร์ฟบน Senbei Plate เช่นกัน คือที่นี่นั้นเขาดังเรื่องเนื้อ Hida มาก ๆ ซึ่งเราก็เห็นสมควรที่จะดังเพราะเนื้อนางนั่นอร่อยนุ่ม ขยุ้มใจ และดีงามเข้าไปใหญ่เมื่อได้รสสมผัสจากสาหร่ายและข้าวญี่ปุ่นที่เข้ากันดีกับความกรอบของ Senbei Plate เป็นงานเกรดพรีเมี่ยมดีเยี่ยมต่อน้ำย่อยในท้อง พอเพลิดเพลินเจริญใจจากการชมเมืองไป ชิมไป และถ่ายรูปไปก็ถึงเวลาโบกมือลาเมือง Takayama เพื่อไปหลงแสงสีเสียงและไฟในกรุงโตคิโอะ (โตเกียว) กันจร้า

Day 5 : One day trip in Tokyo

เสพธรรมชาติมาสี่วันติด เดี๋ยวจะหาว่าชีวิตเราไม่ป๊อบ ดังนั้นวันนี้พี่จะพาน้องมาท่องกรุงโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่นที่แสนวุ่นวายภายใต้การผสมผสานความเป็นโมเดิร์นกับความดั้งเดิมของศิลปะวัฒนธรรมของดินแดนซามูไรได้อย่างลงตัว เมืองหลวงที่มีประชากรประมาณ 10 ล้านคนแต่ยังน่ายลล่อตาล่อใจให้คนไทยอย่างเราๆ เฝ้าฝันมาเยี่ยมเยียมกันได้ทุกๆ ปี ส่วนใครที่ลากกระเป๋าย้ายเมืองบ่อยๆ แล้วเกิดเหตุไม่ขาดฝันกระเป๋าสัมภาระเสียหาย ก็ขอเล่าให้ฟังว่าประกัน MSIG เขาก็ดูแลเรื่องความเสียหายของกระเป๋าเดินทางและทรัพย์สินข้างใน เพราะฉะนั้นลากกระเป๋าย้ายเมืองไปย้ายเมืองมาเที่ยวสวย ๆ แบบอุ่นใจกันได้เลย และในเมื่อมา One day trip in Tokyo เราก็ขอเข้าสู่โหมด Life Style จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น ที่แท้ทรูพาแกรๆ ไปสู่ 3 Cafe’ ชิคๆ 1 Community คูลๆ และ อีก 1 จุดชมวิวปังๆ ต้องไปโดนจังๆ ในโตเกียว อ่ะๆ พร้อมละก็ตามมา

  • About Life Coffee Brewers

เริ่ม ๆ ประเดิมกันที่ About Life Coffee Brewers ซึ่งตั้งอยู่แถวชิบูย่า ซึ่งความพีคของร้านนี้คือเป็นร้านที่ Cafe Owner (เจ้าของร้านกาแฟ) ในโตเกียวหลาย ๆ ที่แนะนำให้มาชิมกันเลยทีเดียว About Life Coffee Brewers เป็นร้านริมถนนเล็ก ๆ ซึ่งเหมาะกับ Coffee Walk มาก (ดื่มไปเดินไป) ตัวร้านจะตั้งอยู่ภายในอาคารอิฐสีขาว ๆ เพิ่มความอบอุ่นและเรื่องราวด้วยแผ่นไม้สีน้ำตาลอ่อน โดยเมนูที่ร้านจะมีไม่เยอะมาก (Espresso 2 เมนู Latte 1 เมนู กาแฟดริป 4 เมนู และอื่น ๆ อีก 3 เมนูเท่านั้น) แต่รสชาติกับคุณภาพก็ขึ้นชื่อลือชา มีเวลาเปิดเริ่มตั้งแต่ 08.30 เรียกได้ว่าตื่นปุ๊บ ก็มาจิบกาแฟแก้วโปรดปั๊บได้เลยทันที

  • Little Nap Coffee Stand

จัดกันไปร้านแรกยังไม่พอก็มาต่อ Little Nap Coffee Stand ร้านกาแฟอินดี้ ๆ ที่มีที่นั่งไม่เยอะเท่าไรนัก สถานที่ตั้งจะอยู่หลังสวนโยโยหงิ ซึ่งเราสามารถนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Yoyogi-Hachiman Station หรือ Yoyogi Koen Staion ความดีงามของร้านนี้คือสถานที่ตั้งนางอยู่ในทำเลที่อยู่อาศัยและใกล้สวนสาธารณะ ก็เลยจะไม่วุ่นวายสามารถมานั่งผ่อนคลายสบายใจไปกับอากาศดี ๆ ส่วนเมนูนอกจากจะมีกาแฟแล้วยังมีน้ำผลไม้ออร์แกนิก บราวนี่ มัฟฟิน และไอศครีมซึ่งทั้งหมดเป็นโฮมเมดด้วย ( ดีงาม )

สิ่งที่อยากย้ำคือมุมถ่ายรูปหน้าร้านพี่เขาล้ำมาก ด้วย Mood and Tone ของตัวตึกที่คุมด้วยเฉดสีเทา ๆ น้ำเงิน ๆ ที่แกรไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูปลงโซเชียลได้ไม่อายใครแน่นอน แต่ทางที่ดีก็ไปให้ถึงสถานที่ก่อนเที่ยง เพราะแสงแดดอ่อน ๆ ของกรุงโตเกียวจะช่วยเสริมภาพให้เราดูเฟี้ยวจริง ๆ ฮะ

  • Shozo Coffee Store

ตายังไม่ค้าง ใจยังไม่สั่น ขอขยับไปต่อกันที่ Shozo Coffee Store ร้านกาแฟหลังเล็ก (อีกแล้ว) แต่โก้ในย่าน Aoyama (ใกล้ ๆ กันกับ Harajuku ด้วยนะแกร!!) ร้านกาแฟที่แสนอบอุ่นเหมือนบ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ โครงการ Commune 2nd ซึ่งสามารถนั่งรถไฟมาลงยังสถานี Omote-sando ตัวร้านจะทำด้วยไม้ดูออกแนววินเทจ และเกรดของเมล็ดกาแฟและขนมก็แสนจะพรีเมี่ยม ด้วยสไตล์ Coffee to go หรือ Coffee Walk (เดินไปดื่มไปนั่นล่ะฮะ) ส่วนเมนูถ้าให้เราแนะนำก็คงเป็นกาแฟดำอเมริกาโน่เหมือนเดิม (ฮ่า) นอกจากนั้นก็ยังมีเมล็ดกาแฟขาย Stick (ขนมปังแท่ง) และ Cookie ให้เลือกกินให้ฟินกันจร้า

  • Commune 2nd : Al fresco food, drink and community

พอตาแข็ง ใจเริ่มสั่น ก็ไปเดินเล่นกันที่ Community ชิค ๆ ที่พลิกกลับมาเปิดอีกครั้งเมื่อต้นปี 2017 (เคยปิดไปในปี 2016) โดยมีจุดประสงค์ที่ต้องการเชื่อมเมืองและผู้คนเข้าด้วยกัน ซึ่งสถานที่แห่งนี้นั้นจะมีบริการอาหาร เครื่องดื่ม และกิจกรรมภายใต้ Concept พลังงานสีเขียวซึ่งจะพยายามไม่สร้างขยะ หรือทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยนะเหวย

ซึ่งถ้าหิวเมื่อไรก็แวะมาที่นี่ได้เลยเพราะมี อาหารทั้งหนัก ทั้งเบา หลากหลายสัญชาติทั้งเยอรมัน สเปน อิตาลี่ หรืออาหารที่แสนดีต่อสุขภาพเช่น BBQ ผักจากร้าน iki-ba หรือจะจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นุ่ม ๆ คาเฟ่ชิค ๆ ก็มีให้เลือกหลากหลายร้านตามความต้องการของใครของมันได้เลย ( Shozo Coffee Store ก็ตั้งอยู่ในนี้แหล่ะ ) เวลาเปิดที่นี่คือตั้งแต่ 11:00 am – 10:00 pm จร้า

  • Roppongi Hills – Tokyo City View

เอาล่ะ หลังจากเติมพลังด้วยการกินและนั่งชิลจนหายเหนื่อย ก็ได้เวลาบิดขี้เกียจแก้เมื่อย และขึ้นไปชมวิวสวย ๆ ของโตเกียว ณ Roppongi Hills – Tokyo City View กันแกร๊!! ที่นี่เป็นอาคารที่เป็นทั้ง Office และ Shopping Complex โดยเปิดมาตั้งแต่ปี 2003 ซึ่ง Tokyo City View นั้นเปิดให้ขึ้นไปชมวิวบนชั้น 52 ซึ่งเราสามารถจ้องชมวิวชมที่สวยงามของมหานครโตเกียวได้เต็มตาแบบ 360 องศารวมทั้งเก็บวิว Tokyo Tower ได้อีกฮะ และจุดชมวิวด้านบนมีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor  ( ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1,800 เยน ถ้าอยากออกไป Outdoor ต้องจ่ายเพิ่มอีก 500 เยน )

และด้วยความที่ค่าเข้าเขาค่อนข้างสูงเลยจูงใจให้เราอยู่นาน ๆ เพื่อเก็บภาพให้คุ้มค่างานมาฝากทุกคน แต่ถ่ายไปถ่ายมา เราก็เริ่มปรับโหมดชีวิตให้เดินช้าลง นั่งเหม่อมองแสงสีส้มจาง ๆ จากพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ เคลื่อนลับขอบฟ้า ซึมซับทัศนียภาพตรงหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปในโหมดราตรี ชมแสงสีจากตึกสูงโตใหญ่ที่สวยงามโดนใจไปอีกแบบกันยาว ๆ

Next Station Is … สถานีต่อไปก็ได้เวลากิน และมื้อเย็น ณ กรุงโตเกียววันนี้ เราขอไปจัดเมงเจ้าดังกับอิชิรันราเมง ราเมงข้อสอบของโปรดที่มาญี่ปุ่นทุกครั้งต้องแวะเข้ามานั่งกินทุกที อิชิรันราเมง (Ichiran) เป็นร้านราเมงชื่อดังที่มีอยู่หลายสาขาทั่วญี่ปุ่น ว่ากันว่าความอร่อยนั้นถูกส่งต่อมาตั้งแต่ต้นตระกูลจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยยุค 60 จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งความพิเศษไม่เหมือนใครที่นอกจากจะอร่อยได้ใจในรสชาติ ยังมีเมนูให้ดูให้เลือกมากถึง 40 ชนิด จัดได้ถูกจริตไม่ว่าจะเส้น จะซุปก็เลือกที่สาแก่ใจ และสำหรับใครที่อยากตามเราไปเทสที่สาขาชิบูยาจากสถานีรถไฟ JR ชิบูย่าใเดินไปที่ร้านไม่กีนาทีเอง หลังอิ่มหนำสำราญจากอาหารมื้อนี้ เราก็ขอเดินชิวชิวแล้วกลับไปพักผ่อน เป็นอันว่าสำเร็จความสุขในคืนที่ 4 อย่างเต็มอิ่ม

Day 6 : One day trip in Zao Fox Village

สวัสดีเช้าวันใหม่ในชิบุย่า อยากบอกว่า One Day Trip วันสุดท้ายเราจะพาทุกคนไปด้วยมาก ๆ เพราะวันนี้จะไปชมความตะมุตะมิครุคริน่ารักของเหล่าจิ้งจอกแดงที่ Zao Fox Village ณ Mt. Zao ซึ่งฟาร์มจิ้งจอกแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1990 และปัจจุบันมีจิ้งจอกมากกว่า 6 สายพันธุ์ให้เราอัศจรรย์ในความน่ารักของพวกนางเลยนะแกร๊!!!

สำหรับการเดินทางก็ไม่ยากอะไร เพียงนั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี SHIROISHIZAO ซึ่งเพราะเราเดินทางจาก Shibuya ก็จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงหน่อย ๆ ทำให้ไม่ทันรถบัสรอบแรกซึ่งปกติแล้วจะมีบัสขึ้นหมู่บ้านเพียงวันละสองรอบ เราเลยต้องโบกโบกสองมือโบกโบก Taxi เมื่อจากสถานี SHIROISHIZAO โดยค่าเสียหาก็เอาเรื่องอยู่ประมาณ 3,800 เยน บวกค่าเข้าอีกประมาณ 1,000 เยนจร้า (แนะนำว่าซื้อตั๋ว JR pass จ่ายทีเดียวคุ้ม!!)

แค่เห็นจากรูปก็น่าจะละลายกันไปกับความน่ารักได้ใจของบรรดาจิ้งจอกแดงตัวน้อย ๆ ซี่งเราก็สามารถทยอยเดินชมพวกนางไปตามพื้นที่ที่ทางฟาร์มจัดไว้ให้ แต่เพื่อความปลอดภัย เขาก็จะมีกฏนิด ๆ ให้เราคิดและปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่ายรวมทั้งเจ้าจิ้งจอกแดงตัวน้อยด้วยฮะ อ่อ นอกจากจิ้งจอกแดง ที่นี่ยังมีเพื่อนร่วมโลกหลาย ๆ สายพันธุ์ให้เราได้ดูทั้งกระต่าย ทั้งแพะให้เราได้ยิ้มตามกับความน่ารักน่าชัง ถือว่าเป็นโลคชั่นปิดทริปที่สดใสมากมายจริง ๆ

ความรู้สึกของวันสุดท้ายกับทริปญี่ปุ่นในทุก ๆ ครั้งไม่เคยต่างกันเลย คือ ไม่อยากให้ทริปนี้จบแต่ก็ถึงเวลาจบแล้วสำหรับทริปญี่ปุ่นที่แสนอบอุ่นใจกับใบไม้เปลี่ยนสี ทัศนียภาพและธรรมชาติดี ๆ รวมถึงเหล่าน้องพี่จิ้งจอกขนปุกปุยสีแดง ญี่ปุ่นอาจเป็นทริปซ้ำ ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจถามว่าจะไปย้ำทำไม แต่ถ้าเกิดได้ไปในช่วงเวลาที่แตกต่างกันก็จะพบความอัศจรรย์ของกาลเวลาที่พบว่าประเทศแห่งนี้มากี่ทีก็ประทับใจ และยังอยากกลับไปอีกหลาย ๆ ครั้งเพราะยังเชื่อว่าในดินแดนซามูไรแห่งนี้จะต้องมีสถานที่น่าสนใจให้เราเข้าไปค้นหาและกลับมาเล่าให้พวกแกรฟังอีกแน่นอนนน!!!!!!

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก

บันทึก